โดย พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ
สิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเราแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา หากเราสังเกตสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วพิจารณาสิ่งนั้นตามความเป็นจริงตามธรรมชาติของมัน เราก็จะได้เรียนรู้ธรรมะ เพราะธรรมะคือความจริงตามกฎธรรมชาติ (สัจธรรม) ซึ่งจะสอนใจเราให้คลายจากความทุกข์ลงไปได้
ดังเช่นเรื่อง ของนรี (นามสมมุติ) สตรีสูงอายุผู้หนึ่ง ผู้มีความทุกข์กับลูกของตน
นรีมีลูก 5 คน ลูกของนรีโตกันหมดแล้ว มีหน้าที่การงานมั่นคง บางคนรับราชการมีตำแหน่งหน้าที่สูง บางคนประกอบธุรกิจมีฐานะที่ไม่เดือดร้อน เหลือแต่ลูกชายคนเล็กที่นรีห่วงใยเป็นพิเศษ
ลูกชายคนเล็กของนรีสอบเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาที่สถาบันแห่งหนึ่ง หากเรียนจบก็จะติดยศเข้ารับราชการเลย สถาบันที่ชื่อเสียงแห่งนี้เข้ายาก ต้องสอบแข่งขันกัน เมื่อลูกชายคนเล็กสอบได้ ย่อมนำความปลื้มปีติมาสู่นรีตลอดจนพี่ๆและเครือญาติ ถือว่าเป็นชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล
แต่ความสุขและความภูมิใจในลูกชายคนเล็กของนรีก็เกิดขึ้นชั่วคราว เนื่องจากนรีปลูกฝังให้ลูกๆเคร่งครัดในศีลธรรม เมื่อลูกต้องอยู่ประจำตามกฎของสถาบัน ต้องใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนๆที่มาจากต่างถิ่นต่างครอบครัว ลูกของนรีจึงปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆไม่ได้ เพราะเพื่อนร่วมหอพักสูบบุหรี่ กินเหล้า เที่ยวผู้หญิง ลูกของนรีจึงโดดเดี่ยวจากเพื่อน ทำให้เขารู้สึกไม่มีความสุขกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ความกดดันดังกล่าวทำให้เขาตัดสินใจลาออก โดยไม่ได้ปรึกษาทางบ้าน
การตัดสินใจของลูกนำความผิดหวังและความทุกข์มาให้นรีตลอดจนญาติพี่น้องทั้งหลาย ต่างเห็นว่าเขาไม่น่าจะตัดสินใจด้วยอารมณ์เช่นนี้เลย หลายคนเสียดายโอกาสอันหมายถึงอนาคตของเขา
ความทุกข์ใจของนรีที่มีต่อลูกยังไม่ทันหมดไป ทุกข์ใหม่ก็ซ้ำเติมทับทวียิ่งขึ้นไปอีก เมื่อลูกชายคนเล็กเลือกประกอบอาชีพเกี่ยวกับความงามของสตรี และดูเหมือนว่าใจของเขาจะมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศอีกด้วย
นรีทั้งเสียใจและอับอายในอาชีพและพฤติกรรมของลูก คิดถึงเรื่องนี้คราวใด ก็ทุกข์ใจคราวนั้น ความเสียใจและความรู้สึกอับอายทำให้นรีเก็บตัวอยู่กับบ้าน ไม่ออกไปสมาคมนอกบ้านเหมือนเช่นเคย ลูกๆเห็นความทุกข์ของแม่ ต่างก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย
เช้าวันหนึ่งเมื่อนรีตื่นขึ้นมา เธอได้เปิดหน้าต่างมองออกไปภายนอก เห็นมะพร้าวทะลายหนึ่ง มะพร้าวทะลายนั้นไม่เพียงแต่กระทบตาของนรีเท่านั้น ยังกระทบเข้าไปในใจของเธออย่างแรง เธอสังเกตว่ามะพร้าวทั้งหลายนั้นมีลูกอยู่หลายลูก แต่ละลูกมีขนาดไม่เท่ากัน สีผิวก็ไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่เกิดจากมะพร้าวต้นเดียวกัน
ภาพที่ปรากฏทำให้นรีนึกถึงลูกๆ ของเธอขึ้นมาทันที นรีมีลูกห้าคนนิสัยใจคอตลอดจนอาชีพของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดุจดังผลมะพร้าวในทะลายนั้น แต่ละลูกย่อมต่างกันไปตามคุณสมบัติของมัน จะบังคับให้เหมือนกันได้อย่างไร ในเมื่อธรรมชาติของมันเป็นเช่นกัน
ความทุกข์ของนรีที่อยากให้ลูกชายคนเล็กเป็นอย่างที่เธอปรารถนาโดยไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นอยู่ ก็เหมือนกับจะบังคับให้มะพร้าวผลเล็กมีขนาดและสีผิวเหมือนกับมะพร้าวผลใหญ่หรือผลที่เธอถูกใจจะเป็นไปได้อย่างไร
เมื่อเธอเห็นผลมะพร้าวในทะลายนั้นที่มีขนาดและสีผิวแตกต่างกันได้ โดยเข้าใจธรรมชาติความเป็นจริงของมันว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง เธอจึงไม่ทุกข์ใจกับผลมะพร้าวทะลายนั้น ทำไมเธอจึงไม่ใช้การเห็นตามความเป็นจริงเช่นนี้มาใช้กับลูกของเธอบ้าง
การเห็นธรรมชาติความเป็นจริงของมะพร้าวทะลายนั้น ช่วยทลายความยึดมั่นสำคัญผิดที่นรีมีต่อลูกชายคนเล็กของเธอ เมื่อเธอยอมรับสถานภาพของเขา ทุกข์ที่เธอมีต่อเขาจึงหลุดออกจากใจของเธอ ณ ที่นั้นเอง
ตั้งแต่นั้นมานรีรู้สึกสบายใจขึ้น ความปกติสุขได้กลับคืนมาในชีวิตของเธอและครอบครัวอีกครั้ง อันที่จริงแล้วอาชีพที่ลูกชายคนเล็กของเธอทำอยู่สร้างรายได้ให้เขาไม่น้อยเลย ดีกว่ารายได้ของพี่ๆที่รับราชการมานานเสียอีก และเขาก็มีความสุขกับอาชีพของเขา แม้เขาจะมีพฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบน แต่เขาก็มีความสุขความพอใจในสิ่งที่เขาเป็นอยู่
เรื่องของนรีไม่เพียงแต่จะโดนใจพ่อแม่หลายคนที่มีปัญหากับลูกเช่นนี้ แม้กับผู้มีความทุกข์ทั้งหลายก็มีพื้นฐานมาจากความยึดมั่นสำคัญผิดไม่ต่างไปจากนรีเลย
ความทุกข์ของคนโดยทั่วไปนั้น ทุกข์เพราะไม่ได้ตั้งใจ เพราะเราเห็นว่ากายนี้ ใจนี้ เป็นตัวเรา เป็นของของเรา นอกจากนี้ยังเห็นว่าสิ่งที่เราได้ เรามี เราเป็น ตลอดจนที่เราสัมพันธ์ใกล้ชิด เป็นของของเรา เราจึงเอาความต้องการของเราเป็นใหญ่ที่จะบังคับให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างที่เราปรารถนา ครั้นไม่ได้ตามที่ต้องการก็มีความทุกข์
ชีวิตของคนเรามีทั้งสมหวังและผิดหวัง คราวใดที่เราสมหวังเราก็คิดว่ามีความสุข แท้จริงแล้วมีทุกข์ติดอยู่กับความสมหวังนั้นด้วย เช่น หากเรามีคู่ครองหรือลูกอันเป็นที่รักที่พอใจ เราก็คิดว่าเรามีความสุข เรามีความสุขอันเกิดจากความรักความพึงพอใจในคู่ครองหรือลูกนั้นอีกด้านหนึ่งเราก็มีความหวง ความห่วงใยเขา ความหวง ความห่วงใย เป็นความทุกข์ อยู่ติดกันกับความสุขนั่นเอง
นอกจากนี้สิ่งทั้งหลายยังมีความเปลี่ยนแปลง ไม่อาจคงทนอยู่ได้ตลอดไป ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงต้องพลัดพรากจากของรักของหวงด้วยกันทั้งสิ้น การพลัดพรากดังกล่าวเป็นความทุกข์
พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า สุข-ทุกข์ เป็นของที่อยู่ด้วยกัน หากเราถือเอาสุข ก็ย่อมถือเอาทุกข์ไว้ก่อน เมื่อไม่วางสุขก็เท่ากับไม่วางทุกข์นั่นเอง
เหมือนเหรียญมีสองด้าน คือด้านหัวกับด้านก้อย ถือด้านใดด้านหนึ่ง ก็ถืออีกด้านเอาไว้ด้วย จะเอาแต่ด้านเดียวไม่ได้เลย
การเห็นและเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงตามกฎธรรมชาติและวางใจให้เที่ยงธรรม ไม่มีอคติในเรื่องต่างๆ จะ ช่วยรักษาใจให้พ้นทุกข์ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นทุกข์
ที่มา กัลยาณธรรม.คอม