ผู้เขียน หัวข้อ: พรุ่งนี้หรือชาติหน้า ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะมาก่อน แจง-วราพรรณ หงุ่ยตระกูล  (อ่าน 1281 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
พุทธปัญญาภิรมย์ : ธรรมะทำไม ทำไมธรรมะ (วราพร หงุ่ยตระกูล)

<a href="https://www.youtube.com/v/JOzU09Ftmck" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/JOzU09Ftmck</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/jYg90SF3aXg" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">https://www.youtube.com/v/jYg90SF3aXg</a>

เพิ่มเติม https://www.youtube.com/user/cpallseven/videos

https://www.youtube.com/playlist?list=PLr8CA-SlIPTThYfQKnNJqXZtlI-wKsYYH



พรุ่งนี้หรือชาติหน้า ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะมาก่อน แจง-วราพรรณ หงุ่ยตระกูล (1)

พระไพศาล วิสาโล กล่าวว่า ความจริงอย่างหนึ่งที่ผู้คนไม่อยากนึกถึงคือ ความตายสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลาŽ มีภาษิตทิเบตกล่าวว่า ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้าไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะมาก่อนŽ นี่คือความจริงที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ใครที่คิดว่าพรุ่งนี้จะมาก่อนชาติหน้า ล้วนแต่คาดเดาด้วยความประมาททั้งนั้น เพราะเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า วันนี้จะไม่ใช่วันสุดท้ายของเรา พ้นจากวันนี้ไปแล้วก็อาจเป็นชาติหน้าเลย หามีพรุ่งนี้ไม่

ด้วยเหตุนี้พระไพศาลจึงแนะว่า เราควรหาโอกาสซ้อมตายบ่อยๆในชีวิตประจำวัน หรือเจริญมรณานุสติอยู่เสมอ นอกจากเวลาเดินทางแล้ว เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ ฟังข่าวอุบัติเหตุ พบเห็นโศกนาฏกรรม แทนที่จะสนใจและมองว่าเป็นเรื่องของคนอื่น ลองน้อมเข้ามาใส่ตัว

หรือโยงมาหาตัวเราเองบ้าง ว่าถ้าเป็นเรา เป็นลูกเรา เป็นพ่อแม่เรา เราจะทำอย่างไร บางคนกลัวไม่อยากนึกถึง แต่ในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นการเตรียมใจรับกับสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ

การระลึกถึงความตายเป็นเรื่องดี ช่วยกระตุ้นเตือนใจให้ไม่ประมาท และสำหรับดิฉัน (แจง-วราพรรณ หงุ่ยตระกูล) เอง ครั้งหนึ่งความตายก็มายืนอยู่ใกล้ๆ เหมือนอยากจะเข้ามาเตือนอะไรบางอย่าง‚เหมือนอยากจะเข้ามาถามว่า สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ทำดีที่สุดแล้วหรือยัง หรือยังมีอะไรที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำอีกไหม เพราะเวลาในชีวิตอาจไม่ได้มากอย่างที่คิด

เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากันŽ

ดิฉันเกิดที่จังหวัดแพร่ แต่มาใช้ชีวิตเรียนหนังสือและทำงานที่กรุงเทพฯ ชีวิตครอบครัวถือได้ว่าไม่ลำบากอะไร เพราะดิฉันเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องสี่คนที่เกิดในช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งตัวได้แล้ว

หลังเรียนจบคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดิฉันก็ทำงานในวงการแสดง เริ่มจากละครเวที มาเป็นละครโทรทัศน์ รวมทั้งงานอื่นๆในแวดวงนี้ หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนสายงานมาอยู่วงการโฆษณา ก่อนที่จะลาออกมาเปิดบริษัทรับจัดงานอีเว้นท์ของตัวเองกับสามี (วิทยา ทรัพย์ธนะอุดม) อย่างในปัจจุบัน

ที่ผ่านมาดิฉันพบความจริงอย่างหนึ่งว่า เวลาของคนเราไม่เท่ากันŽ ตัวอย่างใกล้ตัวที่สุดคือพี่ชายคนโตและเพื่อนสนิทที่เป็นกัลยาณมิตรในการปฏิบัติธรรม ทั้งสองคนจากดิฉันไปในเวลาที่คนส่วนใหญ่มองว่า ยังไม่สมควรŽ หรือ ยังไม่น่าจะถึงเวลาŽ

