ผู้เขียน หัวข้อ: ทะลวงมิติความตาย ด้วย มรณานุสติแบบธิเบต  (อ่าน 4112 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



บทนำ
 
สาระสำคัญของความตาย
 
มนุษย์เราสนใจเรื่องความตายกันมานานเต็มที นับตั้งแต่สติปัญญาของ เราได้พัฒนาขึ้นมาจนถึงจุดที่ทำให้เรารำลึกได้ว่าตัวเราเองก็ตกอยู่ภายใต้ กฏเกณฑ์ของอนิจจังเช่นกัน แต่ยิ่งวันเวลาล่วงเลยไปนานเพียงใด ท่าที ของเราต่อความตายก็ยิ่งเปลี่ยนแปรไปมากขึ้นเพียงนั้น ดังจะเห็นได้จาก อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ เช่นอารยธรรมของชาวอียิปต์ที่มีประเพณีต่าง ๆ ทางศาสนาอันแสดงถึงแนวคิดเรื่องความตาย งานเขียนของปราชญ์ชาว ยุโรปหลายต่อหลายเล่มล้วนเป็นเรื่องปรัชญาอันประณีตลึกซึ้งเกี่ยวกับ ความตายและมรณกรรม จินตกวีเองก็พยายามเรียบเรียงความหมายของ มันออกมาเป็นกวีนิพนธ์อันลึกซึ้งกินใจ จิตกรเล่าก็ได้เพียรระบายพิษสง ของมันไว้บนผืนผ้าใบตลอดมา ถึงกระนั้นก็ตาม คนยุคนี้กลับพยายาม บิดเบือนความหมายที่แท้จริงของความตายอยู่เสมอ ความเสื่อมโทรมของ ลัทธิศาสนาเมื่อย่างเข้าศตวรรษี้ ตลอดจนการนำเอาแพทย์และเครื่องมือ ทางการแพทย์อันทรงประสิทธิภาพเข้ามาแทนที่พระเจ้าและศาสนา ทำให้ัั ชุมชนต้องสูญเสียอำนาจจัดการเรื่องความตายของชาวบ้านไปให้นักวิชา ชีพ บรรดาคนชราถูกยื้อแย่งไปเก็บซ่อนไว้ในบ้านพักคนชรา ที่ซึ่งพวก เขาจะได้รับความช่วยเหลือตามความจำเป็น ผู้ป่วยที่นอนรอความตายจะ ถูกเข็นไปยังเตียงมรณะลับตาคนบนชั้นสูงของโรงพยาบาลคนชรา สักขี พยานที่เฝ้าดูผู้ป่วยจนถึงวาระสุดท้ายในฤทธิ์ยาก็มีแต่เพียงอุปกรณ์การ แพทย์ทันสมัยที่ส่งเสียงติ๊ก ๆ และดังกระหึ่มขณะที่มันบันทึกจังหวะเต้น ของหัวใจ ความดันโลหิต และการหายใจอันแผ่วเบาลงทุกที ในที่สุด เมื่อต้องส่งคืนศพไปให้บรรดาญาติพี่น้อง ทางโรงพยาบาลไม่เพียงแต่จะ บิดเบือนสาเหตุการตายของผู้ป่วย แต่ยังฉีดยาดับกลิ่นศพ ตกแต่งใบหน้า ให้ดูแจ่มใสราวกับอยู่ในอาการหลับสนิทและสิ้นลมไปพร้อมกับความฝัน อันสุนทร นอกจากนั้นร่างกายของผู้ตายก็อยู่ในชุดงามเรียบร้อยราวกับ กำลังจะไปพิธีเลี้ยงยามค่ำ

 
ชาวตะวันตกมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการและทางวัตถุอย่างมหาศาล แต่คนรุ่นลูกรุ่นหลานอาจย้อนกลับมาดูวัฒนธรรมของพวกเขาว่าเถื่อนทราม อย่างน่าหัวร่อก็ได้ อารยธรรมตะวันตกเป็นอายธรรมที่ยิ่งใหญ่ในด้านความ สำอาง ดังจะเห็นได้จากทัศนคติและอุปนิสัยต่าง ๆ ที่มีต่อความตาย เรา สามารถชมความตายแบบสำอางทางโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นของเราได้วันละ หลายร้อยเที่ยว เห็นทัพทหารล้มตายกันในภาพยนต์ ความตายที่สมมุติกัน ขึ้นแบบนั้นออกจะผิดข้อเท็จจริงและดูสนุกสนาน แต่ความตายในชีวิตจริง กลับถูกมองว่าน่ารังเกียจ และน่าสยดสยอง ความเจ็บ ความแก่ และความ ตาย กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคมของเรา เรามักถูกกดดันให้หลีกเลี่ยงการ คิดถึงความตายของเราเอง เรามักรู้สึกผิดที่มีอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ใครไปถาม อายุเข้าก็เกือบจะกลายเป็นเรื่องดูหมิ่นดูแคลนกัน สังคมตะวันตกเป็นสังคม ที่บูชาความหนุ่มความสาวและชีวิตยามเยาว์ เห็นได้จากการเพียรพยายาม ทุกรูปแบบที่จะลอกเลียนสิ่งเหล่านี้ ผู้คนใช้จ่ายกันนับพันล้านดอลล่าร์ต่อ ปีเพื่อการดึงหน้า ย้อมผม ซื้อครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอางสารพัดประเภท ตลอดจนกรรมวิธีนับไม่ถ้วน ด้วยหวังจะให้มีรูปร่างหน้าตาที่ดูเยาว์วัยและ แข็งแรงกว่าตัวจริง การคิดถึงความตายของเราเองถูกมองเป็นเรื่องวิตถาร อันตรายเลยทีเดียว และการพูดถึงความตายในที่สาธารณะก็ถูกรังเกียจว่ามี รสนิยมต่ำทราม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมานี้ได้มีปรากฏการณ์แหวกแนว ที่สำคัญเกิดขึ้นหลายประการ นั่นก็คือการศึกษาเองความตายกันอย่างจริง จัง จิตวิทยาสมัยใหม่ได้เริ่มทำลายสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ เกี่ยวกับความตาย เช่นเดียวกับที่ฟรอยด์ได้ถอนเอาตราบาปทั้งหลายออกไปจากเรื่องอารมณ์ เพศเมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว ผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยต่าง ๆ เช่น ด.ร.คิวเบลอร์ - รอส ด.ร.เรย์มอนด์ คาเร่ย์ ด.ร.อี.ฮาราลด์สัน และ ด.ร. เออร์เนสต์ เบค เคอร์ เป็นต้น ได้มีส่วนเสริมสร้างสาขาวิชาที่เรียกว่า มรณวิทยา หรือการ ศึกษาเรื่องความตาย จากการสังเกตุทางการแพทย์เกี่ยวกับความตาย และ การทำงานเพื่อคนที่กำลังจะตาย ทำให้แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์แบบอนุ รักษ์นิยมอย่างสุดโต่งตระหนักว่า ถึงเราไม่อาจมองเห็นความตายได้โดย อาศัยกล้องจุลทรรศน์ แต่เราก็อาจสังเกตเห็นความตายได้ในฐานะปรากฏ การณ์ทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่บอกสาเหตุของการตายได้มากกว่าเพียง การหยุดทำงานของร่างกาย อาจกล่าวได้ว่า การค้นพบที่สำคัญที่สุดจาก การศึกษาสมัยใหม่เกี่ยวกับความตาย มาจากงานวิจัยทางจิตเวชของ ด.ร. ด.ร.คิวเบลอร์ - รอส และผู้ร่วมงาน ซึ่งเผยให้เห็นความเข้าใจและความ ตื่นตัวในเรื่องธรรมชาติอันไม่เที่ยงของเรา ที่บงการสุขภาพจิตของเราอยู่ เช่นเดียวกับที่ฟรอยด์เคยพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วว่า ความเข้าใจในเรื่องเพศ ของเราเอง เป็นสิ่งจำเป็นต่อความเติบโตทางจิตวิทยาของเรา นักมรณวิทยา สมัยใหม่หลายคนได้เสนอหลักฐานเอกสารที่สำคัญเพื่อสนับสนุนทฤษฎีว่า การตระหนักถึงความตายและความไม่เที่ยงของเราเอง ย่อมช่วยให้เรามี ชีวิตที่แข็งแกร่ง สมดุล และผสมผสานกลมกลืน

ความเกี่ยวเนื่องระหว่างงานของฟรอยด์กับเรื่องอารมณ์เพศและงานชิ้นนี้ กับความตาย อันมีส่วนสัมพันธ์กันในทางจิตวิทยาอย่างมาก ในความเรียง เรื่อง " ความอุจาดแห่งความตาย " ที่เขียนโดย ดร. เจฟฟรีย์ กอเรอร์ มี ความตอนหนึ่งว่า " ในศตวรรษที่ ๒o ดูเหมือนจะมีความเปลี่นแปลงที่เรา อาจมองข้ามไปมนเรื่องความเข้มงวดบางประการ ในขณะที่เราพูดถึงการ ร่วมประเวณีกันบ่อยขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมแองโกล - แซกซั่น ความตายกลับกลายเป็นเรื่องที่เรากล่าวถึงน้อยลงเรื่อย ๆ " งานของฟรอยด์ ในเรื่องเพศใช้เวลาถึงครึ่งศตวรรษในการเผยแพร่ออกจากห้องปฏิบัติการ ของเขาไปสู่สังคมภายนอก เราจึงอาจคาดได้ว่า งานที่เกี่ยวกับมรณกรรม ชิ้นนี้คงจะต้องใช้เวลานานเท่ากันในการชักจูงความคิดของสาธารณชน

อันที่จริง อารมณ์เพศกับความโน้มเอียงไปหาความตายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง กันอย่างไกล้ชิด เหมือนขั้วที่ตรงข้ามกันของแม่เหล็ก สิ่งหนึ่งกระตุ้นให้เรา มีพลังชีวิตและความสามารถในการสืบพันธุ์ ทำให้เราเป็นคนสำคัญ มีความ หมาย มีอำนาจ และมีตัวตนอยู่จริง อีกสิ่งหนึ่งสาปให้เราหายนะ ทำให้เรา หมดความสำคัญ ไร้ความหมาย สูญสิ้นพลัง และไร้ซึ่งตัวตน ทั้งสองสิ่งนี้ เชื่อมสนิทกับธรรมชาติความเป็นสัตว์โลกของเรา ฝ่ายหนึ่งทำให้เรารู้สึก เข้มแข็ง อีกฝ่ายหนึ่งทำให้เรารู้จักเจียมตัว ในเรื่องเกี่ยวกับชีวิต ฝ่ายหนึ่ง เป็นการสร้างสรรค์อย่างที่สุด และอีกฝ่ายก็เป็นการปฏิเสธชีวิตอย่างเด็ดขาด ฝ่ายหนึ่งทำให้เราก้าวร้าวและเข้าสังคมเก่ง อีกฝ่ายหนึ่งทำให้เราเป็นคนเฉย เมยและหลบเลี่ยงสังคม การเข้าใจอารมณ์เพศของเรา ย่อมช่วยเราให้มอง เห็นธรรมชาติส่วนที่ก้าวร้าวและอำนาจที่เรามี เมื่อขาดความสมดุลเช่นนี้ แล้ว ปัญหาการแสดงออกทางเพศย่อมเกิดขึ้น นับตั้งแต่ความไร้สมรรถ ภาพทางเพศไปจนถึงความรุนแรงทางเพศ

อาจเป็นไปได้ว่า ความเพ้อฝันแบบโรแมนติคในศตวรรษที่ ๑๘ รวมทั้ง ความเชื่อเรื่องจิตกับร่างในแบบทวินิยมที่แพร่หลายในยุคสมัยดังกล่าวทำ ให้เราก้าวเข้ามาสู่ยุคปัจจุบันโดยไม่สามารถเข้าใจอารมณ์เพศหรือความ ตายของเราได้อย่างสมจริง ในทัศนะแบบโรแมนติค จิตเป็นสิ่งสูงส่ง และ ร่างเป็นสิ่งหยาบช้าสามาย์ จึงถูกประณามว่าเป็นของต่ำทราม จำเป็นต้อง ได้รับการปรับปรุง หรือมิฉะนั้นก็ต้องถูกทำลายล้าง

ปราชญ์ท่านหนึ่งผู้เป็นพุทธศาสนิกชาวอินเดียมีนามว่า ศานติเทพ เคย เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า " นักโทษผู้ถูกพระราชาตัดสินลงโทษด้วยการตัดขา ออกไปข้างหนึ่ง ย่อมเกิดความตื่นกลัวเป็นที่สุด ปากของเขาแห้งผาก ตา เหลือกถลน ตัวก็สั่งันงก คนที่ถูกคุกคามด้วยความตายเล่า จะหวั่นกลัว มากกว่าสักเพียงใด " ดร.คิวเบลอร์ - รอส ได้กล่าวไว้อย่างหนักแน่นและ สร้างสรรค์ เพื่อสนับสนุนให้เราทำความเข้าใจในสภาวะความไม่เที่ยง ของตัวเราเอง ดังปรากฏในหนังสือเรื่อง ความตายกับมรณกรรม ตอน หนึ่งว่า " ถ้าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ถูกใช้ไปอย่างผิด ๆ ให้ทวี ความหายนะโดยการยืดชีวิตออกไป แทนที่จะทำให้ชีวิตเป็นชีวิตของ มนุษย์มากขึ้น และสามารถทำให้มนนุษย์เป็นอิสระมากยิ่งขึ้นในการติด ต่อกันโดยตรงแล้ว เราค่อยมาพูดถึงสังคมที่ยิ่งใหญ่ และเข้าถึงสันติภาพ ได้ ทั้งสันติภาพภายในของเราเอง และสันติภาพระหว่างชาติ ซึ่งเป็นไป ได้ถ้าเรากล้าเผชิญความตาย และยอมรับความเป็นจริงเรื่องความตายของ เราเอง " ทัศนะดังกล่าวสอดคล้องอย่างชัดแจ้งกับทัศนะของชาวพุทธ ซึ่งถือว่าการเข้าใจเรื่องความตายและธรรมชาติอันเป็นอนิจจังของเราเป็น สิ่งสำคัญยิ่งต่อความเจริญรุ่งเรืองทางจิตวิญญาณ พระพุทธองค์ก็เคยตรัส ว่า " ในรอยเท้าคชสารย่อมเป็นยอด และในบรรดาอนุสติทั้งหลาย มรณสติ ย่อมเป็นยอด " พุทธศาสนาแบบธิเบตมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับความตายอยู่ อย่างอุดมสมบูรณ์มากกว่าพุทธศาสนาในประเทศอื่นใด ซึ่งก็มิใช่เรื่องน่า ประหลาดใจนัก เพราะแม้ว่าธิเบตจะมีประชากรอยู่ไม่มาก แต่ก็สร้างสรรค์ วรรณกรรมขึ้นมาได้มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านที่มีประชากรหนาแน่น วรรณกรรมธิเบตมีลักษณะเด่นเป็นวรรณกรรมเกี่ยวกับจิตวิญญาณ สำหรับ นักประพันธ์ชาวธิบเต การเขียนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งสำหรับบันทึกชีวิต ของบรรดาผู้เคร่งศาสนา และบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นการถ่ายทอด ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ อธิบายการปฏิบัติทางจิต และโดยทั่วไปก็ เป็นการเสนอคำอธิบายเพิ่มเติมว่า ปรัชญา ศิลปะ การแพทย์ ศาสนา ประวัติศาสตร์ และศาสตร์ต่าง ๆ ทางจิต มีความเป็นมาอย่างไร ความ ตายก็จัดเป็นเรื่องสำคัญในศาสตร์เหล่านี้ นักประพันธ์ชาวธิเบตส่วนมาก จะเสนอข้อเขียนอย่างน้อย ๑ เรื่อง เช่น บทแนะนำการนั่งสมาธิ คู่มือ การประกอบพิธีกรรม กวีนิพนธ์หรือบทสวดมนตร์ที่แสดงความเข้าใจ หรือความคิดเห็นส่วนตัว เป็นต้น

