ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : เลิกกันทีชีววิทยาเก่า-เอาชีววิทยาใหม่เสียที  (อ่าน 2153 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ผู้เขียนออกไปอยู่นอกวงการวิทยาศาสตร์และวิชาการมหาวิทยาลัยมานานตั้งแต่ปี 1973 หลังจากที่ทำงานสอนนักเรียนแพทย์มานานร่วม 20 ปี นั่น-นับเป็นเวลาร่วมสี่สิบปี จึงคิดว่ายาวนานพอที่จะลืมเรื่องราวที่เกี่ยวกับความสำคัญของวิชาการต่างๆ ลงไปบ้าง แต่ความคิดที่เกี่ยวกับบทบาทหรือท่าทีของนักวิชาการ โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ในด้านที่เกี่ยวข้องระหว่างนักวิทยาศาสตร์ (สายประยุกต์) ของบ้านเรากับนักวิทยาศาสตร์ “ฝรั่ง” หรือแม้แต่สาธารณชนทั่วไปที่เป็น “ฝรั่ง” นั้น ดูท่าเราจะมีการเกรงใจและพยายามเอาใจ กระทั่งรู้สึกว่าจะมีความเชื่อถือ “ฝรั่ง” เป็นพิเศษ ซึ่งอาจจะเป็นนิสัยของคนไทยที่มักจะใจกว้าง ยิ้มง่ายใจดี ชอบต้อนรับขับสู้ชาวต่างชาติอยู่แล้วเป็นนิสัย - โดยเฉพาะหากว่าคนต่างชาติคนนั้นมีชื่อเสียงด้านใดด้านหนึ่ง เช่น เป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการสายตน - เอาใจจนบางครั้งเถียงกันเองโดยลืมความใจกว้างยิ้มง่าย ทิ้งไปไหนก็ไม่รู้ และนั่นคือมุมมองของผู้เขียนที่มองนักวิทยาศาสตร์นักวิชาการของบ้านเราจากประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อสี่สิบปีก่อน ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ก็ขอโทษด้วย ทั้งในปัจจุบันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิม  ประชากรโลกกับที่บ้านเรามากเพิ่มขึ้นมาก และเนื่องจากมหาวิทยาลัยเฉพาะของรัฐมีมากขึ้นถึง 6 เท่าตัว นักวิทยาศาสตร์กับนักวิชาการของบ้านเราจึงเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งหมายความว่าที่มาของวิชาการต่างๆ ยกเว้นศิลปะและวรรณคดีส่วนใหญ่ ที่พูดมายืดยาวก็เพื่อชี้ให้ชัดว่าการเรียนการสอนและวิชาความรู้ที่เรามีหรือเราเรียนมาเป็นเวลาถึง 150 ปีนั้น แทบทั้งหมดทั้งสิ้นเลยนั้นที่ไม่ใช่ของเรา ของตะวันออกมาตั้งแต่ต้นแต่เป็นของ “ฝรั่ง” เขา ความคิดความเห็นของเราที่ทำให้เราเกรงใจและเอาใจฝรั่งอาจจะเกิดจากเหตุนี้ก็ได้ หรือเป็นทั้ง 2 สาเหตุรวมกันก็ได้ วิทยาศาสตร์และวิชาการต่างๆ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ที่มาหรือการพัฒนาก้าวหน้าของวินัยวิชาวิทยาศาสตร์และวิชาการต่างๆ โดยทั่วไปของไทยจึงมักจะล่าช้าหรือตามหลังเมืองนอกมากถึง 10-20 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานการค้นคว้าวิจัยใหม่ๆ (frontier sciences or  sciences at the cutting edges) ที่ไม่มีในตำรา เราจึงไม่รู้หรือไม่สนใจ อย่าลืมว่าวิทยาศาสตร์กายภาพนั้นพูดความจริงทางวัตถุตามที่ตาเราบอก วิชาอื่นๆ เช่นวิชาที่เรียกกันว่าวิทยาศาสตร์สังคม เป็นต้นว่า   เศรษฐศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์ตามวิทยาศาสตร์ที่ตาเห็นถึงใช้ๆ กันเป็นแถว ตาหูที่เป็นอวัยวะประสาทสัมผัสรับรู้เพื่อให้มนุษย์-ที่รับรู้แตกต่างกับสัตว์ทุกชนิดประเภทเลยที่มีตาหูของมัน - อยู่ในโลกในจักรวาลที่มี 3 มิตินี้สามารถอยู่ได้รอดจึงกลายเป็นอวัยวะที่บอกความจริงที่แท้จริงไป แล้วเราจะมีศาสนาที่บอกว่าการรับรู้ของเราที่ได้จากตาและอวัยวะประสาทสัมผัสทั้งหมด คือมายาไว้ทำไม?