พี่ชายจากไปในวัยสามสิบกว่าๆ จำได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ผู้คนเฉลิมฉลอง ไปเที่ยวสนุกสนาน ครอบครัวของดิฉันก็เช่นเดียวกัน ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย และญาติๆเหมารถตู้ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันโดยที่ครั้งนั้นดิฉันไม่ได้ไปด้วย แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อพี่ชายเสียชีวิตกะทันหัน จากการจมน้ำในโรงแรมที่พัก

ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไรก็ตาม แต่ตอนนั้นสิ่งที่ดิฉันคิดมีเพียงเขาไม่น่าจากเราไปเร็วอย่างนี้ สิ่งต่างๆเกิดขึ้นเร็วมาก‚ขาไปพี่ชายนั่งไปในรถตู้ แต่ขากลับเขากลับนอนมาในโลงศพของมูลนิธิฯแทน ความไม่แน่นอนของชีวิต มันเหมือนจะสอนให้เห็นอยู่ตรงหน้า แต่ตอนนั้นดิฉันยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมจึงได้แต่เพียงรู้สึกเสียดายจนมาวันนี้เริ่มเห็นแล้วว่า เวลาของเขาคงมีมาเท่านี้Ž ซึ่งไม่ต่างกับกัลยาณมิตรอีกคนหนึ่งที่แข็งแรงดีทุกอย่าง แข็งแรงยิ่งกว่าดิฉัน แต่แล้วก็มาจากไปก่อนวัยอันควรจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อไม่นานมานี้

อย่างไรก็ตาม ความตายที่เกิดขึ้นกับคนอื่น อาจทำให้ดิฉันรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงได้บ้าง แต่ก็ยังไม่มากเท่ากับที่ความตายมายืนอยู่ตรงหน้าของตัวเองเหมือนเช่นวันนี้



มะเร็งŽ เหมือนคำที่ถูกสาป

ทุกวันนี้ แม้ดิฉันจะห่างไกลจากโรคมะเร็งแล้ว แต่สองปีก่อนตอนที่ มะเร็งŽ เข้ามาในชีวิต คำๆนี้เหมือนคำที่ถูกสาป เพราะแม้ตัวเองจะยอมรับสภาพ ยอมรับความจริงได้ แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือ การบอกคนที่เรารักว่าป่วยด้วยโรคนี้ โดยเฉพาะคุณแม่ที่ดิฉันไม่อยากให้ท่านต้องพบเจอกับเรื่องทุกข์ใจใด ๆ แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อท่านได้รับรู้ความจริง สิ่งที่ดิฉันกังวลก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะนอกจากท่านจะยอมรับได้แล้ว ยังช่วยปลอบใจด้วยการยกตัวอย่างคนที่รู้จักที่ป่วยด้วยโรคนี้ แต่ก็หายขาดได้

ดิฉันรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งเมื่อต้นปี 2552 ตอนแรกรู้สึกเจ็บบริเวณเต้านมข้างซ้าย จึงไปอัลตร้าซาวนด์ และทำแมมโมแกรมที่โรงพยาบาล หลังจากทราบผล คุณหมอก็เรียกพบ วันนั้นดิฉันชวนสามีไปด้วย ทันทีที่เห็นสีหน้าคุณหมอ ดิฉันก็รู้แล้วว่าผลไม่น่าจะสู้ดี จึงถามท่านเลยว่าเป็นมะเร็งใช่ไหม ท่านตอบว่าใช่ เป็นระยะที่สอง หลังจากนั้นคุณหมอก็นัดผ่าตัด

คุณหมอตัดเต้านมข้างซ้ายไปหมด และเลาะต่อมน้ำเหลืองออกไปด้วย หลังจากนั้นก็แนะนำให้รับคีโม แม้ผลจากการรักษาจะทำให้ผมร่วง จนต้องใส่วิก แต่ดิฉันกลับคิดว่า การรักษาชีวิตให้อยู่รอดเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า

