Kimi no Na wa เย็นวันนั้นที่เราต่างเห็นดาวหาง บทความนี้มีการสปอยล์
หากคุณไม่ชื่นชอบการโดนสปอยล์
กรุณากลับมาอ่านอีกครั้งหลังชมภาพยนตร์เรียบร้อยแล้ว
1. มันเป็นเย็นวันหนึ่งอันแสนธรรมดาและน่าเบื่อในมหานครโตเกียวสำหรับทาคิ เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่รับงานพิเศษเป็นพนักงานเสิร์ฟในภัตตาคารอิตาเลียนแห่งหนึ่ง เป็นอีกวันหนึ่งซึ่งก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษให้ระลึกถึงหากไม่ใช่ว่าในยามที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำและดวงดาวนับล้านพันสุกสะพรั่งจรัสฟ้า จะมีดาวหางสีฟ้าดวงมหึมาตัดผ่านน่านฟ้าโลกด้วยความเร็วคงที่และเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีถึงจะได้เห็นภาพเช่นนี้อีกครั้ง ทาคิมองตามดาวหางดวงนั้นลอยผ่านโดยไม่รู้เลยว่าชีวิตตัวเองนับแต่วินาทีนั้นได้ถูกผูกเข้ากับวัตถุลอยฟ้าดวงยักษ์เข้าเสียแล้ว
ไกลออกไปจากเมืองหลวง ในชนบทที่เย็นวันนั้นกลับไม่เงียบสงบด้วยเพราะมีงานวัดซึ่งชาวบ้านต่างก็เข้าร่วมจับจ่ายซื้อของและกินขนมอย่างปกติสุข แย้มยิ้มให้กันอย่างสนุกสนาน เพลิดเพลินกับชีวิตอันเรียบง่าย หากแต่สำหรับมิตสึฮะ เด็กสาวมัธยมที่สักวันจำต้องสืบทอดตำแหน่งคนทรงประจำตระกูลแล้ว เธอไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่นักในวันนั้น แม้จะสวมยูกาตะชุดสวย แต่สีหน้ากลับดูเศร้าจนสังเกตได้ ดังว่ามีอะไรอยู่ในใจแต่ก็ไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ ในระหว่างทางไปยังงานวัดนั้นเองที่จู่ๆ ก็มีดาวหางดวงโตปรากฏขึ้นบนฟ้า มิตสึฮะมองตามเส้นสายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับถูกดึงดูดเอาไว้ ดาวหางดวงนั้นมีอะไรบางอย่างที่สำคัญกับชีวิตเธอ แต่ไม่ทันที่จะได้รู้ว่าคืออะไร ทุกสิ่งที่เธอมองก็พลันเปลี่ยนไปเป็นสีขาวโพลน
จู่ๆ ก็มีดาวหางดวงโตปรากฏขึ้นบนฟ้า
มิตสึฮะมองตามเส้นสายที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับถูกดึงดูดเอาไว้… 2.‘Kimi no Na wa’ หรือ ‘Your Name’ คือภาพยนตร์แอนิเมชั่นผลงานของผู้กำกับนามมาโคโตะ ชินไค ที่สร้างปรากฏการณ์ฮิตถล่มทลายที่ญี่ปุ่น และถึงกับครองอันดับหนึ่งของ Box Office ญี่ปุ่น (จนถึงวันที่เขียนอยู่นี้) ก็สิบสัปดาห์เข้าไปแล้ว เรียกว่าแค่สถิติปะหน้าก็มากพอที่จะทำให้หลายๆ คนเฝ้ารอที่จะได้ชมแอนิเมชั่นเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อได้ดูก็ไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไม Kimi no Na wa ถึงได้ถลุงรายได้กันไม่เว้นวันขนาดนี้ เพราะแค่เฉพาะงานด้านภาพ(ซึ่งเป็นจุดเด่นของผู้กำกับท่านนี้อยู่แล้ว) ก็แสนจะประณีตและงามหยดอยู่แล้ว พอผนวกเข้ากับเนื้อเรื่องที่สนุก และตัวละครที่มีเสน่ห์ ก็ยิ่งส่งให้แอนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นที่ถูกใจได้ไม่ยากเลย
งานภาพที่ประณีต จุดเด่นของงานของมาโคโตะ ชินไค
