ผู้เขียน หัวข้อ: ว่าด้วยเรื่อง เมาแล้วขับ  (อ่าน 730 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ว่าด้วยเรื่อง เมาแล้วขับ
« เมื่อ: เมษายน 09, 2023, 11:38:49 am »
.
.
ช่วงงานสงกรานต์ในปีนี้ (ปี 2566)
การเดินทางของหลายๆท่าน มีการเดินทางกลับไปภูมิลำเนาของตนเอง
เดินทางกันด้วยความระมัดระวังกัน
เตรียมความพร้อมของร่างกาย ให้พร้อมกับการเดินทางไกล
พักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนออกเดินทาง
.
หากท่านใดขับรถยนต์ส่วนตัวไปเอง #เมาไม่ขับ ครับ
แสดงความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
.
หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ท่านที่เมาแล้วขับ ไม่มีปัญญาไปรับผิดชอบใครได้เลย
ย้ำว่า ท่านที่เมาแล้วขับ ไม่มีปัญญาไปรับผิดชอบใครได้เลย
.
ลองใช้สมองคิดดูครับ  ถ้าหัดใช้สมองคิด จะทราบถึงเหตุและผลที่จะเกิดขึ้นได้แน่นอน
หากเกิดเหตุมีคนเมาแล้วขับรถไปชนกับ ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ของท่าน
ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้องของท่าน เสียชีวิต หรือ พิการไปตลอดชีวิต ท่านจะรู้สึกอย่างไร
.
ย้ำอีกรอบ
หากเกิดเหตุมีคนเมาแล้วขับรถไปชนกับ ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ของท่าน
ลูกหลาน พ่อแม่ ญาติพี่น้องของท่าน เสียชีวิต หรือ พิการไปตลอดชีวิต ท่านจะรู้สึกอย่างไร
.
ฝากไว้ให้คิด ????????????????????????????????????????
.
.
.*******************************************.
.
.
ว่าด้วยเรื่อง เมาแล้วขับ
.
กฎหมายน่ารู้ ตอนที่ 415 : ระดับแอลกอฮอล์เท่าไรเจอโทษเมาแล้วขับ หากไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์จะผิดกฎหมายหรือไม่
.
.
ที่มา moj (เว็บไซด์กระทรวงยุติธรรม)
10 มี.ค. 2566 เวลา 15:24 น.
ที่มาของรูป moj
.
.
ชื่อตอน : ระดับแอลกอฮอล์เท่าไรเจอโทษเมาแล้วขับ หากไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์จะผิดกฎหมายหรือไม่
.
       เป่าแอลกอฮอล์เท่าไร ถึงมีโทษเมาแล้วขับ ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ใน 4 กรณี ดังต่อไปนี้ ถือว่าเมาแล้วขับ คือ
.
1) ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
2) ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับใบอนุญาตขับรถชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ เช่น มือใหม่ใบอนุญาตขับขี่ยังไม่ถึง 2 ปี
3) ผู้ขับขี่ซึ่งมีใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้
4) ผู้ขับขี่ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรืออยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่บุคคลที่มีใบขับขี่ตลอดชีพหรือใบขับขี่ 5 ปี และมีอายุเกิน 20 ปี ถือว่าเมาแล้วขับ
.
       หากเป่าแอลกอฮอล์แล้วพบว่า ปริมาณเกินกำหนดทั้ง 2 กรณี จะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี
.
       ในกรณีที่ไม่เป่าแอลกอฮอล์ในทางกฎหมายจะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
.
       สำหรับโทษของการเมาแล้วขับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเป่าแอลกอฮอล์แล้วเกินกำหนดหรือเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี กำหนดให้ผู้ขับขี่ที่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ดังนี้
.
- เมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนด ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
.
- ผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ กระทำผิดครั้งแรกจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี/1 มาตรา 160ตรี/2 และมาตรา 160 ตรี/3
.
ข้อมูลจาก : พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 มาตรา 160 มาตรา 160 ตรีกฎกระทรวง ฉบับที่ 21 (พ.ศ. 2560) ข้อ 3 (1)
.
.
.
.
.
เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่ตามกฎหมายจราจรใหม่ 2566
.
.
ที่มา tidlor (เว็บไซด์เงินติดล้อ)
.
.
มาแล้วขับถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนบนท้องถนนซึ่งสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก จะเห็นได้ว่ามีคดีความเมาแล้วขับเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในเทศกาล เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ หรือวันเฉลิมฉลองอื่น ๆ เพราะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้ผู้ขับขี่ขาดสติ หลายคนจึงสงสัยว่า ในกรณีที่เมาแล้วขับประกันรถจะจ่ายไหม มีค่าปรับเท่าไหร่ตามกฎหมายจราจรใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้งาน  ต้องเป่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ถึงจะเป็นคนขาดสติ ซึ่งในบทความนี้มีคำตอบมาให้คุณแล้วครับ
.
เมาแล้วขับเป่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ถือว่าขาดสติ
กฎกระทรวงฉบับเก่า ระบุว่า หากผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเมาสุราตาม กฎกระทรวงฉบับที่ 16 พ.ศ.2537 ออกความใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ข้อ 3 แต่กฎกระทรวงที่ว่านี้ได้เปลี่ยนเนื้อความเป็นกฎหมายฉบับใหม่พร้อมรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย
.
กฎกระทรวงฉบับที่  21 พ.ศ.2550 ออกความใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ระบุว่า ระบุว่า ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่าเมาสุรา ยกเว้นผู้ขับขี่ใน 4 กรณีต่อไปนี้ ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่าเมาสุรา คือ
.

    ผู้ขับขี่ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์
    ผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ชั่วคราว (ใบขับขี่อนุญาตแบบ 2 ปี)
    ผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ประเภทอื่น ซึ่งใช้แทนกันไม่ได้
    ผู้ขับขี่ที่ถูกยกเลิกใบขับขี่ หรืออยู่ระหว่างการพักใช้งานใบขับขี่

.
ถึงแม้กฎหมายจราจรเมาแล้วขับฉบับใหม่จะระบุเอาไว้ว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่ควรเกิน 50 มิลลิกรัม แต่จริง ๆ แล้วการมีสติที่ครบถ้วน ไม่ดื่มเหล้าก่อนขับนั้นปลอดภัยที่สุด หากรถทุกคันปฏิบัติตามกฎหมายจราจรใหม่ 2566  แน่นอนว่าอุบัติเหตุเรื่องเมาแล้วขับจะลดน้อยลงมาก ๆ เลยครับ
.
ค่าปรับเมาแล้วขับเสียเงินกี่บาท มีโทษตามกฎหมายอะไรบ้าง?​
ถึงแม้ว่าวิจัยเรื่อง “ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขับรถโดยไม่ผิดกฎหมาย” ระบุเอาไว้ว่า  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 5 ดีกรี มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ (เทียบเท่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 กระป๋อง) ไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าอยากขับขี่ให้ปลอดภัยที่สุดคือการเลือกเมาแล้วไม่ขับ
.
หากคุณไม่ทำตามกฎหมายจราจรจนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนหรือคนอื่น ๆ ต้องมีโทษตามมา โดยเงินติดล้อจะแบ่งค่าปรับเมาแล้วขับแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ (1) เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่ (2) เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่หากทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
.
เมาแล้วขับเสียค่าปรับเท่าไหร่ตามกฎหมายจราจรใหม่ 2566

    เมาแล้วขับครั้งที่ 1 จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่
    เมาแล้วขับครั้งที่ 2 โดยเกิดขึ้นภายใน 2 ปี จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ ปรับ 50,000-100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักอนุญาตใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

.
เมาแล้วขับทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ มีอัตราโทษอะไร เสียค่าปรับเท่าไหร่

    เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ จำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่
    เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส จำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่
    เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต จำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ทันที

.
และนี่คือ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 หรือกฎหมายจราจรฉบับใหม่ ที่เพิ่มเรื่องเมาแล้วขับทำผิดซ้ำ 2 ลงไปในกฎหมายจราจร เมื่ออ่านดูแล้วมีโทษและค่าปรับที่หนักหนาสาหัสมาก ทางที่ดีไม่เมาแล้วขับจะดีที่สุด ถึงแม้จะเสียเงินค่าปรับไหว แต่สิ่งที่เสียไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้คือชีวิตเลยนะครับ
.
