ผู้เขียน หัวข้อ: เมตตาธรรมค้ำจุนโลก  (อ่าน 1540 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ 時々होशདང一རພຊຍ๛

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1011
  • พลังกัลยาณมิตร 1119
  • แสงทองส่องฟ้าคือชีวิต
    • ดูรายละเอียด
เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
« เมื่อ: ตุลาคม 12, 2017, 12:39:13 am »





:yoyo004: :yoyo004:เมตตาธรรมค้ำจุนโลก :yoyo004: :yoyo004:


 

http://youtu.be/1GU1IQgbMks




สมุทรปราการตลาดปากน้ำ



อีกสัก 1 บทความก่อนเข้านอนย่างเข้าวันใหม่แล้วแวะเข้ามาอีก 1 ครั้งอยาก เข้ามาตอกย้ำว่า อย่าลืมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และอย่างมงายกราบไหว้สิ่งเหลวไหลกราบสุนัข กราบต้นไม้ ถูต้นไม้ขอหวยแล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาตื่นเถิดชาวไทย - ตื่นเถิดชาวพุทธศิษย์ ตถาคต ต้องมีปัญญารู้จะแยกแยะผิดถูกชั่ว -ดี

ในสมัยวัยรุ่นปู่ชอบอ่านหนังสือนิยายแนววิทยาศาสตร์ของฝรั่ง มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ติดใจ ทำให้ปู่คิดคำนึงถึงทุกวันนี้ ปู่อ่านมานานมากแล้ว ถ้าเล่าคงคลาดเคลื่อนไปบ้างก็ขออภัย เรื่องนี้เป็นเรื่องของโลกในอนาคต มนุษย์มีความเจริญก้าวหน้าในด้านวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก มนุษย์ไปสำรวจดวงดาวต่างๆและด้วยความล้ำเลิศทางด้านพันธุกรรม มนุษย์สามารถสร้างร่างการจำลองของตัวเองเป็นสัตว์ในดวงดาวนั้นได้ และสามารถถ่ายเทดวงจิตไปอยู่ในร่างใหม่ เข้าไปใช้ชีวิตปะปนร่วมกับสัตว์ในดวงดาวนั้

แต่แล้วโครงการนี้ได้สะดุดหยุดลง เมื่อไปเจอดวงดาวแปลกประหลาดที่ปกคลุมด้วยกลุ่มควันหนาแน่น สัตว์ในดวงดาวนี้เป็นสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ดุร้าย ท่าทางเชื่องช้า รักสันติ เมื่อมนุษย์ได้เปลี่ยนถ่ายเป็นสัตว์ในดวงดาวนี้และลงไปอยู่ ปรากฎว่าไม่มีใครกลับขึ้นมาอีกเลย

ข่าวนี้ทำให้คนทั้งโลกเกิดความสนใจ สภาโลกได้มอบหมายให้ด็อกเตอร์สาวไปตรวจสอบเรื่องนี้ เธอให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์และสัญญาว่า เธอจะนำความจริงกลับมาสู่โลกให้ได้ หลังจากที่เธอไปใช้ชีวิตในดาวดวงนั้นอยู่ระยะหนึ่ง เธอได้กลับสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง และกลับสู่โลก เธอได้เปิดแถลงการณ์ว่า ได้พบเพื่อน ๆ ที่ดาวดวงนั้น ทุกคนปลอดภัยและสบายดี สภาพทั่วไปของดาวดวงนั้นเย็นสบายเหมาะสมกับการอยู่อาศัย เธอยอมรับว่ามีความสุขมาก ที่นั้นคือสวรรค์ ชีวิตที่นั้นดูเป็นนิรันดร

สุดท้าย เธอได้เปิดเผยความในใจในการกลับมาของเธอว่า เธอจากมาด้วยน้ำตานองหน้าอาลัยความสุขนั้นอย่างสุดซึ้ง สิ้นสุดการสัมภาษณ์ เธอลากลับไปดวงดาวนั้นทันที หลังจากข่าวได้แพร่สะพัดไป เกิดปรากฎการณ์ใหม่ มนุษย์โลกได้พากันโยกย้ายถิ่นอพยพหลั่งไหล และเปลี่ยนร่างลงไปอยู่ในดาวดวงนั้นกันเกือบหมด !

เรื่องที่ปู่เล่าคงเป็นแค่นิยายสนุก ๆ เรื่องหนึ่ง แม้แต่ฝรั่งยังคิดและจินตนาการถึงความสุขที่ไปค้นพบในดวงดาวที่ไกลโพ้น และได้เข้าไปอยู่อย่างมีความสุข การคิดอย่างนั้นเป็นการมองแบบส่วนเดียว คือร่างกายที่สุขสบายและเป็นอมตะ ไม่ได้มองลึกไปถึงจิตใจ

ซึ่งมนุษย์นั้นเป็นส่วนผสมระหว่างสัญชาตญาณดิบ และความฉลาดที่สับสนวุ่นวาย ถึงมนุษย์จะเจอดวงดาวอย่างนั้น มนุษย์ไม่สามารถหยุดยั้งความทะเยอทะยานของตัวเองได้ คงไม่ได้สงบสุขอย่างที่หวัง นั้นเป็นความคิดแบบฝรั่ง ที่มองทุกอย่างเป็นส่วน ๆ แม้แต่ความสุข จึงมีการเสนอความเชื่อเรื่องความสุขกลายรูปแบบ บางคนสอนให้เชื่อเรื่องความสุขหลังความตาย ต้องทำความดีมากๆ จะได้ขึ้นสวรรค์และมีความสุข ความเชื่อนี้มีมานานและเคยได้ผลมาก่อน ต่อมาเริ่มคลอนแคลน และคนที่เชื่ออย่างนั้นได้ลดลงไปเรื่อย ๆ ทุกคนหวังความสุขที่พบได้ในชาตินี้มากกว่า ชอบของที่มองเห็นมากกว่า จนเราถลำไปในเรื่องวัตถุนิยม คิดว่าถ้าทุกคนมีเงินคนทั้งโลกจะมีความสุข จึงมีการกระตุ้นการบริโภคอย่างสุดโต่ง ทำให้เกิดรูปแบบชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย เช่น ทุกคนต้องแข่งขันกันเรียน แย่งกันทำงาน แย่งกันหาที่อยู่ แต่งงาน เลี้ยงลูกและเป็นหนี้หัวโต เขาเรียกรูปแบบนี้ว่าวงจรอุบาทว์

ในปี ค.ศ. 1960 มีคนบางกลุ่มทนไม่ได้ จึงพากันปฏิเสธการใช้ชีวิตแบบนั้น หันมาใช้ชีวิตอย่างเสรีไม่มีกฎระเบียบ อย่างพวกบุปผาชนหรือฮิปปี้ แต่ในที่สุดก็เสื่อมสลายไป คงเป็นเพราะมันสุขไม่จริงและก่อปัญหามากขี้นไปอีก ในช่วงหลัง ๆ ฝรั่งเริ่มมองหาความสุขที่ต่างออกไป เป็นความสุขในด้านจิตใจ เป็นความสุขที่ย้อนกลับไปหาภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะศาสนาพุทธได้เป็นที่ยอมรับในซีกโลกตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีคำถามว่าประเทศที่มีความเจริญทางวัตถุและวิทยาการอย่างสุด ๆ ทำไมจึงยอมรับแนวความคิดแบบพุทธได้ มีอะไรพิเศษซ่อนอยู่หรือ ?

