หัวใจของคนหนุ่มสาว โดย
ชลนภา อนุกูลหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 3 กันยายน 2553
ยง - เด็กหนุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน พ่อชื่อหลี แม่ชื่อเฮียะ ถือกำเนิดในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีโอกาสเข้าโรงเรียนอัสสัมชัญซึ่งมีการเรียนการสอนแบบใหม่ แต่ก็ไม่มีโอกาสเรียนจนจบมัธยมปลาย เพราะหลังจากขึ้นชั้น ม. ๕ ได้ไม่นานก็ต้องลาออกเพื่อทำงานหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ทำงานที่โรงแรมโอเรียนเต็ลกับฝรั่งไปได้หน่อยหนึ่ง ก็ไปสมัครเป็นเสมียนในกรมศุลกากรเพื่อเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร รับราชการจนได้ยศช้างขุนนางพระตั้งแต่ขุน หลวง พระ จนเป็นพระยาอนุมานราชธน เมื่ออายุได้ ๓๗ ปี
นายยงได้เรียนหนังสือน้อย แต่หมั่นศึกษาหาความรู้จากครูบาอาจารย์ทั้งไทยและเทศ กระทั่งสามารถแปลหนังสือภาษาอังกฤษอย่าง หิโตปเทศ กามนิต ฯลฯ อันเป็นต้นแบบหนังสือแปลงดงามคลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน มีบทบาทสำคัญในราชบัณฑิตยสถานในการจัดทำพจนานุกรมและสารานุกรมในยุคแรกเริ่ม เป็นอธิบดีกรมศิลปากรที่ให้ความสนับสนุนเป็นอย่างดีต่องานของพระเจนดุริยางค์และอาจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยศิลปากร ผลิตงานเขียนทางด้านไทยคดีศึกษาอันทรงคุณค่าอย่างชุดประเพณีไทย และเรื่องความรู้ต่างๆ ถือว่าเป็นโปรเฟสเซอร์ด้านไทยคดีศึกษาที่ไม่จบมัธยมปลายคนแรกของประเทศไทยที่แม้กระทั่งฝรั่งมังค่าก็ยังให้การยอมรับ
ปรีดี - ลูกชายชาวนา หลังจากจบมัธยมปลายก็ไปช่วยที่บ้านทำนาอยู่หนึ่งปี ก่อนกลับเข้ามาเรียนกฎหมาย สอบไล่เนติบัณฑิตได้ตั้งแต่อายุยังน้อย จากนั้นจึงสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส ได้เป็นด็อกเตอร์คนไทยคนแรกจากมหาวิทยาลัยปารีสเมื่ออายุเพิ่งย่างเบญจเพศ เป็นหัวหอกเชื้อเชิญนักเรียนนอกจากอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และสวิสเซอร์แลนด์มาประชุมที่หอพักนักศึกษาถนน Rue de Summard ซึ่งถือว่าเป็นการประชุมคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นครั้งแรก ห้าหกปีหลังจากนั้น คนหนุ่มหัวก้าวหน้าเหล่านี้ ซึ่งกลับเข้ามารับราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ก็สามารถยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยได้สำเร็จในนามของคณะราษฎร
นายปรีดี พนมยงค์หรือหลวงประดิษฐ์มนูญธรรม ในวัย ๓๒ ปี ได้จัดทำร่างเค้าโครงเศรษฐกิจที่ถือหลักการประกันสังคมและการกระจายทรัพย์สินเสนอต่อรัฐบาลใหม่ หากด้วยความล้ำสมัยเกินความรับรู้และเข้าใจของผู้คนยุคนั้น จึงถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศเสียปีหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีคลัง ตามลำดับ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์จำนวนมาก เช่น การจัดตั้งเทศบาลนครกรุงเทพฯ ก่อตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อตั้งธนาคารชาติ ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในสัญญาอันไม่เป็นธรรมกับต่างประเทศในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชรวม ๑๒ ประเทศ เป็นต้น