เรารู้ว่า มันมีวิชาควอนตัมฟิสิกส์หรือควอนตัมเม็คคานิกส์เป็นทางการมาตั้งแต่ปี 1927 แล้ว ควอนตัมฟิสิกส์ให้ข้อมูลที่สุดแสนจะพิสดารที่มีหลายๆ อย่างเป็นไปคล้ายๆ กับปาฏิหาริย์ “เหมือนผีหลอก” แต่ที่สำคัญกว่า คือมีความถูกต้องและแม่นยำที่สุดสามารถทดสอบได้ด้วยวิธีการทั้งหมดทางวิทยาศาสตร์ เหนือกว่าวิทยาศาสตร์คลาสสิกเก่าได้แม่นยำกว่าดังที่นักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่า ถ้าหากฟิสิกส์คลาสสิกเก่าถูกต้องได้ 99% ควอนตัมเม็คคานิกส์จะถูกต้องกว่าได้ถึง 99.99% ทีเดียว และนักวิทยาศาสตร์หรือจริงๆ แล้ว - นักฟิสิกส์ที่เรียกกันว่านักฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ - จะมองว่านักฟิสิกส์ทั่วๆ ไปว่าควอนตัมฟิสิกส์ แม้จะถูกต้องกว่าก็จริง แต่โดยทั่วไปมักไม่มีประโยชน์ที่จะรู้ เพราะมันเป็นเรื่องที่แสนจะเล็กละเอียดระดับอะตอมหรือเล็กว่าอะตอมเข้าไปอีก จึงไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ ซึ่งถ้าหากเราเอามนุษย์ (หรือคน) ว่าสำคัญที่สุดหรือเป็นศูนย์กลางแล้ว ชูอัตตาว่าเป็นใหญ่ที่สุดแล้ว  (anthropocentric) เราก็จะลดตัวเองจากมนุษย์มาเป็น “คน” ตามที่ท่านพุทธทาสว่า ซึ่งการเป็นคนที่มีวิวัฒนาการทางชีววิทยาจากไพรเมตก็ไม่ได้ดีกว่าการเป็นสัตว์สักเท่าไร ประโยชน์ที่มนุษย์ต้องการคือ  เอามาใช้ประจำวันนั้น นักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงเขาไม่เรียกวิทยาศาสตร์หรอก เขาเรียกว่า “เทคโนโลยี”  ครับ! ซึ่งเทคโนโลยีก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์เลย เพราะว่าวิทยาศาสตร์คือความรู้ที่ตอบเราว่าธรรมชาติที่อยู่รอบตัวนั้นคืออะไร? และทำงานอย่างไร? มันไม่ใช่ความรู้อะไรเลยที่จะบอกเราว่า มันเอามาใช้ได้ไหม?  และตีราคาค่างวดได้เท่าไหร่? มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่คนนำมาใช้เพื่อทะนุบำรุงตัณหาของตัวเองหรือให้คนอื่นได้ประโยชน์ คือการส่งต่อไปซึ่งกิเลสตัณหานั้นๆ ที่เรียกเสียโก้หรูว่า  ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีไง!! และที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้เขียนคือ คิดว่าที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับควอนตัมเม็คคานิกส์น่าจะเป็นเพราะว่า ควอนตัมเม็คคานิกส์นั้นมีความสอดคล้องต้องกันกับศาสนา โดยเฉพาะศาสนาที่อุบัติขั้นทางตะวันออกที่จีนกับอินเดีย และศาสนาทั้งหลายทั้งปวงนั้น ก่อนหน้านี้ไปไม่นานนักวิทยาศาสตร์แทบจะทุกคนในโลกจะต้องถือว่างมงายไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงเชื่อไม่ได้  เพราะว่ามันไม่ใช่ความรู้ (knowledge) ตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิงที่มีเหตุผล พิสูจน์ได้และทำซ้ำโดยใครหรือที่ไหนก็ได้ และศาสนานั้นก็อยู่ตรงกันข้ามกับวิทยาศาสตร์จนพูดจากันไม่ได้ดังที่เรารู้กันอยู่ แต่ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์จริงๆ ไม่ใช่แต่นักฟิสิกส์ของฝรั่งที่เมืองนอกเท่านั้น แต่นักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ทุกแขนงได้พากันหันมาเชื่อถือฟิสิกส์ใหม่ยิ่งกว่าคลาสสิคัลฟิสิกส์มากขึ้นจนมีจำนวนที่ไล่เลี่ยกัน ยกเว้นนักวิทยาศาสตร์ในประเทศกำลังพัฒนาหรือพัฒนาใหม่ๆ ในเอเชีย ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะขาดการสนับสนุนงานวิจัยอย่างจริงๆ จังๆ หรืออาจจะเพราะเรามัวเมาสำลักเงินและความสุขทางกายชั่วครั้งชั่วคราวก็ได้ แต่ในอดีตนั้นแม้นักวิทยาศาสตร์ใหญ่ๆ หลายคนได้รับรางวัลโนเบล รวมทั้งไอน์สไตน์ก็ไม่เชื่อจนวันที่ตัวเองตาย โดยพูดว่า “พระเจ้าไม่เล่นการพนันหรอก” (God dose not play dice) ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าย่อมจะไม่โกหกหรอก เลยทำให้นักวิทยาศาสตร์ธรรมดาทั่วๆ ไปพลอยไม่เชื่อควอนตัมฟิสิกส์ไปด้วย  ในบรรดาของวิชาวิทยาศาสตร์สายตรงที่มีอยู่ 3 สาขาใหญ่นั้น
บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทั้งปวงในโลกก็มีแต่นักชีววิทยาหรือนักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับชีววิทยา เช่น แพทย์ นักตัดต่อพันธุกรรม หรือนักวิศวพันธุกรรมศาสตร์ เป็นต้น เราทุกคนรู้ว่าชีววิทยานั้นทางวิทยาศาสตร์มีแต่เพียงทฤษฎีการวิวัฒนาการทางชีววิทยาเฉพาะทางด้านกายภาพเป็นรากฐาน ซึ่งการทำให้ทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน หรือดารวินิซึ่มเป็นวิทยาศาสตร์ - ที่ไม่สมบูรณ์เลย - ซึ่งได้มาจากการติดตามสังเกตอย่างเป็นระบบเพียงอย่างเดียว คือ ทำซ้ำไม่ได้ และทำโดยใครหรือที่ไหนก็ไม่ได้ และการสังเกตก็หยาบ ซึ่งทำโดยคนคนเดียวโดยอาศัยตาหูหรืออวัยวะประสาทสัมผัส - ที่เบี้องต้นทีแรก - ของคนคนเดียว ซึ่งแน่นอนหามาตรฐานไม่ได้ ทั้งเมื่อตายแล้วนานๆ กลับไม่เคยพบฟอสซิลของสัตว์ในไฟลัมติดกันมีลักษณะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงให้เห็น เช่น นก กับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทั้งๆ ที่ทฤษฎีของดาร์วินบอกว่า การเปลี่ยนแปลงระหว่างชั้นและไฟลัมต่างๆ ของสัตว์นั้นจะมีความต่อเนื่องกันและกัน (continuity)


