ผู้เขียน หัวข้อ: ร่วมไขปริศนา "หลวงปู่อิเกสาโร" คือ"หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับที่มีอายุยืนยาว  (อ่าน 2100 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


ร่วมไขปริศนา.."หลวงปู่อิเกสาโร" คือ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับที่มีอายุยืนยาว หรือไม่? หรือเป็น "พระอริยะจากแดนมังกร"

หลวงปู่อิเกสาโร พระอภิญญาผู้ทรงฤทธิ์



    ในบรรดาผู้นับถือหลวงปู่โลกอุดรนั้นคงมีจำนวนไม่น้อยที่เคยเห็นภาพพระอริยเจ้านั่งเข้าฌานสมาบัติจนเหลือแต่โครงกระดูก ภาพปริศนานี้เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เพราะต่างเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านหนึ่ง ซึ่งแต่งคนต่างเชื่อถือต่างๆ กันไป บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “หลวงปู่โลกอุดร” บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “ศิษย์เอกของหลวงปู่เทพโลกอุดร” บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “พระมหากัสสปะ” ผู้เลิศทางด้านธุดงควัตร เป็นพระภิกษุสมัยพุทธกาล บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “พระอริยะเจ้าท่านหนึ่งมาจากแดนจีน” ทั้งหมดนี้จะได้นำมาเล่าให้สู่ท่านฟังในครั้งนี้ว่าท่านคือใครมีข้อมูล เกี่ยวกับท่านอย่างไรบ้าง

                จากกระแสแรก เชื่อว่าท่านคือ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นั้น กระแสความเชื่อนี้มาจากกลุ่มความเชื่อที่ว่านี่คือร่างหนึ่งของหลวงปู่โลกอุดร  โดยเชื่อหลวงปู่โลกอุดรมีด้วยกันสามร่าง ร่างแรกเรียกว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร ร่างที่สองคือหลวงปู่อิเกสาโร ซึ่งมีสภาพเป็นโครงกระดูกนี่แหละ ร่างที่สามคือหลวงปู่ธรรมโลกอุดร สามร่างนี้คือบุคคลเดียวกัน แบ่งภาคไปมาได้แสดงร่างได้หลายแบบด้วยอำนาจมโนยิทธิ  ว่ากันว่าร่างของหลวงปู่อิเกสาโรนั้น อยู่ภายในวัดทุ่งสมอ จ.กาญจนบุรี ภายในวัดที่ช่องทางทะลุถึงถ้ำ อดีตเจ้าอาวาสองค์ก่อนชื่อ “หลวงปู่เบี่ยง” รู้เรื่องราวต่างๆ ดีน่าเสียดายว่าปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้ว

                เรื่องที่สองนั้น กล่าวกันดังนี้ว่าท่านคือ “ศิษย์เอกท่านหนึ่งของหลวงปู่โลกอุดร” ชื่อ “อิเกสาโร” เดิมเป็นชาวสุพรรณบุรี บ้านอยู่อำเภอเดิมบางนางบวช บวชในพระพุทธศาสนาและได้เป็นศิษย์ในดงของหลวงปู่โลกอุดร ท่านมีจริตชอบนั่งสมาธิในโพรงต้นโพธิ์ ชาวบ้านหาว่าท่านบ้า บางคนว่าท่านบรรลุแล้ว เรียกท่านตามที่เห็นว่า “หลวงพ่อโพรงโพธิ์”ที่สุดท่านไปนั่งสมาธิมรณภาพในถ้ำลึกลับแห่งหนึ่งที่เมืองกาญจนบุรี เชื่อกันว่าถ้ำที่ท่านไปนั่งเข้านิพพานนั้นชื่อว่า “ถ้ำละโว้” อยู่ในเขตท่าม่วง จ.กาญจนบุรี การเข้าถึงถ้ำแห่งนี้ท่านว่ายากมาก เพราะอยู่ในแดนกระเหรี่ยง ทางไปนั้นไม่มีทางเดินคนต้องนั่งช้างเข้าไป เมื่อถึงปากถ้ำจะมีพวกกระเหรี่ยงเฝ้าอยู่ ถ้าเขารู้ว่าเราจะเข้าไปสักการะเขาจะนอนให้เราเดินเหยียบหลังเข้าไปเพราะเขา ศรัทธาหลวงปู่อิเกสาโรมาก จะไม่ให้เท้าคนสัมผัสพื้นถ้ำเลย เพราะถือว่าเป็นการไม่สมควร

