๓๐ บัด นี้ถ้าเธอมัวแต่สาละวนในการใช้จิตของเธอเอง แสวงหา จิต มัวอยู่แต่จะฟังคำสอนจากผู้อื่น และหวังอยู่แต่จะลุถึงจุดหมายปลายทางด้วยการศึกษาล้วน ๆ แล้ว เมื่อไรเล่า เธอจึงจะประสบความสำเร็จสักที ?
คนโบราณบางคน มีจิตใจแหลมคม เขารีบสลัดความรู้สึกทั้งหมดเสียได้ ในทันทีที่ได้รับฟังธรรมซึ่งประกาศออกมา ดังนั้นเขาจึงได้นามว่า “ปราชญ์ผู้ซึ่งสลัดการศึกษาเสียได้ แล้วมาอาศัยอยู่กับการโพล่งรวดเดียวถึงตัว ธรรมะ ได้ในตัวมันเอง”
คน ในทุกวันนี้ได้แต่แสวงหาเพื่อจะยัดไส้ตัวเอง ด้วยความรู้และความสามารถในการใช้เหตุผลทางอนุมาน แสวงหาความรู้ทางพระคัมภีร์อยู่ทุกหนทุกแห่ง และเรียกการทำอย่างนั้น ว่าการปฏิบัติธรรม เขาเหล่านั้นไม่รู้ ว่าความรู้และสติปัญญาชนิดนั้น ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีผลในทางตรงกันข้าม คือเป็นการสุมกองสิ่งกีดขวาง ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง
ลำพังการรวบเอาความรู้ต่าง ๆ เข้าไว้อย่างท่วมหัวนั้น มันเหมือนกับเด็กที่ทำตนให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย เพราะสวาปามเต้าหู้เข้าไปมากเกินไป พวกที่ศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นตามแบบของพวก ตรียาน นั้น เหมือนกับเด็กคนนี้ทุกอย่าง ทั้งหมดเท่าที่เธอจะเรียกคนพวกนี้ให้ดีที่สุดได้ ก็คือเรียกเขาว่า พวกคนที่เดือดร้อนเพราะท้องเสีย
เมื่อ สิ่งที่เรียกว่า ความรู้และสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดชนิดนั้นเกิดย่อยไม่ได้ขึ้นมา มันก็กลายเป็นพิษขึ้น เพราะมันเป็นได้แต่เพียงของในเครือเดียวกันกับสังสารวัฏเท่านั้น ในฝ่าย ธรรมอันสูงสุด นั้น ไม่มีของชนิดนี้เลย ดังนั้นจึงมีคำกล่าวไว้ว่า “ในคลังแสงสรรพาวุธแห่งราชาธิปัตย์ของข้า หามี ดาบแห่งความเป็นเช่นนั้นไม่” ดังนี้
ความ คิดรูปต่าง ๆ ซึ่งเธอได้ก่อมันขึ้นในอดีต (เหลืออยู่ในรูปแห่งสัญญาต่าง ๆ) นั้นต้องสลัดทิ้งเสียให้หมด แล้วเข้าแทนที่ไว้ด้วยความว่าง เมื่อใดคติทวินิยม สิ้นสุดลง เมื่อนั้นก็มี ความว่างแห่งตถาคตครรภ์
คำว่า “ตถาคตครรภ์” หมายถึงสิ่งที่ไม่มีเนื้อที่พอให้สิ่งใดซึ่งมีขนาดแม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่ สุด ตั้งอยู่ได้ นั่นแหละ คือข้อที่ว่าเหตุใด พระธรรมราชา (พระพุทธเจ้า) ผู้ที่ได้ทำลายความยึดถือว่ามีตัวมีตนลงเสียได้ ได้ทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏออกมาในโลกนี้ และนั่นแหละคือข้อที่ทำไมพระองค์จึงตรัสว่า “เมื่อเราอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์พระพุทธทีปังกร เรารู้สึกว่าไม่มีอะไร แม้แต่อนุภาคเดียวสำหรับเราเพื่อจะบรรลุถึง” ดังนี้
คำตรัสนี้ เป็นคำตรัสที่มุ่งหมายโดยตรง เพื่อทำให้ความรู้และสติปัญญาชนิดนั้น ของพวกเธอ ให้เป็นของว่างไปเสีย
มี แต่พวกที่เว้นขาดจากร่องรอย ของการปฏิบัติอย่างคว้าไปคว้ามา เพราะติดแน่นในความรู้ของตน (ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น) ทุกอย่างทุกชนิดเสียได้ และเว้นขาดจากการหวังพึ่งสิ่งใด ๆ ทั้งหมดแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้สงบถึงที่สุดได้
คำ สอนตามพระคัมภีร์ ของยานทั้งสามนั้น ก็เป็นแต่เพียงยาบำบัดความเจ็บไข้ ในขั้นปฐมพยาบาลเท่านั้น คำสอนเหล่านั้นถูกสอนไปเพื่อสนองความต้องการในทำนองนั้น ดังนั้นมันจึงเป็นของมีคุณค่าเพียงชั่วคราว และขัดกันไปขัดกันมา อยู่ในตัวมันเอง ถ้าเพียงแต่ความจริงข้อนี้ เป็นที่กระจ่างกันแล้ว ก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ให้เห็นที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป
ยิ่ง ไปกว่านั้นทั้งหมดก็คือ มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะไม่ไปเลือกเอาคำสอนที่เหมาะเฉพาะบางโอกาส บางเรื่อง แล้วเอามาถือว่ามันเป็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกต่อไป เพราะมันจับใจเขา โดยการที่มันปรากฏอยู่เป็นส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ ทำไมจึงเป็นดังนั้นเล่า ? เพราะว่าตามความจริงดังนั้น ไม่มีธรรม (สิ่ง) ใดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งความข้อนี้ พระตถาคตก็ได้ประกาศไว้แล้ว คนในนิกายเราจะไม่แย้งเลย ในข้อที่ว่า สิ่งทำนองนี้คงจะมีได้
เรา รู้จักทำให้การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทางจิต หยุดเสียทั้งหมดเท่านั้น และเพราะเหตุนั้น ย่อมได้รับความสงบอันแท้จริง โดยแน่นอนเราไม่ควรตั้งต้นด้วยการคิดสิ่งต่าง ๆ ออกมามากมาย แล้วจบลงแค่ความฉงนสนเท่ห์นานาชนิด
ขอบคุณที่มาบันทึกชึนเชา