อยากจะบอกท่านผู้อ่านที่ได้อ่านบทความของผู้เขียนในระยะหลังๆ หรือในราวๆ 4-5 ปีมานี้ ผู้เขียนที่คงเขียนได้ไม่นาน จะเขียนหนักไปในทางเรื่องของจิตทั้งด้านของปัจเจกบุคคล และด้านของสังคมวัฒนธรรมโดยรวม และแน่นอน จะรวมไปถึงธรรมชาติทั้ง 2 ระดับ ทั้งธรรมชาติที่ตาเห็น เช่น ภูเขา ต้นไม้และป่าไม้ ฯลฯ และธรรมชาติที่ไม่มีทางเห็นไม่ว่าจะช่วยอย่างไร เช่น จิต-พระจิต จิตวิญญาณหรือวิญญาณระดับสูงจนถึงระดับสูงที่สุดหรือนิพพาน ที่อยากบอกกับผู้อ่านคือ ขอให้อ่านไปด้วยและคิดอย่างไตร่ตรองลึกๆ ไปพร้อมๆ กัน และขอให้อ่านช้าๆ หากไม่เข้าใจก็ให้อ่านซ้ำๆ ผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่านจะได้อะไรติดตัวไปด้วยไม่มากก็น้อย
เมื่อกลางปีของปี 2007 มีการประชุมใหญ่ของนักวิชาการที่มีชื่อเสียงมีคนนับหน้าถือตาที่สำคัญ (distinguished mainstream academics) ของอเมริกา อังกฤษ และแคนาดา จำนวนมาก โดยการทำหนังสือเชิญเฉพาะตัวเป็นเวลา 2 วัน ที่มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา จุดมุ่งหมายของการประชุมคือ ต้องการให้นักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนต่อหลักฐานและทฤษฎีต่างๆ ในการอธิบายเรื่องหรือปรากฏการณ์ทางจิตที่นักวิทยาศาสตร์ได้มีการวิจัยและนำเสนอในที่ประชุม นักวิทยาศาสตร์ที่นำเสนอหลักฐานและทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งใครๆ ก็เถียงไม่ได้ - ประกอบด้วยนักฟิสิกส์ นักประสาทวิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยาการทดลอง ฯลฯ พร้อมกับเปิดโอกาสให้นักวิชาการทั้งหลายได้ถกเถียงกัน
สถาบันและมูลนิธิผู้จัดการประชุมต้องการให้นักวิชาการเหล่านี้ได้พิจารณาข้อนำเสนอของนักวิทยาศาสตร์ดังกล่าวมานั้นอย่างจริงๆ จังๆ และตั้งคำถามเพื่อโต้เถียงกันจริงๆ คือ อย่าให้เป็นเช่นอดีตศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียที่อุทิศทั้งชีวิตร่วม 70 ปี ที่ทำวิจัยเรื่องการระลึกชาติ (reincarnation) ที่เริ่มตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930s และเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานเท่าไรมานี้ นั่นคือ ศาสตราจารย์เอียน สตีเว็นสัน ที่ได้เดินทางไปรอบโลกเพื่อการวิจัยนี้ รวมทั้งประเทศไทย (2 ครั้ง) และมีส่วนทำให้สมาคมการค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทยเกิดขึ้น เอียน สตีเว็นสัน กล่าวถึงความเสียใจอย่างที่สุดของเขาต่อนักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการ “สายหลัก” ถึงการวิจัยที่เขาได้อุตส่าห์เสียเวลาค้นคว้าทำมาอย่างตั้งใจและยาวนานว่า “นักวิชาการเหล่านี้แทบทั้งหมดเลยไม่เชื่อเรื่องการระลึกชาติก็ไม่ว่า แต่นี่-ดันไม่เชื่อ-ทั้งๆ ที่โดยไม่ได้อ่านหลักฐานจากผลของการวิจัยเลย” (อย่าลืมว่าการวิจัยของศาสตราจารย์เอียน สตีเว็นสัน นั้นขัดกับทั้งวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม - ในที่นี้ทางด้านของศาสนา - ของชาวตะวันตกอย่างรุนแรง ในช่วงเวลานั้น “ชีววิทยาดาร์วินซึ่ม” ในฐานะทฤษฎีที่อธิบายการกำเนิดของชีวิต