มีหลายคนบอกว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต พิสูจน์ได้ ทดลองได้ ไม่ใช่หลักความเชื่อเพียงอย่างเดียว สิ่งนี้ทำให้ฝรั่งสนใจและรู้สึกท้าทาย หันมาศึกษาและลงมือปฏิบัติกันอย่างจริงจัง ในความคิดของปู่ พุทธศาสนาเหมือนการที่เรากำลังศึกษาอีกด้านหนึ่งของโลก เป็นด้านที่เรามองไม่เห็น นึกไม่ถึง ว่ายังมีความจริงที่ซ่อนอยู่ ถ้าจะเปรียบเทียบอาจเปรียบเหมือนการเหวี่ยงลูกบอลเล็กๆที่ผูกด้วยเชือกเอาไว้และเหวี่ยงเป็นวงกลมรอบตัวเรา เรารู้สึกได้ถึงแรงดึงจากเชือกเพียงอย่างเดียว แต่เราไม่รู้สึกถึงแรงต้านที่เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน เพราะขณะที่เหวี่ยงไปเส้นเชือกจะมีทั้งแรงดึงและแรงต้านอยู่ในตัวเดียวกัน และแรงต้านมีประโยชน์ที่ทำให้เชือกไม่ขาด

จากประสบการณ์ของปู่ การศึกษาพุทธศาสนาทำได้สองระดับ ระดับแรก คือการหาองค์ความรู้ ระดับที่สอง คือการต่อยอดในระดับแรกเราต้องทำตัวเหมือนนักวิทยาศาสตร์ สมมติว่าเราจะศึกษาเชื้อโรคชนิดหนึ่ง เราต้องนั่งดูการเติบโต การขยายตัว อาหาร สภาพร้อนหรือชื้น อย่างไหนที่พอเหมาะกับการเติบโต หรืออะไรที่ทำให้มันตาย ส่วนนี้ต้องใช้การเฝ้าดู ห้ามใช้ความคิด เราจะได้ข้อมูลทั้งหมดของเชื้อโรคตัวนั้น

ในทางพุทธ ถ้าเราจะศึกษาตัวของเรา เราต้องดูกาย ดูจิต ดูการเคลื่อนไหวของจิต แต่เดิมเรามาใช้ชีวิตตามยถากรรม ทุกอย่างเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เหมือนรถ เราใช้เกียร์อัตโนมัติมาตลอด เราไม่เคยใส่ใจสิ่งที่เราทำ แต่เมื่อเราต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเรา เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ เราต้องกลับมาใช้รถระบบเกียร์ธรรมดา ต้องค่อยๆ ปล่อยครัชและเหยียบคันเร่งน้ำมันอย่างช้า ๆ ต้องทำอย่างตั้งใจ ไม่อย่างนั้นเครื่องอาจกระตุกและดับได้

ดังนั้นเราต้องช้าลงเพื่อให้เห็นสิ่งเหล่านี้ เห็นการเคลื่อนไหว การเกิดอารมณ์ต่างๆ ของเรา การเรียนรู้ต้องใช้ความรู้สึกตัวเป็นตัวรู้หรือสติเป็นเครื่องมือในการดูเราดูทั้งการเคลื่อนไหวของร่างกายซึ่งจะกระทบไปทางจิตของเรา เมื่อกระทบก็จะเกิดความรู้สึกชอบไม่ชอบ เฉยๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ใจเราไหวไปมา ทั้งสองอย่างนี้สัมพันธ์กัน เพื่อความง่ายในการฝึก เราอาจสลับไปสลับมา อย่าเคร่งเครียดจนเกินไป ในการฝึก ต้องพร้อมและผ่อนคลาย ถ้าตั้งใจมากใจมันจะแข็ง ใช้งานไม่ได้ดี

ในส่วนนี้เราอาจจะใช้การนั่งสมาธิเสริมเพื่อเป็นการผ่อนคลายได้ เรียกว่าการพักจิต แต่อย่าจงใจจนเป็นการกดข่ม อาจทำให้จิตดิ้นและหลอกเราเป็นนิมิตต่าง ๆ ได้ เมื่อเราดูจนเข้าใจกลไกของจิต มองเห็นการเคลื่อนไหว สิ่งนี้เรียกว่าการปรุงแต่ง ความชอบ ไม่ชอบ เฉย ๆ สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ ความสุข เกิดความอยาก ทุรนทุราย พอเราได้องค์ความรู้นี้ สติจะเข้มแข็งขึ้น ว่องไวขึ้น เริ่มตามทันอารมณ์ต่างๆ มากขึ้น จิตจะเริ่มเชื่องว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อพยศ