กระนั้นแล้วก็มีอยู่จุดหนึ่งที่ชวนให้สังเกตนั่นคือการใช้เพลงเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการเล่าเรื่อง คือไม่ใช่แค่เล่นคลอเป็นฉากหลังในลักษณะของสิ่งประกอบฉาก แต่เป็นการหยิบเอาเพลงเข้ามาใช้เป็นวิธีการเล่ารูปแบบหนึ่งเลย ยกตัวอย่างเช่น หนังจะถูกเร่งจังหวะขึ้น เวลาในฉากนั้นๆ จะผ่านไปเร็วขึ้น เล่าผ่านเหตุการณ์ระยะหนึ่งอย่างรวดเร็วเพื่อให้เห็นถึงพัฒนาการของตัวละครในภาพกว้าง แทนที่จะเน้นการโฟกัสที่ช่วงเวลาเดียวอย่างละเอียด ด้วยเทคนิคเช่นนี้ในทางหนึ่งมันก็ช่วยขับเคลื่อนเรื่องได้ครอบคลุมดี แต่ในอีกทางมันก็แสดงให้เห็นถึงปริมาณอันล้นปรี่ของเรื่องที่ต้องการจะเล่า หากด้วยข้อจำกัดที่มีก็ไม่อาจเล่าเรื่องได้หมดอย่างที่ต้องการ และตรงจุดนี้เองที่สำหรับผมแล้วก็ได้สร้างรูโหว่ให้กับหนังอยู่เนืองๆ นั่นเพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่เทคนิคนี้จะเวิร์ค ดังว่าความน่าเชื่อถือของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครก็ถูกทอนลงเสียสั้นจนพาให้เกิดอาการไม่เชื่ออยู่บ่อยๆ หรือในจุดที่รู้สึกว่าควรจะให้เวลากับฉากนั้นๆ แต่ก็กลับถูกเร่งจังหวะเสียจนน้ำหนักของหนังสูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย
เฉพาะงานด้านภาพก็แสนจะประณีตงามหยดอยู่แล้ว
พอผนวกเข้ากับเนื้อเรื่องที่สนุก และตัวละครที่มีเสน่ห์
ก็ยิ่งส่งให้แอนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นที่ถูกใจได้ไม่ยากเลย 3.ประเด็นที่น่าสนใจภายใต้ฉากหน้าของเรื่องราวการสลับร่างกันเป็นอีกคนในบางวันระหว่างทาคิและมิตสึฮะคือความไม่พอใจในชีวิตของตัวเอง มิตสึฮะนั้นอยู่ในชนบทซึ่งเธอแสนจะเบื่อหนาย ด้วยใฝ่ฝันอยากจะมีชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เมื่อเกิดเหตุการณ์สลับร่างขึ้นจนทำให้เธอได้ไปอยู่ในร่างของทาคิ มันจึงเป็นเช่นฝันที่ถูกสนองให้เป็นจริง เธอได้มีอิสระเสรีในร่างของคนอื่น ปราศจากการถูกควบคุมด้วยสถานะของผู้สืบทอดตำแหน่งคนทรงที่คอยค้ำเธอเอาไว้ เช่นเดียวกับทาคิที่แม้จะคล้ายว่าไม่ได้ปรารถนาสิ่งใด หากแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกชอบตัวตนที่เป็นสักเท่าไหร่นัก ทาคิแอบชอบรุ่นพี่ที่ทำงาน แต่เธอก็ไม่เคยชายตามองเขาดังที่หวัง กระทั่งที่เขาได้สลับร่างกับมิตสึฮะ รุ่นพี่คนนั้นจึงได้สัมผัสถึงตัวตนอันเป็นอื่นของทาคิที่ต่างออกไป ตัวตนที่แท้จริงแล้วเป็นจิตวิญญาณของคนอื่น หาใช่ตัวทาคิเลยแม้แต่น้อย จุดนี้เองที่ได้แสดงให้เห็นว่า หากไม่ใช่เพราะมิตสึฮะแล้ว รุ่นพี่คนดังกล่าวก็คงไม่หันมาสนใจทาคิแต่อย่างใด นั่นเพราะสิ่งที่ทำให้เธอสนใจคือความเป็นอื่นที่สัมผัสได้ในตัวเขาต่างหาก
ความสัมพันธ์ระหว่างทาคิและมิตสึฮะจึงเติบโตขึ้นในลักษณะของความเป็นอื่นที่เข้าแทนที่ความรู้สึกไม่พอใจของอีกคนหนึ่ง เสียบแทนชีวิตของอีกคนประหนึ่งว่าได้ทดลองใช้ชีวิตในอีกรูปแบบที่ไม่ได้ยึดโยงไว้ตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมา
ความสัมพันธ์ระหว่างทาคิและมิตสึฮะเติบโตขึ้นด้วยความเป็นอื่นที่เข้าแทนที่ความรู้สึกไม่พอใจของอีกคนหนึ่ง
มันคือโอกาสที่จะได้เปรียบเทียบชีวิตของเราเองกับความเป็นไปได้อื่นๆ ที่เราหวังว่าจะได้เป็น เพื่อที่ว่าในท้ายที่สุดแล้วเราจะได้หยุดมองกลับมาที่ตัวเราเอง หลับตาและซึมซับในสิ่งที่เราเป็น และยอมรับในตัวเองที่ล้วนแล้วแต่ถูกประกอบสร้างขึ้นจากสภาพแวดล้อมที่รายล้อมเราเอาไว้