เราไม่อาจบอกได้ว่าพุทธศาสนาได้แผ่เข้ามาแทรกซึมเทือกเขาหิมาลัย ของธิเบตตั้งแต่เมื่อใด แม้ปรากฏว่ามีพุทธศาสนาที่บริเวณเชิงเขาด้านใต้ และด้านตะวันตกหลังพุทธกาลเพียงเล็กน้อยก็ตาม ธิเบตยอมรับพุทธ ศาสนาอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๗ ครั้งนั้น พระเจ้าซองเซ็นกัมโปได้ทรงอภิเษกสมรสกับหญิงชาวพุทธ ๒ นาง นาง หนึ่งมาจากประเทศเนปาล อีกนางหนึ่งมาจากประเทศจีน จิตใจอันอ่อน โยนของหญิงทั้งสองทำให้พระองค์ไหวหวั่นเป็นอย่างยิ่งเพื่อสดุดีเกียรติ คุณของนาง พระองค์จึงมีพระบัญชาให้สร้างวัดโจโว ขึ้น ( ชาวตะวันตก รู้จักวัดนี้ในนามของวิหารกลางแห่งลาซา ) พระองค์ทรงส่งเสสิมให้ท่าน เสนาบดีโทมิ สัมโภตะและผู้ติดตาม ๒๔ คน เดินทางไปอินเดียเพื่อศึกษา พุทธศาสนาและประดิษฐ์ตังเขียนธิเบตขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อแปลคัมภีร์พุทธ ศาสนาจากภาษาสัสกฤต จากนั้น การแปลคัมภีร์พุทธศาสนาเป็นภาษา ธิเบตก็ดำเนินต่อมาอีกหลายยุคหลายสมัยอย่างต่อเนื่อง


พุทธศาสนาในธิเบตแบ่งออกได้เป็น ๓ ช่วง ได้แก่ ยุคต้นและยุคปลายแห่ง การเผยแผ่พระธรรม ซึ่งเป็นยุคที่มีการแปลคัมภีร์และความผันผวนอยู่เกือบ ตลอดเวลาและยุคหลังจากที่พุทธศาสนาสูญสิ้นไปจากอินเดีย อันเป็นยุคที่ นิกายต่าง ๆ ของธิเบตเริ่มมั่นคงขึ้น และเริ่มตั้งตัวเป็นลัทธิ ตลอดจนเป็นยุค ที่อวตารขององค์ทะไลลามะเริ่มปรากฏนิกายใหญ่ ๔ นิกายที่เกิดขึ้นในระ หว่างพัฒนาการของพุทธศาสนา ๒ ช่วงแรกในธิเบต มีรากฐานมาจากคำ สอนของปรามาจารย์ชาวอินเดียท่านใดท่านหนึ่ง กล่าวคือ นิกายนีงม่า ถือ คำสอนของท่านปัทมสมภพและท่านศานติรักษิต นิกายศากยะ ถือคำสอน ของท่านธรรมปาลและท่านวิรูปะ นิกายการ์กิวถือคำสอนของท่านนโรปะ และไมตรีปะ และนิกายกาดัม ถือตามท่านอตีษะ ประมาณปลายคริสต์ ศตวรรษที่ ๑๔ นิกายเหล่านี้ก็มั่นคงเป็นลัทธิอิสระจากกัน นิกายทั้งสี่ที่ก่อ ตั้งขึ้นระหว่างพัฒนาการ ๒ ช่วงแรกของพุทธศาสนาในธิเบตนี้ บางทีก็ เรียกกันว่า " นิกายหมวกแดง " เพราะสาวกในนิกายเหล่านี้สวมหมวกยอด แหลมสีแดงขณะประกอบพิธีในวัด เมื่อซองขะปะเปลี่ยนสีของหมวกพิธี เป็นสีเหลือง ลัทธิของเขาที่ชื่อว่า " เกลุค " หรือ " วิถีบริสุทธิ์ " จึงรู้จักกัน ในนาม " นิกายหมวกเหลือง "

แม้ว่านิกายต่าง ๆ ของพุทธศาสนาแบบธิเบตจะมีปรัชญาและหลักคำสอน แตกต่างกัน แต่สาระสำคัญของนิกายเหล่านี้เหมือนกัน นิกายทุกนิกายอาศัย แนวคำสอนของพุทธศาสนาหินยานในเรื่องอริยสัจจ์ ๔ และเรื่องไตรสิกขา อาศัยแนวคำสอนของมหายานในเรื่องการปลูกฝังปณิธานของโพธิสัตว์และ บารมี ๖ ประการ และอาศัยวิธีการของวัชรยานในเรื่องมรรควิธีของตันตระ ๔ ประการ ความแตกต่างกันอยู่ที่วิธีแสดงแนวคำสอนเหล่านั้น นิกายแต่ละ นิกายต่างก็สนับสนุนให้ใช้ยานทั้งสาม ( หินยาน มหายาน วัชรยาน ) แม้จะเน้น แง่มุมคำสอนและตีความคัมภีร์แตกต่างกันในเชิงปรัชญาไปบ้างก็ตาม

งานศึกษาวิเคราะห์ประเพณีของธิเบตในเรื่องความตาย อันเป็นที่มาของหนัง สือเล่มนี้ ส่วนมากได้มาจากข้อเขียนต่าง ๆ ของทะไลลามะหลายองค์ และ ของนักประพันธ์บางท่านที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของธิเบต การเขียนหนังสือ เป็นการใช้เวลาว่างที่สำคัญยิ่งของธิเบตมานานนับศตวรรษแล้ว ในขณะที่ ชาวตะวันตกกำลังทุรนทุรายอยู่ในยุคมืด จากนั้นก็มัวแต่แข่งขันกันล่าเมือง ขึ้นไปทั่วโลก ชาวธิเบตกลับนั่งกันอยู่ในถ้ำและวัดบนหลังคาโลก จิบชาใส่ เนย หลีกเลี่ยงความยุ่งยากทั้งปวง โดยการหมกมุ่นศึกษา ปฏิบัติสมาธิ และ สร้างงานประพันธ์ ธิเบตอาจเป็นเพียงชนชาติเล็ก ๆ ถ้ามองในแง่ของจำนวน ประชากร ดินฟ้าอากาศที่แห้งแล้งหนาวเย็นไม่เอื้ออำนวยให้มีประชากรหนา แน่นได้ แต่เนื้อที่สำหรับทำมาหากินก็มีเท่าเทียมกับยุโรปตะวันตก หรือมาก เกินครึ่งของประเทศจีน ความสำคัญของธิเบตอยู่ที่ความเป็นแหล่งวัฒธรรม ให้แก่อาณาจักรต่าง ๆ ตามหุบเขาหิมาลัยหลายต่อหลายแห่งที่ล้อมรอบอยู่ทุก ด้าน แว้นแคว้นทั้งหลายอันประชิดพรมแดนตามแนวภาคเหนือของอินเดีย รวมทั้ง ลาดัค ละโฮล์ สปิตติ เนปาลภาคเหนือ สิกขิม ภูฐาน และอัสสัม ได้ ใช้ภาษาทางศาสนาและทางวิชาการมานานนับศตวรรษ นอกจากนั้น วัฒน ธรรมทางศาสนาของมองโกเลีย ไซบีเรีย และจีนภาคตะวันตก ก็มีรากเหง้า เกาะยึดอยู่กับพุทธศาสนาแบบธิเบต ในด้านวัฒนธรรม ธิเบตจึงกินอาณาเขต กว้างขวางไปทั่วภาคกลางของเอเชีย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 02, 2010, 09:00:30 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ทะลวงมิติความตาย ด้วย มรณานุสติแบบธิเบต
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 08:36:53 pm »
ทัศนคติต่อเรื่องความตายที่ก่อตัวขึ้นในธิเบตมีลักษณะสำคัญเป็นแนวคิด แบบพุทธ เพื่อให้เข้าใจทัศนะดังกล่าว เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับ พุทธทัศนะว่าด้วยบทบาทของปัจเจกบุคคล ธรรมชาติของจิต และแนว ความคิดเรื่องกรรมและการกับชาติมาเกิด คำว่า " กรรม " ในภาษาธิเบต คือ " เล " แปลตามตัวว่า " การกระทำ " ทฤษฎีนี้ถือว่า การกระทำทุกอย่าง ของเรา ไม่ว่าจะเป็น กุศล อกุศล หรือเป็นกลาง ๆ ย่อมทิ้งรอยประทับ หรือสัญชาติญาณไว้บนจิต ซึ่งจะปรากฏเป็นจิตใต้สำนึกต่อไป ผู้ที่สร้าง กรรมชั่ว ย่อมทำให้จิตใจของเขาแบกรับจิตใต้สำนึกที่โน้มเอียงไปสู่ความ โหดร้าย ส่วนผู้ที่สร้างแต่กรรมดีโดยอาศัยความรัก ปัญญา และการุณย์ ย่อมทำให้จิตใจของเขาโน้มเอียงไปสู่สิ่งที่ดีงามเหล่านี้ กรรมจึงมีผลต่อ จิตใจและบุคลิกภาพของเราในชาติปัจจุบันและมีอิทธิพลต่อแบบแผนชีวิต ในอนาคตของเราด้วย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ขณะที่เรากำลังจะสิ้นลม เชื้อ กรรมที่จิตของเรานำไปย่อมจะมีผลอย่างยิ่งต่อวิวัฒนาการของเราในภพ หน้า


ชาวพุทธในธิเบตเชื่อกันว่า เมื่อร่างกายตายแล้ว จิตจะเข้าสู่ " บาร์โด " หรือภาวะระหว่างความตายกับการเกิดใหม่ พร้อมกับนำเอารอยกรรม ของตนตามไปด้วย รอยกรรมจะกำหนดสภาวะการเกิดใหม่ ผู้สร้างแต่ กรรมชั่ว จะตายไปในกระแสกรรมชั่ว ผู้สร้างแต่กรรมดีจะตายไปโดย มีรอยกรรมดีติดตัว ส่วนผู้ที่สร้างกรรมดีและกรรมชั่วไว้เท่า ๆ กัน อาจ ตายในภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ถ้าเราผ่านเข้าบาร์โดพร้อมกับภาวะ จิตที่ชั่ว เราก็จะไปเกิดใหม่ในทุคติภพ แต่ถ้าเราผ่านเข้าบาร์โดไปพร้อม กับกุศลจิต เราจะไปเกิดใหม่ในสุคติภพ พุทธศาสนาแบบธิเบตมีคำสอน เกี่ยวกับภูมิทั้งหก คือ นรกภูมิ เปรตภูมิ เดรัจฉานภูมิ มนุษยภูมิ อสูรภูมิ และเทวภูมิ ภูมิแต่ละภูมิมีส่วนเสียที่สอดคล้องกับความหลงผิด ๖ ประ การ ซึ่งกำหนดวาระจิตก่อนตายว่าผู้นั้นจะไปเกิดใหม่ในภูมิใด ตัวอย่าง เช่น ธรรมชาติของนรกคือความโหดร้ายรุนแรง ซึ่งสอดคล้องกับโทส จริตของจิต เมื่อผู้นั้นสิ้นชีวิตขณะกำลังโกรธความโกรธจะสร้างภาวะ ของจิตที่คล้ายคลึงกับสภาพในนรก ทำให้ผู้นั้นไปเกิดใหม่ในนรก ใน ทำนองเดียวกัน ภูมิของเปรตก็มีสภาวะเป็นความกระหายทะยานอยาก อันสอดคล้องกับความยึดมั่นถือมั่นของจิต และภูมิของสัตว์เดรัจฉานก็ เต็มไปด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาซึ่งสอดคล้องกับอวิชชาของจิต จึงทำ ให้ผู้ที่ตายขณะโง่เขลาเบาปัญญา ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

พระไตรปิฎกกล่าวถึงกรรมในลักษณะต่าง ๆ วิธีหนึ่ง แบ่งกรรมออกได้ เป็นกรรมที่ให้ผล และกรรมที่ไม่ให้ผล กรรมที่ให้ผลเป็นกรรมที่ประทับ รอยในจิตเป็นกุศลและอกุศลตามที่คนทั่วไปกระทำ ส่วนกรรมที่ไม่ให้ผล เป็นกรรมของพระอรหันต์ ซึ่งไม่ทิ้งรอยของสังสารวัฏไว้ในจิตอีกต่อไป เพราะพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นจากอำนาจของกรรมและความหลงผิด ทั้งมวลแล้ว และดำรงอยู่อย่างเพียบพร้อมด้วยปัญญาคุณ การเวียนว่าย ตายเกิดไม่ว่าจะในภพภูมิที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตามย่อมไม่เกิดประโยชน์ อย่างสมบูรณ์ ตามหลักพุทธศาสนาเป้าหมายขั้นสุดยอดคือการบรรลุ ปัญญารู้แจ้งเป็นอิสระจากชีวิตทางโลกทั้งปวง หากยังไม่บรรลุความรู้ แจ้ง เมื่อถูกกรรมอันให้ผลชักนำไปก็ย่อมต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปไม่ สิ้นสุดตามกฏปฏิจจสมุปบาท เป้าหมายทฤษฏีเรื่องกรรมคือ การกระตุ้น ให้เรามีความรับผิดชอบต่อการกระทำของเราเอง กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม เป็นพาหนะสำคัญที่นำเราไปสัมพันธ์กับภพภูมิอื่น และ แปรสภาพเราให้เป็นสิ่งอื่น หากเราไม่มีความรับผิดชอบต่อตนเอง เรา ย่อมไม่อาจก้าวหน้าไปตามพุทธวิถีได้ พุทธยานทั้งสาม คือ หินยาน มหา ยาน และวัชรยาน ต่างก็สอนให้เรามีความรับผิดชอบต่อกระแสกรรมของ เรา ดังพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า " เราเป็นศัตรูที่ร้ายที่สุดของตัวเราเอง แต่ เราก็เป็นผู้ช่วยตัวเองให้รอดด้วย "

ทัศนะเรื่องความตายและการเกิดใหม่ มิได้หมายถึงขณะสิ้นชีวิตและหลัง การสิ้นชีวิตเท่านั้น ตามแนวคิดแบบพุทธ ความตายและการเกิดใหม่เกิด ขึ้นทุกขณะในชีวิตของเรา และวัฏจักรชีวิตประจำวัน ธาตุรู้ในแต่ละขณะ เกิดจากความเสื่อมและการเกิดใหม่ของธาตุรู้ในชั่วขณะก่อน จิตดวงปัจจุ บันเป็นสิ่งที่เกิดจากความดับของจิตในขณะก่อน แนวคิดนี้เป็นสิ่งสำคัญ ในพุทธศาสนาและทำให้เกิดการรู้แจ้งได้ ทำให้ความดับและการเกิดใหม่ ของจิตจากขณะต่อขณะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของเรา ทำให้ จิตเสื่อมถอยและพัฒนาขึ้นได้ ธาตุรู้ของเราอาจประณีตและเบาบางมาก ขึ้น หรืออาจหยาบกระด้างและหนักอึ้งยิ่งขึ้นก็ได้ นอกจากนั้น ช่วงขณะ ที่แยกความคิด ๒ เรื่องออกจากกันก็สำคัญมาก เพราะเป็นธรรมชาติเบื้อง แรกสุดที่รองรับกิจกรรมทางจิตทุกอย่าง การรู้เท่าทันสิ่งนี้จึงกลายเป็นยา แก้ความหลงผิด อันได้ผลชะงัด


วัฏจักรในชีวิตประจำวันแต่ละช่วงทำให้เรามีประสบการณ์เรื่องความตาย บาร์โด และการเกิดใหมช่วงที่เราผล็อยหลับช่วยให้เรามีปะสบการณ์เรื่อง แสงสว่างวาบขณะที่สิ้นชีวิต ภาวะความฝันมีลักษณะคล้ายบาร์โดและนิมิต เกี่ยวกับมัน ความฝันมีลักษณะคล้ายกับตัวตนของบาร์โด ฉะนั้น โยคนิมิต จึงเป็นสิ่งสำคัญของการฝึกแบบตันตระ เมื่อเราควบคุมความคิดและภาพ นิมิตในฝันได้ เราก็เกือบจะสามารถควบคุมจิตที่มีประสบการณ์ต่อบาร์โด ได้เช่นกัน การตื่นจากฝันย่อมเหมือนการเกิดใหม่ กล่าวคือตัวตนความฝัน สลายไป และเราตื่นขึ้นมาในรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากสภาพที่ปรากฏใน ความฝัน การศึกษาเรื่องจิตเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในพุทธศาสนา พระ พุทธเจ้าเคยตรัสว่า " จิตเป็นผู้ชักนำให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งหลาย อาชา นำทางเกวียน ฉันใด จิตของเราก็ชี้นำ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมทั้ง มวลของเรา ฉันนั้น " เป้าหมายหลักการศึกษาพุทธศาสนาจึงไม่มีอะไร มากไปกว่าการศึกษาเรื่องจิตและวิธีการพัฒนาคุณสมบัติภายในจิต

ความตายเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในพุทธศาสน์ศึกษา เป็นเรื่องจำเป็นต่อ การเรียนรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับความตายเป็นปรากฏการณ์ทางจิตอย่าง หนึ่ง ในขณะที่ร่างกายอ่อนแอลง เราจะมีจิตสำนึกในขั้นละเอียดอ่อนยิ่ง ขึ้นตามระดับที่เราเคยฝึกตนเองมาวรรณกรรมธิเบตเกี่ยวกับความตายจึงเป็น แรงบันดาลใจและเป็นแนวทางได้อย่างสำคัญ วรรณกรรมเหล่านี้มีหลักการ ที่จะสนับสนุนให้ผู้ใฝ่รู้ได้ทำการแสวงหาทางจิตอย่างจริงจัง และทำให้เรา รู้ว่าจะค้นหาให้พบได้อย่างไร

วิธีบรรลุมรรควิถีแบบพุทธมีอยู่ ๓ วิธี คือ หินยาน มหายาน และวัชรยาน ทั้ง ๓ วิธีต่างก็มีการฝึกฝนให้มมรณสต เพียงแต่มีวิธีการปลีกย่อยต่างกัน เท่านั้น หลักสำคัญในการฝึกแบบหินยาน ประการแรกคือ การพัฒนาความ สำนึกในเรื่องทางสายกลาง การสละโลกียสุข และไม่ยึดมั่นถือมั่น มรณสติ เป็นสิ่งสำคัญต่อเรื่องเหล่านี้ เพราะทำให้เรามีทัศนะต่อตนเองและต่อกิจ กรรมของเราเองได้อย่างถูกต้อง และถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น โดยปกติแล้ว จิตที่ไม่ ได้รับการฝึกฝนอบรมมาก่อน ย่อมแปลความหมายเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต เราเลยเถิดไป อะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุข ย่อมดูเหมือนดีสำหรับเรา เป็นพิเศษ ส่วนพวกที่ทำอันตรายเราหรือทำให้เราอึดอัด จะดูเหมือนไม่น่า รื่นรมย์ จึงทำให้เราเกิดความยึดมั่นถือมั่น และเกิดความขุ่นเคือง ซึ่งเป็น กรรมชั่วต่อไป การฝึกฝนให้มีมรณสติทำให้เรามองเห็นสิ่งทั้งหลายได้ด้วย ความสงบและไม่หวั่นไหว ทำให้เรามีปฏิกิริยาตอบโต้ได้อย่างเหมาะสม ยิ่งขึ้น

ประการที่สอง มรณสติเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ในการฝึกฝนทั่วไปของฝ่าย มหายาน หัวใจของมหายานคือการมีการุณยธรรมอันยิ่งใหญ่ และเมื่อผู้ ฝึกมีมรณสติอันมั่นคงแล้ว เมื่อประสบเคราะห์กรรมที่ผู้อื่นสร้างให้ เขา ย่อมมีขันติได้โดยง่าย นอกจากนั้น ยังมีความเมตตากรุณาต่อคนเหล่านั้น ด้วย เมื่อมองเห็นธรรมชาติอันไม่เที่ยงของคนทั้งหลายแล้ว เขาย่อมสนอง ตอบการกระทำตามอวิชชาเหล่านั้นด้วยความกรุณา การระลึกถึงความไม่ เที่ยง ความอ่อนแอต่อความตายและความประมาทต่อความตายของผู้อื่น ทำให้พระโพธิสัตว์มีปณิธานที่แน่วแน่ยิ่งขึ้น

ประการสาม ในนิกายวัชรยานโดยเฉพาะอย่างยิ่งนลัทธิบรมโยคะ ผู้ฝึก สามารถใช้อำนาจสมาธิเข้าสัมผัสความตายในขั้นต่าง ๆ ได้ เช่นเดียวกับ ขณะที่สิ้นชีวิตจริง ๆ นี่เป็นการฝึกขั้นสุดยอดในมรณสติ ซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติ สามารถมีประสบการณ์มรณะได้ในสมาธิและรู้ได้แน่ชัดว่าจะมีอะไรเกิด ขึ้นบ้างหลังความตาย ในที่นี้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ช่องทางพลังชีวิตต่าง ๆ อันประ ณีต พลังงานและจุดประสงค์ของกายทิพย์ การปรับมวลสารทางเพศ ตลอด จนการกระตุ้นพลังงานทางร่างกายที่ละเอียดอ่อนที่สุด และระดับความสำ นึกรู้ นี่คือมรรควิธีที่ทำให้ผู้ปฏิบัติมีพลังอำนาจอันสามารถบรรลุพุทธภูมิ ได้ในหนึ่งชั่วอายุขัยเท่านั้น
 
หนังสือเรื่อง มรณสติแบบธิเบต ฉบับนี้ เป็นการพยายามสำรวจข้อมูลต่างๆ ของธิเบต ว่าด้วยความตาย โดยมุ่งหมายจะสำรวจบรรณานุกรมของข้อมูล ดังกล่าวแต่จะนำเอางานด้านวรรณกรรมและคำอธิบายเกี่ยวกับทัศนคติ และ การปฏิบัติที่เป็นแบบแผนของธิเบตมาเสนอต่อผู้อ่าน นอกจากนี้ ก็มิได้มุ่ง หวังจะสร้างทฤษฎีและการตีความหมายทางปรัชญาแต่อย่างใด หากเพียง ต้องการแสดงให้เห็นว่าประเพณีเรื่องความตายมีบทบาทอย่างไรต่อวิถีชีวิต โดยทั่วไปของชาวธิเบต

พุทธศาสนาเป็นศาสนาของชนชาติต่าง ๆ เกือบครึ่งโลก และธิเบตก็เป็น คลังแห่งพุทธศาสนาจากอินเดียที่ไม่มีชาติใดเที่ยบได้ ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยที่ ผลิตผลจากคำสอนโบราณนี้จะไปกันได้กันสมัยใหม่ เนื่องจากธรรมชาติ ดั้งเดิมของร่างกายและความคิดของมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับแต่ พุทธกาล ธรรมชาติของจิตยังคงมีลักษณะเช่นเดิม เราอาจมีอายุยืนมากกว่า ผู้คนในสมัยพุทธกาลถึง ๑o ปี หรือมากกว่านั้น แต่เราก็ยังต้องพบความ ตายซึ่งเป็นจริงไม่น้อยไปกว่าความตายของคนโบราณ ยุคปัจจุบันเป็นยุค ที่โลกมีขนาดเล็กลงทุกที ศูนย์กลางวัฒนธรรมต่าง ๆ ของโลกกำลังแลก เปลี่ยนความรู้กันเป็นการใหญ่ ธิเบตเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมเอเชียที่ยิ่ง ใหญ่แห่งหนึ่งในจำนวน ๔ แห่ง แต่เพาะสภาพภูมิศาสตร์ที่หลบเร้นไป จากโลกตะวันตกจึงเป็นดินแดนที่ชาวโลกไม่สู้รู้จักกัน ความโดดเดี่ยวดัง กล่าวนับว่ามีส่วนดีประการหนึ่งที่ทำให้ชาวธิเบตก้าวเข้าสู่ยุคปัจจุบันได้ อย่างมีความบริสุทธิ์ทางวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องพึ่งตนเองในการ พิจารณาคำสอนของปรัชญาเมธีและนักพรตแห่งธิเบต เราต้องแสวงหา และแยกแยะเอาเองว่า วัฒนธรรมธิเบตจะมีอะไรบ้างที่ช่วยให้มนุษยชาติ มีความเข้าใจชีวิตได้อย่างถูกต้อง กุญแจที่ไขไปสู่การเรียนรู้และพัฒนา การดังกล่าวก็คือความใจกว้างและความใฝ่รู้ทางปัญญา ประเพณีของ ธิเบตได้ค้ำจุนวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณมานานนับศตวรรษแล้ว เปรียบ ไปก็เหมือนครเมกกะแห่งชาวพุทธมหายานมานานก่อนที่คนเริ่มรู้จักทวีป อเมริกาเสียอีก เราเป็นหนี้ความรุ่งโรจน์ของธิเบตที่เกิดจากการค้นพบสิ่ง ต่าง ๆ ของท่านเหล่านั้นโดยอาศัยความรู้ความเข้าใจแบบตะวันตกก็ตาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 02, 2010, 09:01:57 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ทะลวงมิติความตาย ด้วย มรณานุสติแบบธิเบต
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:13:37 pm »

 
 
บทที่หนึ่ง
 



บทนำ
 
เนื้อหาของบทที่หนึ่งนี้ได้มาจากประมวลพระธรรมเทศนาของ คยาล-วา -ตุปเต็น-คยา-โซ ทะไลลามะองค์ที่ ๑๓ ของธิเบต อันทรงแสดงไว้ใน วันเพ็ญปีใหม่ของชาวธิเบตในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. ๑๙๒๑ องค์ทะไลลามะ ได้ทรงเลือกมรณสติแบบนิกายกาดัมมาเป็นประเด็นเทศนาของพระองค์ ซึ่งนับว่ามีคุณค่าที่สมควรใช้เป็นบทแรกของหนนังสือเรื่องนี้ได้ เพราะ ทำให้เราเข้าใจมรณสติซึ่งเป็นพื้นฐานของพุทธศาสนาธิเบตทุกนิกาย ตลอดจนวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้ในการปฏิบัติแบบพุทธ อันมีอยู่ทั่วไปตาม ประเพณีธิเบต เราจึงมองเห็นการปฏิบัติแบบพุทธทั้งในการปฏิบัติทาง จิตอย่างโดดเดี่ยวและการปฏิบัติเป็นส่วนหนึ่งของจารีตประเพณีของ ธิเบต ทะไลลามะองค์ที่ ๑๓ เป็นทะไลลามะองค์แรกที่ชาวตะวันตกรู้ จักกันอย่างดี รัชสมัยของพะองค์ดำเนินไปด้วยไม่ราบรื่นนัก เนื่องจาก ธิเบตเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มหาอำนาจทั้สามคืออังกฤษ รัสเซียและจีน คิดช่วงชิงอยู่ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙o๔ อังกฤษตัดสินใจบุกธิเบตจากด้าน อินเดีย และสามารถขยายอำนาจไปได้ตลอดภาคกลางของเอเชีย ทำให้ ธิเบตต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน ซึ่งอยู่ในอำนาจของอังกฤษ ที่น่าแปลกก็คือ นายพันโทยังฮัสแบนด์ผู้นำกองทัพของอังกฤษ ได้เกิด บรรลุฌานลี้ลับขึ้นขณะที่อยู่ในธิเบต ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ชีวิตของ เขาเปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่เดินทางกลับประเทศอังกฤษได้ไม่นาน เขาก็ลาออกจากราชการทหารและอุทิศเวลาที่เหลืออยู่ตลอดชีวิตเพื่อ เขียนเรื่องจิตวิญญาณ


ทะไลลามะองค์ที่ ๑๓ ประสูติเมื่อ ค.ศ. ๑๘๗๖ ในครอบครัวชาวนา อาจ เป็นเพราะทรงมีชาติกำเนิดอันต่ำต้อย จึงทรงสามารถเป็น " องค์ทะไลลามะ ของประชาชน " อยู่ได้ตลอดกาล ธรรมเทศนาหลายบทของพระองค์ เป็น ธรมะที่ทรงแสดงต่อสาธารณชน สาวกของพระองค์มาจากชนทุกประเภท ธรรมเทศนาที่นำมาใช้เป็นพื้นฐานสำหรับบทนี้ เป็นธรรมะที่ทรงแสดงต่อ สาวกของพระองค์จำนวนมากกว่า ๒o , ooo คน เนื่องจากธรรมเทศนามุ่ง แสดงต่อนักวิชาการหรือโยคีผู้รอบรู้ และชาวบ้านทั่วไปในขณะเดียวกัน จึงมีลักษณะผสมผสานระหว่างความลุ่มลึกกับความเรียบง่าย จนเกิดความ งดงามที่เราเข้าใจได้ ดังปรากฏอยู่ในงานหลายชิ้นของพระองค์ นอกจาก นั้นยังทำให้ผู้อ่านเข้าถึงประเพณีธิเบตว่าด้วยมรณสติ ตลอดจนเข้าใจความ เชื่อมโยงที่ประเพณีดังกล่าวมีต่อระบบการฝึกฝนตามแนวพุทธได้โดยง่าย

 
ความตายกับการฝึกฝนของพระโพธิสัตว์
 
ท่านโจโว อติษะ ผู้เป็นจุฑามณีแห่งปราชญ์ชาวพุทธในอินเดียและเป็นต้น ตำรับมุขปาฐบท (เรื่องราวที่เล่ากันมาจากปากสู่ปาก) ทั้งมวลของนิกายกาดัม ได้เคยกล่าวไว้ว่า
 
ชีวิตนี้สั้นนัก
และมีเรื่องควรรู้อยู่มากหลาย
แต่เมื่อใดจะถึงเวลาตาย
เราย่อมไม่อาจรู้อยู่นั่นเอง
จึงควรทำตัวเยี่ยงหงส์
ที่คงแยกนมจากน้ำได้
 
 
สิ่งมีชีวิตเช่นเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะถูกครอบงำด้วย โลภะ โทสะ และโมหะ ยิ่งเราพยายามไขว่คว้าหาโลกียสุขในวัฏจักรแห่ง การเวียนว่ายตายเกิดมากเพียงใดเราก็ยิ่งผิดหวังขมขื่น และทุกข์ทรมาณมาก ขึ้นเพียงนั้น เราต้องดเวียนว่ายตายเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ภายใต้อวิชชาและกฏ ปฏิจจสมุปบาท แม้ว่าเราจะทุกข์ทรมาณอย่างไรก็ตาม เราก็ยังทำกรรมดีอยู่ บ้าง จึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทำให้มีโอกาสพากเพียรพัฒนาจิตวิญญาณ จนใน ที่สุดก็สามารถรู้แจ้งและบรรลุอนันตสุขได้ แต่ร่างมนุษย์อัประเสริฐของเรา นั้นไม่มีความจีรังยั่งยืน แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่อาจพยากรณ์ได้ว่า มนุษย์ แต่ละคนจะมีอายุยืนยาวอยู่ได้มากน้อยเพียงใด อีกไม่นานชีวิตของเราจะต้อง ดับสูญ เราจึงควรทำตัวเช่นหงส์ซึ่งหากจำต้องดื่มมผสมน้ำ ก็จะสามารถแยก ดื่มแต่นม โดยบ้วนน้ำทิ้งออกมาได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราเรียนรู้วิธีปฏิบัติ ทางจิต การฝึกฝนแต่ละวันจะทำให้เราสามารถแยกเอาแต่น้ำนมแห่งคุณความ และความสุขสันต์ไว้ และบ้วนวิถีความชั่วอันนำเราไปสู่ความกลัดกลุ้มทรมาณ ทิ้งไป
 

ในขณะนี้ เรามีสภาวะทั้งภายนอกและภายในที่สามารถบรรลุความรู้แจ้งและ ความสุขนิรันดร์ได้ เราไม่ควรปล่อยโอกาสนี้ผ่านเลยไปโดยคิดว่า " ฉันจะ ฝึกตนพรุ่งนี้หรือวันต่อไป " ไม่ควรหลงผิดแม้เพียงชั่วขณะไปกับความเกียจ คร้าน ซึ่งจะทำให้เราเคลิบเคลิ้มหมกหมุ่นกับการแสวงหาสิ่งที่ให้ประโยชน์ ชั่วคราวต่อชีวิตปัจจุบัน จนมองข้ามการบำเพ็ญเพียรทางจิต เราควรตั้งสมาธิ จิตแน่วแน่เพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์อันล้ำค่านี้ โดยการพยายาม บรรลุวิถีแห่งความรู้แจ้ง และภพภูมิอันสูงยิ่งขึ้น เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง เรา ย่อมเผชิญความตายได้อย่างสงบมั่นคงแทนที่จะเสียอกเสียใจ ทุรนทุราย และ เราจะสามารถหาทางไปสู่การเกิดใหม่ที่มุ่งไว้ได้ เราควรถือว่าการบำเพ็ญ เพียรทางจิตให้ลุล่วงนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และต้องพากเพียรพยายาม ปฏิบัติธรรมให้จริงจังและบริสุทธิ์ให้มากที่สุด เพื่อบรรลุผลดังกล่าว


