ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ทันกรรม  (อ่าน 1899 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sasita

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • *
  • กระทู้: 173
  • พลังกัลยาณมิตร 150
    • ดูรายละเอียด
รู้ทันกรรม
« เมื่อ: สิงหาคม 26, 2010, 09:00:52 am »



คำถามที่ว่า “กรรมเวรแก้ไขได้หรือไม่” เป็นปัญหาหนึ่งที่หลายคนสงสัยและอยากรู้ สำหรับผู้ที่ยังศึกษาทางธรรมยังไม่ถึงขั้น ย่อมจะสงสัยในคำตอบเสมอ ไม่ว่าตอบว่าแก้ได้หรือแก้ไม่ได้ก็ตาม เนื่องจากมองไม่เห็นสภาพชัดเจนว่า ลักษณะอย่างไรแก้ได้ทันที ลักษณะอย่างไรการแก้ไขทันทีไม่ได้เนื่องจากยังไม่พร้อม หรือเลยขั้นตอนของการแก้ไขมาแล้ว ถ้าจะแก้ต้องแก้ก่อนหน้านี้ อะไรเช่นนี้เป็นต้น

หลักการทั่วไปมีอยู่ว่า ทุกอย่างแก้ไขได้เมื่อปัจจัยต่าง ๆ พร้อม คือไม่มีความประมาทหรือความเห็นผิดครอบงำอยู่ กรรมบางอย่างแก้ไขได้ กรรมบางอย่างแก้ไขไม่ได้ กรรมบางอย่างแก้ไขไม่ได้หรือแก้ไขได้ยาก หากจะแก้ไขต้องใช้เวลายาวนาน อย่างเช่น ครุกรรม ๕ หรือกรรมหนัก ๕ อย่าง นั้น จะแก้ไขในชาตินี้ไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นกรรมหนักหรือกรรมเบาก็ตาม การจะแก้ไขได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ๔ อย่าง ต่อไปนี้

๑. การศึกษา คือ การแสวงหาความรอบรู้เพื่อกำจัดอวิชชา หรือความไม่รู้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรู้มีสองลักษณะ คือ “ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ” (สุวิชาโน ภวัง โหติ) กับ “ผู้รู้ชั่วทำชั่วก็เป็นผู้เสื่อมผู้ฉิบหาย” (ทุวิชาโน ภวัง โหติ) ความหมายก็คือ ผู้ที่สามารถรู้วิธีแก้กรรมชั่วหรือกรรมไม่ดีที่กระทำเพราะอวิชชานั้น จะต้องศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ให้รู้ ให้เข้าใจ ในระดับที่ทำให้เกิดศรัทธาต่อพระรัตนตรัยให้ได้เสียก่อน

๒. ศรัทธา คือ ความเชื่อความเลื่อมใส ผู้ที่สามารถจะแก้กรรมให้ตนเองได้จะต้องมี “ศรัทธาปสาทะ” คือมีความเชื่อ ความเลื่อมใสต่อพระพุทธศาสนา มี “คารวธรรม” อันไม่เศร้าหมองเสียก่อน คือมี “พุทธคารวตา” อันหมายถึงการเคารพนับถือพระพุทธเจ้าเป็นนายกของโลก มี “ธรรมคารวตา” อันหมายถึงการเคารพนับถือพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่าถูกต้องเป็นจริงเสมอ ปฏิบัติตามแล้วพ้นกรรม พ้นเวร พ้นทุกข์ได้จริง มี “สังฆคารวตา” อันหมายถึงการเคารพนับถือพระอริยสงฆ์สาวก ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติออกจากทุกข์ได้แล้ว เป็นครู เป็นอาจารย์ มี “สิกขาคารวตา” อันหมายถึง การเคารพในการศึกษาปฏิบัติธรรม ทำตนให้มีศีล สมาธิ ปัญญา พร้อมกันทุกขณะจิต

