ผู้เขียน หัวข้อ: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏  (อ่าน 10261 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2010, 04:54:22 am »
ก. เขาสวนหลวง ๑๗ มีนาคม ๒๔๙๗
หมายเหตุ สรุปแนวทางการปฏิบัติธรรมนี้ ท่าน ก. เขาสวนหลวง
ได้เรียบเรียงเขียนขึ้นด้วยตนเอง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗
เพื่อพิมพ์ในหนังสืออ่านใจตนเอง ท่าน ก. ได้สังเกตพิจารณา
ศึกษา ค้นคว้า และปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ตามแนวนี้มาด้วยตนเอง และเป็นแนวทางที่ท่านได้ย้ำอธิบาย
แก่ผู้ปฏิบัติธรรม ณ เขาสวนหลวงเสมอมา

ผู้ปฏิบัติควรศึกษาให้เข้าใจเป็นลำดับไป ดังนี้
การศึกษาที่เรียนรู้ได้ง่าย ทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกกาล
ทุกขณะได้ผลทันที ไม่ต้องรอรับผลข้างหน้า ก็คือ ศึกษาในห้องเรียน
กล่าวคือในร่างกายยาววา หนาคืบ มีสัญญาใจครอง
ในร่างกายนี้มีสิ่งที่น่าเรียนรู้ตั้งแต่ขั้นหยาบจนถึงขั้นละเอียด

ขั้นของการศึกษา
ก.เบื้องต้นให้รู้ว่า กายนี้ประกอบขึ้นด้วยธาตุต่างๆ
ส่วนใหญ่ได้แก่ดิน น้ำ ลม ไฟ
ส่วนย่อย ได้แก่ ส่วนที่จับติดอยู่กับส่วนใหญ่
เป็นต้นว่า สี กลิ่นลักษณะ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้มีลักษณะไม่คงทน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เต็มไปด้วยของปฏิกูล พิจารณาให้ลึกจะเห็นว่าไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร
มีแต่สภาพธรรมล้วนๆ ไม่มีภาวะที่ควรเรียกว่า “ตัวเรา ของเรา”
เมื่อตามเห็นกายอยู่อย่างนี้ชัดเจนก็จะคลายความกอดรัด
ยึดถือในกายว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขาเป็นนั่น เป็นนี่เสียได้
ข.ขั้นที่สองในส่วนของนามธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณกำหนดให้รู้ตามความเป็นจริง ล้วนเป็นเอง
ในลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปคือ เกิดๆ ดับๆ เป็นธรรมดา
พิจารณาเห็นจริงแล้วจะคลายความยึดถือในนามธรรมว่าเป็นตัวตน
เป็นเรา เป็นเขา เป็นนั่น เป็นนี่ เสียได้

ค.การศึกษาขั้นปฏิบัติ มิได้หมายเพียงการเรียน การฟัง การอ่านเท่านั้น
ต้องการปฏิบัติให้เห็นประจักษ์แจ้งด้วยจิตใจตนเอง ด้วยการ

๑. ปัดเรื่องภายนอกทั้งหมดทิ้งเสียก่อน มองย้อนเข้าดูจิตใจตนเอง
(จนรู้ว่ามีความแจ่มใส หรือมัวหมอง วุ่นวายอย่างไร)
ด้วยความมีสติสัมปชัญญะกำกับ รู้กาย รู้จิตใจ อบรมจิตทรงตัวเป็นปรกติ

๒. เมื่อจิตทรงตัวเป็นปรกติได้ จะเห็นสังขาร หรืออารมณ์ทั้งหลายเกิดดับ
เป็นธรรมดาจิตจะว่างวางเฉย ไม่ยินดียินร้าย และเห็นรูปนามเกิดดับเองตามธรรมชาติ

๓. ความรู้ว่าไม่มีตัวตนแจ่มชัดเมื่อใด จึงจะพบเข้ากับสิ่งที่มีอยู่ภายในเป็นสิ่งที่พ้นทุกข์
ไม่มีการหมุนเวียน เปลี่ยนแปลง เป็นอมตะ ไม่มีความเกิดความตาย
สิ่งที่มีความเกิดย่อมมีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา

๔. เมื่อเป็นความจริงชัดใจแล้ว จิตจะวาง ไม่เกี่ยวเกาะอะไร
แม้ตัวจิตเองก็ไม่สำคัญว่าเป็นจิต หรือเป็นอะไร คือ ไม่ยึดถือตัวเอง
ว่าเป็นอะไรทั้งหมด จึงมีแต่สภาพธรรมล้วนๆ เท่านั้น

๕. เมื่อบุคคลมองเห็นสภาพธรรมล้วนๆ อย่างแจ่มแจ้ง
ย่อมเบื่อหน่ายในการทนทุกข์ ซ้ำๆ ซากๆ เมื่อรู้ความจริงฝ่ายโลก
และฝ่ายธรรมตลอดแล้วจะเห็นผลประจักษ์ว่า สิ่งที่หลุดพ้นจากทุกข์นั้น
มีอยู่อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเชื่อตามใครไม่ต้อง ถามใครอีก
เพราะพระธรรมเป็นปัจจัตตัง คือ รู้เฉพาะตนจริงๆ
ผู้ที่มองเห็นความจริงด้านในแล้ว จะยืนยันความจริงอันนี้ได้เสมอ

รวบรวมข้อปฏิบัติ คำสอน (ท่าน ก. เขาสวนหลวง)
การเกิดมานี้มิใช่เพื่ออะไรอื่น เพื่อจะมีการศึกษาให้รู้เรื่องทุกข์เรื่องเหตุ
ที่ทำให้เกิดทุกข์ และทางดำเนินไปสู่ความดับสนิทแห่งทุกข์
ให้มีความละอาย และมีความกลัวต่อทุกข์โทษนานัปประการ
ให้ค้นหาความจริง จนแน่ใจในตนเองให้ได้ ไม่ต้องไปเชื่อตามใคร
ถ้ามีหลักของพิจารณาตนเองพอสมควร ก็จะรู้เรื่องของกาย ของใจ
ที่มันเป็นกลุ่มของธรรมชาติ ที่มีความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ไม่ใช่ตัวตนถ้ารู้อยู่ในลักษณะอย่างนี้ก็ดับทุกข์ ดับกิเลสได้เรื่อยไป
และจะต้องตรวจกันให้ละเอียด ตรวจให้ลึก จึงจะทำลายโรคกิเลสได้

