ผู้เขียน หัวข้อ: บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)  (อ่าน 2752 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 03:55:57 am »
 
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 23  ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2528
 
ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร
 
 
 
การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาว
 
ญี่ปุ่น
 
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ใน
 
วันนี้คน
 
แน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง โดยปกติแล้วบน
 
ถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่
 
 
 
 
 
แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึง
 
ปิดร้าน
 
เร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคน
 
อัธยาศัยใจ
 
คอดี
 
 
 
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน
 
ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน
 
คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน
 
 
 
เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
 
ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ
 
 
 
"เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา
 
 
 
หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า
 
"ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ"
 
 
 
เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
 
 
 
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ"
 
 
 
เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง
 
แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
 
บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่
 
เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม
 
ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง
 
สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
 
กินพลางพูดพลาง
 
 
 
"ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด
 
 
 
 
 
"แม่ทานหน่อยสิครับ"ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน
 
ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
 
แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า
 
 
 
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"
 
 
 
พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
 
 
 
"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
 
 
 
ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ
 
ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี
 
วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า
 
ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา
 
สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
 
22.00น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น
 
ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน
 
พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย
 
เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่
 
แล้วนั่นเอง
 
 
 
2. fenlasia (0)
 
 
 
"ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ"
 
 
 
"ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"
 
 
 
เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง
 
ตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลาง
 
จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
 
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
 
 
 
"นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"
 
 
 
"ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"
 
 
 
สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
 
เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า
 
 
 
"เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"
 
 
 
 
 
ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สาม
 
แม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง
 
เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
 
 
 
"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ "
 
 
 
"ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"
 
 
 
"ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"
 
 
 
กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
 
แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
 
 
 
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
 
มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป
 
 
 
สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง
 
ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
 
สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว
 
สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น.
 
พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป
 
 
 
พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียน
 
ไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง
 
แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน"
 
30นาทีก่อนเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว"
 
ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
 
 
 
 
 
เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ
 
22.30น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่ง
 
หนึ่ง
 
 
 
น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว
 
เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
 
 
 
ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
 
 
 
"เชิญค่ะ เชิญค่ะ"
 
 
 
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ
 
 
 
มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย
 
 
 
ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า
 
 
 
"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ" "ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"
 
 
 
เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง
 
 
 
แล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
 
 
แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า
 
 
 
"บะหมี่น้ำสองชาม"
 
 
 
"ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"
 
 
 
เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน
 
สามแม่ลูกกินไปพูดไป
 
 
 
ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก
 
 
 
สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน
 
ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
 
 
 
"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"
 
 
 
"ขอบคุณ ?"
 
 
 
"ทำไมครับ"
 
 
 
"เรื่องเป็นอย่างนี้
 
 
 
คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ
 
และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น
 
 
 
ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"
 
 
 
"เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ"
 
ผู้เป็นพี่ตอบ
 
 
 
 
 
3. fenlasia (0)
 
 
 
ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ
 
อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร
 
 
 
"แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม
 
 
 
แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
 
 
 
"จริง ๆ หรือครับ แม่"
 
 
 
"จริงสิจ๊ะ
 
นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์
 
 
 
ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร
 
ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่
 
 
 
ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก
 
 
 
จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"
 
 
 
"ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ
 
 
 
แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"
 
 
 
"ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ นายน้องชาย
 
 
 
เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"
 
 
 
"ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "
 
 
 
 
 
"แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ
 
คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง
 
ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง
 
คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า
 
เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด
 
เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อน ๆ
 
ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่
 
ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"
 
 
 
"จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"
 
 
 
"หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า"
 
 
 
น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ
 
 
 
แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"
 
 
 
 
 
"เรียงความเขียนว่า…หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว
 
ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหาม
 
รุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์
 
น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…"
 
 
 
"ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม
 
พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ
 
อร่อยมาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว
 
คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก
 
แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก
 
 
 
เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป
 
พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…"
 
 
 
 
 
"ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่
 
แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย
 
แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…"
 
 
 
สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ
 
ก็หายตัวไป
 
 
 
พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ
 
ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง
 
 
 
พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ
 
 
 
"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า
 
 
 
"วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสัก
 
หน่อยค่ะ "
 
 
 
"จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ"
 
 
 
"ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
 
ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี
 
น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน
 
ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ
 
อยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน
 
เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร"
 
 
 
"เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม
 
ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่
 
น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อ
 
สักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ "
 
 
 
"หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกิน
 
กันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน
 
และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"
 
 
 
สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี
 
 
 
จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป
 
 
 
มองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ
 
 
 
พร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
 
 
 
และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง
 
 
 
 
 
4. fenlasia (0)
 
 
 
พอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย
 
การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย
 
 
 
แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย
 
 
 
ปีที่สอง ปีที่สาม
 
โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม
 
 
 
สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย
 
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
 
 
 
เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว
 
ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่
 
 
 
โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่
 
 
 
จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม
 
 
 
"นี่มันเรื่องอะไรกัน"
 
ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา
 
 
 
 
 
เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง
 
 
 
โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง
 
 
 
และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก
 
 
 
พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา
 
 
 
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข"
 
 
 
ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป
 
 
 
 
 
 
 
มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากิน
 
บะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้
 
 
 
ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี
 
 
 
พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก
 
 
 
ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก
 
กินไปพลาง
 
 
 
ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง
 
 
 
แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน
 
เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว
 
 
 
ในวันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้ว
 
 
 
เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย
 
 
 
ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา
 
บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา
 
 
 
ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน
 
ต่างก็คึกคักกันมาก
 
 
 
ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง
 
 
 
ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า
 
 
 
วันนี้"โต๊ะจอง"ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง
 
 
 
มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม
 
 
 
พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้า ๆ
 
ออก ๆ
 
 
 
พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป
 
พูดเรื่องการค้าบ้าง
 
 
 
คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง
 
 
 
ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่
 
 
 
ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุก ๆ เรื่อง
 
 
 
จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
 
 
 
เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น.
 
ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
 
 
 
ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน
 
สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน
 
 
 
 
 
5. fenlasia (0)
 
 
 
ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล
 
พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน
 
 
 
 
 
พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง
 
 
 
และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก
 
ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า
 
 
 
"ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"
 
 
 
เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น
 
 
 
ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน
 
 
 
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า
 
 
 
"เอ้อ…รบกวน…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"
 
 
 
ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
 
เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว
 
 
 
ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ
 
กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า
 
 
 
เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน
 
 
 
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่
 
 
 
ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก "พวกคุณ .. พวกคุณ"
 
เขาพูดได้เพียงแค่นั้น
 
 
 
คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ
 
 
 
ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ
 
เถ้าแก่เนี้ยว่า
 
 
 
"พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา
 
สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ
 
และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น
 
พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"
 
 
 
 
 
"หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ
 
ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว
 
ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต
 
ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"
 
 
 
"วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว
 
แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ
 
และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น
 
 
 
ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต
 
ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ
 
 
 
ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า
 
 
 
พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร
 
 
 
และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"
 
 
 
สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า
 
 
 
เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู
 
 
 
 
 
พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ
 
 
 
แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า "อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ
 
 
 
อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้
 
"โต๊ะจอง"
 
 
 
ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง
 
 
 
รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"
 
 
 
ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ
 
ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า
 
 
 
 
 
"ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"
 
 
 
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า
 
"ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"
 
 
 
หากดูกันตามจริงแล้ว
 
 
 
 
 
สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย
 
 
 
มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน
 
คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ
 
 
 
รวมทั้งคำอวยพรว่า "ขอบคุณค่ะ(ครับ)
 
สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง
 
 
 
 
 
แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์
 
คับขันได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
 
 
 
จบแล้วค่ะ


ออฟไลน์ ดอกโศก

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 862
  • พลังกัลยาณมิตร 595
    • rklinnamhom
    • ดูรายละเอียด
Re: บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 08:37:42 am »
อ่านกี่ครั้งก็ยังรู้สึกอิ่มใจ ^_^

 :13:

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 09:12:12 am »
 :06: ผมทานยังไม่หมดเลย ห่อกลับบ้านทานต่อวันหลังนะครับพี่เล็ก
แหม๋ การสร้างกำลังใจใช้เวลานานเหมือนกันนะครับ กว่าจะสำเร็จ ทุกสิ่งทุกอย่างใช้เวลาไปซะหมด
ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆเน้อ อนุโมทนครับ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ mmm

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 206
  • พลังกัลยาณมิตร 109
  • <( O-O )>
    • ดูรายละเอียด
Re: บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 10:51:21 am »
 :45: :45: :45:
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง
ผู้ก่อกรรมดี   ย่อมได้รับกรรมดี
ผู้ก่อกรรมชั่ว ย่อมใด้รับกรรมชั่ว
"ใช้ใจดู จะรู้จิต  ใช้จิตดู จะรู้ใจ"

ออฟไลน์ ดอกไม้ในที่ลับตา ~ ღ

  • ทอฝัน~..ปันรัก & น้ำใจ ..ห่วงใย~ ให้ และ แบ่งปัน..เกื้อกูลกัน ด้วยความจริงใจ แบบไร้เงื่อนไข ดุจดั่ง ครอบครัวเดียวกัน นะคะ ^^ ..
  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 759
  • พลังกัลยาณมิตร 365
  • ๏ นิ่ง .. ดับ ~ .. ขยับ .. เกิด ๏
    • ดูรายละเอียด
Re: บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 01:22:34 pm »





   :27:  อ่านเรื่องนี้กี่ครั้ง ก็ซึ้ง+ประทับใจ จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ทุกครั้งค่ะ .. ขอบพระคุณจิตความเมตตา ใจดี  ท่านเถ้าแก่ และ เถ้าแก่เนี๊ยะ ทั้งสอง ตลอด3แม่ลูกในเรื่องนี้ ที่มองเห็นคุณค่าอันใหญ่ที่แฝงเร้นไว้ ในสิ่งเล็กๆน้อยๆอันเรียบง่าย ที่ทำได้ไม่ยาก แต่น้อยคนที่จะอยาก/ยอมทำสิ่งเล็กน้อยที่ดีงามเหล่านั้น ..โดยมองข้ามไปด้วยคำว่า "ไม่สำคัญ" .. ขอบพระคุณในหัวใจของผู้ให้ แบบไม่หวังผล แบบปิดทองหลังพระ เช่น 2สามี-ภรรยาเจ้าของร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร และ หัวใจอันละเอียดอ่อน ดีงามของผู้รับ เช่น 3 แม่ลูก ..ที่ทำให้เกิดตำนานเรื่องราว เล่าขานที่แสนประทับใจ :19:  ทุกคน ..จนกลายมาเป็น 1 ใน FW -mail ที่ส่งต่อกันมากที่สุด จนทุกวันนี้ค่ะ ^^ ..