๓. ความไม่ประมาท คือ ความไม่ดูถูก ดูหมิ่น เลินเล่อ ละเลย หรือไม่ใส่ใจในเรื่องของตนเอง ปล่อยให้ชีวิตของตนเองเป็นไปตามยถากรรม เป็นอย่างไรก็ช่างมัน ตายเมื่อไหร่ก็ช่างมัน ตายแล้วจะไปไหนก็ช่างมัน นี่คือ ความไม่ใส่ใจในตนเอง ไม่มี “อปามาทคารวตา” อันหมายถึงการไม่เคารพในความไม่ประมาท ผู้ไม่ประมาทต้องรู้จักพึ่งตัวเอง ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” (อัตตา หิ อัตตโน นาโถ) ถ้าไม่ใส่ใจในตนเองแล้ว จะเป็นที่พึ่งของตนได้อย่างไร เกิดเป็นคนจะต้องใส่ใจเรื่องของตนเองให้มาก

๔. ความเพียรพยายาม เป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง ที่ทำให้บุคคลประสบผลสำเร็จสมความปรารถนา เนื่องจากกิจการงานต่าง ๆ ทางโลก เราไม่สามารถทำให้เสร็จในขณะเดียวหรือวันเดียว กว่าจะสำเร็จได้ต้องใช้เวลายาวนานเป็นเดือน เป็นปี บางครั้งก็เป็นตลอดชาติ ผู้ต้องการความสำเร็จจะต้องมีความเพียรพยายาม ทำแล้วทำอีก ทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน หากหมดความเพียร ละทิ้งความพยายามเสียกลางครัน งานนั้นก็ไม่สำเร็จ ผู้ที่ประสบความสำเร็จล้วนแต่เป็นผู้มีความเพียรพยายามไม่รู้ถอย เหมือนสุภาษิตที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” การแก้กรรม แก้เวร ก็ต้องอาศัยความเพียรพยายามเหมือนกัน

@ ดูแลความรู้สึกของกันและกันนิดนึงนะคะ ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับข้อเขียนของเพื่อนคนอื่นๆ หรือไม่ก็ตาม

@ ช่วยกันใช้ "ภาษาไทย" ให้ถูกต้อง และงดโพสข้อความโฆษณาค่ะ

ออฟไลน์ sasita

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • *
  • กระทู้: 173
  • พลังกัลยาณมิตร 150
    • ดูรายละเอียด
Re: รู้ทันกรรม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2010, 09:02:41 am »
ทางสู่ความสิ้นกรรม


สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเป็นหลักการไว้ว่า การจะทำตนให้พ้นทุกข์ หรือสิ้นกรรมสิ้นเวรนั้น จะต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติ ๓ ประการ คือ
๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง
๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม
๓. การทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส

๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง คือ การงดเว้น ไม่กระทำสิ่งที่มีผลเป็นทุกข์ เป็นการกระทำโดยงดเว้นเป็นอกิริยา เรียกกันทั่วไปว่า “รักษาศีล” ซึ่งมีหลายระดับตามฐานะของบุคคล มีผลทำให้เกิดความสุขตามระดับตามฐานะ ศีลมีลักษณะเป็นข้อห้าม ไม่ให้กระทำสิ่งที่มีผลกรรมไม่ดี หรือกรรมชั่ว ซึ่งทำให้ผู้กระทำเป็นทุกข์ เดือดร้อน พระพุทธองค์บัญญัติศีลให้ฆราวาสผู้ครองเรือนต้องรักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีลอุโบสถในวันพระ ศีล ๘ ประจำ และศีลกรรมบถ ๑๐ ตามฐานะที่จะปฏิบัติได้ สำหรหับนักบวชและสามเณร ต้องรักษาศีล ๑๐ พระภิกษุต้องรักษาศีล ๒๒๗ ภิกษุณีต้องรักษาศีล ๓๑๑