                เรื่องที่สาม สืบเนื่องมาจากเรื่องหลวงปู่อิเกสาโรเช่นกัน เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงพ.ศ. ๒๕๐๐ มี “ร่างทรง” หลวงปู่อิเกสาโรเกิดขึ้น เดิมร่างทรงผู้นี้เป็นคนยากจนต่ำต้อยไม่มีฐานะ ต่อมาหลวงปู่อิเกสาโรมาประทับร่าง ชี้แนะการทำมาหากินจนเกิดความเจริญรุ่งเรือง ผู้อยู่ในเหตุการณ์สมัยนั้นเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อหลวงปู่อิเกสาโรลงประทับทรงแล้วร่างทรงจะนั่งนิ่งตัวตรง พูดค่อยมากๆ ท่านแสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย เช่นสามารถคว้าสิ่งของจากกลางอากาศได้อย่างน่าอัศจรรย์ มีบางท่านเดือดร้อนเงินทอง ต้องการเงินไปทำทุน ๕ แสนบาทท่านก็บอกให้เอากะละมังซักผ้ามาใบหนึ่งเอาผ้าขาวคลุมเข้าไป ท่านนั่งประเดี๋ยวก็บอกเอาผ้าขาวเปิดออกได้ พอเปิดออกเท่านั้นก็พบแบ๊งค์ร้อยเป็นฟ่อนๆ นับดูแล้วได้ ๕ แสนพอดีเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์

              สมัยนั้นท่านบอกว่าเวลาท่านช่วยเหลือใครท่านจะพิจารณาดูว่าแต่ละคนมีเทพ เทวดาท่านใด ที่มีกรรมเกี่ยวเนื่องกัน ท่านก็สื่อให้มาช่วย โดยกำหนดจิตถามไปว่าต้องการให้ข้าวของทำบุญอะไรไปให้เทพเทวดา เจ้ากรรมนายเวรนั้นๆ ก็บอกไปตามความประสงค์ ก็ปรากฏว่าผู้ที่มาขอความช่วยเหลือก็สำเร็จไปทุกราย แต่หลังๆ มานั้นปรากฏว่าคนที่สำเร็จไปแล้วกลับไม่ค่อยไปทำบุญทำทานตามที่สัญญากับเทวดาหรือเจ้ากรรมนายเวร ท่านจึงหยุดช่วยเหลือ เพราะคนไม่มีสัจจะ ต่อมาร่างทรงก็ถึงแก่กาลหมดอายุขัย การทรงการติดต่อจากหลวงปู่อิเกสาโรจึงต้องหยุดไปโดยปริยาย


           ก่อนที่ร่างทรงผู้นี้จะสิ้นชีวิตเคยไปบวชที่วัดตาเจี๋ย จ.สมุทรปราการ ในวาระนั้นได้มีการสร้างรูปหล่อหลวงปู่อิเกสาโรขึ้นที่วัดตาเจี๋ยด้วย เป็นที่กราบไหว้เคารพนับถือของญาติโยมทั้งหลายจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้ทางเจ้าอาวาสคือ “หลวงปู่โม” ได้จัดสร้างวัตถุมงคลของหลวงปู่อิเกสาโรเป็นเหรียญทองแดงและทองเหลืองขึ้น ผู้สนใจบูชาเชิญได้ที่วัดโดยตรง

