ผู้เขียน หัวข้อ: มหาสติแห่งพระเจ้าอยู่หัว ร.4 ทรงภาวนาพุทโธ จนกระทั่งสวรรคต ย้อนเล่าเหตุอัศจรรย์  (อ่าน 1758 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



มหาสติแห่งพระเจ้าอยู่หัว ร.4 ทรงภาวนาพุทโธ จนกระทั่งสวรรคต ย้อนเล่าเหตุอัศจรรย์เทวดาเข้าสิงคนงาน ประกาศข่าวสวรรคต!

"พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรี นับเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระปรีชาสามารถในเรื่องของพระพุทธศาสนาทั้งในด้านของหลักวิชาและหลักปฏิบัติเป็นอย่างมาก เนื่องจากพระองค์ทรงผนวชนานถึง ๒๗ ปี ซึ่งระยะเวลาอันยาวนานนี้พระองค์ทรงใช้ไปกับการศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างแข็งขัน



ตลอดระยะเวลาในการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สร้างคุณูปการที่สำคัญต่อบ้านเมืองไว้มากมาย ซึ่งผลจากการตรากตรำพระวรกายนั้นก็ทำให้พระองค์เกิดอาการประชวรขณะเข้าสู่วัยชราเมื่อมีพระชนมายุ ๖๔ พรรษา

และอาการประชวรในครั้งนี้เองที่ทำให้พระองค์ทรงดำริถึงการสวรรคต ซึ่งเป็นการสวรรคตที่ตรงกับวันพระราชสมภพของพระองค์ตามที่ทรงกำหนดไว้แต่แรก (พระองค์ทรงพระราชสมภพใกล้กับวันเพ็ญออกพรรษาซึ่งเป็นวันมหาปวารณา และสวรรคตตรงกับวันเพ็ญออกพรรษาซึ่งก็เป็นวันมหาปวารณาเช่นเดียวกัน)

ในวันที่จะสวรรคตนั้น พระองค์ทรงมีพระสติสมบูรณ์  เพียงแต่ว่าในวันนั้น พระองค์ไม่ได้เสด็จออกไปทำพิธีปวารณาออกพรรษาต่อพระสงฆ์วัดราชประดิษฐ์ (วัดประจำรัชกาล) ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ทรงปฏิบัติเป็นประจำในวันพระราชสมภพ

หลังจากรับสั่งข้อราชการแก่พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ์) แล้ว สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในวันมหาปวารณาออกพรรษาก็คือการสมาทานศีลด้วยพระองค์เอง แล้วตรัสเป็นถ้อยคำที่คมคายมากว่า



"ฉันขอลาต่อพระสงฆ์ ... สิ่งใดที่เคยทำผิดล่วงเกินก็ขอขมา

สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

สิ่งทั้งปวงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น  สิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลกที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่มีโทษนั้น...ไม่มีเลย"


จากนั้น พระองค์ก็ได้ตรัสคำฉันท์เป็นภาษาบาลี ซึ่งเป็นการตรัสครั้งสุดท้ายของพระองค์ว่า

"อะตุรัสสะมิงปิ เม กาเย  จิตตัง นะ เหสสะตาตุรัง  เอวัง ปัสสามิ พุทธัสสะ  สาสะนานุคะติง กะรัง"

(แปลว่า "แม้ว่าร่างกายของข้าพเจ้าจะกระวนกระวายอยู่ด้วยทุกขเวทนา แต่จิตใจของข้าพเจ้าจะไม่กระวนกระวายไปตามกาย  ข้าพเจ้าได้ศึกษาอบรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนี้")

แล้วในที่สุด พระองค์ก็ไม่ตรัสอะไรอีกเลย โดยประทับอยู่บนแท่นที่จะสิ้นพระชนม์ หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก และทรงภาวนา "พุทโธ"


เจ้าหญิงองค์หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ พระองค์ เล่าว่า  เสียงภาวนา "พุทโธ" นั้นดังชัดเจนในตอนแรก  แต่พอนานๆ เข้า เสียง "พุท" ก็ค่อยๆ หายไป  เหลือแต่เสียง "โธ-โธ-โธ"  จนกระทั่งเสียงทั้งหมดเงียบหายไป พร้อมกับที่ทรงสวรรคตในเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑
 

ปรากฏว่า ในระหว่างนั้นเอง เทวดาที่สถิตอยู่ ณ พระเจดีย์นครปฐม ได้เข้าสิงคนงานคนหนึ่งเพื่อบอกว่า ขณะนี้รัชกาลที่ ๔ สวรรคตแล้ว และกำลังจะไหว้พระเจดีย์ที่พระองค์เคยบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อครั้งยังทรงพระชนม์ชีพ



"ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต" วัดเทพศิรินทราวาส ผู้มีญาณหยั่งรู้วาระจิตของผู้อื่น เล่าให้สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สันตังกุโร) ฟังว่า

"รัชกาลที่ ๔ เมื่อใกล้จะสวรรคตนั้น ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามี"

เรื่องนี้คนธรรมดาทั่วไปคงไม่อาจจะรู้ได้ ... แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจอันมั่นคงและมีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งเช่นนี้น่าจะบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่งอย่างแน่นอน
 

ที่มา : หนังสือ "สวดเป็นเห็นธรรม" โดย พระสาสนโสภณ (พิจิตร ฐิตวัณโณ) สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ

นำเสนอข่าวโดย  ไญยิกา เมืองจำนงค์ (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์)

จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/212488/
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...