และทั้งเป็นการกำเนิดของชีวิตของมนุษย์เสียด้วย ซึ่งในฐานะมนุษย์ที่สนใจเป็นพิเศษในอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ (anthropocentric) ฉะนั้นจึงมีทฤษฎีที่มีเหตุผลน่าเชื่อกว่าทางศาสนา นักวิชาการ และนักวิทยาศาสตร์ จึงหันไปยอมรับชีววิทยาดาร์วินซึ่มกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปเชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งของเหมือนกับสสารวัตถุทั้งหลายทั้งปวง ทั้งวิวัฒนาการก็เป็นเรื่องของกายภาพสถานเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งชีวิตต่างล้วนแล้วแต่ก่อประกอบขึ้นมาจากวัตถุและความบังเอิญและบังเอิญๆๆ (random or chances) เหมือนกับนาฬิกาหรือเครื่องจักรเครื่องยนต์ที่ทายผลได้ และธรรมชาติจัดการควบคุมมันทั้งหมด เช่น น้ำ ลม อุณหภูมิ หิน ฯลฯ ด้วยความจำเป็นอีกที นักวิชาการกับนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จึงเข้าใจว่า - ดั่งคำถามที่ตั้งเป็นหัวข้อเรื่องของบทความของวันนี้ นั่นคือ ถามว่าอะไรหรือ? คือธรรมชาติของความรู้ การรู้ ความจริงของมนุษย์เรา (ซึ่งแตกต่างกันมากยิ่งนัก) - สำหรับเรื่องความรู้นั้น คำตอบของ นักวิทยาศาสตร์กายภาพ นักวิชาการกับนักวัตถุนิยม (materialist) และนักชีววิทยาและแพทย์ส่วนใหญ่ ในทุกวันนี้ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทยเราหรือประเทศที่เพิ่งจะพัฒนามาใหม่ๆ ของเอเชีย ก็คือความรู้ที่มนุษย์เรามีแทบจะทั้งหมดเป็นการคลี่ขยายมาจากตัวของคนเอง นั่นคือ มาจากธรรมชาติ มาจากวิวัฒนาการทางกายภาพเพียงอย่างเดียว หรือพูดได้ว่า ความรู้ทั้งหลายของเรานั้น ส่วนใหญมากๆ ตั้งบนวิทยาศาสตร์ - ที่มาในตอนหลังราวๆ 100 กว่าปีมานี้เท่านั้น - ทั้งหมดของวิทยาศาสตร์ซึ่งเมื่อไล่ต่อไปแล้วล้วนตั้งอยู่บนความบังเอิญๆๆ ที่ว่านั้น
แต่อีกประการหนึ่ง ดังได้กล่าวมาแล้วว่าความคิดของเอียน สตีเว็นสัน เรื่องการระลึกชาติ (reincarnation) ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีความขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ (กายภาพที่ตอนนั้นเรียกว่าวิทยาศาสตร์เฉยๆ) และทั้งยังขัดกับศาสนาคริสต์ของชาวตะวันตกอย่างรุนแรง การขัดแย้งกันนั้นได้ทำให้สาธารณชนคนทั่วไป รวมทั้งผู้ที่ได้รับการศึกษาดีและนักวิชาการจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนความเชื่อ เพราะว่าตั้งแต่มีศาสนาคริสต์มาจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ศาสนาคริสต์ก็เชื่อในการระลึกชาติมาตลอด (G. McGregor : Reincarnation and the Christianity, 1978) จนกระทั่งโป๊ปวิสิลิอุสบอกให้เลิกเชื่อ เพราะเชื่อว่าไม่ใช่เป็นคริสต์โดยการเมืองบีบบังคับ ตอนนั้นคนในศาสนาคริสต์ที่เชื่อโป๊ปยิ่งกว่าใครๆ จึงมีข้อห้ามไม่ให้พูดถึงการระลึกชาติมาตั้งแต่นั้น ส่งผลให้ชาวคริสเตียนค่อยๆ มีความเคยชินทีละน้อยๆ จนลืมไปเลย