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ นายปรีดีไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลสยบยอมกับญี่ปุ่นและประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตร และรัฐบาลขอให้ลาออกจากคณะรัฐมนตรี นายปรีดีในวัย ๔๒ ปี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๘ และดำรงตำแหน่งลับ-ลับเป็นหัวหน้าเสรีไทยเพื่อดำเนินการต่อต้านญี่ปุ่น ทำให้ขบวนการเสรีไทยได้รับการยอมรับจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ทำให้ไทยอยู่ในฐานะผู้แพ้สงคราม แถมได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติอีกด้วย
ป๋วย – เด็กน้อยผู้กำพร้าพ่อตั้งแต่เก้าขวบ แม่เซาะเซ็งพยายามกัดฟันส่งเข้าเรียนที่อัสสัมชัญ จบชั้นมัธยมแปดแล้วก็ทำงานเป็นครูตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี พร้อมกันนั้นก็สมัครเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองจนจบปริญญาตรี กลางวันทำงานกลางคืนอ่านหนังสือ สอบชิงทุนรัฐบาลไปศึกษาปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยลอนดอนก็ได้คะแนนสูงสุดในบรรดาเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยให้ศึกษาระดับปริญญาเอกได้ทันที ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ นักเรียนนอกอนาคตไกลขอพักการเรียนมาเป็นทหารชั่วคราว เพื่อเข้าร่วมขบวนการเสรีไทยในอังกฤษ ปฏิบัติการลับและเสี่ยงตายอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามจึงกลับไปศึกษาต่อจนจบ
ภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหาร ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เลือกที่จะกลับมารับราชการเงินเดือนต่ำเตี้ยแทนการทำงานเอกชน เพราะถือว่าเกิดเมืองไทย กินข้าวไทย รับทุนรัฐบาลจากชาวนาไทยไปเมืองนอก ควรที่จะรับราชการเป็นเครื่องสนองคุณ เป็นข้าราชการกระทรวงการคลังที่กล้าคัดง้างกับผู้มีอำนาจยุคนั้นอย่างตรงไปตรงมาหลายครั้งหลายหน เมื่อจอมพลสฤษดิ์ก่อรัฐประหารและเชิญมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ป๋วยปฏิเสธ โดยอ้างคำสาบานครั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นเสรีไทยว่า จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดจนกว่าจะเกษียณอายุราชการ จอมพลสฤษดิ์จึงแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งช่วงเวลา ๑๒ ปีที่ดำรงตำแหน่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชื่อว่าปลอดจากการเมืองมาแทรกแซง เพราะป๋วยได้รับความเชื่อถือจากนักการเมือง ในฝีมือการบริหาร ความรู้ด้านเศรษฐกิจการเงิน และความซื่อสัตย์สุจริต