ขั้นแรก ต้องฝึกฝนอบรมให้จิตสงบ โดยมีกรรมฐานเป็นเรือนที่อยู่ของจิต
และก็ควบคุมอายตนะ ผัสสะให้อยู่ในอำนาจของสติ
แล้วก็คอยเฝ้ามองแต่จิตใจของตนเองทุกอิริยาบถ
อะไรจะเกิดขึ้นมาก็เห็นมันไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป จิตก็เป็นปรกติ
ก็รู้อยู่อย่างนั้น แล้วก็พิจารณาประกอบทุกอิริยาบถ
ฉะนั้นความรู้ที่เป็นการอ่าน การฟัง มันก็เท่ากับเป็นแผนที่อยู่แล้ว
แต่ตัวจริงนี้มันต้องมากำหนด ต้องมารู้ ต้องมาพิจารณา
มันจึงจะปล่อยวางได้เรื่องจริงมีอยู่อย่างนี้ มันจึงจะปล่อยวางได้
ดังนั้นจึงต้องใช้ปัญญาของตนเองเป็นเครื่องมือสำคัญ
การเจริญวิปัสสนาสามารถทำได้ทุกอิริยาบถ กำลังพูด กำลังฟังอยู่เดี๋ยวนี้
ให้รู้แจ้งด้วยใจจริงในลักษณะของความว่าง คือ ฟังให้เข้าใจ
และให้ความรู้สึกอย่างนี้เข้ามาอยู่ในใจด้วย แล้วก็ให้รู้ว่าเสียง
เป็นเพียงสื่อให้เข้าไปรู้ใจเป็นสื่อให้ใจรู้จริง แล้วก็เป็นสื่อให้ใจรู้แจ้ง
แม้จะมีข้อปฏิบัติมากมาย แต่ความสำคัญอยู่ตรงที่หยุด จะต้องย้ำอยู่อย่างนี้
ให้หยุดดูทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นแล้วดับหมด พิจารณาเรื่องนี้เรื่องเดียว
แล้วจะแก้ปัญหาในข้อปฏิบัติได้มากมาย
ขอให้รู้อยู่ตรงจิต ตรงใจทุกขณะไปให้ได้ การปฏิบัติธรรมก็จะเป็นการทำได้ง่ายๆ
จิตก็สงบ มันสงบจากการทำชั่ว ศีลก็บริสุทธิ์อยู่ในตัว
หยุดดู หยุดรู้ หยุดปล่อย หยุดวาง ดับหมด แล้วให้ทรงภาวะของจิตที่มีความรู้
ความรู้ในลักษณะที่ว่างอยู่ในตนเองไว้
ถ้าว่างอย่างนี้ได้ติดต่อ นิพพานก็ปรากฏอยู่ที่จิต เป็นการดับสนิทของทุกข์ได้ทุกขณะ
ดับความโกรธ ความโลภ ความหลงได้ขณะไหน ก็เป็นนิพพานขณะนั้น
เป็นนิพพานทีละเล็กละน้อยไปก่อน จนกว่าเป็นนิพพานจริงคือ
โลภ โกรธ หลง หรือกิเลส ตัณหาสลายตัวหมดสิ้นเหมือนกับตาลยอดด้วนไม่มีงอกเลย
ในขณะที่ตาเห็นรูป จิตนี้ก็ยังเป็นปรกติอยู่ ในขณะที่ฟังเสียง จิตก็ยังเป็นปรกติอยู่
ตลอดจนการได้กลิ่น ลิ้นรู้รส หรือ การสัมผัสผิวกายอะไรขึ้นมานี้
จิตก็มีการดำรงสติอยู่ เป็นอันว่ารู้อยู่โดยเฉพาะตัวจิต ไม่มีการแส่ส่ายไปตามผัสสะ
ความรู้สึกรับสัมผัสอะไรทางทวารนี้ ขอ ให้มองเห็นเป็นธรรมชาติไว้
คือว่าไม่ให้ไปหมายว่ามันดี มันชั่ว หรือมันสุข มันทุกข์อะไรทั้งหมด
ปล่อยวางให้เป็นไปตามธรรมชาติแล้วจิตนี้จะอยู่ในภาวะที่อยู่ในความสงบได้
มันไม่มีเรื่องที่จะคิดนึก ปรุงแต่ง แส่ส่ายไป มันก็สงบตามธรรมชาติของมันได้
การอบรมข้อปฏิบัติในด้านจิตใจนี้เป็นของละเอียด และเป็นของสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นเราจะต้องสำรวมแล้ว สำรวมอีก ระวังอยู่รอบด้านทีเดียว
เพราะว่ากิเลสเกิดง่ายๆ ถ้าไม่สำรวม ไม่ระวังรักษาตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจไว้
กิเลสสำคัญนัก จะมาเผาให้จิตใจเร่าร้อน เศร้าหมอง

ที่มาhttp://thai.mindcyber.com/buddha/why2/1145.php
ขอบพระคุณที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=35349

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 08:07:02 pm »
สัจจะ (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)

                การมีสัจจะเป็นเครื่องบังคับตัวเอง  เป็นความดี 
เป็นความเหมาะสม  เพราะถ้าไม่มีเครื่องบังคับ  กิเลสตัณหา
มันพาโลเล  เลื่อนลอย  พบอะไรมันก็จะเอา  จะหยิบจะฉวยรวบรัด
เอาเฉพาะหน้า  แบบเห็นแก่ได้

                สัจจะจะช่วยป้องกันความเหลวไหนได้รอบตัว 
คุ้มครองให้ศีลบริสุทธิ์  ผุดผ่องขึ้น  ข้อปฏิบัติอื่นๆ 
ก็เจริญงอกงามตามไป  ทำให้ศีล  สมาธิ  ปัญญา 
ก็คล้อยตามกันไป  เกิดเป็นมรรคเป็นผลเต็มที่

                การมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว  จะเป็นกำลังผลักดัน
ให้ก้าวหน้า  ถ้าไม่มีอย่างนี้มันจะโลเลถอยหลัง 
จะไปเป็นทาสของกิเลสตัณหา

                พอจะมีสัจจะเด็ดขาดขึ้น  อารมณ์โลเลพวกนี้
มันก็ดับหายไปหมด  ไม่มาสอพลออีก  ถ้าไปทำเล่นๆ 
อารมณ์พวกนี้มันหาโอกาสมาแหย่  จะให้เลี่ยงวินัย 
ข้อบังคับ ทีละน้อย

                คนที่ตั้งสัจจะนับว่าเป็นคนเด็ดขาดไม่เหลวไหล 
ถ้าใครยังพูดให้กำลังกิเลสอยู่  คนนั้นเป็นคนเหลาะแหละโลเล
ระวังจะเอาตัวไม่รอด

                จะต้องรู้ว่า  กิเลสตัณหามันก็กลัวการมีสัจจะอยู่เหมือนกัน



............





ผลประโยชน์มากสุด

                คนมีความอดทน  เมื่อกระทบกระทั่งอะไรแล้วก็นิ่งได้ 
สงบได้  พิจารณาปล่อยวางไปได้  ไม่เที่ยวเอะอะโวยวาย
ไปกระทบกระเทือนคนอื่นเขาง่ายๆ  ถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนแล้ว 
เป็นอันไม่ถูก  ไม่ชอบทั้งนั้น

                ควรหัดสำรวมระวัง  สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
ก็ให้รู้จักฝึกเลี่ยงหลีกปลีกตัวให้ได้  ศีลจึงจะบริสุทธิ์ 
ผุ้ปฏิบัติจะต้องมีความรุ้สึกอย่างนี้ไว้เป็นประจำ

                อย่างมุ่งแต่แก่งแย่งผลประโยชน์ 
อย่าไปเชื่อกิเลสเชื่อมามากแล้ว  ร้อนรน 
ทนทุกข์มามากน้อยเท่าไรแล้ว?

                ค่อยๆ  ลองคิดทบทวนดู  ผลประโยชน์ที่ได้มานั้น
มันเป็นผลประโยชน์ของกิเลส  หรือประโยชน์ของเรา 
เหนื่อยร้อนอ่อนใจขนาดนั้น  เคยคิด  เคยรู้สึกตัวไหม? 
ผลน่าพึงพอใจคุ้มทุนดีหรือ?

          ควรหมั่นตรวจสอบดู  อย่าทำเฉยเมย
มัวประมาทอยุ่เลยหัดตัวเองให้รุ้จักอดทนยิ่งๆ  ขึ้น 
อดทนต่อแรงยั่วยุของกิเลสแล้ว
จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด  คือ 
จะสามารถดับทุกข์ดับกิเลสได้เป็นลำดับ  มีสันติอย่างนิรันดร

ขอบพระคุณ คุณนริศรา

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2010, 11:32:08 pm »
 :13: อนุโมทนาครับพี่เล็ก ขอบคุณมากมายครับผม^^
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 08:09:16 pm »
อันตรายของชีวิต (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)

            วันเวลาของชีวิตมันนับแต่จะหมดไป  สิ้นไปอยู่ในตัว

                อันตรายของชีวิตมีการเปรียบว่า  เหมือนประทีปที่จุดไว้ในที่แจ้ง 
พายุจะพัดดับเมื่อไรก็ไม่รู้           จะต้องพยายามให้ได้ที่พึ่งของตัวเอง 
ก่อนที่  ความแก่  ความเจ็บ  ความตาย  จะมาถึง