กล่าวกันว่า พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายได้ถูกเบียดเบียนจากมายา และอุปกิเลสวมถึง ๘๔, ooo ประเภท จึงทรงแสดงธรรม ๘๔, ooo หมวด เพื่อต่อต้านมายาและอุปกิเลสเหล่านั้น พระธรรมทั้ง ๘๔, ooo หมวด ประ มวลได้เป็นพระไตรปิฎก อันประกอบด้วย พระวินัย พระสูตร และพระอภิ ธรรมตามลำดับ โดยเนื้อหาแล้ว พระไตรปิฏกอาจสรุปลงได้เป็นไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา นอกจากนั้น หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าก็อาจ จัดแบ่งออกได้เป็นฝ่ายหินยานและฝ่ายมหายาน คำสอนของฝ่ายมหายาน มีเนื้อหารวมถึงคำสอนของปารมิตายานและวัชรยานอีกด้วย คำสอนของ ปารมิตายานและวัชรยานถือว่าโพธิจิตที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น เป็นประ ตูไปสู่ความรู้แจ้งและเป็นมรรควิถีอันประเสริฐสุดในการช่วยโลก สำหรับ ชาวพุทธมหายานทุกคน โพธิจิตคือกุญแจสำคัญในการปฎิบัติ


เมื่อมีผู้ถามท่านโจโว อตีษะ ถึงคุรุของท่านคือ เซอร์ลิงปะ ( คุรุชาวอินโด นิเซียผู้มีนามว่า ธรรมกีรติ ) ท่านก็จะประนมมือบูชา น้ำตาไหลพราก และ ตอบว่า " จิตสำนึกแบบมหายานใดใดก็ตามที่ฉันได้บรรลุมาแล้ว ล้วนแต่เป็น เพราะเมตตากรุณาของท่านคุรุผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น แม้ฉันจะพบท่านถึงวันละ ๑o ครั้ง ทุกครั้งท่านก็จะถามว่า ' จิตสำนึกแห่งความรู้แจ้งหรือโพธิจิตนั้น หล่อหลอมเข้าไปนความคิดของเจ้าหรือยัง ' สิ่งที่ท่านเน้นความสำคัญเป็น เบื้องแรกและมากที่สุดเสมอก็คือเรื่องการพัฒนาโพธิจิต "
 
 
ดังนั้น แม้พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเรื่องการปฏิบัติ ๘๔, ooo ประการก็ ตาม ในฐานะที่เาเป็นชาวพุทธมหายาน เราจึงควรใฝ่ใจเรื่องการพัฒนา โพธิจิต จิตสำนึกของพระโพธิสัตว์ในการรู้แจ้ง การวางอุเบกขา ความ เมตตากรุณา และความเข้าใจถึงใเขาใจเรา ซึ่งทำให้เป็นสัพพัญญูโดยสม บูรณ์ เพื่อประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง คัมภีร์ เคล็ดวิชาการฝึกจิต ๗ ประการ ซึ่งรวบรวมคำสอนปากเปล่าของท่านคุรุเซอร์ลิงปะที่มีต่อท่าน อตีษะ ได้กล่าวถึงธรรมชาติของโพธิจิตไว้ว่า
 
 
โพธิจิตเป็นประดุจวัชระ ( คทาเพชร )
ดวงอาทิตย์และต้นสมุนไพร
 
 
ในการฝึกจิต โพธิจิตย่อมเป็นเสมือนเพชร เพชรสามารถทำลายความยาก จน และตอบสนองความจำเป็นทุกอย่างได้ฉันใด โพธิจิตก็สามารถทำลาย ความยากจนทางจิตวิญญาณและตอบสนองความต้องการทางจิตได้ฉันนั้น สะเก็ดเพชรชิ้นน้อยนิดย่อมมีค่าเหนือกว่าพลอยเม็ดใหญ่มากนัก
 
 
โพธิจิตเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่กำลังขับไล่ความมืด ยามอาทิตย์อุทัย รัตติกาลจะอยู่อย่างไร ดวงอาทิตย์โผล่พ้นเหนือโลกและสาดแสงไปทั่ว ปฐพีฉันใด จิตแห่งโพธิสัตว์ในกายเราก็เป็นอาทิตย์อุทัยภายในฉันนั้น


โพธิจิตยังอาจเปรียบได้กับต้นสมุนไพรที่สามารถต้านทานพิษของโรคภัย ไข้เจ็บได้ถึง ๔o๔ ชนิด องค์ประกอบของมันเช่น ใบและผลสามารถรักษา โรคบางชนิดได้ด้วย ถ้าเราพัฒนาโพธิจิตภายในตัวของเราแล้ว เราย่อมหาย ขาดจากโรคทางใจทุกชนิด และสามารถบรรลุความรู้แจ้งได้ในที่สุด แม้ แต่การพัฒนาจิตของพระโพธิสัตว์เพียงไม่กี่แขนง ก็อาจทำให้เราหายป่วย จากโรคทางใจได้เช่นกัน

การสร้างสรรค์พื้นฐานของโพธิจิตอันเอื้ออาทรต่อผู้อื่น หมายถึงการได้ รับฉายาเป็นพระโพธิสัตว์ เราอาจฝึกฝนคุณธรรมอื่น ๆ มานานหนักหนา เช่น ปฏิบัติสมาธิและทำจิตว่าง อันเป็นผลจากการฝึกฝนให้เกิดปัญญา ชั้นสูง การปฏิบัติเหล่านี้อาจทำให้บรรลุความเป็นพระอรหัตสาวกหรือ ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ผู้ที่ได้ฝึกฝนจิตสำนึกของพระโพธิสัตว์ ย่อมก้าวพ้นความชำนาญในขั้นต่ำกว่าเหล่านี้โดยอาศัยธรรมชาติอันแท้ จริงของตน โพธิจิตมีอำนาจแฝงที่สามารถรักษาความกลัดกลุ้มหลงผิด ของจิต เช่น ความยึดมั่นในตัวตนและในปรากฏการต่าง ๆ ให้หายได้ เนื่องจากโพธิจิตสามารถรักษาจิตให้รอดพ้นจากรากเหง้าของความทุกข์ ในวัฏสงสาร โพธิจิตจึงเป็นโอสถอันวิเศษที่สามารถถอนพิษความเดือด ร้อนตามปกติในสังคมมนุษย์และสามารถแก้ไขปัญหาทางจิตที่ลึกล้ำยิ่ง กว่านั้นได้


การฝึกฝนจิตตามจารีตนิยม ได้แก่ การมีความอดทนและความเมตตา กรุณาเป็นต้น และการฝึกฝนโพธิจิตในขั้นปรมัตถ์ ได้แก่ การพยายาม ให้เกิดปัญญาล่วงรู้ความว่าง ( ศูนยตา ) ซึ่งเป็นการมองเห็นธรรมชาติ อันแท้จริงและลึกซึ้งที่สุดของจิต กาย และโลกภายนอก เมื่อเราบรรลุ โพธิจิตขั้นปรมัตถ์แล้ว เราย่อมหลุดพ้นจากโลกแห่งความทุกข์และ ความสับสบวุ่นวายนี้ได้อย่างสิ้นเชิง เราจะกลายเป็นพระอริยะผู้อยู่เหนือ โลก และเป็นอิสระจากกรงเล็บแห่งสังสาระ และเมื่อเราฝึกฝนโพธิจิต ตามจารีตนิยมได้สำเร็จ เราก็จะกลายเป็นสัพพัญญู มีอำนาจของพระ พุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ในกาย วาจา ใจ วิธีการบรรลุโพธิจิตจึงมีคุณค่า อย่างที่สุด และเราควรพากเพียรทุกวิถีทางให้บรรลุโพธิจิตทั้งในแง่ จารีตนิยมและในแง่ปรมัตถ์


คัมภีร์ เคล็ดวิชาการฝึกจิต ๗ ประการ กล่าวถึงการฝึกฝนให้บรรลุ โพธิจิตทั้งในแง่จารีตนิยมและในแง่ปรมัตถ์ ดังต่อไปนี้


ในเบื้องต้น เราต้องแสวงหาครูผู้ฝึกที่มีคุณสมบัติพร้อม และสืบทอด ความรู้มาจากคุรุดั้งเดิม เราควรเลือกครูผู้ฝึกอย่างพิถีพิถัน เมื่อเริ่มฝึก ก็ควรพยายามสร้างทัศนคติที่ถือว่าครูหรือคุรุท่านนั้นเป็นองค์รวมของ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะต้องถือว่าคุรุ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง คือองค์พุทธะผู้ปรากฏเป็นคนธรรมดาเพื่อฝึกฝนมนุษย์ให้บรรลุตาม ให้ เอาใจใส่ต่อสิ่งที่ท่านสั่งสอนโดยเคร่งครัด พยายามปรนนิบัติท่าน ๓ วิธี คือ อุทิศตนเพื่อท่าน เอาใจใส่ท่าน และปฏิบัติตามคำสอนของท่าน อย่างจริงใจ การสร้างความสัมพันธ์ด้วยการทำงานร่วมกับครูผู้ฝึก เป็น พื้นฐานของการฝึกฝนอื่น ๆ ทั้งหมด ความสัมพันธ์จากการทำงานด้วย กันนี้เป็นหัวใจของวิธีบรรลุความรู้แจ้ง ถ้าเราต้องการจะเป็นโพธิสัตว์ ผู้ยิ่งใหญ่ ในเบื้องแรกเราต้องเรียนรู้วิธีต่าง ๆ ในการบรรลุขั้นตอนของ พระโพธิสัตว์ จากนั้นเราต้องปฏิบัติตามคำชี้แนะที่มีประสิทธิภาพ ถ้า เรามีทัศนคติไม่สอดคล้องกับการฝึกย่อมเกิดผลคืบหน้าได้ยาก ในขั้น สุดท้าย ผู้ฝึกจะต้องถือว่าครูผู้สอนคือองค์ปรากฏของพระพุทธเจ้าทุก พระองค์ด้วย


ประการต่อไป ได้แก่การทำสมาธิแน่วแน่อยู่ที่ธรรมชาติอันมีค่ายิ่งของ ชีวิตมนุษย์ เราต้องเรียนรู้ที่จะชื่นชมลักษณะพิเศษของการดำรงชีวิต และโอกาสในการฝึกฝนจิตที่เราได้จากการดำรงชีวิตนี้ คัมภีร์เรื่อง ประ มวลสิ่งมีค่า กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
 
 
โดยอาศัยการฝึกจิต
เราย่อมสลัดทิ้งพันธนาการทั้งแปด
อันเป็นธรรมชาติของสัตว์ทั้งหลาย
และเราย่อมบรรลุความหลุดพ้นทั้งแปดกับพรทั้งสิบ
 
 
ความหลุดพ้น ๘ ประการที่มนุษย์ต้องการ เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับพันธนา การทั้งแปด พันธนาการ ๔ ประการ เปรียบได้กับสภาวะทั้งสี่ของอมนุษย์ อันได้แก่ ความทุกข์ของสัตว์นรก ความอยากกระหายของเปรต ความโง่ เขลาเบาปัญญาของสัตว์เดรัจฉาน และความไม่อิ่มในกามกับความเฉื่อยชา ของทวยเทพในสังสารวัฏที่บริบูรณ์ไปด้วยโลกียสุข ส่วนพันธนาการอีก ๔ ประเภทคือ สภาวะของมนุษย์อันไม่ปรารถนา อันได้แก่ การเกิดเป็นคนป่า เถื่อนในดินแดนที่ปราศจากความรู้เรื่องจิต ความพิกลพิการไม่สมประกอบ ต่าง ๆ เช่น เป็นคนปัญญาอ่อนหรือวิกลจริต การเกิดในยุคที่ปราศจากคำ สอนเรื่องจิต และการดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ กับธรรมชาติของจิตวิญญาณ ถ้าเราเป็นอิสระจากพันธนาการเหล่านี้ได้ ก็ นับว่ามีโชคดีอยู่มาก
 
 
ส่วนพร ๑o ประการอาจแบ่งออกได้เป็น ๒ หมวด คือ หมวดส่วนบุคคล และหมวดสิ่งแวดล้อม สำหรับหมวดแรก ท่านนาคารชุนได้บรรยายไว้เป็น ร้อยกรองว่า
 
กำเนิดเป็นมนุษย์
สุดประเสริฐในแดนอารยะ
มีอวัยวะครบถ้วน
ล้วนปลอดพ้นอกุศลกรรม
ใฝ่ธรรมฝึกจิต
คือสัมฤทธิ์พรทั้งห้าประการ
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ทะลวงมิติความตาย ด้วย มรณานุสติแบบธิเบต
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:16:25 pm »
ปัจจัยส่วนบุคคลทั้ง ๕ ประการนี้ ช่วยให้เรามีพื้นฐานภายในพร้อมที่จะพาก เพียรเพื่อความรู้แจ้งได้ และท่านนาคารชุนได้กล่าวถึงพรหมวดสิ่งแวดล้อม ไว้ว่า

กำเนิดในยุคอันปรากฏองค์พุทธะ
ได้สดับธรรมะที่ทรงแสดงไว้
พุทธธรรมยังคงสว่างไสว
พรั่งพร้อมไปด้วยผู้ถือปฏิบัติ
หมู่เวไนยสัตว์ต่างเอื้ออาทรกัน
คือปัญจพรต่อสิ่งแวดล้อมของเรา


ใครก็ตามที่มีความหลุดพ้น ๘ ประการและพร ๑o ประการย่อมพร้อมที่จะ รู้แจ้งได้ในชีวิตนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่นับสิ่งมีชีวิตกำเนิดต่ำกว่ามนุษย์ ถ้าเรา อุทิศชีวิตมุ่งฝึกฝนอย่างจริงจัง เราย่อมสามารถบรรลุความสมบูรณ์ทางจิต ขั้นสูงสุดได้ ไม่เพียงแต่สามารถบรรลุเป้าหมายตามจารีตนิยมเท่านั้น ชีวิต มนุษย์มีคุณค่ายิ่งนัก เมื่อเรามีชีวิตแล้ว เราจึงควรพากเพียรให้ได้มาซึ่งแก่น แท่ของมัน เราต้องหมั่นสำรวมจิตถึงความหลุดพ้น ๘ ประการกับพร ๑o ประการ จนกระทั่งความชื่นชมคุณสมบัติแฝงของมนุษย์อย่างดื่มด่ำนี้ สามา รถหล่อหลอมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้กับชีวิตของเรา ให้เราพิจารณา ดูว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากนัก เมื่อเทียบกับพวกที่เกิดเป็นสัตว์ เป็นแมลง และอื่น ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน เรามีโอกาสที่จะใช้ชีวิตได้ตามใจชอบ แต่ถ้า เรามัวแต่แสวงหาความสุขทางโลกอันไม่ยั่งยืน เราย่อมหวังไม่ได้ว่า เมื่อ เราสิ้นชีวิตแล้ว เราจะไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่สุขสบาย ผู้ที่ตายโดยไม่เคย ฝึกจิตมาก่อน ย่อมมีความหวังเพียงริบหรี่กับความสุขในภพหน้า


เมื่อเราพัฒนาความชื่นชมใคุรสมบัติแฝงของมนุษย์ให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคง แล้ว ก็ให้เริ่มตั้งมรณสติพิจารณาความไม่เที่ยงและความตาย ตามวิธีการ ของท่านอตีษะที่รับสืบทอดมาจากคุรุเซอร์ลิงปะ แห่งอินโดนิเซีย มรณ สติ หมายถึงการพิจารณาสิ่ง ๓ สิ่ง คือ ธรรมชาติอันแท้จริงของความตาย ความไม่แน่นอนของเวลาตาย และข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อถึงเวลาตายไม่มี อะไรเลยที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงนอกจากการฝึกจิต สิ่งทั้งสามนี้เรียกว่า " ตรีมูล "


ในการพิจารณาธรรมชาติที่แท้จริงของความตายให้ไตร่ตรองถึงเหตุผล สนับสนุน ๓ ประการ คือ
 
๑. พระยามัจจุราชย่อมมาหาเราไม่ช้าก็เร็ว และเมื่อถึงเวลานั้นย่อมไม่มีสิ่ง ใดขับไล่พระองค์ไปได้
๒. ไม่มีทางที่เราจะต่ออายุไปได้เรื่อย ๆ กาลเวลาของเราได้เคลื่อนคล้อย ไปโดยไม่ขาดสาย
๓. แม้ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ เราก็มีเวลาน้อยมากที่จะอุทิศให้แก่การฝึกจิต
 