ชีววิทยาเก่าหรือดาร์วินิซึ่ม (ทุกวันนี้เรียกนีโอ-ดาร์วินิซึ่มที่เหมือนดาร์วินิซึ่มทุกอย่าง ยกเว้นเพิ่มบวกเรื่องพันธุกรรมศาสตร์ (genetics) เข้าไปด้วย) ซึ่งเป็นรากฐานของวิชาชีววิทยา - วิทยาศาสตร์สายตรงหรือสายหลักอันที่ 3 หรือวิทยาศาสตร์วิชาสุดท้าย ซึ่งใหม่กว่าเพื่อน คือมีอายุราวๆ 150 ปี - ที่เมแวน- โฮ (เป็นนักชีววิทยาของมหาวิทยาลัยโอเพน อังกฤษ และเป็นคนอิโป มาเลเซีย เมืองใหญ่ที่อยู่ตรงข้ามกับปีนัง) ถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์ที่แย่ที่สุดและแยกย่อยย่อส่วน (reductionism) อย่างที่สุด นักวิทยาศาสตร์ที่แสลงหรือแพ้คำว่า “องค์รวม” (holism) อย่างที่สุด เพราะนักชีววิทยาส่วนใหญ่มากๆ ถือว่าเป็นตรงกันข้ามกับหลักการแยกย่อยย่อส่วนของตน ซึ่งถ้าหากนักชีววิทยาคนไหนชอบใช้คำว่าองค์รวมในความหมายที่แท้จริงแล้วไซร้ ก็ให้ถือได้ว่าเป็นนักชีววิทยาแห่งยายุคใหม่ (new biologist) ซึ่งนักชีววิทยาของบ้านเราน้อยคนนักจะรู้จัก
แล้ว-นักชีววิทยาแห่งยุคใหม่ หรือชีววิทยาใหม่ (New Biology) คืออะไรไม่ทราบ?