                การปฏิวัติเพื่อสร้างที่พึ่งก็ไม่มีเรื่องอื่น 
มีแต่เรื่องการพิจารณาควบคุมจิตใจ  การพิจารณาให้ปลงตก 
ไม่ยึดมั่นจนสามารถปล่อยวางได้ในที่สุด

                เมื่อรู้ด้วยสติปัญญาออกมาจริงๆ  แล้ว 
มันก็จะปล่อยวางอะไรต่ออะไรออกไปได้เอง 
ทำให้จิตใจเกิดการสงบยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น

                กิเลสตัณหาอุปทานแม้มีมากมาย  มันก็ไม่ได้ไปเกิดที่ไหน 
ล้วนแต่มาเกิดกลุ้มรุมสุมเผาอยู่ที่จิตเท่านั้น

                ถึงแม้ว่ามันจะอาศัยการสัมผัส  และเครื่องอวัยวะที่รับสัมผัสต่างๆ 
เป็นที่เกิด  แต่ในที่สุดแล้วมันก็กลุ้มรุมล้อมเข้ามาที่จิต

                จึงต้องระวังรักษาจิตให้มากเป็นพิเศษ 
ควบคุมจิตไว้ได้อย่างเดียว  ศีลกี่ข้อๆ  ก็จะบริสุทธิ์ขึ้นมาได้

                การที่จะรู้จักใช้  กาย  วาจา  ใจ  ให้เป็นไปด้วยสติปัญญา
จึงเป็นสิ่งที่ต้องฝึกหัดอบรม  ต้องฝึกให้เป็นความเคยชิน

                เท่ากับรู้จักสร้างที่พึ่งของตนเอง  ถึงตอนนั้นแม้ลมพายุจะมา 
วันเวลาของชีวิตจะหมด  เราก็ไม่เสียใจ


ขอบพระคุณ คุณนริศรา

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2010, 04:52:42 pm »
คำสอน (ท่านก.เขาสวนหลวง)

                พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปนานมากแล้ว 
แต่คำสอนของพระองค์ยังคงอยู่  ก็อย่างที่พวกเรา
ได้นำมาปฏิบัติดับกิเลสกันอยู่นี้เป็นตัวอย่าง 
ถ้าคำสอนของพระองค์ไม่มีเหตุผล 
ก็คงต้องสูญหายไปนานแล้ว

                นี่เป็นแก่นธรรมแท้  จึงปรากฏคงอยุ่ได้จนปัจจุบัน 
และทำให้เราสามารถนำคำสอนนั้นมาปฏิบัติ  ดับทุกข์ 
ดับกิเลสกันได้จริงตามสติกำลัง

                เราจะต้องพยายามดับความหลงของตนเอง 
เกิดมาจะได้ไม่เสียเที่ยวเสียชาติ

                เมื่ออบรมปฏิบัติพิจารณาเรื่อยไป 
การบรรลุธรรมแต่ละกระแส  จะรวมกำลังกันเข้าทีละน้อย 
ทุกครั้งที่เราเอาชนะได้

                เมื่อมันรวมกำลังมากเข้า 
บางที่อาจจะไปถึงจุดสิ้นสุด เรียกว่าการบรรลุธรรมสูงสุด 
หมดอาสวะกิเลส  (สิ่งหมักหมมต่างๆ  ในใจ)  ไปก็ได้ 
เป็นของไม่แน่  เพราะเป็นปัจจัตตัง (รู้เฉพาะตน) 
ไม่มีใครรุ้ของใครได้

                เมื่ออบรมจิต  ปฏิบัติใจไปอย่างนี้ 
จิตย่อมจะค่อยมีความสะอาด  สว่าง  สงบเพิ่มขึ้นเรื่อยไป 
พอมันรวมจุดขึ้นมา  มันตัดอะไรได้เด็ดขาด 
อาจจะว่า  สำเร็จบรรลุนิพพานได้ ก็ไม่มีใครรุ้ล่วงหน้า