ถ้าจะเปรียบเทียบจิตเหมือนลิง มีนิสัยซุกซน เที่ยวซนไปทั่ว เราต้องมีเชือกที่เรียกว่า สติ คอยดึงกลับอยู่เรื่อยๆอย่าให้ไถลไปไกลมากนัก เชือกอาจขาดได้ ที่เราเรียนกว่าสติแตก ฟั่นเฟือนถูกอารมณ์ต่าง ๆ ครอบงำ เมื่อเรารู้จักตัวเองมากขึ้น สามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนถูกต้อง ความสงสัยและสับสนหายไป สติตั้งมั่นเป็นกลาง จิตใจเริ่มร่มเย็นสงบมีความสุขมากขึ้น ความทุกข์หายไปกว่าครึ่ง นั้นเป็นผลพลอยได้จากการเรียนรู้ เมื่อองค์ความรู้เกิดเต็มที่ จิตจะสว่างไสวเรียกว่าประภัสสร หรือจิตเดิมแท้เริ่มลอยเด่นชัดไม่มืดมัว จากนั้นเรามาต่อในระดับที่สอง เป็นการต่อยอดจากส่วนแรก

เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเชื้อโรคตัวนี้ จนเข้าใจทะลุปรุโปร่งดีแล้วก็สามารถที่จะคิดค้นยาสำหรับรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อโรคตัวนี้ได้ เมื่อเรามีองค์ความรู้พร้อมแล้ว เริ่มเดินหน้าต่อไปโดยยึดหลักดังต่อไปนี้ ข้อแรกต้องรักษาศีลให้เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันการออกนอกเส้นทาง สองเพิ่มสมาธิ เป็นการเพิ่มพลังให้แข็งกล้าขึ้นเพราะการต่อสู้และการเข้าถึงจะเข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆ สามต้องเพิ่มระดับของปัญญาให้แก่รอบมากขึ้น ความสำเร็จเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับต้นทุนเดิมและความมานะพยายามของแต่ละคน เป้าหมายคือการรู้แจ้ง

ถึงจุดสุดท้ายคือปลดปล่อยพันธนาการของโลก ออกจากตัวเรา หมายถึงการที่เราสามารถเข้าถึงสัจธรรมอีกด้านหนึ่ง เหมือนเราได้สัมผัส และมองเห็นแรงต้านในเส้นเชือก ถึงแม้ขั้นตอนนี้ค่อนข้างยากลำบาก หากสามารถทำได้ถึงระดับนี้ พลังของเราจะเริ่มย้อนกลับกับโลก กฎต่างๆ ของโลกเริ่มใช้กับเราได้น้อยลง และพลังงานต่างๆ ถูกเราควบคุมได้มากขึ้น เกิดการหยั่งรู้ เกิดฤทธิ์นั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายหลักในความพากเพียรอุตสาหะของเรา

สิ่งสูงสุดคือการหลุดพ้นอย่างแท้จริง ไม่ต้องวนเวียนในความทุกข์อีกต่อไป เมล็ดพันธุ์แห่งความทุกข์ถูกทำลาย เรื่องที่ปู่เล่ามานี้อาจเข้าใจยากและทำได้ยาก เราต้องบากบั่นกันต่อไป ส่วนจะจริงแท้อย่างไร ? เราต้องกล้าลองพิสูจน์ เหมือนเราอยากรู้ว่าภาพยนตร์ เรื่องนี้ดีหรือไม่ ? เราต้องตีตั๋วเข้าไปนั่งดู ถ้าไม่ได้เรื่อง เลิกดูออกจากโรงภาพยนต์ก็จบกัน แต่ถ้าคุ้มค่ากับการลงทุนลงแรง เราอาจได้พบกับสิ่งที่เหลือเชื่อ เป็นความสุขที่หาที่เปรียบไม่ได้ที่เรียกว่า บรมสุข






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 16, 2022, 04:46:54 pm โดย 時々होशདང一རພຊຍ๛ »
ชิเน กทริยํ ทาเนน