                นอกจากนี้ตามคำบอกเล่าของคนพื้นที่ที่ได้รับรู้เรื่องนี้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ร่างของหลวงปู่อิเกสาโรนั้นท่านอยู่ที่ถ้ำเขาควายคลอน ลักษณะถ้ำนี้อัศจรรย์มาก เพราะปกถ้ำมีหินก้อนหนึ่งมีลักษณะเหมือนเขาควายเปิดปิดไปมาเองได้ ถึงเวลาก็เปิดเองถึงเวลาก็ปิดเอง ลักษณะนี้เหมือนกับการเปิดมิติอย่างนึ่งคนที่มีวาสนาจึงได้เห็นถ้ำ จึงได้เข้าถ้ำ ดินแดนนี้เข้าใจว่าเป็นดินแดนมิติลับแลเมืองสัจจังบังบด เที่ยวค้นหาอย่างไรก็ไม่เจอ ครั้งหนึ่งมิติเคยเปิดคนเห็นถ้ำและเข้าไปได้ จึงได้อัญเชิญร่างของหลวงปู่อิ เกสาโร ออกมาถ่ายภาพเก็บเป็นหลักฐานเอาไว้

                จากเรื่องเล่าทั้งหมดนี้ยังมีอีกหนึ่งคำอธิบาย “สังขารอมตะ” ซึ่งเป็นเรื่องที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านเมตตาเล่าไว้ว่า ร่างที่เห็นนี้คือร่างของ “พระมหากัสสปะ” ท่านไปนั่งนิพพานในถ้ำลึกลับแห่งหนึ่งเขตจังหวัดกาญจนบุรี ตอนกึ่งพุทธกาลมิติเปิดมีนักท่องเที่ยวชาวยุโรปหลงเข้าไป ถ่ายภาพเก็บมาเป็นหลักฐานได้ทุกวันนี้



                แต่นอกจากข้อมูลทั้งหมดยังมีอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจ โดยข้อมูลนี้เล่าไว้โดยท่าน ธ . ธีรทาสพาณิช ท่าน เล่าว่าร่างอันอมตะที่เห็นกันอยู่นี้สัณนิฐานว่าเป็นร่างของพระอริยเจ้าชาวจีนนิกายเซน เพราะจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นพบว่าพระนิกายเซนที่บรรลุอรหันต์แล้ว มักจะเดินทางมานิพพานในเถื่อนถ้ำลี้ลับและถ้ำหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก ว่าพระนิกายเซนนิยมมานั่งนิพพาน เรียกว่าเข้าไปไม่ออก คือถ้ำแห่งหนึ่งเขตท่าบ๊วย น่าจะตรงกับท่าม่วง และประเพณีสำคัญของพระอริยเจ้านิกายเซนคือการนั่งนิพพาน ซึ่งทำตามกันมานานับพันปีแล้ว ท่านสัณนิฐานไว้เช่นนั้น ผู้อ่านแล้วพึงพิจารณาตามความเชื่อของตน

                อีกเรื่องหนึ่งซึ่งหากไม่กล่าวไว้แล้วก็ย่อมถือว่าไม่สมบูรณ์คือเรื่องราวของ “พระอาจารย์สอน” ท่าน เป็นพระฝั่งลาวท่องธุดงค์ในเขตลาว ภูเขาควาย ปากเซ จำปาศักดิ์ แก่งลี่ผี การเดินธุดงค์ของท่านนั้นพบเจอเรื่องแปลกประหลาดมากมาย หนึ่งในนั้นคือการได้เจอร่างปาฏิหาริย์ของพระอภิญญาลึกลับที่นั่งขัดสมาธิ เหลือแต่โครงกระดูก ท่านเรียกของท่านว่า “หลวงปู่โพธิสัตว์”