ถ้าเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุ ขอเคลมประกันรถยนต์ได้ไหม
.
เรื่องนี้ต้องแบ่งคำตอบออกเป็น 2 ข้อ เพราะประกันรถยนต์มีทั้ง พ.ร.บ.รถยนต์ และ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1, ประกันชั้น 2+ และประกันชั้น 3+) แต่ละประเภทมีเงื่อนไขในการคุ้มครองที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าถามว่าเมาแล้วขับ ประกันรถยนต์จ่ายไหม ขอเคลมประกันรถยนต์ได้หรือเปล่า ซึ่งแจกแจงได้ดังนี้
.
เมาแล้วขับ พ.ร.บ.รถยนต์ คุ้มครองไหม จ่ายค่าเสียหายให้หรือเปล่า
.
ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร หน้าที่ของ พ.ร.บ.รถยนต์ คือคุ้มครองผู้เอาประกันรถยนต์และคู่กรณี โดยไม่พิสูจน์ความถูกหรือผิด ซึ่งจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ค่าเสียที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของผู้เอาประกัน พ.ร.บ.รถยนต์ จะไม่คุ้มครองครับ
.
เมาแล้วขับ ประกันรถยนต์จ่ายไหม คุ้มครองใครบ้าง?
.
ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ประกันรถยนต์จะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและฝ่ายเสียหาย ถ้าแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองผู้เอาประกัน แม้จะซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่มีเบี้ยสูงสุดก็ตาม แต่คุ้มครองฝ่ายเสียหายตามเงื่อนไขของประกันรถยนต์ที่ซื้อไว้ ซึ่งบริษัทประกันจะไล่ค่าเสียหายทั้งหมดจากผู้ประกันเพื่อนำไปชดใช้ให้ผู้เสียหายในลำดับถัดไปอีกด้วย
.
สรุป
.
และนี่คือสิ่งที่ต้องได้รับโทษและเสียค่าปรับหากเมาแล้วขับรถ ซึ่งการจะเรียกว่าเมาแล้วขับได้คือคุณได้เป่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดแล้วมีค่าสูงกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ได้มีการประกาศใช้กฎหมายจราจรฉบับใหม่เรื่องเมาแล้วขับทำผิดซ้ำ 2 เพิ่มมา ต้องเสียค่าปรับมากขึ้นและมีโทษจำคุกที่นานขึ้น แถมประกันรถยนต์ภาคสมัครใจไม่คุ้มครองกรณีเมาแล้วขับอีกด้วย แต่ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.รถยนต์) จะคุ้มครองโดยจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่พิสูจน์ความถูกผิด แต่ถึงอย่างนั้นการเมาไม่ขับดีที่สุดครับ!
.
.
.*******************************************.
.
.
10 จุดสำคัญของรถที่ควรเช็กก่อนเดินทางไกลง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
.
ที่มา bridgestone (เว็บไซด์ บริดจสโตน )
.
.
ผู้ขับขี่ควรเช็กสภาพรถยนต์ของตนเองก่อนออกเดินทางไกล เพื่อความปลอดภัยและความราบรื่นในการเดินทาง ไม่ต้องประสบกับปัญหารถเสียระหว่างทาง โดยเฉพาะหากต้องเดินทางไกลไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงฤดูฝนที่มักจะเจอกับเหตุการณ์ฝนตกหนัก ถนนลื่น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อให้คุณสามารถเช็กรถยนต์ด้วยตัวเองเราจึงได้รวม 5 จุดสำคัญที่ควรเช็กภายในรถก่อนเดินทางไกลมาแนะนำ
.
1. แบตเตอรี่รถยนต์
.
ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนออกเดินทางทุกครั้งควรจะดูว่า ขั้วแบตและฉนวนสายไฟมีการเชื่อมต่อดีหรือไม่ หมั่นตรวจเช็กทำความสะอาดคราบขี้เกลือบริเวณขั้วแบตเตอรี่ และเช็กระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนดเสมอ
.
2. ยางรถยนต์ และช่วงล่างของรถ
.
เป็นอีกหนึ่งข้อที่ขาดไม่ได้ในการตรวจสภาพรถยนต์ คือ การตรวจสอบยางรถยนต์ หากไม่มีการเช็กยางรถยนต์ก่อนเดินทางไกล โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็จะยิ่งสูงขึ้น
.
โดยตรวจเช็กความลึกร่องดอกยางและตรวจดูว่ายางรถมีรอยเจาะ ยางแตกลายงา ยางบวม ดอกยางหมดหรือไม่ ซึ่งร่องดอกยางควรมีความลึกไม่น้อยกว่า 1.6  มิลลิเมตร หากเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งก็ควรพิจารณาเปลี่ยนยางใหม่  นอกจากนี้ ควรตรวจสอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของช่วงล่างด้วย เช่น ลูกหมาก โช้ครถ เป็นต้น
.
3. น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก และระบบเบรก
.
นับเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้ ยิ่งเวลาขับรถตอนฝนตกหนัก ถนนลื่น การควบคุมรถจะยากกว่าปกติ ควรตรวจเช็กระดับน้ำมันเบรก และน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทางที่ดีควรมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตร เผื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และอย่าลืมเช็กน้ำมันเบรก ผ้าเบรกรวมถึงระบบเบรกว่ามีความผิดปกติหรือไม่  หากน้ำมันเบรกลดลงต่ำกว่าระดับ Min หรือมีการลดลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดการรั่วในระบบเบรก ควรนำรถเข้าตรวจเช็กโดยช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย
.
4. เช็กหม้อน้ำ ท่อยาง และระบบหล่อเย็น
.
การขับรถระยะไกล ทำให้เครื่องยนต์สะสมความร้อนปริมาณมาก หากระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ไม่ดีหรือมีปัญหา อาจทำให้เครื่องยนต์น็อค
.
แนะนำว่าก่อนออกเดินทางควรเช็กระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพัก และหม้อน้ำ รวมไปถึงการทำงานของพัดลมหม้อน้ำ มอเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย หากคุณพบว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่แน่ใจ แนะนำให้ไปที่ศูนย์บริการค็อกพิทใกล้บ้านท่านเพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจสอบ
.
5. ระบบไฟส่องสว่าง
.
ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก ไฟฉุกเฉิน ควรใช้งานได้ตามปกติ ส่องสว่างได้ดี เพื่อจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขับรถในเวลากลางคืนหรือ ตรวจสอบไฟรถแล้วก็อย่าลืมเช็กใบปัดน้ำฝนดูด้วยล่ะว่ายังใช้งานได้ปกติหรือไม่
.
6. ที่ปัดน้ำฝน
.
ที่ปัดน้ำฝนเป็นอุปกรณ์ที่ถูกมองข้ามเมื่อพูดถึงการเช็กรถก่อนเดินทางไกล ในความเป็นจริงแล้วทัศนวิสัยขณะขับรถ คือหัวใจสำคัญของความปลอดภัย ที่ปัดน้ำฝนจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญ เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าในระหว่างการเดินทางฝนจะตกหรือไม่
.
ดังนั้น อย่าลืมเช็กว่าที่ปัดน้ำฝนรีดน้ำได้ดี มีอาการเปื่อย ยุ่ย หรือเสื่อมสภาพหรือไม่ หากมีอาการดังกล่าวควรเปลี่ยนใหม่ทันที หรือควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนทุก ๆ 6-12 เดือน
.
7. น้ำมันเกียร์และน้ำมันคลัตช์
.
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การจอดรถบนทางราบและใส่เบรกมือ จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วเปลี่ยนเกียร์ ไล่ไปตั้งแต่ P จนถึง L เมื่อเปลี่ยนเกียร์ควรค้างไว้ที่ตำแหน่งนั้น ๆ สักครู่ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเกียร์ถัดไป
.