ฟังที่ดิฉันเล่า เหมือนดิฉันจะยอมรับความจริงได้ และเยียวยารักษาโรคไปตามขั้นตอน แต่ถ้าถามว่ากลัวตายบ้างไหม ก็มีบ้างที่วูบขึ้นมา แต่พอทำงานพูดคุยสนุกสนานมันก็เลือนๆไป และที่สำคัญ ต้องบอกว่าดิฉันโชคดีมากที่ก่อนหน้าที่จะป่วยได้ไม่นาน ดิฉันได้ไปปฏิบัติธรรม ทำให้มองเห็นความเจ็บ ความตายเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่เกิดขึ้น ดิฉันจึงคิดว่าธรรมชาติอาจกำลังมาเตือนเราว่า อย่าประมาทกับการใช้ชีวิต ชีวิตไม่ใช่เรื่องเล่นๆอย่าเล่นกับเขามาก อยากทำอะไรก็ให้รีบทำ อย่าหย่อนมากนัก ให้ลองนับถอยหลังว่าเวลาในชีวิตเราอาจเหลือไม่มากแล้ว มันอาจเหลือไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี ไม่กี่วันก็ได้

หลังจากไม่สบาย ดิฉันรู้สึกว่ามรณานุสติเกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยขึ้น และมีทุกรูปแบบตั้งแต่กลัวตาย คิดมาก กังวล เตรียมตัวตาย จนกระทั่งต่อมารู้สึกว่า เขาให้เราอยู่เท่าไรก็เท่านั้นŽ คำพูดนี้ พระอาจารย์สุรศักดิ์ จรณธัมโม แห่งศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดผาณิตาราม จังหวัดฉะเชิงเทราพูดกับดิฉันตอนไปเยี่ยมอาการป่วย แม้ฟังดูเหมือนเป็นคำพูดง่ายๆแต่กลับโดนใจเป็นอย่างมาก ทำให้ดิฉันนำมาระลึกอยู่เสมอในการใช้ชีวิตประจำวัน

นอกจากนั้นดิฉันยังเคยคิดเล่นๆว่า เราเป็นมะเร็งได้อย่างไร ก็พบว่าคงมาจากการใช้ชีวิตของตัวเอง ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนกระจกสะท้อนให้เห็นว่าชีวิตที่ผ่านมาเราพยายามทำนั่นทำนี่ให้สำเร็จ เราภูมิใจ เราแอบมีอีโก้สูง และเราทำงานในธุรกิจที่พลาดไม่ได้ การรับงานอีเว้นท์ เมื่อรับมาแล้วต้องทำให้ดี เพราะคนที่จ้างเรามาเขาจัดงานหนึ่งครั้ง ต้องไม่พลาด เพราะถ้าพลาด คือไม่มีโอกาสแก้ตัว ดิฉันมีความสุขกับการทำงานที่ท้าทาย เสร็จงานก็มีความสุข แต่สุดท้ายก็พบว่ามันก็เท่านั้นแหละ

จนทุกวันนี้ ในการบริหารงาน ดิฉันจะบอกลูกน้องเสมอว่าขอให้ทำงานให้ได้ดีที่สุด แค่ไหนก็แค่นั้น ดิฉันเรียนรู้ว่าคนเราอาจมีพลาดกันได้ เหมือนที่เราเคยพลาดมาแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้ายทุกอย่างจะผ่านไป เมื่อก่อนจะเป็นห่วงอนาคต กังวลโน่นนี่ ต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ ให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้ผ่อนคลายลงกว่าเดิมมาก

ที่สำคัญ ท่ามกลางความเจ็บป่วยที่ผ่านมา ดิฉันได้เห็นน้ำใจ ความห่วงใยเอื้ออาทรจากคนรอบข้างมากมาย ทั้งญาติสนิท มิตรสหาย กัลยาณมิตร รวมถึงคนใกล้ตัวที่สุดอย่างสามี ที่ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีเหลือเกิน หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำให้ดิฉันเรียกได้ว่า…