 ** :13: .. และ สุดท้าย ขอบพระคุณ +  อนุโมทนามากมายค่ะ พี่ตี๋เล็ก..^^ สำหรับเรื่องราวดีๆที่น่ารัก แสนประทับใจ ที่นำมาแบ่งปันให้ได้สัมผัสถึงความสุข แห่งธรรมะ ของคำว่า ผู้ให้ แท้จริงสุดท้าย คือ ได้รับ = การ "เกื้อกูลซึ่งกันและกัน" ..ขอให้มีความสุข ความเจริญ ในการเกื้อกูลธรรมะ ทั้งให้+รับ ซึ่งกันและกัน  ทุกท่านเลยนะคะ ^^ ..









.. จงมอง "ปัญหา" ให้เป็น "กล้องถ่ายรูป".. เวลาเจอต้อง "ยิ้มสู้" ^^ .. แล้ว "ชูสองนิ้ว".. 


:13:. .. .:19:
จิตอ่อนน้อมเป็นกุศล จิตถ่อมตนเป็นบารมี..
รักษาสุขภาพนะคะ คุณพระคุ้มครอง ความดีรักษาค่ะ..

. . รั ก ษ า ธ ร ร ม ๏ อ ยู่ คู่ ก า ย . .

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 04:55:36 pm »
 :yoyo036:

เล่นมาม่า อยู่พอดี
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 05:08:56 pm »
 :06: ตอนนี้ผมชอบทานมาม่า รสโปรตีนไข่ครับ อร่อยดีครับพี่มด ^^ พี่มดชอบทานรสไรอ่ะครับ
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ แปดคิว

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 797
  • พลังกัลยาณมิตร 389
    • ดูรายละเอียด
    • http://www.blogger.com/home
Re: บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2010, 08:05:40 pm »
อ่านกี่ครั้งก็ยังรู้สึกอิ่มใจ ^_^

 :13:

ยาวๆยังไม่อิ่มอีกกินจุจังอิอิ
*8q*

ก่อนเกิดใครเป็นเรา
เมื่อเกิดแล้วเราเป็นใคร

สิ่งที่ทำอยู่คือกรรมใหม่
ผลที่ได้รับคือกรรมเก่า

ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยิน
มองในสิ่งที่ไม่เห็น
ทำในสื่งที่ไม่มี   

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: บะหมี่น้ำ...(ย๊าวยาว)
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2010, 05:44:27 pm »
ฉันเกิดในหมู่บ้าน บนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อ แม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉัน มีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วัน หนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของ ฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับ น้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือ พ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมย เงินไป" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อ จึงเอ่ยขึ้นว่า

"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อ ชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

"ผมขโมยเองครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลัง ของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วย ความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

และด่าว่าน้อง ชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตี ให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลัง ของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ



หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

" ลูกเรา ทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่ง เช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

"แล้วเรา จะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อ ต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแก ทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้ง คืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งหมู่ บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชาย เบาๆ และคิดว่า

" ต้องให้น้องได้เรียนต่อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจ ล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......


วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของ ฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางาน ทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่ บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วย เงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่ น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกร แบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถ เข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไม ชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

ฉันเดินออกไป แล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขา เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...

ฉันถามเขาว่า

"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้อง ชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

"ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อ ได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และ พยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

" พี่ไม่ สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็น กิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้ว พูดว่า

"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉัน หมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชาย เข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้าน ที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

" แม่ไม่ ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอ เลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาด แผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"

ฉันถาม

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ..."

น้องชายของฉัน ยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบ หน้าของฉันอีกครั้ง

"เพราะพี่ เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลัง จากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลาย ครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่ เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึง ได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้อง ชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขา บอกกับฉันว่า

"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามี ฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

เรา ทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขา ขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และ ตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉัน และสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉัน ขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธ มาก จึงตวาดน้องไปว่า

" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่ง ผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดู ตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำ ตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยัง ยืนยันความคิดเดิมของเขา

"พี่ลองคิด ถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วน ผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คง จะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวง ตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้อง ว่า

"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"

น้อง ชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้อง ของฉันอายุ  26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...



เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .....

และเขาก็เล่า เรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

"ตอนผม อยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัว เอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือ ดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปาก ฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิด ว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่ คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


จบ บริบูรณ์....


ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท เล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

"ซัมซุง"

และเรื่องราว ของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็น ซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

********************************************************************************