ผู้รักษาศีลได้ จะสามารถควบคุมการกระทำทางกายและทางวาจาได้ระดับหนึ่ง ตามระดับของศีล ซึ่งมีระดับหยาบ ระดับกลาง และระดับละเอียด กล่าวคือ ศีลจะเป็นตัวควบคุมการกระทำที่ไม่ดีทางกายและทางวาจา ส่วนการกระทำทางใจซึ่งเป็นอกิริยานั้น สามารถควบคุมได้ด้วยการทำภาวนา คือฝึกอบรมจิตให้มีสติสัมปชัญญะ รู้ทันวาระจิตของตนเอง แม้เมื่อมีอารมณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้น แต่ถ้ามีสติปัญญารู้เท่าเอาทันก็จะสามารถเห็นมโนภาพหรือเห็นกรรมทางใจ ซึ่งเกิดขึ้นตามอำนาจของกิเลส เราก็จะรู้จักกิเลส เห็นกิเลสที่เกิดในจิต เกิดปัญญารู้ทันอำนาจของกิเลส เห็นโทษของการกระทำทางใจหรือมโนกรรม ที่เป็นไปตามอำนาจของกิเลส เห็นประโยชน์ของการไม่กระทำตามที่กิเลสบงการ ซึ่งมีผลเป็นบาป เป็นทุกข์

การรู้ทันจิตจะช่วยให้เราควบคุมมโนกรรมได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจก่อน จิตที่ถูกมิจฉาทิฏฐิครอบงำย่อมก่อให้เกิดมโนทุจริต ซึ่งเป็นอกิริยาก่อน แล้วจึงจะเป็นกายทุจริตกับวจีทุจริต อันเป็นกรรมที่เป็นกิริยาในภายหลัง การภาวนาจึงเป็นงานสำคัญ เป็นงานที่มีผลานิสงส์มาก เพราะหากทำสำเร็จแล้ว จะทำให้เราบรรลุถึงการไม่ทำบาปทั้งปวง คือรู้เห็นอาการแห่งการไม่ทำบาปทั้งปวงได้อย่างชัดเจน ขอเรียกว่า “รู้ทันกรรมฝ่ายบาป และสามารถควบคุมการกระทำฝ่ายบาปไม่ให้เกิดขึ้น”

๒. การทำกุศลถึงพร้อม กุศลคือบุญ เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับบาป มีผลทำให้เกิดความสุข เป็นกรรมตรงกันข้ามกับอกุศล บุญกับบาปเกิดขึ้นที่จิตก่อน อันดับแรกบุญกับบาปจะแย่งกันครอบครองเป็นเจ้าของจิต ฝ่ายใดครอบครองได้ ฝ่ายนั้นก็จะมีอำนาจ กรรมหรือการกระทำก็จะเป็นไปตามอำนาจของฝ่ายนั้น ทั้งนี้ แล้วแต่สติปัญญาของจิตนั้นว่าจะได้รับการศึกษาอบรมมาให้เห็นดีเห็นงามกับฝ่ายใด ผู้ไม่รู้จักฝืนมักจะถูกบาปซัดลงต่ำไปเรื่อย ๆ ผู้ใดสะสมบุญบารมีไว้มาก บุญก็จะพาไปที่สูง คือ สวรรค์ พรหมโลก และพระนิพพาน

มนุษย์ทั้งหลายมีการทำทั้งบุญทั้งบาป ชีวิตจึงเป็นสิ่งลุ่ม ๆ ดอน ๆ เป็นทุกข์บ้าง เป็นสุขบ้าง ผู้ใดรู้จักทำกุศลให้ถึงพร้อมก็มีความสุขนานหน่อย ผู้ใดทำบาปไว้มากก็มีความทุกข์นานหน่อย

การทำบุญกุศลนั้น พระพุทธองค์เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ” เรียกโดยย่อว่า “บุญกิริยาวัตถุ ๓” (ทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย) เรียกโดยละเอียดว่า “บุญกิริยาวัตถุ ๑๐” ผู้ใดทำได้ครบทุกอย่าง เรียกว่า “ทำกุศลให้ถึงพร้อม” การทำบุญทำกุศล ทำให้ได้ไปสวรรค์ พรหมโลก และนิพพาน ตามลำดับ