เพราะฉะนั้นเรื่องของความรู้ของมนุษย์เราก็ตอบแล้วว่าเป็นเพราะวิทยาศาสตร์บวกกับความเชื่อทางศาสนาที่กลายเป็นคามรู้ไปเพราะเชื่อมั่นอย่างเคยชินเป็นเวลาที่ยาวนานมาก สำหรับวิทยาศาสตร์นั้นซึ่งส่วนใหญ่มากจะตั้งอยู่บนวิทยาศาสตร์เฉยๆ ซึ่ง-ในปัจจุบัน เมื่อมีวิทยาศาสตร์ทางจิตแล้วมันก็คือวิทยาศาสตร์กายภาพที่มีชีววิทยาดาร์วินิซึ่ม หรือนีโอ-ดาร์วินิซึ่มเป็นหัวหอก ส่วนการรู้ (ซึ่งไม่ใช่การมีสติที่รู้ตัวของตัวเอง (conscious)ที่ก็คือ primary awareness) คือการแยกตัวเองเป็นครั้งแรกของ“รูปธรรม กับ นามธรรม”(object and subject split) นั่นคือความเป็นสอง ระหว่างการรู้ของจิตไร้สำนก (unconsciousness) กับการรู้ของจิตสำนึก (consciousness)หรือจิตรู้ หรือจิตใจหรือใจ เช่น การตื่นขึ้นมาจากการหลับลึก (deep sleep) การฟื้นตื่นขึ้นมาจากการหมดสติอย่างลึกหรือประสบการณ์ใกล้ตาย (comatose - NDEs) นั่นเอง ซึ่งการรู้ของจิตรู้ หรือของจิตสำนึก (ภาษาอังกฤษเรียกว่า cognition) นั้นคือ การรู้เพืยงอย่างเดียวที่ทางนักวิทยาศาสตร์ ทางนักปรัชญา นักการศึกษา นักจิตวิทยา จิตแพทย์ ฯลฯ ส่วนใหญ่มากๆ คิดว่าการรู้มีเพียง “หนึ่ง” เดียวเท่านั้น (ดู-เค็น วิลเบอร์ cognitive development) แต่ผู้เขียนเห็นด้วยกับคาร์ล ซี. จุง ที่พูดว่าการรู้มี 2 อย่าง คือ การรู้ของจิตจักรวาล ซึ่งเป็นจิตไร้สำนึก กับการรู้ของจิตสำนึก (unconsciousness cognition กับ consciousness cognition) ที่ได้กล่าวมาแล้ว และผู้เขียนยังคิดต่อไปว่า การรู้ของจิตไร้สำนึก หรือการรู้ของจิตจักรวาลเป็นการรู้ที่สำคัญกว่า กว้างกว่า ลึกซึ้งกว่า และนั่นคือความจริงที่แท้จริง ซึ่งเป็นดังที่ได้กล่าวมาแล้วเช่นเดียวกันว่า เราอาจพบการรู้แบบนี้ได้ก็เมื่อเวลาที่เราหลับลึกจริงๆ อันเป็นส่วนสั้นๆ ของการหลับลึก (deep sleep state) ที่มีเวลาไม่นานนัก หรือการหมดสติอย่างลึกจริงๆ ก่อนที่จะตายไปจริง (หากว่าช่วยไม่ทัน) เช่น ระหว่างมีการตายทางคลินิกในผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย (clinically dead in NDEs) ที่พบได้เพียง 7-18% ของผู้ที่รอดชีวิตที่ได้รับการสัมภาษณ์ทั้งหมด 2 หรือ 3 วันหลังจากการช่วยชีวิตไว้ (CPR) - จากรายงานของแพทย์ทางหัวใจที่อเมริกาคนหนึ่ง (Michael Sabom ที่มี 160 ราย) กับแพทย์ที่เนเธอร์แลนด์อีกคนหนึ่ง (Pim van Lommel ที่มี 344 ราย) ซึ่งผลของการ “ตาย” นั้นแทบว่าจะเป็นบวกทั้งหมด มีเพียง 7-18% ที่ว่ามาข้างบนนั่น ซึ่งแสดงว่าคนที่รายงานนั้นหรือพบว่าคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย (NDEs) ในเปอร์เซ็นต์ที่รายงานมานั้น “อาจจะ” ได้สภาวะจิตวิญญาณหรือขึ้นสวรรค์ก็ได้
การรู้ (cognition) ที่คาร์ล ซี. จุง กับผู้เขียนที่แบ่งเป็น 2 คือ เป็นการรู้ของจิตไร้สำนึก (unconsciousness cognition) และการรู้ของจิตสำนึก หรือจิตรู้ (consciousness cognition) ก่อนที่มีการแยกออกเป็น 2 (object and subject split) นั้น จริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร? เพราะสิ่งที่เราและสัตว์มองเห็นเป็นเพียง “มายา” ที่มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อให้เราอยู่รอดในโลกและในจักรวาล (3 มิติบวก 