                เป็นอย่างนี้  จะไม่น่าปฏิบัติได้อย่างไร 
ใครจะมาปฏิบัติแทนก็ไม่ได้  ต้องทำเอง 
กิเลสในหัวใจใคร  ก็ต้องดับเอาเองเพราะต่างคนต่างใจ

 
ขอบพระคุณ คุณนริศรา

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2010, 08:03:28 pm »
ของเฉพาะตัว (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)

                การปฏิบัตินั้นเป็นของเฉพาะตัวแต่ละคนเท่านั้นก็จริง 
แต่ก็จำเป็นที่จะต้องบอกแนะแนวกันบ้างตามสมควร 
เพื่อจะได้เกิดไหวพริบ  หรือแยบคายอะไรขึ้นมา 
ในการที่จะเข้าไปรู้อะไรข้างในตัว

                เมื่อมีการปฏิบัติที่พิจารณาเฝ้ามองเข้าไปด้านในตัวเองแล้ว 
ปัญญาภายในจะได้ทำลายความมืดมิดปิดบังที่มีอยู่ 
ให้เห็นข้อเท็จด้วยตัวสติปัญญาแท้ของตัว

                การมองเห็นความจริง  คือ  เกิดดวงตาเห็นธรรม 
เห็นความจริงชัดใจ  อาจจะเกิดความสลดสังเวชขึ้นก็ได้ 
หรือบางที  อาจเกิดปีติเลื่อมใสยิ่งขึ้นก็ได้  มีสองลักษณะ

                ถ้าไม่หมั่นพิจารณาเข้าด้านในแล้ว 
จิตก็จะแส่ส่ายไปตามอารมณ์เลื่อนลอย 
การมองเข้าด้านในให้มากเป็นพิเศษ 
ก็เพื่อให้รู้จริง  รุ้แจ้ง  ไม่มีการยึดถือตัวตนได้ยิ่งขึ้นเรื่อยไป

                ตัวตนนั้นไม่ใช่มันจะหมดไปได้ง่ายๆ 
มันอาจจะผอมลง แต่พิษสงมันก็ยังมีมากมายคล้ายงูพิษ
มันจะอยู่ในรู  หรือ  อยู่ในซุ้มผอมโซก็แล้วแต่
ถ้าเราไม่พบและไม่คุ้ยเขี่ยมัน  มันก็ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา
ถ้าเราไปคุ้ยเขี่ย  หรือว่าลองไปแหย่มันดู 
ธรรมดางูพิษเมื่อถูกแหย่  ก็ต้องชูหัวออกมา

                ถึงตอนนั้น  เราก็จะรู้ถึงที่ซ่อนของมัน 
เราต้องคอยจัดการกับมันให้ดี  ด้วยความระมัดระวัง 
ไม่ประมาท  ไม่ต้องไปกลัวมัน  เราก็จะจัดการกับมันได้ 
งูตัวนี้เราต้องคอยดักตีให้ตายด้วยตัวปัญญาของเราเอง


ขอบพระคุณ คุณนริศรา

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2010, 08:10:33 pm »
ต้องตามเห็น (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)

                เรื่องของกิเลสภายในจิตใจ  มันมากมายก่ายกอง 
ชนิดที่เราก็ไม่ค่อยจะรู้จักมัน

                แล้วเราก็อยู่อย่างชนิดที่ไม่ค่อยจะมีการพินิจพิจารณามันให้รุ้ 
โดยแยบคาย  ดังนั้นมันก็ยิ่งสางไม่ออก  ปลงไม่ตก  ปล่อยไม่ได้

ถึงจะปล่อยได้บ้าง  ก็ปล่อยได้แต่ที่ไม่สลักสำคัญอะไร
ที่จะเข้าหาตัวการคือตัวกูนี่  เป็นของยาก

                เพราะเราคอยแต่จะเลี่ยงมันไว้เสียเรื่อย
 “มันหวงของมันนัก  มันรักของมันอยู่”  เพราะฉะนั้นการพิจารณาอะไร 
ให้เห็นความไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  ไม่ใช่ตัวตนของเบญจขันธ์
คือกายกับใจนี้ล้วนๆ  จึงไม่ค่อยมีการแจ่มแจ้งอะไรขึ้นนัก