๓. การทำจิตใจให้ผ่องใส เป็นผลมาจาก “ภาวนามัย” คือ การฝึกอบรมจิตให้มีสติสัมปชัญญะ มีความระลึกได้และรู้ตัวอยู่เสมอ เห็นกิเลสต่าง ๆ ที่อยู่ในจิต รู้ผลของจิตที่กระทำตามกิเลสว่ามันจะเป็นทุกข์อย่างไรบ้าง ถ้าไม่อยากทุกข์เช่นนั้นจะต้องตัดกิเลส ละกิเลส ข้อนั้นตัวนั้นอย่างไร ธรรมที่เป็นเครื่องแก้กิเลสตัวนั้น ข้อนั้น มันคืออะไร เปรียบเหมือนโรคกับยาแก้โรค เมื่อโรคอันได้แก่ความทุกข์เกิดขึ้น ถ้าเราศึกษาจนรู้จักยาที่แก้โรคชนิดนั้นแล้วรีบนำยาแก้มากำจัด โรคนั้นก็หายทันที ไม่เป็นทุกข์ทรมาน เราต้องพิจารณาอย่างนี้ให้เห็นกิเลสน้อยใหญ่ทั้งหลาย จนกระทั่งสุดท้ายก็จะเห็นกิเลสที่เป็นหัวหน้าใหญ่อันได้แก่ “อวิชชา” ซึ่งเป็นแม่ของกิเลสทั้งหลาย หรือเป็นโรงงานผลิตกิเลส เมื่อเห็นแล้ว เราก็ใช้มหาสติมหาปัญญาที่สะสมเอาไว้ มาทลายโรงงานที่ผลิตกิเลสนั้นเสีย กิเลสทั้งหลายก็จะดับสิ้นหมด จิตใจของเราก็จะบริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กิเลส หรือตัวการที่ทำให้เกิดทุกข์ ความรู้ความเห็นก็จะตรงต่อนิพพาน รู้แจ้งเรื่องพระนิพพาน สุดท้ายก็เข้าสู่นิพพานได้ เรียกว่า “จิตเกษม” ผ่องใสไร้ทุกข์ จิตจะเป็นกลาง ๆ หรือเฉย ๆ แต่รู้เท่าทัน ไม่หลงรักหลงชังต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดจนเกินสมควรต่อธรรมตลอดกาล......... 

พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐเลิศล้ำของโลก พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาผู้เป็นนายกโลกนั้น กว่าจะเกิดขึ้นได้แต่ละพระองค์ต้องบำเพ็ญบารมีต่อเนื่องยาวนานอย่างต่ำ ๔ อสงไขย ขึ้นไป ฉะนั้น จงเคารพนับถือพระพุทธเจ้า เคารพนับถือพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เคารพนับถือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงศีลบริสุทธิ์เถิด แล้วจะพ้นทุกข์ พ้นกรรม พ้นเวร ได้สมความปรารถนา 

(จากบางส่วนหนังสือ รู้ทันกรรม-นำสุข-พ้นทุกข์ โดย อาจารย์แปลง สุวรรณกาญจน์)
@ ดูแลความรู้สึกของกันและกันนิดนึงนะคะ ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับข้อเขียนของเพื่อนคนอื่นๆ หรือไม่ก็ตาม

@ ช่วยกันใช้ "ภาษาไทย" ให้ถูกต้อง และงดโพสข้อความโฆษณาค่ะ

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: รู้ทันกรรม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2010, 01:40:47 pm »
 :13:  อนุโมทนาครับพี่แป้ง
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ mmm

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 206
  • พลังกัลยาณมิตร 109
  • <( O-O )>
    • ดูรายละเอียด
Re: รู้ทันกรรม
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 11:06:26 am »
 :45: :45: :45:


สาธุครับ
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง
ผู้ก่อกรรมดี   ย่อมได้รับกรรมดี
ผู้ก่อกรรมชั่ว ย่อมใด้รับกรรมชั่ว
"ใช้ใจดู จะรู้จิต  ใช้จิตดู จะรู้ใจ"