                เรื่องราวของพระอาจารย์สอนนี้ได้ถ่ายทอดไว้เมื่อคราวที่ “ท่านอาจารย์สิทธา เชตวัน” ได้ ไปกราบพระธาตุพนม คราวนั้นท่านเจ้าคุณพระเทพโมลี (แก้ว อุทุมมาลา) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมขณะนั้น ได้แนะนำให้ทั้งสองท่านรู้จักกัน จึงเป็นโอกาสอันดีที่ท่านอาจารย์สิทธิเชตวันได้บันทึกและรวบรวมเอาไว้ ผู้ เขียนได้อ่านเรื่องนี้เมื่อยังเล็กตอนนี้ก็ยังจำได้

             สมัยก่อนได้เคยพิมพ์เผยแพร่ในเรื่องพระอาจารย์สอน ท่องมิติเร้นลับ โดย ท่านอาจารย์สิทธา เชตะวัน เผยแพร่ใน “นิตยสารโลกลี้ลับ” ในเนื่อเรื่องนั้นมีอยู่ว่าพระอาจารย์สอนธุดงค์ไปจนถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ทันที่ที่เข้าสำรวจในถ้ำก็ตกใจเพราะเจอร่างพระธุดงค์รูปนึ่งนั่งขัดสมาธิ เหลือแต่โครงกระดูกเข้าใจว่าสิ้นใจมานานแล้ว ตั้งใจว่าเมื่อเช้ารุ่งขึ้นจะฌาปนกิจศพท่านให้ คืนนั้นท่านนั่งภาวนาแต่จิตไม่รวม เพราะมีเสียงเสือหน้าถ้ำมารบกวนตลอดเวลา จิตประหวัดกลัวเสือขึ้นจับใจ มองไปหน้าถ้ำเห็นเสือถึงสามสี่ตัว ขณะนั้นเองท่านเห็นพระรูปหนึ่งเดินมายังหน้าถ้ำ ไล่เสือทั้งสามสี่ตัว ท่านไล่ว่าไปๆ ไอ้พวกนี้พระท่านจะนั่งภาวนามารบกวนท่าน ท่านไล่เพียงเท่านี้เสือทั้งหมดก็กระโจนไปคนละทิศคนละทาง เป็นที่น่าอัศจรรย์ พระอาจารย์สอนเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไป พบว่าร่างพระที่เหลือแต่โครงกระดูกหายไปแล้ว แต่แล้วก็พบว่าพระที่ออกมาไล่พวกเสือที่แท้ก็เป็นพระที่เหลือแต่โครงกระดูกนั่นเองเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมาก


           แต่แรกเข้าใจว่าตนเจอผีหลอก แต่พระอภิญญาท่านรู้วาระจิตจึงบอกว่า “อาตมาเป็นพระหาใช่ผีไม่” พระอาจารย์สอนคิดในใจ “เรื่องใดท่านก็ล่วงรู้หมด” เช่นนี้พระอาจารย์สอนก้มลงกราบ พร้อมทั้งนึกในใจว่าเป็นวาสนาที่เราได้กราบพระอริยเจ้า ท่านก็ยกมือปรามว่า ท่านไม่ใช่พระอริยเจ้าแต่บำเพ็ญเป็น “พระโพธิสัตว์” ปรารถนาพุทธภูมิ พระอาจารย์สอนปลาบปลื้มมาก เพราะท่านรู้วาระจิตทุกประการ พระอาจารย์สอนถามว่าท่านมีอายุเท่าใด ท่านตอบว่าจำไม่ได้ จำได้แต่ว่าตอนที่ท่านบวชนั้นพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเพิ่งขึ้นครองราชย์ ถ้าคิดคำนวณก็หลายร้อยปีอยู่ไม่ต่ำกว่า ๔ ร้อยปีมาแล้ว