                ต้องตามพิจารณา  ความเป็นอนิจจัง 
คือความไม่เที่ยงของตัวเราอยู่อย่างเดียว 
เดี๋ยวเราก็มองทะลุตัวของเราได้  (ที่ว่า “เดี๋ยว” 
นั้นจะช้าหรือเร็วอย่างไรขึ้นกับแต่ละคน) แล้วจากความไม่เที่ยงนั้น 
ก็จะพิจารณาเห็นถึงความเป็นทุกข์ไปด้วยในตัว 
และก็กลายเป็นเรื่องของความว่างจากตัวตนในเวลาเดียวกันด้วย 
ให้พิจารณาอย่างนั้น  ไม่ต้องดูอื่น  มองให้เห็นความว่างจากตัวตน 
ปรากฏอย่างแจ่มแจ้งอยู่ภายใน  เท่านี้ก็พอ

                ต่อไปถ้ามันจะปรุงอะไรขึ้นมาเป็นสัญญา  ติดใจบ้าง 
มันก็แต่เกิดดับๆ  ไม่ก่อรูปก่อเรื่องปรุงจิตให้เร่าร้อน 
ให้เศร้าหมองไปเหมือนเดิมที่เคยเป็น

                หลักความรู้อย่างนี้  ต้องหมั่นพิจารณาอยู่เสมอ

ขอบพระคุณ คุณนริศรา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 17, 2010, 06:04:25 pm โดย lek »

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 06:03:03 pm »
อยู่ในร่องรอย (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)

                ถ้าไม่ได้อบรมปฏิบัติ  ไม่ได้ควบคุมจิตใจของเราเองแล้ว
มิใยที่ใจของเราจะถูกกิเลสเผาเท่าไรก็ไม่รู้สึกตัว  ไม่รุ้ร้อน 
ไม่รู้ว่านรกอยู่ในตัว  ขุ่นมัวไปด้วยอำนาจของ  โลภ  โกรธ  หลงที่เป็นไปทั้งนั้น

                ต้องสังวรระวัง  ต้องคุ้มครอง  หู  ตา  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ
ที่เป็นบ่อเกิดของอารมณ์   ไม่ปล่อยโล่งๆ  มิฉะนั้นมันจะถูกฉุดไปรอบด้าน 
มันจะเหนื่อยและร้อนเร่าเศร้าหมองไปตามผัสสะตามสัมผัสที่มากระทบ

                บางคนชอบพูดตลอดคะนองเป็นนิสัย  เห็นว่าใครๆ  หัวเราะชอบใจ
ก็นึกว่าตัวดี  ที่แท้ตัวทำทุศีลไปไม่รู้สึก  ไม่สมควรกล่าวก็ต้องเงียบ

                เรื่องที่จะพูดคำที่มีประโยชน์  ก็ต้องพูดเท่าที่สมควรเห็นทุกข์ 
เห็นโทษของการแสดงออกทางกาย  ทางวาจา

                อะไรที่ไม่งดงาม  หรือผิดพลาด  พลั้งเผลอ  รู้ตัวแล้ว
ก็ต้องระมัดระวังต่อไป  ไม่ใช่ทำผิดแล้วๆ  กัน  ศีลนั้นบริสุทธิ์ได้
ด้วยความละอายและความกลัวบาป

                ถ้าคนไหนมีความรู้สึกตัวได้  นั่นแหละจึงจะเป็นการเหยียบย่าง
ตามอยู่ในร่องรอยของพระอริยเจ้าได้

ขอบพระคุณ คุณนริศรา

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2010, 07:07:03 pm »
ตรวจย้อน (คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง)