เหนือความคาดหมาย โดยที่ดิฉันไม่ต้องเรียกร้องแต่อย่างใด‚

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

จาก http://www.secret-thai.com/article/3339/waraparn1/



“พรุ่งนี้หรือชาติหน้า ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะมาก่อน” แจง – วราพรรณ หงุ่ยตระกูล (จบ)

“ชีวิตคือความไม่แน่นอน”ในวันนี้คำพูดธรรมดาๆ นี้อาจไม่ลึกซึ้งกินใจแต่ประการใด แต่ในอีกวันหนึ่งคำพูดเดียวกันนี้จะมีความหมายมากมายนักเมื่อเราได้พบกับ “ความไม่แน่นอน” ที่เข้ามาสั่นคลอนจิตใจของเราด้วยตัวเอง

เมื่อสองปีที่แล้ว ดิฉัน (แจง – วราพรรณ หงุ่ยตระกูล) เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งด้วยการตัดเต้านมข้างซ้ายไปทั้งเต้า และเลาะต่อมน้ำเหลืองออกไปด้วย หลังจากผ่าตัดและรอให้แผลหายราวสามอาทิตย์ คุณหมอก็ให้รับคีโม 4 ครั้ง ตอนนั้นดิฉันได้ผมทรงใหม่เป็นผมสั้น เพราะผมร่วงจากการทำคีโม ช่วงแรกก็ใส่วิกผม ช่วงหลังผมเริ่มงอก กลายเป็นเหมือนผมซอยสั้นติดหนังหัว บางคนที่ไม่รู้ว่าไปทำคีโมมา ก็เข้ามาถามว่าทำผมทรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร เท่ดีนะ

เรื่องรูปร่างหน้าตาซึ่งเป็นเรื่องภายนอก ดิฉันไม่ได้สนใจมากนักแต่เรื่องของจิตใจนี่สิที่สำคัญยิ่งกว่า ถ้าเราป่วยแล้วปล่อยให้จิตใจเศร้าหมอง วิตกกังวล อกุศลก็เกิดขึ้นได้ทันที แต่โชคดีที่ในชีวิตดิฉันแวดล้อมด้วยคนดีๆ ที่เป็นกัลยาณมิตรรวมทั้งได้รู้จักธรรมะก่อนที่จะป่วย จึงทำให้พอจะมีที่ยึดเหนี่ยวทางใจได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วดิฉันก็พบว่า ไม่มีที่พึ่งใดดีเท่าตัวเราเอง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ เราคือคนที่ลิขิตชีวิตตัวเอง



สามี…เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก

ดิฉันกับสามีแต่งงานกันมาหลายปี แต่ไม่มีลูก ช่วงหนึ่งเราพยายามพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นผลจึงเลิกล้มความตั้งใจ ยิ่งเมื่อได้มาปฏิบัติธรรมจึงคิดได้ว่า คนที่จะเกิดมาเป็นพ่อ – แม่ – ลูกใช้ชีวิตด้วยกันนั้นต้องทำกรรมร่วมกันมาทำให้ดิฉันคิดได้ว่า “เขาคงไม่มีกรรมร่วมกับเรา”

ยิ่งดิฉันคิดในแง่ดีว่า เราไม่ต้องมี “ห่วง” เหมือนเพื่อนคนอื่นที่เขามีลูกก็ยิ่งสบายใจ เพราะเราเหมือนคนที่มีแต่ห่วงชั้นบน คือพ่อ -แม่ แต่ไม่มีห่วงชั้นล่าง คือลูก การใช้ชีวิตก็ดีไปอีกแบบ มีโอกาสได้ทำบุญทำกุศลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ

สามีของดิฉัน (วิทยา ทรัพย์ธนะอุดม) เป็นเพื่อนชีวิตและคู่ชีวิตที่ใครเห็นก็ว่าประเสริฐ ทั้งก่อนป่วยและหลังป่วยเขาดูแลดิฉันเป็นอย่างดีมาตลอด เราเป็นเพื่อนร่วมงานที่ต่อสู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันและมีความคิดความอ่านคล้ายกัน ช่วงที่ป่วยคนอื่นอาจมองว่าดิฉันน่าจะทุกข์มากที่สุด แต่ดิฉันกลับพบว่าคนที่ทุกข์มากกว่าน่าจะเป็นสามี เพราะเขาไม่รู้ว่าคนที่เขารักจะจากเขาไปวันไหนอย่างไรหรือเปล่าส่วนตัวเราเองยังพอทำใจได้

ดิฉันคิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดที่เลือกเขาเป็นคู่ชีวิต เขาเป็นคนที่รักพ่อแม่ รักครอบครัวมาก มีความเป็นแฟมิลี่แมนสูง บางเรื่องที่ดิฉันต้องอยู่ด่านหน้า เขาจะคอยเป็นฝ่ายสนับสนุนอยู่ด่านหลัง ไปไหนก็ไปด้วยกัน ทุกวันนี้เขาทำอาหารมังสวิรัติให้ดิฉันทาน ซื้อข้าวซื้อน้ำให้กิน เวลาข้ามถนนก็ยังเดินจูงมือ เขาทำเรื่องเหล่านี้เป็นปรกติทุกวันจนทำให้ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีจริงๆ

ทำไมต้องปฏิบัติธรรม

เมื่อราวเจ็ดปีก่อน ดิฉันกับสามีมีความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด สงสัยว่าเราเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน เมื่อมีคำถาม เราจึงพยายามหาคำตอบ เริ่มแรกด้วยการอ่านและฟังเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะ หลังจากนั้นก็มีกัลยาณมิตรชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรมที่ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดผาณิตาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา

เมื่อย้อนคิดถึงเรื่องนี้ ดิฉันคิดว่าตอนนั้นเป็นการเริ่มต้นที่“ธรรมะจัดสรร” ไว้แล้ว คือคงถึงเวลาของเราแล้ว ครั้งแรกไปเข้าคอร์ส7 คืน 8 วันคนเดียว ช่วงแรกคิดถึงบ้านมาก เพราะเป็นคนติดบ้านไม่เคยไปไหนคนเดียว เหงาอย่างรุนแรง อยากกลับบ้านให้ได้ แต่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าอยากไปปฏิบัติคนเดียว จึงไม่ชวนใครไปด้วย จนกระทั่งผ่านไปวันที่ 5 ดิฉันจึงรู้สึกดีขึ้น รับรู้ว่าสิ่งที่พระอาจารย์สอนเป็นสิ่งที่ดีและสามารถนำกลับมาใช้ในชีวิตประจำวันได้

ปรกติดิฉันเป็นคนชอบคิดนั่นคิดนี่ มีความสุขที่ได้คิด จนตอนหลังเมื่อได้ปฏิบัติธรรมถึงได้รู้ว่าอาการแบบนี้เขาเรียกว่า “หลง” ไม่มีสติ นอกจากนั้นก่อนหน้านี้ก็เป็นพวกติดดี ชอบให้ทุกอย่างที่ตัวเองทำสมบูรณ์แบบ อยากทำอะไรให้เต็มร้อย ทำให้วิตกกังวลไปสารพัด แต่พอแก่ตัวอาการเหล่านี้ก็ลดน้อยลง ไม่ตึงเท่าเดิม บวกกับเมื่อได้ปฏิบัติธรรมก็ทำให้เป็นคนใจเย็นขึ้น ความจริงแล้วดิฉันก็ไม่ใช่คนใจร้อน แต่เป็นคนขี้โมโห อะไรไม่พอใจก็จะ“อีกแล้วหรือนี่” จนเมื่อได้ปฏิบัติธรรม พอเริ่มรู้ตัว ตามดูใจได้ทันสติก็เริ่มดีขึ้น ผลดีที่เห็นชัดเจนคือลูกน้องมีความสุขในการทำงานมากขึ้น อยู่กันได้ยาวกว่าเมื่อก่อน

นอกจากนั้นดิฉันเชื่อว่าด้วยนิสัยของตัวเองที่เป็นคนสบายๆ มองโลกในแง่ดี ทำให้สามารถผ่านหลายสิ่งหลายอย่างมาได้ ตอนที่ป่วยก็คิดว่า “เมื่อเป็นได้ก็หายได้” และเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไม่ว่าร้ายหรือดี มันจะผลักเราไปในทางที่ดีขึ้นเสมอ อย่างความเจ็บป่วย ดิฉันก็เชื่อว่าช่วยผลักดันให้ดิฉันหันกลับมาเอาใจใส่กับสุขภาพของตัวเองมากขึ้น

