ผู้เขียน หัวข้อ: ในหลวงร.9 กับพระอริยสงฆ์ ตอน3 เหนือหัวผู้ค้ำจุนพุทธและเรื่องอัศจรรย์ของหลวงตาบัว  (อ่าน 1034 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

ในหลวงร.9 กับพระอริยสงฆ์ ตอน 3 เหนือหัวผู้ค้ำจุนพุทธและเรื่องอัศจรรย์ของหลวงตาบัว

รายงานพิเศษชิ้นนี้ จะเป็นตอนสุดท้ายของการรวบรวมเรื่องราวระหว่าง “ในหลวง ร.9 กับพระอริยสงฆ์” ซึ่งในตอนนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้นำบทสนทนาธรรม ของสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับพระเกจิ สายวัดป่า 3 องค์ จากหนังสือ “ในหลวง กับพระป่ากรรมฐาน” มาให้ได้อ่าน โดยจะขอเริ่มต้นที่เรื่องอัศจรรย์ของ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

      “หลวงตามหาบัว” รู้ล่วงหน้า ในหลวง ร.9 จะเสด็จพระราชดำเนินส่วนพระองค์มาหาถึงวัด

หากพูดถึงพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เชื่อว่าในประเทศนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก “หลวงตาบัว” หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือในอีกนามว่า พระธรรมวิสุทธิมงคล เพราะท่านได้ทำโครงการรวมเงินและทองเพื่อช่วยชาติ หลังสยามประเทศเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ.2540




แต่ใครจะรู้ว่า หลวงตาบัว นั้น มีความผูกพันกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2522 โดยในช่วงเช้าวันที่ 10 พฤศจิกายนวันนั้น...

“วันนี้จะมีบุคคลสำคัญเข้ามา พวกท่านทั้งหลายจงพากันทำความสะอาดวัดวาอาวาสให้เรียบร้อยอย่าบกพร่อง”หลวงตาบัว ได้กำชับกับพระลูกวัด

เหล่าภิกษุที่ได้ฟังดังนั้น ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่างก็ทำข้อวัตรปฏิบัติไปตามปกติ

พอตกบ่าย...ชาวนาคนหนึ่งเดินสะพายแห เพื่อออกไปหาปลาเป็นอาหาร มีรถยนต์คันงาม วิ่งบึ่งมาจอดเทียบ แล้วเรียกถามด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า

“ลุงๆ ทางที่จะไปวัดหลวงตาบัวไปทางไหน”
“ไปทางนี้เด้อ...”
เขากล่าวห้วนๆ แบบภาษาชาวบ้านพร้อมชี้มือและแหงนหน้าดูคนที่ไถ่ถาม

เมื่อเขามองใบหน้าบุคคลที่ถามทางอย่างเพ่งพินิจพิจารณา ภาพแห่งบุคคลยิ่งใหญ่เทียมฟ้าในสมองก็เริ่มปรากฏในห้วงนึก...เข่าเริ่มอ่อนและนั่งลงกับพื้น พร้อมกับพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้า กล่าวข้อความด้วยความปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้น ล้นเกล้าล้นกระหม่อม ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้สัมผัสสมมติเทพ ด้วยตาเนื้อใกล้ๆ แค่เอื้อมถึง

“โอ ! ในหลวง...สาธุเด้อ ในหลวง...สาธุ...สาธุ” เขาอุทานเสียงดัง น้ำตาคลอเบ้าด้วยความตื้นตันใจ

หลังจากนั้นพระองค์ท่านจึงเสด็จฯ ไปที่วัดป่าบ้านตาดเพื่อกราบนมัสการหลวงตา




การเสด็จฯ ไปวัดป่าบ้านตาดในครานี้ ในหลวง เสด็จฯ พร้อมกับพระบรมวงศานุวงศ์ จากพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์เป็นการส่วนพระองค์ ไม่ได้ทรงบอกแม้กระทั่งทหารใกล้ชิด ทหารต่างสืบข่าวเป็นการโกลาหลว่า เมื่อเวลาบ่ายโมงพระองค์ท่านทรงขับรถออกจากพระตำหนัก ไม่รู้ว่าเสด็จฯ ไป ณ ที่ใด ถ้าบอกข่าวการเสด็จฯ มาล่วงหน้า กลัวเป็นการเอิกเกริกรบกวน ทรงต้องการเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์

หลวงตาจึงให้โอวาทว่า

“มหาบพิตร! พระองค์เป็นถึงพระเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้าชีวิตของชนทั้งชาติ หากพระองค์เสด็จฯ มาโดยลำพัง มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น จะเป็นความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวงถ้าพระองค์ทรงเป็นอะไรขึ้นมา คนทั้งชาติจะไม่เหยียบหลวงตาบัวมิดแผ่นดินหรือ?”
“กลัวจะเป็นการรบกวนองค์หลวงตา”/* พระองค์ตรัสพร้อมพนมพระหัตถ์ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส
“รบกวน ไม่รบกวนจะเป็นอะไร แผ่นดินนี้เป็นของพระองค์ พระองค์พึงมาได้ทุกเมื่อ”