เหตุผลทั้งสามมีรายละเอียดดังนี้


๑. พระยามัจจุราชจะมาทำลายเราวันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะมี ร่างกายแข็งแกร่งปานใดก็ตาม ก็ไม่มีวันพ้นเงื้อมมือของความตาย ในคัมภีร์ ธรรมบทของธิเบต มีอยู่บทหนึ่งที่กล่าวถึงความไม่เที่ยงว่า
 
หากนับองค์พุทธะพระสาวก ทั้งหยิบยกพระปัจเจกและอรหันต์ ต่างละกายเนื้อเมื่อดับชีวัน ใยกล่าวกันถึงเราผู้รู้ตาย


ก่อนที่จะดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระสงฆ์สาวก " ท่าน ทั้งหลายผู้พากเพียรในจิต ขอจงเอาใจใส่ให้ดี การจะพบผู้ตรัสรู้ธรรมนั้น เป็นเรื่องยากนัก และปรากฏการณ์ทั้งก็ล้วนเป็นอนิจจัง นี่คือปัจฉิมโอวาท ของตถาคต "
 
 
ในอินเดีย คุรุโยคี ธรรมราชา นักบุญผู้รอบรู้และท่านอื่นๆ หลายต่อหลาย ท่านในประวัติศาสตร์ ต่างก็ได้ตายไปแล้วทั้งสิ้น แล้วเราผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ ธรรมดาผู้ยังคงยึดมั่นกับขันธ์ห้าอันเน่าเปื่อยผุพังได้ จะหวังอยู่เหนือกฏไตร ลักษณ์ และความตายได้อย่างไร ตั้งแต่เกิดโลกขึ้นมา ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใด มีชีวิตอยู่อย่างต่อเนื่องถาวรโดยไม่เคยเวียนว่ายตายเกิด


พระสูตรถวายโอวาท ตอนหนึ่งได้กล่าวว่า " ความทุกข์ทั้งสี่อันประกอบ ด้วย เกิด แก่ เจ็บ ตาย ย่อมทำลายผลสำเร็จทั้งปวงเช่นเดียวกับ ภูเขาทั้งสี่ กระแทกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และบดขยี้ต้นไม้ใบหญ้าที่ขวางเสียสิ้น ย่อม ไม่ง่ายเลยที่จะหลบเลี่ยงโดยการวิ่งหนี ใช้กำลังต่อต้าน ติดสินบน ใช้เวท มนต์คาถา ประกอบพิธีกรรมหรือเยียวยาใดใด " เมื่อความตายมาถึง เรา อาจกินยาที่มีราคาแพงที่สุด หรือเซ่นสรวงบูชาเทพเจ้าผู้คุ้มครองกันอย่าง มโหฬาร แต่ก็หลีกเลี่ยงความตายไปได้ไม่นาน


๒. ไม่มีทางที่เราจะต่ออายุไปได้เรื่อย ๆ และเวลาของเราก็ล่วงพ้นไปทุก ที เวลาที่ล่วงพ้นไปตั้งแต่เราเกิด ส่วนใหญ่ก็หมดไปกับกิจกรรมอันไร้ สาระ กว่าเราจะรู้ตัว ความตายก็มาถึงเสียแล้ว น้ำหยดลงจากกระบอก ทีละหยดไปเรื่อย ๆ ฉันใด และไหมพรมถูกดึงออกจากไจไหมทีละน้อย ฉันใดก็ดี ชีวิตของเราย่อมก้าวเข้าสู่จุดจบของมันทุกขณะ ฉันนั้น


๓. ในชั่วชีวิตของเรา เราให้เวลากับความเพียรทางจิตน้อยมาก พระสูตร ว่าด้วยการกลับสู่ครรภ์ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า " วัยเด็กกินเวลา ๑o ปี และ ในช่วง ๒o ปี สุดท้ายของชีวิต ร่างกายและจิตของเราก็ไม่แข็งแกร่งพอ ที่จะทำความเพียรทางจิตให้ได้ผลสำเร็จมากนัก " ครึ่งหนึ่งของชีวิต เรา ใช้ไปสำหรับการนอน การกิน การแสวงหาปัจจัยสี่และอื่น ๆ ครั้งหนึ่ง ท่านคุรุเซเซขะวาแห่งนิกายกาดัมได้กล่าว " ผู้ที่มีอายุอยู่ถึง ๖o ปี หลัง จากที่หักลบเวลานอน เวลากิน เวลาแสวงหาปัจจัยสี่และอื่น ๆ เช่น กิจ กรรมบันเทิงต่าง ๆ ออกไปแล้ว จะมีเวลาเหลือเพียง ๕ ปีสำหรับการบำ เพ็ญเพียรทางจิต เวลาส่วนนี้อาจสูญไปกับการปฏิบัติที่ผิดพลาดอีกด้วย " ดังนั้น เราจึงควรเริ่มต้นฝึกจิตเสียขณะนี้โดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง


เมื่อเราวางแผนจะเดินทางไปต่างประเทศ ก่อนอื่นเราต้องจัดเตรียมสัม ภาระที่จำเป็นต่อการเดินทาง ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราจะต้องเดินทาง ไปสู่มรณภูมิเราก็ต้องเตรียมพร้อมโดยการศึกษาไตร่ตรองและสำรวมจิต ถึงเส้นทางนั้น เราต้องมุ่งมั่นและแน่วแน่ในการพากเพียรทางจิต เพื่อให้ เกิดคุณสมบัติภายในที่สร้างพลังอำนาจให้เราตายได้อย่างไม่หวั่นไหว


ประการที่สอง มรณกาลมีธรรมชาติที่ไม่แน่นอน จะเห็นได้จากเหตุผล ๓ ข้อดังต่อไปนี้
 
๑. อายุขัยของชาวโลกไม่แน่นอนตายตัว เล่ากันว่าอายุขัยของมนุษย์ที่ อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดรามิเยนในนิยายปรรัมปรายืนยาวถึง ๑, ooo ปี แต่พวกเราชาวโลกมนุษย์ไม่มีอายุขัยที่แน่นอนเช่นนั้น
 
คัมภีร์ อภิธรรมโกศ ของท่านวสุพันธุ์กล่าวไว้ว่า " ชีวิตมนุษย์ไม่มีช่วง กำหนดแน่นอนตายตัว ในช่วงสุดท้ายของกัปป์ อายุเฉลี่ยของมนุษย์จะ เท่ากับ ๑o ปี และในตอนต้นของกัปป์ อายุของมนุษย์ยืนยาวถึง ๑, ooo ปี " ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาว แก่เฒ่า หรืออยู่ในวัยกลางคนก็ตาม ความตาย ย่อมมาเยือนได้เสมอ ดังที่คัมภีร์ ธรรมบทของธิเบต กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
 
ชนผู้เราพบเห็นเมื่อยามเช้า
ต่างก็ตายจากเราในยามค่ำ
ยามราตรียังเห็นอยู่ไรรำ
อาจมาจำจากไปใปทิวา
 
เด็กชายหญิงต่างพบมัจจุราช
หนุ่มสาวอาจมอดม้วยสังขาร
คนเหล่านี้จะกล่าวอย่างไรว่า
มรณาไม่เคลื่อนคลายกรายถึงตน
 
บ้างก็ตายในครรภ์มารดา
คลอดออกมาแล้วตายจากมากเหลือล้น
เด็กทารกสิ้นใจไปหลายคน
บ้างก็เติบโตจนทุกข์ยากจึงจากไป
 
คนตายทั้งเมื่อเยาว์และเฒ่าชรา
เติบใหญ่ขึ้นมาก็ตายได้
มรณะมิเคยจำกัดวัย
ถึงเวลาของใครก็พบเอง


ในเมื่อความตายมาถึงได้ทุกขณะ เราจึงต้องระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราอาจ ตายเมื่อใดก็ได้
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ทะลวงมิติความตาย ด้วย มรณานุสติแบบธิเบต
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:20:09 pm »
๒. สาเหตุของความตายมีอยู่มากมาย แต่เครื่องยังชีพมีอยู่น้อยมาก สา เหตุของความตายที่นับไม่ถ้วนนี้อาจระบุได้ เช่น โรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุ ภัยจากคนร้ายและสัตว์ร้าย เป็นต้น ส่วนเครื่องยังชีพ เช่น อาหาร ที่อยู่ อาศัย ทรัพย์สิน เป็นต้น ก็อาจเป็นสาเหตุให้เราตายได้ กล่าวคือ อาหาร อาจเป็นพิษ บ้านอาจถล่ม เป็นต้น นอกจากนั้น เราอาจต้องเสียชีวิตใน ระหว่างการแสวงหาปัจจัยสี่ หรือระหว่างการปกป้องทรัพย์สินของเรา ดังที่ท่านนาคารชุนได้เคยกล่าวไว้ในคัมภีร์ รัตนาวลี ว่า


เราอาศัยอยู่ใต้เงื้อมมรณะ
ดุจตะเกียงน้อยคอยโต้พายุใหญ่

 
๓. ร่างกายของเราล้วนเปราะบาง สิ่งทีแข็งแกร่งที่สุดในโลกภายนอกก็ ล้วนไม่เที่ยง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนมีธรรมชาติเช่นนี้ ความเปลี่ยนแปลง เพียงเล็กน้อยในสิ่งแวดล้อมของเราหรือในระบบภายในร่างกายของเราก็ อาจทำให้เราตายได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรฝึกฝนธรรมะให้บริสุทธิ์ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง และไม่เผลอใจหมกมุ่นกับเรื่องทางโลกขณะฝึกฝน ปฏิบัติธรรม


หัวข้อที่สามที่ต้องไต่ตรองให้ดี คือข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ย่อมไม่มีสิ่งอื่นใดมีคุณค่านอกจากการฝึกจิต ขอให้เราใคร่ครวญถึงเหตุผล ๓ ข้อดังต่อไปนี้


๑. แม้ว่าเราจะแวดล้อมอบอุ่นไปด้วยมิตรสหายนับร้อย แต่ย่อมไม่มีใคร สักคนติดตามเราไปได้ในมรณภูมิ
 
๒. แม้ว่าเราจะมีทรัพย์สินมากมายก่ายกองปานขุนเขาพระสุเมรุ เมื่อตาย แล้วก็เอาไปไม่ได้สักเศษธุลี เราต้องก้าวสู่มรภูมิอย่างเปล่าเปลือยและโดด เดี่ยว
 
๓. ร่างกายที่เราเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่คลอดพ้นครรภ์มารดาก็จะถูกทอด ทิ้งไว้เบื้องหลัง ไม่มีสิ่งใดสืบเนื่อง ยกเว้นกระแสจิตสำนึกและกรรมดี กรรมชั่วที่จิตพาไปเท่านั้น ในช่วงที่เรายังมีชีวิตอยู่ หากเราผูกพันอยู่กับ มิตรสหาย ญาติพี่น้อง ทรัพย์สมบัติ และร่างกายของตนเอง เราย่อมใช้ ชีวิตอยู่อย่างสูญเปล่าและสร้างแต่กรรมชั่ว จิตของเราจะมีแต่ความทุกข์ โทมนัส ราวกับบุคคลที่เพิ่งรู้ตัวว่าได้ดื่มยาพิษเข้าไปนานจนสายเกินแก้ เราจึงควรตั้งใจมั่นแต่บัดนี้ แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตก็ตามว่า เราจะไม่ยอมตก อยู่ใต้อิทธิพลของโลกธรรมทั้งแปด เช่น ความสุข ความทุกข์ ยศ ความ เสื่อมยศ เป็นต้น เราต้องหลีกเลี่ยงประโยชน์สุขทางโลก เช่นเดียวกับ หลีกเลี่ยงสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย


คุรุองค์แรก ๆ นิกายกาดัม มักฝึกฝนปฏิบัติฌานเบื้องต้น ๕ ประการ คือ กำหนดจิตถึงคุณค่าของชีวิตมนุษย์ ความตายและความไม่เที่ยง กฏแห่ง กรรม ความบกพร่องของชีวิตที่ไม่รู้แจ้ง และธรรมชาติตลอดจนขั้นตอน ต่าง ๆ ในการเข้าสู่มรรค ผล นิพพาน การฝึกฝนขั้นต้นนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะเป็นการเตรียมเราให้พร้อมสำหรับการฝึกขั้นสูงต่อไป คนบางคนก็ ละเลยการฝึกขั้นต้น แต่มองการฝึกขั้นสูงด้วยความเคารพเลื่อมใส อย่างไร ก็ตาม แม้คนทั่วไปจะเห็นว่าทองมีค่ามากกว่าน้ำ แต่คนที่กำลังจะตายเพราะ การกระหายน้ำ ย่อมเห็นว่าน้ำมีคุณประโยชน์มากกว่านัก เมื่อเขาได้ดื่มน้ำ จนอิ่มแล้วเขาจึงจะเริ่มสนใจทอง ถ้าเรายังปฏิบัติขั้นพื้นฐานไม่ได้ ก็ขอให้ ลืมเรื่องการปฏิบัติขั้นสูงเช่นวิธีแบบตันตระไว้เสียก่อน เพราะวิธีนี้ยังไกล เกินเอื้อม เมื่อเราฝึกขั้นพื้นฐานได้มั่นคงแล้ว คำสอนในพระสูตรและใน นิกายตันตระจึงจะเริ่มมีความหมายสำหรับเรา


ในขั้นแรกเราต้องสร้างความมั่นใจในวิธีการฝึกให้ได้ เช่น วิธีฝึกมรณสติ และการพัฒนาโพธิจิตว่าด้วยความเมตตากรุณา และความปรารถนาที่จะ ตรัสรู้ธรรมอันช่วยโลกได้ จากนั้นก็ฝึกฝนปัญญาให้รู้แจ้งในเรื่องธรรมชาติ ของตัวตน จิตและปรากฏการณ์ ต้องสร้างรากฐานขั้นต้นให้มั่นคงเสียก่อน แล้วจึงก้าวไปสู่การฝึกขั้นสูงขึ้น มีวิธีฝึกฝนโพธิจิตอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่ วิธีที่เป็นพื้นฐานมากที่สุดคือการฝึกฝนให้เกิดความเมตตากรุณา ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงเสวยพระชาติในอดีตเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ ได้ทรงรอนแรมไปในป่าใหญ่พร้อมกับพระสาวก และได้ทรงพบแม่เสือที่ หิวโหยพร้อมกับลูกเสือเกิดใหม่อีก ๕ ตัว แม่เสืออดอยากจนหมดแรง เคลื่อนไหวไปไหนได้ยาก และกำลังจะกินลูกของตนเป็นอาหาร พระโพ ธิสัตว์ทรงเห็นว่าแม่เสือจะก่อกรรมจากการกินลูกของตน จึงทรงไล่พระ สาวกออกไปเสียและทรงสละเลือดเนื้อของพระองค์ให้เป็นทาน แม่เสือ และลูกเสือจึงรอดชีวิตได้ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นวิธีที่พระพุทธ เจ้าทรงบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติด้วยการพัฒนาความเมตตากรุณาและโพธิ จิตจนตรัสรู้ในที่สุด


พวกเราที่เรียกตนเองกันว่าพุทธศาสนิก มักไม่ชอบปฏิบัติธรรมตามแนวทาง ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ เราชอบเสียเวลาไปกับการสุมหัวนินทาหรือเที่ยว ตะลอน ๆ ไปรอบเมือง นาทีทุกนาทีของชีวิตล้วนมีคุณค่า ถ้าเรามัวแต่เสีย นิสัยไปกับโลกธรรมทั้งแปดแล้ว เราย่อมจะกลายเป็นคนโง่เง่าที่หาได้แต่สิ่ง ไร้ค่าในหมู่ของชาวพุทธผู้ปฏิบัติธรรม พระสงฆ์ผู้อุทิศทั้งชีวิตฝึกฝนปฏิบัติ และศึกษาพระไตรปิฎกกับวิถีตันตระทั้ง ๒ ขั้น ย่อมมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อธรรมะ พระธรรมจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมทรามก็ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของสงฆ์ ผู้ที่ เป็นพระสงฆ์ควรตระหนักถึงข้อนี้ให้มาก ในหมู่พระสงฆ์ ย่อมมีผู้เรียกตน เองว่าอาจารย์ เจ้าอาวาส ลามะองค์อวตาร และอื่น ๆ แต่แทนที่จะปฏิบัติ ตามความการุณย์และปัญญา กลับหลงใหลไปกับชื่อเสียงเกียรติยศลาภสัก การะและอื่น ๆ ไม่ยอมฝึกฝนคุณธรรมภายในให้สำเร็จ จนทำให้ตนเองหมด ความสุขทั้งในภพนี้และภพหน้า
 