1) อันนี้นั่นคือความจริงแท้ที่อาจเหมือนความจริงที่จิตไร้สำนึกเห็น เพราะจิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาล (unconsciousness) นั้นโยงใยติดต่อกันเป็นหนึ่งเดียว (wholeness or holism) ดังนั้นคนที่นอนหลับลึกแล้วฝันไป เช่น ในตอนตี 3 ตี 4 หรือในคนที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย (NDEs) หรือคนที่ตายไปแล้วใหม่ๆ จิตไร้สำนึกจะทำหน้าที่เป็นจิตสำนึก (unconsciousness as personal consciousness) คนที่อยู่ในสภาวะเหล่านี้ รวมทั้งคนที่ตายไปแล้วจึงอาจเห็นจิตคนอื่น รู้ว่ามีอะไร ที่ไหน และอย่างไร ทั่วทั้งจักรวาล เพราะว่ามีการโยงใยติดต่อกันเป็นหนึ่งเดียวของจิตไร้สำนึกของจักรวาล (entangled mind) ดังหนังสือที่ดีน ราดิน เขียนมานั้น (Dean Radin : Entangled Mind, 2007)
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า จริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าจิตไร้สำนึกของจักรวาล (หรือพระเจ้า) มีลักษณะเช่นไร? อาจจะเหมือนกับสภาพของควอนตัม สตัฟฟ์ (quiff) ที่นักควอนตัมฟิสิกส์ว่าไว้ก็ได้ หรือจะเป็นเช่นเดียวที่พระพุทธเจ้า และศรี อรพินโธ อธิบายไว้ก็ได้คือ เป็นเหมือนแสงชนิดหนึ่งที่กระจ่างใส (ปภามังหรือประภา) และไม่มีที่มาของแสงนั้นๆ (ไม่ใช่ดาว เดือน หรืออาทิตย์) ที่ลัทธิพระเวทเรียกว่า เสาวภาวิขะยา
ท่านผู้อ่านที่อ่านจบก็พอจะรู้แล้วจากบทความของผู้เขียนบทนี้ว่า ผู้เขียนมีความเห็นอย่างไร? ในเรื่องของความรู้ (knowledge) และการรู้ (cognition) ของมนุษย์เราที่เรามีอยู่ทั้งหมด และการรู้ของเรานั้นพุทธศาสนาบอกว่าจะเกี่ยวข้องกับจิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาล - ในฐานะที่มันคือสาเหตุ - เพียงอย่างเดียวไม่ว่าจะเป็นจิตร่วมโดยรวมหรือจิตของมนุษย์แต่ละคนและทุกคนเป็นปัจเจก จิตไร้สำนึกจักรวาลที่มาจากจิตปฐมภูมิ (primordial unconsciousness) ซึ่งมีมาก่อนจักรวาล ก่อนบิ๊กแบ็ง และแยกจากพลังงานปฐมภูมิ (primordial energy) ไม่ได้และไม่มีทางได้ และที่ถูกเรียกว่าจิตจักรวาล เพราะมันอยู่ในทุกที่ว่างของจักรวาลกับซึมแทรกไปทั่วจักรวาล (penetrate and permeate) และรอคอยให้มนุษย์ขึ้นในจักรวาล จิตไร้สำนึกของจักรวาลนี่เองที่เข้ามาอยู่ในสมองของทุกๆ คน โดยเป็นชั้นๆ เช่น หัวหอมหรือไข่มุก และชั้นนอกเท่านั้นที่ถูกบริหารเป็นจิตสำนึกใหม่ๆ ตลอดเวลา ส่วนชั้นในสุดๆ ก็คือจิตหนึ่ง ซึ่งก็คือนิพพานหรือพระเจ้าในศาสนาที่มีพระเจ้า
บทความในตอนท้ายๆ นี้ใคร่ขอบอกความจริงที่สุด และใคร่ขอเตือนมนุษย์ทุกๆ คนว่า ศาสนาทุกๆ ศาสนาสอนแต่สัจธรรมความจริงของธรรมชาติทั้งนั้น พุทธศาสนาในมุมมองของผู้เขียนมีความสอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับควอนตัมฟิสิกส์กับจักรวาลวิทยาใหม่ที่เพิ่งมีไม่เกิน 7 ปี จงอย่ากลัวตาย เพราะ “ต้อง” เกิดใหม่เสมอในสังสารวัฏนี่ ถ้ายังไม่รู้แจ้งซึ่งพิสูจน์ได้ ขอบอกว่า จงทำดี มีคุณธรรมไว้เสมอและจงเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม!
http://www.thaipost.net/sunday/031010/28245