จากที่แต่ก่อนไม่ได้ดูแลตัวเอง นอนดึก ตื่นสาย ก็หันมาพักผ่อนเป็นเวลามากขึ้น ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ส่วนเหล้าไม่ได้ดื่มมาพักหนึ่งแล้ว เพราะปรกติไม่ใช่คนชอบดื่ม อาจมีบ้างที่ดื่มไวน์เก๋ๆ เวลาเข้าสังคม แต่หลังจากปฏิบัติธรรมแล้วก็หยุดดื่มรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น แข็งแรงกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ

ส่วนเรื่องใจ ดิฉันนำเรื่องการปฏิบัติธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะในช่วงที่ป่วย การตามดูให้รู้ว่าใจเป็นอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญเป็นการบ้านที่ดีมาก ช่วงที่รับคีโมนี่ดูจิตกันไปเลยบางวันจิตใจเราอาจป้อแป้ เพราะสภาพร่างกายไม่ปรกติ เราก็พยายามตามดูจิตไป รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ทำเท่าที่ทำได้

นอกจากนั้นดิฉันมองเล่นๆ ในอีกมุมหนึ่งว่า ความเจ็บป่วยก็ทำให้เราได้เห็นอะไรดีๆ โดยเฉพาะได้เห็นว่าคนรอบข้างที่รักและห่วงใยเราดูแลและปฏิบัติกับเราอย่างไร เหมือนกับว่า“ไม่ต้องตายก็ได้เห็น” เพราะปรกติเราไม่รู้หรอกว่าเขารักเราแค่ไหน แต่วันนี้ดิฉันได้เห็นแล้วว่าชีวิตของตัวเองแวดล้อมด้วยกัลยาณมิตรที่น่ารักมากมาย สิ่งนี้ถือเป็นบุญก็ว่าได้

ทุกวันนี้ดิฉันกับสามีวางแผนว่าจะรีไทร์ตัวเองให้เร็วขึ้น เพราะอยากทำงานที่เกี่ยวกับสาธารณกุศลอย่างเต็มที่ ตอนนี้แม้ว่าจะหายจากอาการเจ็บป่วยแล้ว แต่ดิฉันรู้ว่าเราไม่ควรประมาทในการใช้ชีวิตอีกต่อไปเวลาที่เหลืออยู่เราต้องเร่งสะสมทำกรรมดี อะไรที่เราทำได้ก็ควรจะทำ ที่ผ่านมาดิฉันช่วยทำรายการ “ทีวีธรรมดา” ทางช่องThai PBS ของศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดผาณิตาราม โดยนำเสนอแง่มุมธรรมะในประเด็นต่างๆ ที่เป็นที่สนใจของคนรุ่นใหม่รวมทั้งช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสร้างหอธรรมพระบารมีซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ณ ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดผาณิตาราม นอกจากนั้นก็ช่วยเหลืองานของมูลนิธิศุภนิมิตและช่วยเหลืองานการกุศลอื่นๆ เท่าที่กำลังความสามารถของตัวเองจะทำได้

ดิฉันเชื่อว่าคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อแสวงหาความสุขให้ตัวเองเวลาทุกนาทีที่เราได้หายใจ ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นเวลาที่มีค่ามาก
ถ้าวันนี้เรายังหายใจ ก็ลองหายใจเพื่อคนอื่นดูบ้าง ทำประโยชน์ในจุดที่คุณยืนอยู่เท่าที่คุณจะทำได้

แล้ววันหนึ่งคุณจะรู้ว่าคุณมีค่ากับโลกนี้แค่ไหน…

Secret box

คนที่ใช้ชีวิตได้ยาวนานที่สุด ไม่ใช่คนที่อายุยืนที่สุดแต่คือคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีจิตสำนึกที่ดีที่สุดต่างหาก

รุสโซ

จาก http://www.secret-thai.com/article/3355/waraparn2/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...