 
กล่าวกันว่าการปฏิบัติศีลแม้เพียงวันเดียว ย่อมเกิดผลมากกว่าการให้ทาน ตลอดชีวิต ถ้าทานนั้นปราศจากศีล ข้อแตกต่างดังกล่าวเปรียบเสมือนน้ำ ที่ขังในรอยเท้าม้าเมื่อเทียบกับน้ำในทะเลสาบการกระทำใดที่ปราศจากศีล การกระทำนั้นย่อมหลงออกนอกแนวทางพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี ๖ ประการ คือ ทาน บารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วิริยะบารมี ฌานบารมี และ ปัญญาบารมี บารมีทั้งหกนี้ต้องอิงอาศัยกันโดยมีศีลเป็นพื้นฐานให้เกิดความ ก้าวหน้าในบารมีอื่น ๆ ทั้งห้า ไม่ว่าเราจะถือปฏิบัติแบบหินยานหรือมหา ยานก็ตาม ศีลบ่อมเป็นสิ่งจำเป็นต่อการฝึกจิตในนิกายหินยาน วิธีการที่สำ คัญคือการใช้หลักไตรสิกขาอันได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา หากปราศจาก ศีลอันเป็นสิกขาเบื้องแรก การก้าวไปสู่สมาธิและปัญญาย่อมเป็นไปไม่ได้ ในนิกายมหายานก็เช่นกัน หลักสำคัญคือการปฏิบัติเพื่อบรรลุบารมีทั้งหก หากปราศจากศีลบังคับตนแล้ว บารมีทั้งหลายนั้นก็เป็นเพียงสิ่งเพ้อฝัน พื้นฐานกรปฏิบัติของเราจึงได้แก่การมีศีลควบคุมตนเอง จากนั้นจึงปรับ ตนไปสู่การศึกษาและการบำเพ็ญเพียรทางจิตในขั้นต่าง ๆ จนกว่าจะบรรลุ แก่นแท้ของพระธรรม คนบางคนคิดว่าหากจะปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องสม บูรณ์แล้ว จะต้องบวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย สิ่งสำ คัญในการปฏิบัติธรรมก็คือ ความมีสติและการควบคุมกิจกรรมทางกาย วาจา และใจของเรา ทั้งนักบวชและฆราวาสสามารถปฏิบัติธรรมได้เช่น เดียวกัน ทะไลลามะองค์ที่ห้า คือ คยาล-วา งาวัง โลซัง คยา-โซ บันทึก ไว้ว่า


ไม่จริงเลยที่ชนทั้งหลาย
ผู้อุทิศแรงกายเพื่อสร้างสรรค์
ให้สังคมเป็นสุขทุกคืนวัน
จะพลันพลาดโอกาสฝึกหัดธรรม

เมื่อคนเรามีสติปฏิบัติ
ย่อมจัดการงานได้ทุกเช้าค่ำ
จิตใจได้รับผลที่กายทำ
ดังหยาดน้ำทิพย์แปรเหล็กเป็นทอง


จากข้อความนี้จะเห็นได้ว่า ฐานะของคนเราไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือฆรา วาส มีตำแหน่งสูงหรือต่ำในสังคม รวยหรือจน ไม่มีส่วนกำหนดความสำเร็จ ในการปฏิบัติธรรม ผู้ที่ปฏิบัติธรรมได้สำเร็จหลายคนมิได้เป็นนักบวช ขึ้นอยู่ กับว่า พวกเขาอุทิศตนเพื่อการปฏิบัติอย่างถูกต้องหรือไม่ เมื่อมรณกาลมาถึง จะเป็นนักบวช ฆราวาส จนหรือรวย ก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือสภาวะจิตของ เรา หากขณะจะสิ้นชีวิตนั้น เรามีจิตที่แจ่มใส ควบคุมได้ไม่ฟุ้งซ่าน มีความ เมตตาและมีปัญญาเป็นต้น ย่อมแสดงว่าเราได้ใช้ชีวิตมาแล้วอย่างดีงาม หาก วาระจิตขณะนั้นมีความสับสน ยึดมั่นถือมั่น ไร้ที่พึ่งพิง หวาดกลัว ขุ่นข้อง และมืดทึบ ก็แสดงว่าชั่วชีวิตของเราหาสาระอะไรไม่ได้ ผู้ที่ตายในขณะจิต มีสภาวะถดถอยและโง่เขลา ไม่ว่าจะมีฐานะทางสังคมอย่างใดก็ตาม เขาย่อม ไปเกิดในภพภูมิอันต่ำทราม


เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาอันสมบูรณ์สถิตอยู่ในกายเราเสมอ เมื่อได้รับการหล่อ เลี้ยงจากการศึกษาอบรมและการปฏิบัติสมาธิภาวนา กฎธรมชาติก็จะส่งเสริม ให้เมล็ดพันธุ์นั้นเจริญงอกงามขึ้นมาได้ เราควรดำรงชีวิตอยู่ในจิตสำนึกแบบ พระโพธิสัตว์ ที่มีแต่ความเมตตากรุณาและความปรารถนาในโพธิญาณ เพื่อ ประโยชน์สุขของชาวโลกในเมื่อเราโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จงใช้โอกาส นี้ทำความเพียรเพื่อความรู้แจ้งเถิด การผัดวันประกันพรุ่งไม่ก่อให้เกิดประ โยชน์แต่อย่างใด เพราะเมื่อความตายมาถึง เราจะมีแต่มือเปล่า ถ้าเราฉวย โอกาสเริ่มต้นฝึกฝนปฏิบัติเสียแต่เนิ่น แก่นแท้ของชีวิตอันประเสริฐย่อมต้อง ตกเป็นของเราอย่างแน่นอน
 
 
- จาก มรณสติแบบธิเบต พุทธวิธีเพื่อต้อนรับความตาย -
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ทะลวงมิติความตาย ด้วย มรณานุสติแบบธิเบต
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:26:30 pm »



บทที่สอง
 

ความนำ
 
 
เนื้อหาของบทที่สองมาจากบทปาฐกถาชุดหนึ่งของท่านเก-เช งา-วัง พระ ลามะจากวิหารเซ-ราแห่งธิเบตภาคกลาง ( ปัจจุบันย้ายไปก่อตั้งอยู่ในอินเดีย ภาคใต้ ) ในปี ค.ศ. ๑๙๗๖ เกลน เอช.มุลลิ กับไมเคิล เฮลบัค เพื่อนชาว เยอรมัน ต้องช่วยกันทำนิตยาสารภาษาเยอรมัน ต้องช่วยกันทำนิตยาสาร ภาษาเยอรมันเกี่ยวกับวัฒนธรรมธิเบต มาแต่สวรรค์ชั้นดุสิต ( Aus Tushita ) เนื้อหาตอนหนึ่งเป็นเรื่องของทัศนะที่ชาวธิเบตมีต่อความตายและภาวะการ ตาย รวมทั้งพิธีกรรมและความเชื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความตาย มุลลิน กับเฮลบัคจึงไปหาท่าน เก-เช งา-วัง ดาร์-คเย เพื่อขอให้ท่านบรรยายข้อ คิดเห็นในเรื่องดังกล่าวในตอนแรก เก-เช งา-วัง ดาร์-คเย ได้อธิบายถึงเค้า โครงการทำมรณสติของท่านปา-บอง-ขะ รินโปเช ซึ่งเป็นปฐมาจารย์ของ บรรดาคุรุผู้ฝึกสอนทะไลลามะองค์ปัจจุบัน จากนั้น ท่านเก-เช ดาร์-คเย ก็ ได้กล่าวถึงทัศนะของท่านเองในเรื่องข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความตาย โดยละเอียด ซึ่งแสดงให้เห็นวิธีการที่แตกต่างกันของฝ่ายหีนยาน มหายาน และวัชรยาน สัญญาณภายในและภายนอกที่ปรากฏให้เห็นขณะที่คนกำลัง จะตาย พิธีศพ ทัศนคติที่ผู้ประสบเคราะห์กรรมและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่พึงมีต่อ ภาวะความตาย และสิ่งที่บรรดาญาติมิตรของผู้ตายสามารถทำให้ผู้ตายได้ เป็นต้น



ท่านเก-เช ดาร์-คเย ได้อ้างถึงข้อความต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกเพื่อแสดงให้ เห็นที่มาของการปฏิบัติมรณสติ และแสดงว่าเจตนาของชาวธิเบตที่ปฏิบัติ เกี่ยวกับเรื่องมรณกรรมนั้น เป็นไปโดยสอดคล้องกับหลักคำสอนของพระ พุทธเจ้าและพระเถราจารย์ทั้งหลาย ท่านเก-เช ดาร์-คเย ทำงานเป็นครูอยู่ ที่ธรรมศาลาเกือบ ๑๒ ปี ท่านมีความรักในชีวิตและสำนึกอยู่เสมอว่าชีวิต ชีวิตเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ตัวอย่างในเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่ยังคงประทับความ ทรงจำของมุลลินตลอดมากล่าวคือ เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๕ เพื่อนสนิทของชาว อังกฤษของมุลลินซึ่งเป็นศิษย์ผู้หนึ่งของท่านเก-เช งา-วัง ดาร์-คเย ได้ถึงแก่ กรรมที่โรงพยาบาลเด็กประจำหมู่บ้านในธิเบต หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปได้ ราว ๑ ชั่วโมง ท่านเก-เช ดาร์-คเย ก็มาถึงเพื่อทำพิธีส่งวิญญาณ ท่านรัก ศิษย์ทุกคนเหมือนบุตร มรณกรรมของศิษย์ผู้นี้จึงทำให้ท่านสะเทือนใจไม่ น้อย ท่านนั่งอยู่ในห้องร่วมชั่วโมงเพื่อสำรวมจิตและสวดมนต์ ตลอดทั้ง วันท่านช่วยประกอบพิธีศพตามประเพณีธิเบต และในคืนนั้น ท่านก็มิได้ พักผ่อนนอนหลับเลยทั้งคืน ประสบการณ์เกี่ยวกับความตายที่ท่านเล่าให้ มุลลินและสหายฟังจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง ดังจะเห็นได้จากเรื่องราวดัง ต่อไปนี้



การทำมรณสติตามประเพณีธิเบต
 
 
ชาวพุทธทั่วไปถือกันว่า การเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ได้ย่อมนับว่าเป็นบุญ กุศลอย่างยิ่ง เมื่อมีชีวิตเป็นมนุษย์เรามีโอกาสที่จะสรรค์สร้างจิตวิญญาณ ให้สมบูรณ์ได้ทุกแง่มุม เรามีโอกาสที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ในชาตินี้ ซึ่ง สัตว์โลกชั้นต่ำกว่าไม่อาจทำได้ แต่มีมนุษย์ไม่กี่คนดอกที่รู้จักฉกฉวยโอ กาสดังกล่าว เมื่อมีผู้ถามพระพุทธเจ้าว่า มีคนสักกี่คนที่ใช้ชีวิตของตนได้ อย่างมีความหมาย พระพุทธเจ้าทรงกรีดนิ้วพระหัตถ์ลงบนแผ่นดิน พร้อม กับแสดงให้ผู้ถามมองเห็นผงธุลีที่ติดอยู่ในซอกพระนขา แล้วจึงตรัสว่า " มีอยู่เพียงเท่านี้เองเมื่อเทียบกับน้ำหนักของโลกทั้งโลก "


วิธีปฏิบัติสมาธิที่สำคัญที่สุดวิธีหนึ่งก็คือ การปฏิบัติมรณสติ การพยายาม นึกถึงเรื่องความตายอยู่ตลอดเวลาย่อมทำให้ชีวิตมีความหมายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เราจะเข้าใจชีวิตได้ก็โดยการชื่นชมมันว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยง และมีธรรมชาติคือ ความตาย เมื่อมรณกรรมมาถึง มีแต่เพียงร่างกายและการทำงานที่ทำอยู่ใน ปัจจุบันเท่านั้นที่สิ้นสลายไป ส่วนอื่น ๆ ยังคงอยู่ จิตพร้อมกับสัญชาตญาณ ที่เราสร้างสมไว้ตลอดชีวิตจะสืบต่อไปยัง " บาร์โด " ซึ่งเป็นภพหน้า จาก นั้นก็ผ่านไปสู่วัฏจักรชีวิตในอนาคต ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เรา จะต้องสร้างสมคุณธรรมไว้ในจิตของเราขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เช่น ความรัก ความกรุณา ปัญญา ความอดทน และความเข้าใจ เป็นต้น การมีคุณธรรม เหล่านี้อยู่ในจิตอย่างเพียบพร้อมย่อมทำให้เราไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีที่ทำ ให้จิตวิญญาณของเราเจริญก้าวหน้า แต่ถ้าเราสร้างสมแต่คุณสมบัติที่เลวไว้ ในจิต เราย่อมไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ชั่ว เช่น ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต หรือสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น มีคนหลายคนทีเดียวที่ศึกษาและปฏิบัติธรรม เพียงด้วยปาก แต่ไม่เคยนำแก่นของธรรมะเข้าไปสู่หัวใจของพวกเขา ธรรมะ จึงอยู่ที่ปากเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาไม่เคยสละเวลามาปฏิบัติมรณ สติให้เพียงพอ ข้อเสียของการละเลยมรณสติมีอยู่มากมาย แต่อาจสรุปได้ เป็น ๖ ประการ ดังนี้
 
 
๑. ถ้าเราไม่พิจารณาเรื่องความตาย เราก็ย่อมไม่สนใจการปฏิบัติธรรมของ เราเอง และปล่อยเวลาทั้งหมดไปกับการแสวงหาโลกิยสุข
๒. แม้เราอาจปฏิบัติธรรมอยู่บ้าง แต่การปฏิบัติส่วนใหญ่ของเราจะเป็นเพียง การผัดวันประกันพรุ่ง มีชาวธิเบตนับไม่ถ้วนที่ไปบอกคุรุของตนว่า ตนจะ ไปจำศีลภาวนาในเร็ววัน แต่แล้วกลับเลื่อนเวลาออกไปปีแล้วปีเล่า จนใน ที่สุดก็สิ้นชีวิตเสียก่อนที่จะจำศีลภาวนาได้สำเร็จ
 
๓. การปฏิบัติของคนบางคน อาจไม่บริสุทธิ์และปะปนกับความทะเยอทะ ยานในทางโลกิยะ เช่น มีความหมกมุ่นในโลกธรรมทั้งแปด นักศึกษาด้าน พุทธศาสนาหลายคนต่างจับจ้องที่จะเป็นนักวิชาการและผู้มีชื่อเสียง มาก กว่าที่จะบรรลุความรู้แจ้งในเรื่องจิตวิญญาณ ครั้งหนึ่งมีผู้ถามท่านอตีษะว่า " ถ้าคนบางคนปรารถนาความสุขที่เกี่ยวกับชีวิตนี้แต่เพียงอย่างเดียว เขาจะ ได้รับอะไรบ้าง " ท่านอตีษะตอบว่า " ก็ได้รับแต่เพียงสิ่งที่เขาต้องการ " ศิษย์ จึงถามต่อไปว่า " และเขาจะได้รับอะไรในภพหน้า " คำตอบก็คือ " การเกิด ใหม่ในภพภูมิที่ต่ำกว่า "


หากจะปฏิบัติธรรมให้ดีแล้ว เราจะต้องสละโลกธรรมทั้งแปดอันได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ความเสื่อมลาภ ความเสื่อมยศ ความทุกข์ และคำ นินทา ผู้บำเพ็ญเพียรทางจิตอย่างแท้จริงย่อมแตกต่างจากผู้ปฏิบัติจอม ปลอมตรงที่ ฝ่ายแรกสละโลกธรรมทั้งแปดได้ ในขณะที่ฝ่ายหลังทำไม่ ได้ จึงต้องตกเป็นทาสของโลกธรรมเหล่านั้น
 
 
๔.แม้เราจะเริ่มต้นปฏิบัติธรรม ตอนแรกเราอาจท้อถอย พุ่มไม้หนามกอ เล็ก ๆ งอกงามอยู่หน้าถ้ำของท่านเก-ชา การา กุนจุง แห่งนิกายกาดัม ทุก ครั้งที่ท่านเดินเข้าออกจากถ้ำ หนามแหลมจะบาดเนื้ออยู่เสมอ กอไม้หนาม นั้นยังอยู่ที่นั่นจนท่าสิ้นอายุขัย เนื่องจากท่านปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจังจนไม่ ต้องการเสียเวลาสักเสี้ยวหนึ่งเพื่อโค่นมันทิ้ง ท่านปฏิบัติมรณสติจนบรรลุ ผล



๕. เราอาจสร้างกรรมชั่วอยู่เรื่อย ๆ ถ้าเราไม่ตระหนักถึงความตาย เราย่อม ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตนี้ เราย่อมถือว่าญาติมิตรมีคุณอค่านับถือ มากกว่าคนแปลกหน้าและศัตรูผู้คิดร้าย ความมีอคติดังกล่าวย่อมก่อให้เกิด ความหลงผิดอันนำไปสู่การสร้างกรรมชั่วไม่รู้จบ ทำให้เราปราศจากความ สุขในชีวิตนี้และชีวิตหน้า
 
 
๖. เราอาจตายด้วยความเสียใจ ความตายย่อมมาถึงสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้าเราขาดสติ ความตายจะมาถึงโดยไม่รู้ตัว ในช่วงเวลาอันวิกฤตนั้น เรา ย่อมมองเห็นได้ว่า ทัศนคติแบบวัตถุนิยมที่เราสร้างสมมาตลอดชีวิตนั้น ไม่ มีคุณค่าอย่างใดเลย ทรัพย์สมบัติ มิตรสหาย และอำนาจ ล้วนแต่ไร้ความ หมาย เมื่อเราขาดมรณสติ เราย่อมทอดทิ้งการฝึกฝนทางจิตและเหลือแต่ มือเปล่า ดวงจิตก็ท่วมท้นไปด้วยความวิปโยค
 
 
ท่านเก-เช คาร์มะปะ แห่งนิกายกาดัม ให้ข้อคิดว่า เราควรจะกลัวความ ตายเสียตั้งแต่ขณะนี้ เพื่อจะได้มีเวลาทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และเมื่อถึงเวลา ตาย เราก็ไม่ควรหวั่นไหว สิ่งมีชีวิตทั่วไปเมื่อยังแข็งแรงมีพลังอยู่ มักไม่ มีใครคิดถึงความตาย แต่พอความตายมาถึงกลับกุมอกไว้ด้วยความหวาด กลัวสุดขีด นักปฏิบัติธรรมส่วนมากก็ไม่เคยเริ่มการปฏิบัติอย่างจริงจัง พวก เขาผัดวันประกันพรุ่งอยู่ตลอดเวลา พอนอนรอความตายอยู่บนเตียง พวก เขาก็สวดภาวนาขอให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักวันสองวัน เพื่อจะได้ปฏิบัติ ธรรมที่พวกเขาละเลยมาเสียนาน แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า


ส่วนข้อดีของมรณสติมีอยู่เพียงไม่กี่ข้อ อาจย่นย่อได้ ๖ ประการคือ
 
๑. ทำให้ชีวิตมีเป้าหมาย ใน มหาปรินิพพานสูตร มีข้อความตอนหนึ่งว่า
 
ในบรรดารอยเท้าทั้งหลาย
รอยเท้าคชสารย่อมเป็นยอด
ในบรรดาอนุสติทั้งหลาย
มรณสติย่อมเป็นยอด
 
หากเราปฏิบัติมรณสติกันอย่างถูกต้อง จิตของเราจะมุ่งแสวงหาความเข้าใจ ชีวิตอย่างลึกซึ้งขึ้น เราจะพบตัวอย่างนี้ได้ในประวัติชีวิตของพระอรหันต์ องค์ก่อน ๆ พระพุทธเจ้าก็ทรงสละโลกิยสุขเมื่อทรงประสบกับคนป่วย คน แก่ และคนตาย ท่านโยคี มิ-ลาเร-ปะ ก็สละวิชามนต์ดำเพื่อแสวงหาวิธีการ อันมีเป้าหมายดีขึ้นต่อไปเมื่อท่านพบว่า วิชามนต์ดำของอาจารย์หวนกลับ มาทำร้ายตัวอาจารย์ของท่านเอง
 
 
๒. มรณสติเป็นปฏิปักษ์อย่างร้ายแรงต่อความหลงผิด สุญญตสมาธิ หรือ การพิจารณาความว่างเป็นปฏิปักษ์อย่างร้ายแรงต่อโมหจริตและ โทสจริต มรณสติเป็นรองก็แต่สุญญตสมาธิเท่านั้น ถ้าเรานึกถึงความตาย หากเกิด อุปาทานหรือหรือความโกรธขึ้นมาครั้งใด ความหลงผิดดังกล่าวจะถูกกำ จัดไปในทันที เช่นเดียวกับก้อนหินที่ถูกฆ้อนทุบจนนแหลกละอียด บรรดา โยคีและนักสิทธิในอินเดียสมัยโบราณฉันอาหารจากภาชนะทำด้วยหัวกะ โหลกมนุษย์ และเป่าแตรที่ทำด้วยกระดูกขาท่อนบนของมนุษย์ นอกจาก นั้น พระก็มักระบายสีรูปหัวกะโหลกไว้บนประตูทางเข้าห้องน้ำของตน การทำเช่นนี้มิใช่เพื่อข่มขวัญชาวบ้าน แต่เพื่อเตือนให้ตระหนักถึงความ ตาย แม้ในทุกวันนี้ วัดทางพุทธศาสนาหลายแห่งยังแขวนภาพพระยายม คาบสังสารวัฏไว้ในพระโอษฐ์ ภาพนี้มักแขวนอยู่ใกล้ ๆ ประตูใหญ่หน้า วัด
 
 
๓. มรณสติเป็นสิ่งสำคัญในการเริ่มปฏิบัติธรรมแต่ละอย่างเพราะทำให้เรา ลงมือปฏิบัติธรรมและปฏิบัติได้อย่างดี
 
๔. มรณสติเป็นสิ่งสำคัญในช่วงกลางของการปฏิบัติธรรมเพราะทำให้เรา มีความพากเพียรในการปฏิบัติอย่างจริงจังและอย่างบริสุทธิ์
 
๕. มรณสติเป็นสิ่งสำคัญในตอนปลายของการปฏิบัติธรรมเพราะทำให้เรา บรรลุการปฏิบัติได้อย่างสมบูรณ์


ดังนั้น มรณสติจึงมีคุณค่าในเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย ในการ ช่วยให้เราลงมือปฏิบัติธรรม ดำเนินการปฏิบัติธรรม และบรรลุผลในการ ปฏิบัติธรรม


คนบางคนที่เริ่มปฏิบัติมรณสติเป็นครั้งแรก อาจเกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรง ต่อการปฏิบัติ และเกิดความรู้สึกอยากจะออกบวชอย่างแรงกล้าจนหลง ทางไป ทั้ง ๆ ที่ตนยังไม่พร้อม แต่ก็ผลีผลามเข้าจำศีลภาวนาเป็นเวลานาน โดยหวังว่าจะบรรลุความรู้แจ้งในทันที ครั้นเวลาล่วงเลยไปเพียง ๒-๓ เดือน ความกระตือรือร้นของเขาก็ผ่อนคลายลงพวกเขาจะร่ำร้องอยากจะ กลับบ้าน แต่ก็กระดากอายที่ต้องล้มแผนการบำเพ็ญเพียรเสียกลางคัน เพราะได้โอ้อวดไว้แล้วอย่างเต็มภาคภูมิ เมื่อไม่อยากอยู่และจากไปก็ไม่ ได้ พวกเขาจึงหันกลับมาโจมตีการออกบวชของตนซึ่งกลายเป็นความ เดือดร้อนยุ่งยากสำหรับตนเอง มรณสติจึงเป็นเรื่องสำคัญและมีอิทธิพล ต่อบุคคล เราต้องรอบคอบในตอนเริ่มต้น พยายามเดินทางสายกลางและ ไม่ควรตอบสนองมันจนมากเกินไป
 
๖. เราจะตายอย่างมีความสุข และปราศจากความเสียใจแต่อย่างใด
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ทะลวงมิติความตาย ด้วย มรณานุสติแบบธิเบต
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:29:33 pm »
การปฏิบัติมรณสติอยู่เสมอ ทำให้จิตของเราโน้มเอียงไปสู่ความดีงาม เราจึงมีความมั่นใจและหนักแน่นเมื่อมรณกรรมมาเยือน กล่าวกันว่าผู้ ที่ฝึกมรณสติได้ดีที่สุด จะตายด้วยความสุขอย่างเต็มเปี่ยม คนที่ฝึกเพียง ขั้นธรรมดา ๆ จะตายอย่างสงบสุข แม้แต่ผู้ฝึกในขั้นต้น ก็จะตายโดย ปราศจากความหวาดกลัว


เราจะฝึกมรณสติได้อย่างไร ในนิกายที่ถือพระสูตรและในนิกายตันตระ กล่าวถึงวิธีฝึกไว้หลายวิธีด้วยกัน ในแนวของพระสูตร มีการใช้วิธีการ ที่แพร่หลายอยู่ ๒ วิธี คือ ๑. " สามมูลเก้าตรรก และ สามศรัทธา " และ ๒ ." กระบวนการเลียนแบบความตาย "


๑. วิธีการที่เรียกว่า " สามมูลเก้าตรรก และ สามศรัทธา " นี้เป็นวิธีการของ นิกายกาดัมอันปรากฏอยู่ในคัมภีร์ธิเบต เช่น โมกษะวชิราภรณ์ ( The Jewel Ornament of Liberration ) ของท่านคัมโปปะ และมหาโพธิมรรคสูตร ( Great Exposition on the Path to Enlightenment ) ของท่านซองขะปะ เป็น ต้น
 
วิธีนี้เริ่มด้วยการพิจารณาถึงข้อเสีย ๖ ประการ ของการละเลยมรณสติ และข้อดี ๖ ประการของการปฏิบัติมรณสติตามที่ได้กล่าวมาแล้ว จาก นั้นให้ใช้สมาธิจิตไปสู่มูลฐานแรก อันได้แก่ธรรมชาติเฉพาะของความ ตาย และทบทวนเหตุผลสนับสนุน ๓ ประการ คือ
 
( ๑ ) ความตายได้มาเยือนคนทุกคนในอดีตแล้ว
( ๒ ) ชีวิตของเราก็ล่วง เลยไปทุกที และไม่มีทางที่จะหน่วงเหนี่ยวกาลเวลา หรือยืดอายุของเรา ไปโดยไม่มีกำหนดเลย และ
( ๓ ) ชีวิตของเราเป็นสังขตธรรมประกอบ ด้วยสิ่งไม่เที่ยง และเราใช้ไปเพื่อการปฏิบัติธรรมเพียงส่วนน้อยเหตุผล เหล่านี้จะนำเราไปสู่ความศรัทธาข้อแรก คือ การปฏิบัติธรรมและหยิบ ฉวยแก่นสารของชีวิต


จากนั้นให้เรานำจิตไปสู่รากฐานที่สอง อันได้แก่ ธรรมชาติอันไม่แน่ นอนของมรณกาล หรือ อายุขัยของเราเอง ในขณะเดียวกันก็พิจารณา เหตุผลประกอบ ๓ ข้อ คือ
( ๑ ) อายุขัยของมนุษย์ยืนยาวไม่แน่นอน
( ๒ ) สิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้นั้นมีอยู่น้อยมาก แต่โอกาสที่เราจะตาย มีอยู่มากมาย และ
( ๓ ) ร่่างกายของเราบอบบางและแตกสลายได้ง่าย


เมื่อพิจารณาเหตุผลทั้ง ๓ ผลประการนี้แล้ว เราจะเกิดความเชื่อมั่นว่า เราต้องปฏิบัติธรรมในทันที
 
ประการสุดท้าย ให้เราก้าวไปสู่รากฐานที่สาม คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อ ถึงเวลาตาย มีแต่เพียงความสำเร็จทางจิตวิญญาณของเราเท่านั้น ที่มีคุณ ค่า บรรดาญาติมิตรล้วนช่วยเราให้พ้นความตายไม่ได้ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด แม้แต่ร่างกายที่เราเฝ้าทะนุ ถนอมก็ต้องถูกละทิ้งราวกับกองขยะไว้เบื่องหลัง เราควรต้องฝึกฝนทั้ง โดยการพิจารณาไตร่ตรองและโดยการเข้าฌานในการพิจารณาไตร่ตรอง ให้เราสำรวจประเด็นต่าง ๆ ของการเข้าฌานเพียงประเด็นละ ๒-๓ นาที ส่วนในการเข้าฌาน ให้เราใช้จิตจับอยู่ที่ประเด็นใดประเด็นหนึ่งเป็นเวลา ราวครึ่งชั่วโมง ตามที่นิยมปฏิบัติกับเป็นประเพณีในธิเบต ผู้ปฏิบัติมักใช้ เวลาพิจารณาไตร่ตรองประเด็นต่าง ๆ ในเดือนแรกของการปฏิบัติ ในการ ปฏิบัติมรณสติ ผู้ปฏิบัติตจะใช้เวลาพิจารณาไตร่ตรองประเด็นต่าง ๆ ใน เดือนแรกของการปฏิบัติ ในการปฏิบัติมรณสติ ผู้ปฏิบัติจะใช้วิธีการพิจา- รณาประเด็นทั้ง ๙ ประเด็น เมื่อพิจารณาเสร็จแล้ว ก็จะแบ่งการพิจารณา ออกเป็น ๓ ช่วง และใช้เวลาส่วนมากกับการเข้าฌานในแต่ละช่วง ก็ให้ สำรวจเหตุผลทั้ง ๙ ประการ สร้างความเชื่อมั่นศรัทธา ๓ ประการ และ สวดมนต์ และสวดมนต์อุทิศด้วยข้อความต่อไปนี้


ด้วยอานุภาพแห่งการปฏิบัติ
จงเร่งรัดข้า ฯ
สู่พุทธะที่หมาย
ได้ช่วยเหลือสรรพสัตว์ถ้วนทุกกาย
ให้สุขสบายในวิมุติร่วมกัน


๒. วิธีปฏิบัติมรณสติวิธีที่สอง คือ " กระบวนการเลียนแบบความตาย " วิธี นี้ปฏิบัติได้ทั้งภายนอกและภายในลัทธิ ในวิธีการแบบทั่วไปหรือภายนอก ลัทธินั้น มีทั้งวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวกับสิ่งภายนอกและที่อยู่ภายในจิต วิธีปฏิบัติที่ เกี่ยวกับสิ่งภายนอก ได้แก่ การอาศัยอยู่ในสุสาน และเฝ้าสังเกตุดูซากศพที่ เน่าเปื่อยผุพังลงไปทีละน้อย ในขณะเดียวกัน ก็กำหนดความคิดว่า ซากศพ เหล่านี้แสดงให้เห็นสภาพสุดท้ายของร่างกายของเราเอง วิธีปฏิบัติที่อยู่ภาย ในจิตใจเรา ได้แก่การนึกเห็นภาพตนเองนอนรอความตายอยู่บนเตียง จินต- นาการให้เห็นบิดามารดาญาติมิตรที่ห้อมล้อมเราอยู่กำลังคร่ำครวญหวนไห้ อาลัยอาวรณ์ ราศรีที่ใบหน้าเริ่มหม่อนหมอง โพรงจมูกยุบ ริมฝีปากแห้ง น้ำ ลายเริ่มเกาะตามฟัน และความสง่างามเริ่มสูญสิ้นไปจากร่าง อุณหภูมิของ ร่างกายลดลง เริ่มหายใจหอบ ลมหายใจออกยาวนานกว่าลมหายใจเข้า กรรม ชั่วทั้งหลายที่ทำไว้ตลอดชีวิตเริ่มก่อตัวขึ้นในจิต และเราเริ่มเศร้าโศกเสียใจ ครั้นเหลียวมองไปรอบ ๆ หาที่พึ่งพิง ก็ไม่มีใครมาช่วยสักคน