ที่องค์หลวงตาเป็นห่วงมากเช่นนั้น เพราะในสมัยนั้น คอมมิวนิสต์มีอยู่ทั่วไป หลังจากนั้นไม่นาน เสียงรถทหารตำรวจที่สืบทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาวัดป่าบ้านตาด จึงติดตามมาอารักขาเป็นทิวแถว ชาวบ้านบางคนไม่รู้เรื่อง เห็นรถทหารตำรวจบึ่งเป็นทางยาว บางคนวิ่งหนีเข้าบ้านนึกว่าเกิดสงคราม

ทั้งนี้ หลวงตาบัว ญาณสัมปันโน ได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญในครั้งนี้ว่า “วันที่ 10 พ.ย.22 เวลา 16.20 น. พระเจ้าอยู่หัว-พระราชินี พร้อมกับเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์เสด็จฯ มาเยี่ยม ประทับอยู่ 2 ชั่วโมง 20 นาที จึงเสด็จกลับสกลนคร คือ เสด็จฯ มา 16.20 น. กลับ 19.10 น.

ทรงถวายผ้าห่มและไทยทานอื่นๆ มากมาย พร้อมปัจจัย 3 หมื่นบาท (ใบละ 1 ร้อย ล้วนๆ 300ใบ) เราได้ถวายธรรมพอประมาณ เป็นธรรมสำคัญหลายประโยค หลายข้อ” (จากหนังสือหลวงตาบัว มหัศจรรย์มหาบุรุษยิ่งใหญ่, 2546 : 26-27)

นอกจากนี้ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ยังเคยแสดงธรรมเทศนาถึงมหากษัตริย์ไว้ดังนี้

1. พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่พึ่งอันเอกอุ ดังพระธรรมเทศนา (31 ม.ค.44) ตอนหนึ่งที่ว่า...“ประเทศไทยของเรานี่มีทั้งพระพุทธศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์รวมแล้วเป็นศาสนาเอกในโลก เราก็ได้ระลึกเป็นขวัญตาขวัญใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดวงศ์กษัตริย์ทุกๆ พระองค์ ก็เป็นเหมือนมหาพรหม ร่มโพธิ์ร่มไทรอันใหญ่หลวง แห่งประเทศไทยของเรา ซึ่งเป็นของเคียงคู่กันเป็นเวลานาน

มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หนึ่ง มีพระมหากษัตริย์พระราชทานความร่มเย็นให้แก่ไพร่ฟ้าประชาชีทั้งหลายตลอดมา หนึ่ง นี่เรียกว่า พี่น้องชาวไทยเราได้ที่พึ่งอันเอกอุ จึงขอให้ได้มีความเคารพนับถือบูชาทั้งฝ่ายศาสนธรรม ทั้งฝ่ายองค์กษัตริย์ท่าน ให้มีความเคารพคู่เคียงกัน จะเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องชาวไทยตลอดไป..."

2. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นหัวใจของชาติไทยและเป็นพระเจดีย์ใหญ่ ดังพระธรรมเทศนา (27 ส.ค.2543) ที่ว่า...

“…อย่างเมืองไทยเรานี้ก็พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ นี้ หัวใจของชาติโดยตรง ใครไปแตะไม่ได้เลย ชาติไทยนี้จะพลี คอขาดไปตามๆ กันหมดเลย นี่เห็นไหม ร่มเย็นขนาดไหน พระองค์ไม่ต้องเสด็จฯ ไปที่โน่นที่นี่อะไรมากมายเหมือนพวกเราแหละ แต่พระเมตตานี่ครอบเมืองไทยเราอยู่แล้ว ไม่ว่าพระราชอิริยาบถใดของพระองค์ครอบหมดๆ นี่คือหัวใจของชาติไทยเรา

…เจดีย์อันใหญ่หลวงที่สุด หัวใจของชาติไทยเราทั้งประเทศนี้ อยู่ในพระเจดีย์ใหญ่นี้ทั้งนั้น ฉะนั้น ให้พากันพยายามรักษาเจดีย์ใหญ่ให้แน่นหนามั่นคงถาวร ทรงพระสำราญด้วยการประพฤติ ปฏิบัติตัว ด้วยความชอบธรรม อย่าทำความชั่วช้าลามกในบุคคลใดก็ตาม ซึ่งเป็นอวัยวะเกี่ยวโยงกันไปหมด ให้ประพฤติตัวเป็นคนดี มีพุทธศาสนาครอบอีกทีหนึ่ง...”

3. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกราบธรรมตลอดเวลา ดังพระธรรมเทศนา (1 ธ.ค.43)“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงบำเพ็ญคุณงามความดี ในพระราชหฤทัยของท่านทั้งสองพระองค์นั้น ใครสู้ท่านได้ นั่นเห็นไหม ท่านกราบธรรม สรุปแล้ว ท่านกราบธรรมอยู่ตลอดเวลา แล้วทรงแผ่เมตตาต่อบรรดาสัตว์ทั้งหลายทั่วๆ ไป...”



หลวงตามหาบัว หรือ พระธรรมวิสุทธิมงคล

หลวงตามหาบัว หรือ พระธรรมวิสุทธิมงคล เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี นามเดิมชื่อ บัว โลหิตดี เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2456 ที่บ้านตาด ต.บ้านตาด บิดามารดาชื่อ นายทองดี นางแพง โลหิตดี อุปสมบทเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2477 ณ วัดโยธานิมิตร อ.เมืองอุดรธานี โดยท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) หลวงตาบัว มรณภาพ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2554 เวลา 03.53 น. รวมสิริอายุ 97 ปี 5 เดือน 18 วัน พรรษา 77

         “เธอเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ เมื่อใดเบ่งบานแล้วจะหอมกว่าหมู่”

พระญาณสิทธาจารย์ หรือ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่นับเป็นหนึ่งในกองทัพธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ แห่งดินแดนที่ราบสูง ท่านเคยได้รับการพยากรณ์ จากองค์ปรมาจารย์แห่งกองทัพธรรมว่า “เธอเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ เมื่อใดเบ่งบานแล้วจะหอมกว่าหมู่”




อย่างไรก็ตาม หลวงปู่มรณภาพด้วยโรคชราโดยอาการสงบ เมื่อวันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2535 ความทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงสรงศพ หีบทองทึบพวงมาลาวางประดับหน้าหีบศพ และพระราชทานบรมราชานุเคราะห์บำเพ็ญกุศลสัตมวาร ปัญญาสมวาร และในการพระราชทานเพลิงศพ ณ สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ (พุทธาจารานุสรณ์, 2526)


หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

พระองค์ท่านทรงเป็นบุคคลช่างคิด เป็นนักวิชาการ

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงเป็นบุคคลช่างคิด เป็นนักวิชาการ เพราะพระองค์ทรงใช้พระทัยคิดอย่างไม่หยุดยั้ง การตั้งใจนี้มันเป็นเรื่องของสมาธิ ถึงแม้จะทรงรับสั่งถามด้วยโลกก็ตาม แต่ยังมีคุณธรรมแฝงอยู่ทุกประการ”

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย หรือ พระราชวรญาณ วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ได้กล่าวถึง สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หลังจากได้เดินทางไปเข้าเฝ้าฯ ในหลวง รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่วังไกลกังวล เมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2525 นอกจากนี้ ยังได้มีการตอบปัญหาธรรมเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอีกด้วย




หลวงพ่อพุธ ฐานิโย นามเดิม ชื่อพุธ อินทรหา เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2464 ที่ อ.หนองโดนจ.นครราชสีมา กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ แต่อยู่ภายใต้การดูแลของญาติ ที่ จ.สกลนคร กระทั่ง อายุ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดอินทร์สุวรรณ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

ภายหลังบรรพชาเป็นสามเณร หลวงพ่อ ได้มีโอกาสเดินทางไปยังวัดบูรพา จ.อุบลราชธานี และวัดแห่งนี้เอง หลวงพ่อได้ฝากตัวกับท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ เป็นพระอาจารย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และเริ่มการฝึกอบรมด้านปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จากท่านพระอาจารย์เสาร์เป็นคนแรก



หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

หลวงพ่อพุธ ได้มรณภาพ ณ โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2542 รวมสิริอายุ 78 ปี 3 เดือน 7 วัน พรรษา 57

นอกจากพระเกจิที่ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ กล่าวถึงทั้ง 3 ตอนแล้ว ในหลวง รัชกาลที่ 9ยังทรงนับถือพระเกจิอีกหลายรูป อาทิ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย เป็นต้น





หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

อย่างไรก็ตาม หากมีพระอริยสงฆ์ใดมรณภาพ พระองค์ท่านก็จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงสรงศพ พร้อมด้วยเครื่องเกียรติยศประกอบศพ เสด็จพระราชดำเนินไปในการสวดพระอภิธรรมและพระราชทานเพลิงศพ รวมทั้งยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุอัฐิ และทรงเปิดพระเจดีย์พิพิธภัณฑ์ด้วย

ทั้งนี้ ตลอด 70 ปี แห่งการครองสิริราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ทรงอุปถัมภ์ค้ำจุนทุกศาสนา ไม่ใช่แค่เพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น



จาก http://www.thairath.co.th/content/767301
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...