เมื่อครบทุกเกียร์แล้วจึงเลื่อนมาเป็นเกียร์ P หรือ N และดึงก้านวัดระดับเกียร์ออกมาทำความสะอาด จากนั้นใส่ก้านวัดกลับเข้าไปแล้วดึงออกมาใหม่ ให้สังเกตดูว่าระดับน้ำมันที่ติดออกมาอยู่ตรงตำแหน่งไหน หากยังอยู่ตรง H แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติปกติ หรืออยู่ระหว่างกลาง Min กับ Max แสดงว่าระดับน้ำมันเกียร์ธรรมดาปกติ หากน้ำมันคลัตช์หายมากจนผิดปกติ แนะนำให้รีบหาสาเหตุ หรือนำรถไปเช็กและแก้ไขทันที
.
8. แผ่นกรองอากาศ
.
แผ่นกรองอากาศเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยปกป้องรถจากสิ่งไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ภายนอก โดยแผ่นกรองอากาศที่อุดตันจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าปกติ ส่งผลให้ส่วนประกอบภายในเครื่องยนต์สึกหรอได้ การตรวจสอบแผ่นกรองอากาศใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เพียงเปิดตู้แอร์แล้วนำตัวกรองอากาศออกมาตรวจดู ทำการดูดสิ่งสกปรกออก หรือจะเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศใหม่ในกรณีที่จำเป็น
.
9. ระบบแตรรถยนต์
.
เมื่อพูดถึงจุดสำคัญของรถที่ควรเช็กก่อนเดินทางไกล คนส่วนใหญ่มักไม่คิดว่าจะต้องตรวจระบบแตรด้วย ในความเป็นจริงแล้วแตรรถมีความสำคัญอย่างมาก เพราะในขณะขับขี่เราอาจจำเป็นต้องใช้แตรเพื่อสื่อสารและส่งสัญญาณกับรถคันอื่น ดังนั้น อย่าลืมเช็กระบบแตรว่ายังเสียงดังและลมแตรยังดีอยู่หรือไม่ด้วย
.
10. แผงควบคุมและหน้าปัด
.
เป็นอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเช็กรถก่อนเดินทางไกล ควรตรวจสอบแผงควบคุมและหน้าปัดภายในรถว่าทำงานปกติหรือไม่ แสงไฟ ตัวเลขบนหน้าปัดและปุ่มควบคุมต่าง ๆ สามารถใช้งานได้ตามปกติหรือเปล่า เพื่อจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขับขี่ระยะไกล
.
.
นอกจาก 10 จุดสำคัญข้างต้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรหลงลืมเป็นอย่างยิ่งเมื่อต้องเดินทางไกลในฤดูฝน นั่นคืออุปกรณ์และเครื่องมือต่างที่จำเป็นต้องใช้ยามฉุกเฉิน อาทิ ยางอะไหล่ สเปรย์ปะยาง แม่แรง ชุดเครื่องมือในการถอดล้อ ที่เติมลมฉุกเฉิน สายพ่วงแบตเตอรี่ พกติดรถเอาไว้ให้อุ่นใจ ปลอดภัยตลอดเส้นทาง
.
.
.*******************************************.
.
.
ที่มาของคลิปทั้งหมด
.
.
เริ่มใช้วันนี้! 'กฎหมายจราจรฉบับใหม่' มีผลบังคับใช้ 5 ก.ย. เพิ่มโทษ ปรับหนัก
.
https://www.youtube.com/watch?v=8FdLnc9nKPQ
.
ที่มา เรื่องเล่าเช้านี้
5 ก.ย. 2022
.
.
เริ่มแล้ว! กฎหมายจราจรใหม่ เมาแล้วขับซ้ำปรับโหด 1 แสน
.
https://www.youtube.com/watch?v=8mA8RxhOIzU
.
ที่มา CH7HD News
5 ก.ย. 2022
.
.
นักดื่ม ระวัง ! กฎหมาย "เมาแล้วขับ" เพิ่มโทษ ทำผิดซ้ำซากภายใน 2 ปีเจอโทษหนัก
.
.
https://www.youtube.com/watch?v=RHRps2SBoXE
.
ที่มา CH7HD News
25 ธ.ค. 2022
.
.
.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)