ในขณะที่การสลับร่างเกิดขึ้น พวกเขาต่างก็ได้แบกเอาสัมภาระที่สร้างเป็นตัวตนของตัวเองไปด้วย ไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง และเช่นกันที่พวกเขาก็ไม่อาจคุ้นชินกับร่างกายและชีวิตใหม่ที่พวกเขาได้รับ กล่าวคือทั้งมิตสึฮะและทาคินั้นไม่ได้ต้องการจะแลกเปลี่ยนชีวิตของทั้งสองชั่วนิรันดร์ แต่เป็นเพียงแค่ความสนุกและประสบการณ์แค่ชั่วครู่ชั่วคราวโดยไม่ปรารถนาจะยึดเอาไว้กับตัว เพราะที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังคงผูกพันธ์กับชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง เช่นเดียวกับที่ยังคงซื่อสัตย์กับความรู้สึกเดิมของตัวเองเช่นกัน
มันคือโอกาสที่จะได้เปรียบเทียบชีวิตของเราเอง
กับความเป็นไปได้อื่นๆ ที่เราหวังว่าจะได้เป็น
เพื่อที่ว่าในท้ายที่สุดแล้วเราจะได้หยุดมองกลับมาที่ตัวเราเอง4. คืนวันที่เคลื่อนผ่าน ระนาบเวลาที่คลาดเคลื่อน เมื่อดาวหางดวงหนึ่งปรากฏขึ้นบนฟ้า เป็นไปได้ว่าหากเราพลาดโอกาสมองมันในครั้งนั้นก็เท่ากับปล่อยให้ปรากฏการณ์ที่อาจมีขึ้นแค่ครั้งเดียวในชีวิตหลุดลอยไป เช่นเดียวกับการโคจรมาพบกันระหว่างทาคิและมิตสึฮะที่เกิดขึ้นแค่เพียงช่วงสั้นๆ การสลับร่างเกิดขึ้นกับชีวิตพวกเขาแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ก่อนที่ทั้งสองจะไม่สามารถกลับไปสวมร่างของอีกคนได้อีก
หากการสลับร่างเกิดขึ้นจากเจตจำนงบางประการของดาวหาง ก็อาจอนุมานได้อีกเช่นกันว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้งในการมาถึงของดาวหางดวงเดิมในครั้งต่อๆ ไป ซึ่งถ้าทาคิและมิตสึฮะยืนยันว่าจะรอ และไม่ดิ้นรนออกตามหาอีกฝ่าย มันก็เท่ากับพวกเขาได้ยินยอมปล่อยโอกาสที่จะได้พบอีกฝ่ายให้หลุดลอยไป เพียงเพราะอายุขัยของมนุษย์นั้นไม่นานพอที่จะเฝ้ารอสิ่งใดอย่างเรื่อยไปได้ตลอด
การโคจรมาพบกันระหว่างทาคิและมิตสึฮะเกิดขึ้นแค่เพียงช่วงสั้นๆ ชั่วคราวเท่านั้น
ความรักที่เกิดขึ้นกับทาคิและมิตสึฮะนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะหากยึดตามคำพูดของคุณยายมิตสึฮะที่ยืนยันว่าการสลับร่างกันนั้นเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วในสายเลือดตระกูลของเธอ เคยเกิดขึ้นแล้วกับตัวคุณยายเองด้วยซ้ำ เพียงแต่เธอกลับหลงลืมไปแล้วว่าเธอเคยไปอยู่ในร่างของใคร เหนือไปจากข้อจำกัดเรื่องอายุ การลืมก็เป็นอีกสิ่งที่กีดขวางมนุษย์ไว้จากอุดมคติแห่งการรอคอย ที่ถึงที่สุดแล้วก็หมดสิ้นอายุขัยไปในที่สุด
เช่นกันที่ความสัมพันธ์ระหว่างทาคิและมิตสึฮะเองก็อาจลงเอยเช่นนี้ ที่ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหลงลืมกันไปช้าๆ ปราศจากเครื่องมือหรือวัตถุใดๆ ที่จะยึดโยงพวกเขาไว้ด้วยกันดังที่เชือกเส้นแดงของมิตสึฮะคอยผูกมัดพวกเขาเอาไว้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วความพยายามที่จะออกตามหาอีกฝ่ายของทั้งสองก็ปรากฏผลตอบแทนที่แปรเปลี่ยนการสลับร่างแค่สั้นๆ ให้กลายเป็นความจริงที่ทั้งคู่ต่างก็ได้โอบกอดซึ่งกันและกันไว้เพียงเพราะการไม่ยอมรั้งรอต่ออนาคตที่ไม่อาจรู้ได้ของทั้งสอง แต่เลือกสร้างมันขึ้นมาด้วยเจตจำนงของตัวพวกเขาเอง
จาก
https://thematter.co/thinkers/kimi-no-na-wa-kalil/12311#google_vignettehttps://www.youtube.com/v//3KR8_igDs1Y https://youtu.be/3KR8_igDs1Y?si=mXc1xSUzp7kji1_O