ความจริง เรื่องชีววิทยาใหมนี้ ผู้เขียนได้เขียนอย่างละเอียดมาแล้วในปี พ.ศ. 2546 ในวารสารพิเศษของคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยมหิดล และตีพิมพ์เผยแพร่ไปแล้ว ในโอกาสนี้จึงขอเล่าอย่างย่อๆ โดยมีเป้าหมายที่เป็นชื่อเรื่องของบทความบทนี้ คือวิชาชีววิทยาใหม่นี้ได้ก่อตั้งเป็นกิจจะลักษณะมาเมื่อ 15 ปีก่อน (Willis Harman : New Biology, Ions, vol 35 1996) ซึ่งบัดนี้ก็ถึงเวลาที่วงวิชาการที่บ้านเรา - ประเทศไทย - ที่ดังได้บอกไปแล้วมีช้ากว่าเมืองนอกประมาณ 10-20 ปี เลยเอาเวลาที่เราช้ากว่าเมืองนอก 15 ปีเป็นเกณฑ์ เพื่อที่จะได้ทันเมืองนอกเขาตามที่เราช้ากว่าเขาตามปกติ 


เมื่อเดือนพฤษภาคมที่มหาวิทยลัยเทมเปิล ที่รัฐเพนซิลวาเนีย มีนักชีววิทยาที่มีชื่อเสียงจำนวน 23   คน รวมทั้งผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลได้เดินทางมาเข้าประชุม โดยมีวาระของการประชุมเพียงอย่างเดียวคือ  วิชาชีววิทยาซึ่งขึ้นกับการสังเกตของคนคนเดียว แม้ว่าเป็นระบบและเป็นวิทยาศาสตร์ก็ตามที แต่ทุกวันนี้ไม่แน่ว่าเป็นความจริงทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องของความบังเอิญ (chance or random) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านฟิสิกส์ได้มีฟิสิกส์ใหม่ โดยเฉพาะควอนตัมเม็คคานิกส์เกิดขึ้น ซึ่งให้ความจริงที่แท้จริงยิ่งกว่า และที่สำคัญอย่างยิ่งได้พิสูจน์ให้เห็นว่าคลาสสิคัลฟิสิกส์ของนิวตันที่ชีววิทยานำมาใช้เป็นหัวหอกให้เราเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งและปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงรวมทั้งชีวิตได้มากขึ้น ทีนี้ เมื่อฟิสิกส์ละเอียดยิ่งขึ้น ชีวิตก็ละเอียดมากขึ้นด้วย ดังนั้นที่เราเรียนเรารู้เรื่องราวของชีวิตแต่เพียงการสังเกต  “เบื้องต้น” อาจจะไม่พอกับคำว่าวิทยาศาสตร์ แม้ว่าเดี๋ยวนี้แม้ว่าเราจะทำวิทยาศาสตร์เต็มรูปแบบและวิธีการอยู่แล้วก็ตาม เรา-นักชีววิทยาจะต้องรู้และติดตามควอนตัมฟิสิกส์ด้วย ซึ่งที่ประชุมต่างก็ยอมรับมติเช่นนั้นเป็นเอกฉันท์ แต่ที่ประชุมมีความเห็นไม่ตรงกันว่าชีววิทยาจะดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร?  อย่าไรก็ตาม ในที่สุดทุกคนก็เห็นว่าในช่วงนี้ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปของมันเช่นนี้ไปก่อนสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งนักชีววิทยาส่วนมากเรียนรู้ฟิสิกส์จนไม่เข้าใจด้วยตนเองถ่องแท้ และนักชีววิทยาทั้งหลายก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปเอง


นั่นคือ มติที่ประชุมทางชีววิทยาในปี 1996 ซึ่งตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นักชีววิทยา (ที่เมืองนอก) ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง และยอมรับทฤษฎีควอนตัมเม็คคานิกส์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันจึงมีแต่นักชีววิทยา และนักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เช่น แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์สังคมทุกสาขา โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ชีววิทยาของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศพัฒนาใหม่ๆ ของเอเชียเท่านั้นที่ส่วนใหญ่มากๆ ไม่ หรือไม่อยากเปลี่ยนแปลง.


http://www.thaipost.net/sunday/220810/26472

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ ดอกโศก

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 862
  • พลังกัลยาณมิตร 595
    • rklinnamhom
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณที่นำมาแนะนำค่ะ

หนังสือน่าอ่านมากต้องลองไปหามาอ่านดูบ้างแล้วล่ะคะ ^_^

 :13: