ผู้เขียน หัวข้อ: Man Meets Dog ( กฤษดาวรรณ 28 พ.ย. 61 )  (อ่าน 29685 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Man Meets Dog ( กฤษดาวรรณ 28 พ.ย. 61 )
« เมื่อ: ธันวาคม 09, 2018, 04:38:10 pm »


ช่วงนี้ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ในป่า เรื่องราวเหล่านี้สำคัญเพราะนอกจากจะปลุกเร้าความกรุณาให้เกิดขึ้นในใจ ยังเตือนใจเราให้นึกถึงสัตว์เดรัจฉานที่เป็นเพื่อนร่วมโลกกับเรา

ในหมู่สัตว์โลกหกภพภูมิ (เทวดา อสูร มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต สัตว์นรก) เฉพาะสัตว์เดรัจฉานเท่านั้นที่เราเห็น สัมผัส เชื่อมโยง ให้อาหารด้วยความรัก หรือผลักไสด้วยความเกลียด โอบกอดด้วยความเอ็นดู หรือสังหารด้วยโลภะ ตลอดจนใช้แรงงานเยี่ยงทาส

สัตว์โลกในภูมิอื่นแม้ชาวพุทธเราเชื่อว่ามีอยู่โดยบ้างเสวยสุข (แต่ก็เพียงเวลาชั่วคราว) บ้างทุกข์อย่างแสนสาหัส บ้างสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป แต่เราไม่สามารถเชื่อมโยงกับพวกเขาได้โดยตรงดังสัตว์เดรัจฉานจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในสวน ใต้ชายคาบ้าน หรือแม้แต่ในห้องนอนของเรา

เมื่อตอนเป็นเด็ก ครูมีลูกหมาอยู่ตัวหนึ่งที่คุณป้านำมาให้จากกรุงเทพ จำไม่ได้ว่า คุณอาคนใดหรือใครเป็นผู้ตั้งชื่อลูกหมาตัวนี้ มันมีชื่อที่หรูเลิศว่า อเลน เดอลอง ซึ่งเป็นชื่อของพระเอกหนังชาวฝรั่งเศสที่โด่งดังในขณะนั้น   

เพราะเจ้าอเลนน้อยตัวนี้ ครูจึงกลายเป็นเด็กดี ไม่เที่ยวเล่นนอกบ้านอีกต่อไป ไม่อย่างนั้น ทุกช่วงที่มีโอกาส ครูจะไปขลุกตัวอยู่แถวกองทรายที่ก่อสร้าง เดินเล่นตามถนน บางทีก็ไปเดินหาเศษสตางค์ที่ตกหล่นอยู่ตามถนนเพื่อจะได้ไม่ต้องขอเงินคุณพ่อ เพราะเมื่อขอ คุณพ่อมักพูดว่า ไม่เห็นต้องซื้อขนมเลย ขนมที่บ้านมีอยู่เยอะแยะ

วันหนึ่ง ขณะที่กำลังเล่นอยู่บนกองทรายใกล้บ้าน ป้าจากกรุงเทพก็มาเรียกให้ไปดูลูกหมาที่ป้าเอามาให้ เมื่อเห็นเจ้าลูกหมาตัวนี้ เด็กน้อยลิงโลดอย่างที่สุด จากนั้น เด็กน้อยเที่ยวเล่นน้อยลง กองทรายก่อสร้างที่เคยเป็นสวนสนุกและสถานสร้างฝันก็หายไปจากความทรงจำ มีเพียงการวิ่งเล่นของเด็กน้อยกับอเลนในสวนหลังบ้าน เธอออมเงินค่าอาหารกลางวันด้วยการเดินกลับจากโรงเรียนมากินข้าวบ้านเพื่อให้มีเงินเหลือซื้อขนมให้อเลน หลายครั้งที่เธออธิษฐานให้อเลนพูดได้ แต่คำอธิษฐานนั้นก็ไร้ผล

เราเลี้ยงอเลนด้วยความรักอย่างที่สุดและมันก็อ้วนท้วนหลังทำหมัน จนเหมือนลูกหมูตัวย่อมตัวหนึ่ง แต่วันหนึ่ง มีการจุดพลุใหญ่ในหัวหิน เสียงดังสนั่นหวั่นไหวของพลุทำให้อเลนตกใจและวิ่งหายไปจากบ้าน 10 วัน

ช่วงเวลานั้น พวกเราโศกเศร้ากัน โดยเฉพาะคุณย่า มักจะยืนเช็ดน้ำตาอยู่บ่อยๆ เมื่อมีการพูดถึงอเลน พี่ๆ น้องๆ ของครูต่างเสียใจกัน เราคิดว่ามันหลงทางหรืออาจตายจากไป บ่อยครั้งที่พวกเราเห็นคุณพ่อยืนพนมมืออยู่หน้าหิ้งพระ ท่านอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ช่วยให้อเลนกลับมา

แล้วคำอ้อนวอนนั้นก็ได้รับการขานตอบในเช้าตรู่วันหนึ่ง เราได้ยินเสียงคุ้ยที่ประตูบ้าน เมื่อคุณพ่อไปเปิดดู จึงพบอเลนที่มอมแมมและดูผอมลงกำลังพยายามเข้าบ้าน คงไม่ต้องบอกว่า วินาทีนั้นพวกเรามีความสุขเพียงไร เด็กๆ ทุกคนในบ้านถูกปลุกด้วยเสียงแห่งความยินดี อเลนกลับมาแล้ว อเลนกลับมาแล้ว เราทุกคนต่างสวมกอดอเลน สำรวจรอยแผลตามเนื้อตัวของมัน แล้วคิดกันไปต่างๆ นานา ว่ามันไปเผชิญอะไรมาบ้างตลอด 10 วันที่มันหายไป

จากนั้น อเลนก็ไม่เคยหายไปไหนอีกเลย พลุยังคงจุดอยู่บ่อยๆ กลางเมืองหัวหินเมื่อมีงานรื่นเริงหรืองานศพ แต่เราเรียนรู้ที่จะปกป้องอเลนและอยู่เป็นเพื่อนมันในยามที่มันหวาดกลัว

จนถึงเวลาที่ครูต้องไปเรียนต่อระดับมัธยมปลายในกรุงเทพ ครูกับอเลนแยกจากกัน ด้วยการเรียนอย่างหนักหน่วงที่เด็กจากต่างจังหวัดคนหนึ่งจะพึงต้องทำ ครูจึงลืมอเลนไปเป็นเวลาหลายเดือน จนเมื่อปิดเทอมใหญ่จึงกลับมาบ้าน แล้วได้เล่นกับอเลนอีก มันจะดีใจจนฉี่ราดทุกครั้งที่เห็นพวกเราพี่ๆ น้องๆ กลับมาเยี่ยม

ในปีสุดท้ายก่อนจะขึ้นมหาวิทยาลัย ครูเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อสอบเอ็นทรานซ์ ปิดเทอมนั้นจึงกลับมาบ้านช้าเพราะต้องรอสอบให้เสร็จเสียก่อน เมื่อกลับมา บ้านดูเงียบเหงา ไม่มีเสียงร้องที่คุ้นหูต้อนรับ อเลน สัตว์เลี้ยงผู้ชราภาพ ได้จากโลกนี้ไปหลายเดือนก่อนหน้านั้น เมื่อถามคุณพ่อว่า อเลนหายไปไหน ท่านบอกว่า อเลนตายแล้ว ครูในวัย 15 ปี ใจหาย ทำไมคุณพ่อไม่บอกตอนมันตายใหม่ๆ ท่านพูดว่า บอกได้ยังไงล่ะ เดี๋ยวไม่มีกำลังใจเรียนหนังสือ

คุณพ่อมีเหตุผลเสมอและเหตุผลของคุณพ่อทุกครั้งได้ช่วยให้เด็กขี้เกียจ ชอบเล่น กลายมาเป็นเด็กขยันเรียนและเรียนสำเร็จมาโดยตลอด คุณพ่อเล่าว่าได้นำอเลนไปฝังที่ที่ดินหลังเขา ที่ๆ ซึ่งครอบครัวของเราได้ฝังหมาที่เราเลี้ยงอีกหลายตัวในช่วงที่อเลนมีชีวิตอยู่แต่พวกมันก็ถูกรถทับตายกันหมดเพราะบ้านเราติดถนนใหญ่

ในตอนนั้น ครูไม่รู้ความสำคัญของการฝังสัตว์หลังมันตายจากไป จนกระทั่งมาศึกษาเรื่องความตายแบบทิเบตจึงรู้ว่าความสำคัญอยู่ที่เราไม่เห็นการตายของสัตว์ที่เราเลี้ยงเป็นเหมือนกับการผุพังของวัตถุชิ้นหนึ่งแล้วเราโยนมันทิ้งไปเหมือนเราทิ้งขยะ แต่เราเห็นคุณค่าของมัน ให้การฝังศพเป็นพิธีกรรมเล็กๆ ที่เราได้แสดงออกว่าเราไม่เห็นมันเหมือนของเก่าที่ไร้ค่า และในฝ่ายทิเบต เราไม่เพียงแต่ฝัง แต่ยังสวดมนต์ให้ ภาวนาให้มันได้เดินทางต่อในชีวิตหลังตายอย่างเข้มแข็งจนกระทั่งได้เกิดใหม่ในภูมิที่ประเสริฐและได้ปฏิบัติธรรมจนถึงการหลุดพ้น แม้เป็นหมา เราก็ใช้คำอธิษฐานเช่นนี้ ทุกๆ ก้อนดินที่เราหยิบขึ้นมากลบร่างของสัตว์เลี้ยงของเราจะมีคำภาวนาอยู่ เป็นมนตราขอให้มันได้ไปเกิดดี

หลังจากอเลนตาย บ้านเราก็ไม่มีสัตว์เลี้ยงอีกเลย จนกระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 20 ปี จนแมวเข้ามาในชีวิต

เรื่องของอเลนสอนครูให้ได้ฟูมฟักความรักแบบพิเศษที่เราจะมีได้ต่อสัตว์เลี้ยง ให้ได้รู้จักการเสียสละ ได้เห็นความงดงามอย่างที่สุดจากมิตรภาพระหว่างมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉาน และได้เรียนรู้เรื่องความเที่ยงแท้ของความตายและการจากพราก

เมื่อเรียนจบ จนลาออกจากงาน จนมาใช้ชีวิตเป็นนักภาวนาและเป็นครูสอนธรรมะ ความรักที่ได้บ่มเพาะในวัยเด็กต่อสัตว์เลี้ยงของตนได้ขยายกว้างขึ้นให้รวมสัตว์เลี้ยงอื่นๆ และสัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง ความรักนั้นกว้างขึ้น แผ่ขยายไปครอบคลุมชีวิตมากมายโดยไม่เลือกสายพันธุ์ เราไม่ต้องเรียกร้องผลประโยชน์กลับมา มีแต่ความรักที่เป็นดังสายใยถักทอจนหัวใจของเรากับสัตว์เหล่านั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

กฤษดาวรรณ
28 พ.ย. 61

Photo credit : Man Meets Dog
https://en.wikipedia.org/w/index.php?curid=49131481

จาก https://m.facebook.com/graphsearch/str/มูลนิธิพันดารา+the+thousand+stars+foundation/keywords_search?tsid=0.4671316464160564&source=result
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 09, 2018, 04:50:37 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...