         ตลอดเวลาที่พระอาจารย์สอนอยู่กับหลวงปู่โพธิสัตว์นั้น ท่านภาวนาดีมาก แต่ที่สุดหลวงปู่โพธิสัตว์ให้ท่านธุดงค์ต่อไปอย่าได้ติดถิ่นที่ภาวนา ท่านจึงตัดสินใจไปแก่งหลี่ผีหมายจะไปเห็น “ต้นไทรมณีโครธ” ระหว่างทางพบผีเปรตเดชห่าจะหลอกลวงท่านให้เสียพรหมจรรย์ แปลงร่างเป็นหญิงสาว มายั่วยวนท่านเกือบเสียทีแล้ว หลวงปู่โพธิสัตว์มาทางจิตกระซิบในใจว่า “ให้เพ่งเทียนสู้” ท่านได้สติรีบเพ่งเทียน กำหนดภาวนาเป็นดวงไฟไปยังร่างของหญิงสาวนั้นปรากฏว่ามันแสดงร่างจริง เป็นผีเปรตรูปร่างน่าเกลียด พร้อมทั้งส่งกลิ่นเหม็นเน่าอย่างน่าสะอิดสะเอียน เพราะหลวงปู่มาโปรดแท้ ๆ ท่านจึงรอดมาจากปีศาจมาได้

 
          พอท่านเดินทางออกมาจากดงภูตผีมาได้ก็ป่วยเป็นไข้ป่า หลวงปู่ก็กระซิบทางใจ “ให้อดทนอีกหน่อยข้างหน้ามีไม้พุ่มขึ้นอยู่เด็ดใบกินเสียก็จะหายดี” ปรากฏก็จริงตามที่ท่านกระซิบบอก เดินทางต่อไปจวนจะถึงแก่งหลี่ผีพบพวกคนป่าข่าระแด สมัยนั้นมันยังกินคนอยู่ พบว่ามันจับพระรูปหนึ่งมัดเอาไว้เป็นพระชรา พิจารณาดูแล้วหาใช่พระธรรมดาไม่ เพราะรูปร่างสูงอย่างกับยักษ์ พิจารณาแน่ชัดจึงรู้ว่านี่คือ “หลวงปู่โพธิสัตว์” แปลงร่างมาเพื่อสั่งสอนคนป่าไร้วัฒนธรรมเป็นแน่ และก็จริงดังนั้นท่านทำฟ้าฝน ทำฟ้าผ่าใส่พวกคนป่าเหล่านั้น จนกลัวอย่างลนลาน จากนั้นหายตัวมาปรากฏต่อหน้าพระอาจารย์สอน พร้อมทั้งบอกกล่าวว่าท่านมาดักพระอาจารย์สอนไว้ เพราะจะเกิดเหตุอันตรายแก่ท่านได้

            จากนั้นท่านให้พระอาจารย์สอนจับจีวรท่านให้มั่นคงห้ามลืมตาจนกว่าจะบอก พระอาจารย์สอนทำตามทุกประการ เมื่อหลวงปู่โพธิสัตว์อนุญาตให้ลืมตาท่านจึงเปิดตาขึ้นดู พบว่าบัดนี้ตนเองมาอยู่กลางลำน้ำแก่งหลี่ผี เบื้องหน้าเป็น “ต้นไทรมณีโครธ” หลวงปู่ให้โอวาทว่าแท้จริงมันก็ไม่ธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับมรรคนิพพานแต่อย่างใด จึงไม่ควรเข้าหลงยึด จากนั้นท่านบัญชาให้กลับและท่านพระอาจารย์สอนธุดงค์แสวงหาโมขธรรมต่อไป

          เรื่องนี้อยู่ในใจพระอาจารย์สอนตลอดมา ถือว่าเป็นวาสนาในชีวิตที่พบกับพระโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงอภิญญาเช่นท่าน นำมาลงไว้ ณ ที่นี้เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เกิดศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาสืบไป เรื่องของ “หลวงปู่ใหญ่โลกอุดร” เป็นอจินไตยผู้ใดพบธรรมโลกอุดรในใจผู้นั้นแลได้พบหลวงปู่โลกอุดร

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ บารมีเหนือโลก หลวงปู่เทพโลกอุดร,ทิพยจักร


จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/199541/

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...