เงื่อม – เรียนจบเพียงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เพราะต้องออกมาค้าขายแทนพ่อที่ถึงแก่กรรมด้วยโรคลมปัจจุบัน บวชเรียนเมื่ออายุ ๒๐ ปี ตั้งใจเข้ากรุงเทพฯ หวังศึกษาพระธรรมให้แตกฉานลึกซึ้ง แต่กลับพบพฤติปฏิบัติที่ย่อหย่อนไปจากพระวินัยของพระเมืองกรุง ยิ่งศึกษาค้นคว้าเองนอกตำรายิ่งขัดแย้งกับการเรียนการสอนในระบบที่ใช้วิธีท่องตามกันมา ปราศจากการคิดวิเคราะห์ พระหนุ่มทั้งสับสนเบื่อหน่าย เมื่อสอบตกเปรียญธรรม ๔ ก็เริ่มมองเห็นว่าชีวิตนักบวชตามระบอบระบบไม่อาจทำให้บรรลุเป้าหมายทางธรรมได้
ในปีพ.ศ. ๒๔๗๕ พระเงื่อม อินทปัญโญ – ผู้ไม่จบเปรียญธรรม ๔ - กลับบ้านเกิด อ.ไชยา สุราษฎร์ธานี อุทิศตนเป็นทาสพระพุทธเจ้า ใช้มรดกที่มารดามอบให้ทำนุบำรุงสวนโมกขพลารามและคณะธรรมทาน สถานปฏิบัติธรรมตามแบบพุทธกาลของพระเงื่อมปฏิเสธพิธีกรรมและวัตถุนิยม ตัวพระเงื่อมเองก็พยายามนำหลักธรรมคำสอนอันเป็นเนื้อหาสาระซึ่งเคยเชื่อกันว่าเป็นเรื่องยากต่อการเข้าถึงในโลกนี้มาเผยแพร่ เป็นต้นว่า ความว่าง อิทัปปัจจยตา ปฏิจสมุปบาท และยืนยันว่านิพพานก็เป็นเป้าหมายในโลกนี้ได้โดยไม่ต้องรอโลกหน้า มีงานเขียนแพร่หลายจำนวนมากทั้งภาษาไทยและต่างประเทศ
ในยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง จากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย คนเล็กคนน้อยทั้งสี่มีชาติกำเนิดเป็นสามัญชนคนธรรมดา สองคนเป็นนักเรียนใน อีกสองคนเป็นนักเรียนนอก ในขณะที่สองคนได้ชื่อว่าเรียนเก่งเป็นเลิศ แต่อีกสองคนเข้าถึงความเป็นเลิศจากการศึกษาด้วยตนเอง ยงมีวิถีเป็นปราชญ์สมถะใจสัตย์ซื่อ ปรีดีและเงื่อมเป็นนักปฏิรูป ต่างแต่ว่าปรีดีเป็นนักการเมืองที่มุ่งปฏิรูปในทางโลก พระเงื่อมมุ่งแหวกแผ้วถางทางในทางธรรม ส่วนป๋วยนั้นสวมเสื้อข้าราชการรับใช้รัฐบาลเผด็จการ และดูเหมือนว่าผู้คนทั้งสี่แทบไม่มีอะไรที่เป็นพิมพ์นิยมของคนเก่งและดีของยุคสมัยปัจจุบันนี้เลย แต่ผู้คนทั้งสี่มีหัวใจชนิดเดียวกัน – หัวใจของคนหนุ่มสาว หัวใจที่มุ่งอุทิศตนให้กับผู้อื่น หัวใจที่ปรารถนาซึ่งความเปลี่ยนแปลง หัวใจชนิดนี้เป็นหัวใจใหม่-สด นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ยุคสมัยได้ และหัวใจใหม่-สดนี้ย่อมอดทนต่อความทุกข์ความบีบคั้นเพื่อการเปลี่ยนแปรได้
หัวใจของคนหนุ่มสาวนี้เราจะพบได้ทั่วไปในเรื่องราวของปูชนียบุคคล พวกเขาล้วนผ่านการเคี่ยวกรำจากสถานการณ์ มีปณิธานยิ่งใหญ่ตั้งแต่วัยเยาว์ มุ่งทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมมากกว่าทรัพย์และยศส่วนตัว มุ่งทำการงานที่ยังประโยชน์ข้ามกาลเวลามาสู่คนรุ่นหลัง และมีความรักความกรุณามากกว่าความโกรธความเกลียด
หัวใจในประวัติศาสตร์นี้มีเต้นอยู่กลางใจคนร่วมสมัยอยู่บ้างไหม? – คำถามนี้คงต้องช่วยกันตอบ สำคัญกว่านั้นก็คือ – หาหัวใจชนิดนี้ในตนเองให้เจอ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553 at ที่
11:00 by knoom
ป้ายกำกับ:
ชลนภา อนุกูล,
บทความมติชน http://jitwiwat.blogspot.com/search?updated-max=2010-09-10T11%3A00%3A00%2B07%3A00&max-results=3