ผู้เขียน หัวข้อ: ฉันดี ฉันเก่ง ฉันดัง ฉันรวย แต่ทำไม ไม่มีความสุข น้ำผึ้ง ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์  (อ่าน 1908 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


“ฉันดี ฉันเก่ง ฉันดัง ฉันรวย” แต่ทำไมฉันไม่มีความสุข น้ำผึ้ง - ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์

น้ำผึ้ง (ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์) เริ่มทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 14 - 15 พออายุ 17 ก็ได้เป็นนางเอกละคร และเพียงแค่เรื่องแรกเท่านั้น ชื่อของน้ำผึ้งก็ขึ้นแท่นนางเอกเบอร์ต้นๆ ของวงการ…ชีวิตเปลี่ยนทันที!

น้ำผึ้งกลายเป็นนางเอกคิวทอง มีงานเข้ามาไม่ขาดสาย มีรายได้เข้ามาเป็นกอบเป็นกำ มีรถแพง ๆ ขับ มีของแบรนด์เนมใช้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เรียกว่า “ดังจนหายอยากเลยค่ะ” ที่เล่ามานี้ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงชีวิตที่ยอดเยี่ยมและเพียบพร้อมสุด ๆ แล้วสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่สำหรับน้ำผึ้งแล้ว…มันยังไม่ใช่ค่ะ

ในทรรศนะของน้ำผึ้งแล้ว หากคิดจะ“ยกย่อง” หรือ “ชื่นชม” คนสักคนหนึ่ง คนคนนั้นจะต้องมี “คุณค่าต่อสังคม” คิดประดิษฐ์นวัตกรรมให้แก่โลก ฯลฯ แต่น้ำผึ้งเองเป็นแค่คนธรรมดา ๆ ที่ทำงานเพื่อตัวเอง ยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นเลย แต่กลับได้รับการชื่นชมถึงระดับประเทศ  น้ำผึ้งจึงเริ่มตั้งคำถามว่า “คุณค่าของชีวิตน้ำผึ้งคืออะไรกันแน่” และ “อะไรคือความสุขที่แท้จริง” เพราะที่ผ่านมาถึงน้ำผึ้งจะมีกระเป๋ารุ่นใหม่ แต่พอเห็นรุ่นที่ใหม่กว่า แพงกว่า ก็อยากได้อีก อยากได้ไม่จบสิ้นจนกลายเป็นทุกข์ คราวนี้จะทำอย่างไรถึงจะมีความสุข น้ำผึ้งก็เริ่มคิดหนัก คิดไปคิดมา ถ้าจะหาคำตอบเหล่านั้นให้เจอ น้ำผึ้งต้องเริ่ม “เดินทาง” ด้วยนิสัยที่จะทำอะไรต้องสุด ๆ (ออกจะสุดโต่งด้วยซ้ำ) น้ำผึ้งจึงต้องตัดสินใจเลือกสักอย่างว่าจะทำงานหรือเดินทาง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากมาก-ก-ก…เพราะงานก็คือ เงินและโอกาส แต่การเดินทางก็คือวิธีเปิดโลกการเรียนรู้ที่สุดยอด หลังคิดอยู่นานเป็นเดือน น้ำผึ้งก็ตัดสินใจเลือกที่จะเดินทางค่ะ ทิ้งชื่อเสียงและรายได้มหาศาลไว้ที่เมืองไทย

แม้คนจะมองว่า น้ำผึ้งเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ ที่ตัดสินใจแบบนี้! แต่การเดินทางไปอเมริกาก็ไม่ทำให้น้ำผึ้งผิดหวังจริง ๆ เพราะอเมริกาสามารถทำให้น้ำผึ้งเปลี่ยนความคิดว่า “ตัวเองดีที่สุด” ลงได้อย่างสิ้นเชิง ในเมืองไทย น้ำผึ้งอาจจะเป็นคนดัง ไปที่ไหนก็มีแต่คนยิ้มแย้มต้อนรับ ได้รับสิทธิพิเศษมากมาย แต่สำหรับที่อเมริกา

อกจากจะไม่มีใครรู้ว่าน้ำผึ้งเป็นใครแล้ว ต่อให้ใช้ของแบรนด์เนมแพงแค่ไหน ผู้คนที่นั่นก็มักจะมองน้ำผึ้งด้วยสายตาเหยียด ๆอยู่ดี จึงเปล่าประโยชน์ที่น้ำผึ้งจะ “ถือตัวเอง” ว่าเป็นศูนย์กลางจักรวาล และตัดสินคนอื่นด้วยบรรทัดฐานของตัวเองอย่างเคย น้ำผึ้งได้เรียนรู้ว่า เราทุกคนมีความเป็นคนเท่ากัน เราต้องมองคนที่ข้างในเปิดใจยอมรับความแตกต่างว่า โลกนี้ไม่มีใครเพอร์เฟ็กต์ และไม่มีใครแย่ไปเสียทุกอย่าง ในที่สุดเมื่อน้ำผึ้งค่อย ๆ ก้าวผ่าน“กรอบความคิดโง่ ๆ” ของตัวเองออกมาได้ สิ่งที่ตามมาคือ น้ำผึ้งมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น มีเพื่อนใหม่มากมาย และได้รับมิตรภาพเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ



พอกลับมาเมืองไทย น้ำผึ้งก็เริ่มศึกษาธรรมะ ศึกษาได้สักพักก็เริ่มอินกับคำของท่านพุทธทาส “เป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง” แค่นั้นแหละ น้ำผึ้งก็คิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราต้องทำตัวติดดิน ใช้ชีวิตให้เรียบง่ายจึงจะถูกต้อง ประกอบกับที่พี่สาวเคยสอนมาเสมอว่า “การให้เป็นสิ่งที่ดี”น้ำผึ้งไม่รอช้า จัดแจงขนข้าวของที่ตัวเองเคย “บ้าซื้อ” สมัยวัตถุนิยมจัด ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าสารพัดแบรนด์เนม ฯลฯ เอาไปแจกจ่ายให้คนในซอยและพี่ ๆ ช่างหน้าช่างผมในกองถ่ายจนหมด เรียกว่าตอนนั้นทุกคนในซอยรักน้ำผึ้งมาก

ช่วงนั้นน้ำผึ้งทำแบบสุดโต่งจริง ๆ เพราะแม้แต่โซฟาในบ้าน น้ำผึ้งยังขนออกมาแจกเลย ขนออกไปทีละชิ้นสองชิ้น ในที่สุดก็เหลือแต่บ้านโล่ง ๆ เท่านั้น ไม่ใช่แค่จัดการกับข้าวของเท่านั้น เพราะแม้แต่การแต่งตัว น้ำผึ้งก็ “ยกเครื่องใหม่” หมดตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นกัน ไม่เอาแบรนด์เนมอีกแล้ว หันมาใส่เสื้อผ้าฝ้าย กางเกงเล รองเท้าแตะ นั่งรถเมล์ แต่ทำอยู่ได้ไม่นานก็เลิกค่ะ เพราะรู้ดีว่า เมื่อกลับมาทำงานในวงการบันเทิงแล้ว การแต่งตัวก็ยังเป็นเรื่องที่จำเป็นอยู่ เพียงแต่ขออยู่ในจุดที่ “พอดี” ถูกกาลเทศะ ไม่ต้องมากเหมือนเดิมก็พอ

หลังจากนั้นก็ตามหา “คุณค่าของชีวิต” กันต่อ การทำงานพิธีกรทำให้น้ำผึ้งมีโอกาสได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา แต่ที่จุดประกายมากที่สุดก็ต้อง “พี่ฟ้า” ผู้หญิงที่อุทิศตัวเองเพื่อช่วยเหลือน้องหมาและน้องแมวจรจัด ทีแรกน้ำผึ้งก็ไม่แน่ใจว่าเขาทำจริงหรือเปล่า กลัวจะเป็นพวกแอบอ้าง ก็เลยแอบไปตามติดชีวิตเขาอย่างใกล้ชิด ถึงได้รู้ว่า “พี่ฟ้าคนนี้คือนางฟ้าของน้องหมาน้องแมวตัวจริง” และที่น่ายกย่องไปกว่านั้นคือ เงินที่พี่ฟ้าเอามาดูแลสัตว์ทั้งหมดนั้นได้มาจากการทำงานในบาร์…อาชีพที่คนในสังคมมักดูถูกเหยียดหยาม!

สิ่งที่พี่ฟ้าทำทั้งหมดทำให้น้ำผึ้งรู้ว่า “การทำความดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบว่ามันต้องดูดี สวยหรู หรือคนทำต้องเป็นใคร มันอยู่ที่ใจของคนทำและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่างหาก คิดดูว่า หนึ่งชีวิตของพี่ฟ้าสามารถช่วยสัตว์ได้เป็นร้อย ๆ ชีวิต มันเจ๋งแค่ไหน”

วันต่อมาน้ำผึ้งไปถ่ายรายการอีกแห่งหนึ่ง ระหว่างที่สัมภาษณ์แขกอยู่ น้องหมาที่วิ่งเล่นละแวกนั้นจู่ ๆ ก็ล้มลงแล้วตายต่อหน้าต่อตาน้ำผึ้ง น้ำผึ้งถึงกับอึ้ง รู้เลยว่า ถ้าเราไม่ช่วยกันก็จะมีน้องหมาน้องแมวตายอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ นั่นทำให้น้ำผึ้งคิดได้ว่า “เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว”

จากนั้นน้ำผึ้งก็เริ่มปฏิบัติการช่วยเหลือสัตว์ไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่สัตว์บ้านที่ถูกทอดทิ้งสัตว์ป่าที่ถูกเอาไปเลี้ยงแบบทารุณกรรม เรียกว่า ว่างเป็นต้องไปช่วย บางทีถ้าถูกชะตากันมาก ๆ น้ำผึ้งก็จะหนีบเอากลับมาเลี้ยงที่บ้านเองบ้าง ยิ่งทำก็ยิ่งสนุก เพราะรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็น “ซูเปอร์แมน” ของสัตว์ไปแล้ว“นี่แหละคือคุณค่าของชีวิตที่น้ำผึ้งตามหา การมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นสิ่งอื่น ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง”

Secret BOx

ถ้ายังทำตัวเป็น “ดวงอาทิตย์”
ชีวิตก็จะถูกความร้อนแผดเผาไปเรื่อย ๆ

น้ำผึ้ง - ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์

 

เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์ ภาพ วรวุฒิ วิชาธร

จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/2365/numpuengiamgood/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...