                ขอให้ผู้ปฏิบัติมีการพิจารณา  ตรวจย้อนกลับ
จับความเป็นมายาในตัว  ของตัว  ถ้าไม่มีการรู้แยบคาย
ในเรื่องความรุ้ของตัวที่มีอยู่  การปฏิบัติจะกลายเป็นการคลำ 
เหมือนหาอะไรอยู่ในความมืด  แล้วก็ยึดอะไรต่ออะไรหลอกๆไปทั้งนั้น

                ไม่ว่าจะยึดดีชั่วตัวตนอะไร ก็กำลังถูกหลอกอยุ่ตลอดเวลาไป 
แล้วก็ซ้ำซากอยู่อย่างนี้  ต้องกลับเข้าไปดูมันให้รู้เรื่องความรู้ผิดเห็นผิด 
มันปิดบังซ่อนหมกหลบอยู่ในตัวของตัวเอง

                พยายามใหม่ เบิกลูกตามองเข้าไปข้างในใหม่ 
เป็นการอ่านตัวเอง  ว่ามันโง่ดักดานมาเท่าไรแล้ว  ลืมตาดูเสียทีเถอะ 
จะได้เห็นอะไรต่ออะไรที่เป็นความจริงเสียก่อนตาย

                เพราะว่าชีวิตไม่แน่นอน  จะหมดลมหายใจเมื่อไรก็ได้

                แต่ว่าต้องลืมตาดูให้ทั่วก่อน  ก่อนจะทิ้งจากกันไปหมด 
ไม่ใช่มาเอาดีเอาเด่น  เอาผิดเอาถูก  อวดเก่งอะไรกัน 
มันเน่าหมดไม่เหลือ

                ขอให้ผู้ปฏิบัติย้อนกลับมาจับดูต้นขั้วตัวตน 
ต้นเหตุของความปรุงคิด  เพ่งตรงไปที่จิต 
ให้ได้ความรู้แยบคายให้ได้ทุกๆ ขณะเถิด

ขอบพระคุณ คุณนริศรา

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: คำสอนท่านก.เขาสวนหลวง (นิสัยเถื่อน)‏
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 07:58:03 pm »
ทำไปแล้วดีเอง (คำสอนของท่านก.เขาสวนหลวง)

                การพิจารณาตัวเองอยู่เป็นประจำ 
จะเห็นความไม่เที่ยงความเสื่อมสิ้นไปของกาย

                กายประกอบไปด้วยสิ่งปฏิกูล  เน่าอยู่ข้างในทั้งนั้น 
มันเกรอะกรังออกมาเป็นขี้หู  ขี้ตา  และขี้ต่างๆ  ต้องล้างต้องเช็ดกันอยู่

                เมื่อพิจารณาแล้ว  จะเห็นความเป็นธาตุ 
ความเป็นปฏิกูลนี้  และความเป็นศีลก็บริสุทธิ์ก็ผุดอยุ่ตรงนั้น

                ถ้าหมั่นพิจารณากันอยู่  มันทำให้ดับทุกข์โทษอะไรได้หลายๆ  อย่าง

                ทำให้รู้สึกว่า  การที่ยึดมั่นถือมั่นอะไรขึ้นมา  มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น

                ถ้าเรารู้จักพิจารณาแล้ว  วันเวลาของชีวิต 
ทุกเวลานาทีจะมีแต่ความรู้จริงเห็นแจ้ง  ในความไม่เที่ยง 
เป็นทุกข์  ความว่างจากตัวตน  อยุ่เป็นประจำ

                แล้วมันจะเป็นการโค่นทำลายตัวตน 
ตัวเราของเราที่มันก่อเรื่องวุ่นๆ  วายๆ  อยู่เป็นประจำวัน

                เมื่อเราพยายามทำให้เต็มที่อยุ่ก็ดีแล้ว 
ไม่ต้องไปหมายผลอะไรขึ้นมาหรอก  ตั้งหน้าทำไปก็แล้วกัน 
เพียรเผากิเลสดับทุกข์เป็นประจำวันเรื่อยๆ 
แล้วทุกเวลานาทีของชีวิตก็ย่อมเกิดเป็นผลดีไปเอง

 
ขอบพระคุณ คุณนริศรา