วิธีการปฏิบัติมรณสติที่กระทำภายในลัทธิโดยเลียนแบบความตายนั้น มี ลักษณะสลับซับซ้อนมากกว่านัก วิธีนี้ปฏิบัติกันแพร่หลายในระบบโยคะ ตันตระขั้นสูงสุดของพุทธศาสนาแบบธิเบตทุกนิกาย โดยเหตุที่การปฏิบัติ มีการเกี่ยวเนื่องกับนิกายวัชรยานอันลี้ลับ ผู้ที่ปฏิบัติได้จึงเป็นพวกสาวก เท่านั้น ที่มาของวิธีปฏิบัตินี้คือ โยคะขั้นมูลฐานของลัทธิตันตระแบบสูง สุด อันได้แก่ การถือตรีกายเป็นแนวทาง การปฏิบัติขั้นนี้มี ๓ ตอน คือ ( ๑ ) ถือว่าความตายคือธรรมกาย ( ๒ ) ถือว่าบาร์โดหรือภาวะะหว่าง ความตายกับการเกิดใหม่ คือ สัมโภคกาย และ ( ๓ ) ถือว่ากระบวนการ เกิดใหม่ คือ นิรมาณกาย ตรีกายนี้คือลักษณะ ๓ ประการของความเป็น พุทธะ ซึ่งได้แก่ ร่างแห่งความจริง กายทิพย์ และร่างแห่งการปรากฏตาม ลำดับ ในโยคะขั้นมูลฐาน ผู้ฝึกย่อมมองเห็นภาพความตายที่กำลังแปรภาพ สภาวะเชื่อมกลางและการเกิดใหม่ โยคะขั้นนี้จะนำไปสู่ โยคะขั้นสมบูรณ์ ที่ผู้ฝึกประสบกับความตายจริง ๆ ในฌานโดยปราศจากการแปรสภาพความ ตาย


การปฏิบัติมรณสติภายในลัทธิ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสลายตัวของธาตุหยาบ ๒๕ ชนิด ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการปฏิบัติแบบตันตระ ธาตุ ๒๕ ชนิด คืออะไร คำตอบก็คือ ขันธ์ ๕ อันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ธาตุ ๔ อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อายตนะภายนอก ๖ อันได้แก่ รูป เสียง รส โผฏธัพพะ และธรรมารมย์ อายตนะภายใน ๖ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตลอดจนความรอบรู้อันไม่สมบูรณ์ ๕ ประการ คือ การสะท้อนภาพ ความเสมอต้นเสมอปลาย การบรรลุผล การแยกแยะ และความรอบรู้เกี่ยว กับธรรมธาตุ ความรอบรู้เหล่านี้ไม่สมบูรณ์เพราะเป็นความรอบรู้ของผู้ที่ยัง ไม่บรรลพุทธภาวะ


ตามปกติ เมื่อความตายมาถึง มันจะมีลักษณะเป็นกระบวนการที่กระจัด กระจายทีละเล็กละน้อย กระบวนการขั้นแรกเป็นการแตกกระจายพร้อม ๆ กันของรูป ความรอบรู้แบบสะท้อนภาพธาตุดิน จักษุวิญญาณธาตุ และรูป ธาตุ สัญญาณภายนอกที่ปรากฏเป็นผลจากการแตกกระจายของคุณลักษณะ ทั้ง ๕ ประการดังกล่าว เรียงตามลำดับได้ดังนี้ ร่างกายเสื่อมโทรมและขาด พลังชีวิต ตาพร่า เคลื่อนไหวแขนขาไม่ได้ ตาไม่กะพริบ และราศรีหม่น หมอง สัญญาณภายนอกเหล่านี้ตนทั่วโลกสังเกตุเห็นได้
 
 
นอกจากสัญญาณภายนอก ผู้ที่กำลังจะตายก็จะประสบกับสัญญาณภายใน ซึ่งรู้ได้เฉพาะตัว สัญญาณนี้คือนิมิตซึ่งปรากฏอยู่เต็มไปหมด


กระบวนการตายขั้นที่สอง คือการแตกกระจายของเวทนา ความเสมอต้น เสมอปลาย ธาตุน้ำ โสตวิญญาณและสัททธาตุ มีสัญญาณภายนอกที่เกิด ขึ้นพร้อม ๆ กับการแตกสลายของคุณลักษณะทั้ง ๕ อันเรียงลำดับได้คือ บุคคลจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างความสุข ความทุกข์ และ ความเป็นกลางได้ ริมฝีปากจะแห้งมาก ต่อมเหงื่อหยุดทำงาน เลือดและ น้ำกามแข็งเป็นก้อน ไม่ได้ยินเสียงภายนอกอีกต่อไป แม้แต่เสียงหึ่ง ๆ ใน หูก็หยุด ผู้ที่กำลังจะตายย่อมสัมผัสกับสัญญาณภายในซึ่งมีลักษณะเป็นภาพ คล้ายควันลอยอยู่เต็มพื้นที่ว่าง


ขั้นที่สาม เป็นการแแตกกระจายของสัญญา ความรู้จักแยกแยะในขั้นสูง ขึ้น ธาตุไฟ ฆานวิญญาณธาตุ และคันธธาตุ สัญญาณภายนอก ๕ ประการ ที่แสดงออกก็คือ บุคคลจะไม่สามารถรับรู้ความหมายของสิ่งใดใดที่คน รอบข้างกล่าวถึง ไม่สามารถจำชื่อบิดามารดาและญาติมิตรได้ อุณหภูมิ ของร่างกายลดลง พลังในการย่อยอาหารและดูดกลืนอาหารหยุดทำงาน หายใจออกแรง แต่หายใจเข้าแผ่วเบา และอำนาจในการจำกลิ่นต่าง ๆ เสื่อมสภาพ ผู้ใกล้ตายจะรับรู้สัญญาณภายในที่เป็นภาพคล้ายควันปรากฏ ชัดเจนอยู่เต็มตลอดพื้นที่ว่าง


ขั้นที่สี่ เป็นการแตกกระจายของสังขาร ความรอบรู้ในการบรรลุ ธาตุลม ชิวหาวิญญาณธาตุ และรสธาตุ สัญญาณภายนอก ๕ ประการที่เกิดตามมา คือ สมรรถภาพทางร่างกายล้มเหลว หลงลืมเป้าหมาย พลังงานร่างกาย ทั้งใหญ่น้อยสลายตัวกลับเข้าสู่หัวใจ ลิ้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน และความ สามารถในการลิ้มรสเสื่อมลง สัญญาณภายในที่ปรากฏคือ มองเห็นแสง ริบหรี่คล้ายแสงตะเกียงน้ำมัน เมื่อถึงจุดนี้ แพทย์จะประกาศว่า ผู้นั้นสิ้น ชีวิตเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม ในเมื่อธาตุรู้ยังมีอยู่ในร่าง จึงยังไม่ถึงจุดที่ตาย จริง ๆ ในขณะนี้ บุคคลนั้นได้สูญเสียพลังงานที่ค้ำจุนร่างกาย อันมีผลให้ หยาดของเหลวแรกเริ่มในร่างกายเกิดความเคลื่อนไหว หยาดของเหลว เหล่านี้คืออะไร ในนิกายตันตระมีคำสอนว่า ตัวสเปอร์มดั้งเดิมที่มาจาก บิดาขณะปฏิสนธิ ได้ถูกเก็บไว้ในศูนย์ที่กระหม่อมของผู้นั้น และเซลล์ จากไข่ดั้งเดิมจากมารดาขณะปฏิสนธิก็จะถูกเก็บไว้ที่ศูนย์ตรงสะดือ เมื่อ พลังงาที่ค้ำจุนแก่นสาระล้มเหลว แก่นสาระเหล่านี้ก็หลุดออกจากราก ฐานที่ตั้งของมันในศูนย์ต่าง ๆ


อันดับแรก แก่นสาระสีขาวจะหลุดออกมาจากศูนย์ที่กะหม่อม มันจะ ไหลตามช่องกลางลำตัวลงมาสู่หัวใจ เนื่องจากมันเคลื่อนผ่านปุ่มปมต่าง ๆ ที่ศูนย์ ผู้ใกล้ตายจึงมองเห็นภาพสีขาวเหมือนหิมะ บัดนี้ตัวสเปอร์มและ ไข่ได้มาพร้อมกันที่หัวใจ ผู้ไกล้ตายจะมองเห็นแต่ความมืดมิดคล้ายกับ ท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหนาโดยตลอด ในช่วงนี้คนธรรมดาทั่วไปจะ สูญสิ้นสัมปชัญญะและสลบไป แต่สำหรับโยคีนิกายตันตระ ช่วงนี้เหมาะ ที่สุดที่จะเข้าฌานขั้นพินเศษ หัวใจจะสั่นสะท้านเบา ๆ เป็นระยะ ๆ ร่าง กายจะสูญสิ้นความรู้สึก จะมองเห็นแสงนวลใสคล้ายกับยามรุ่งอรุณที่ ปราศจากดวงจันทร์ นี่คือแสงนวลใสแห่งความตายอันแสดงว่ากระบวน การสู่ความตายได้ลุล่วงสมบูรณ์แล้ว


สำหรับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ ประสบการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งซึ่งไม่อาจควบคุม ได้และน่าสยดสยองอย่างยิ่ง แต่เพราะโยคีนิกายตันตระได้เตรียมตัวมาแล้ว ตลอดชีวิตจึงจะสามารถควบคุมจิตขณะมีประสบการณ์ และใช้สภาพดัง กล่าวให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองได้มากที่สุด ผู้ปฏิบัติธรรมหลายคนที่ไม่ สามารถบรรลุพุทธภาวะได้ในชาตินี้ ย่อมสามารถใช้ผลพลอยได้จากประ สบการณ์เกี่ยวกับความตายให้บรรลุธรรมขั้นสุดท้าย
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ทะลวงมิติความตาย ด้วย มรณานุสติแบบธิเบต
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 09:33:21 pm »
เรื่องที่สำคัญมากที่สุด ๒ เรื่องในโยคตันตระขั้นสูงสุด ได้แก่พลังอัน ประณีตของร่างกาย และธาตุรู้ในระดับประณีตซึ่งเกิดจากการฝึกฝน ตามแบบโยคีดังกล่าว พลังงานและสภาวะของธาตุรู้ดำรงอยู่ด้วยกันใน ตัวของเราเอง ทั้งในรูปที่ประณีตและหยาบ ขณะที่กำลังจะตาย พลัง งานหยาบจะแปรสภาพเป็นพลังงานประณีต และธาตรู้ระดับประณีตก็ จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เป้าหมายของการปฏิบัติแบบตันตระ ก็คือการ สร้างประสบการณ์นี้ขึ้นในสมาธิ ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เมื่อทำการหลอม พลังงานหยาบให้กลายเป็นพลังงานประณีตโดยวิธีโยคะ เราก็จะสามารถ มีประสบการณ์เกี่ยวกับการสลายตัวและการแตกกระจายในขั้นต่าง ๆ ได้ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นขณะสิ้นชีวิตจริง ๆ โยคีผู้มีประสบการณ์ดังกล่าว ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมเตรียมพร้อมอย่างดีสำหรับความตาย และสามารถ ควบคุมกระบวนการของความตายได้โดยตลอด จากนั้น เมื่อพลังงาน ประณีตและธาตุรู้ระดับต่าง ๆ เกิดขึ้นโยคีก็สามารถแปรสภาพของสิ่ง เหล่านั้นให้กลายเป็นกายของพระพุทธเจ้า กล่าวคือแปรธาตุรู้เป็นธรรม กาย และแปรความรอบรู้กับพลังงานเป็นสัมโภคกายหรือกายทิพย์ แปร แสงนวลแห่งความตายเป็นธรรมกาย ภาพบาร์โดเป็นสัมโภคกาย และ การเกิดใหม่เป็นนิรมาณกาย


สถานที่อยู่อันแท้จริงของจิต คือหัวใจ จิตย่อมสถิตย์อยู่ในหยาดอมฤต หรือหน่วยถ่ายพันธุ์เพศชายและเพศหญิง วิถีแบบตันตระเน้นประเด็น สำคัญอยู่ที่เรื่องหยาดอมฤตนี้ซึ่งมี ๒ ชนิด คือ ชนิดหยาบและละอียด ประณีต หยาดอมฤตชนิดหยาบ เป็นหยาดกายภาพที่เกิดจากการรวมตัว กันของแก่นสาระเพศชายกับแก่นสาระเพศหญิงที่ได้จากน้ำกามของบิดา และไข่ของมารดาตามลำดับ หยาดอมฤตชนิดละเอียดประณีตเป็นการ รวมตัวผสมผสานของธาตุรู้ระดับประณีตต่าง ๆ กับพลังงานทางกาย ภาพที่ประณีต หยาดอมฤตชนิดหยาบเป็นอมฤตเพราะมันทนทานอยู่ตั้ง แต่ช่วงที่เราปฏิสนธิจนถึงช่วงที่เราสิ้นชีวิต หยาดอมฤตชนิดละเอียด ประณีตเป็นอมฤตเพราะมันทนทานอยู่ตลอดชั่วอายุขัยของเรา ตั้งแต่ยัง ประมาณเวลาไม่ได้จนกระทั่งเราบรรลุพุทธภาวะ กระบวนการปฏิบัติ มรณสติในประเพณีภายในลัทธิตันตระเป็นเรื่องของการปฏิบัติฌาน โดย ตั้งสมาธิที่หยาดอมฤตทั้ง ๒ ชนิดนั้น


มรณสติมีความสำคัญอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเรื่องมรณสติไว้ ในตอนที่พระองค์ทรงอธิบายหลักอริสัจจ์ ๔ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี มรณสติเป็นคำสอนเรื่องสุดท้ายของพระองค์ ดังจะ เห็นได้ว่า พระองค์ทรงปรินิพพานเพื่อตอกย้ำให้บรรดาสาวกของพระ องค์ได้สำนึกถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง


การปฏิบัติธรรมมีอยู่หลายระดับ ขั้นพื้นฐานที่สุดก็คือ การเสริมสร้าง ความโอบอ้อมอารี ความเมตตากรุณา แม้ว่าเราจะไม่มีเวลาหรือไม่มี กำลังที่จะปฏิบัติฌานขั้นสูงขึ้นไป หรือศึกษาปรัชญา แต่อย่างน้อยที่สุด เราควรพยายามรักษาทัศนคติและท่าทีที่เห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลก ของเราไว้ให้ได้ เพียงเท่านี้ความเลวทั้งหลายก็จะหลีกหายไปจากกระ แสความคิดของเรา โมหะและโทสะจะเบาบางลงและชีวิตของเราจะ มีคุณภาพดีขึ้น เมื่อมรณกาลมาถึง เราย่อมตั้งอยู่ในความสงบสุขและ มีความมั่นใจในการเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น


ผู้ปฏิบัติธรรมในขั้นสูงขึ้นจะพยายามปลีกตัวออกจากชีวิตชาวโลก โดย การพัฒนาไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา และการพัฒนาทัศนคติ แบบพระโพธิสัตว์ที่แสวงหาความรู้แจ้งเพื่อเป็นหนทางช่วยเหลือสรรพ สัตว์ต่อไป เมื่อฝึกฝนสิ่งเหลานี้จนแก่กล้าแล้ว ก็จะเข้าสู่วิธีการแบบตัน ตระเพื่อให้การปฏิบัติดังกล่าวลุล่วงไปได้เร็วที่สุด เพราะการปฏิบัติแบบ ตันตระเท่านั้นที่จะทำให้บรรลุพุทธภาวะได้ในเวลาที่สั้นเพียง ๓ ปี หรือ น้อยกว่านั้น


อย่างไรก็ตาม แม้การฝึกจะกินเวลาเพียงไม่กี่ปี แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ฝึกฝน ได้สำเร็จ ดังนั้น จึงมีการสอนวิธีเคลื่อนย้ายธาตุรู้อยู่หลายวิธีด้วยกัน การ เคลื่อนย้ายธาตุรู้ หรือในภาษาธิเบต เรียกว่า โป-วา หมายถึงการปฏิบัติเพื่อ นำไปสู่การเกิดใหม่ที่มุ่งไว้โดยวิธีควบคุมจิตขณะใกล้ตาย ทั้งนี้ เพราะความ คิดช่วงสุดท้ายที่บุคคลมีอยู่ก่อนสิ้นใจย่อมมีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อธรรม ชาติของการเกิดใหม่ของเขา คนบางคนใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม แต่เพราะ ไม่ได้พัฒนาจิตวิญญาณขั้นสูงขึ้นให้สำเร็จ เขาจึงไม่สามารถควบคุมจิต เลย ตายไปด้วยความหวาดกลัว ขุ่นมัว หรือมีมลทินในใจ ทำให้เขาไปเกิดใหม่ ในทุคติ และบางกรณีผู้ที่ประพฤติชั่วมาโดยตลอด แต่เพราะโชคดี มีความ คิดเป็นกุศลขณะตาย เขาจึงไปเกิดใหม่ในสุคติ การปฏิบัติโยคะที่เคลื่อนย้าย ธาตุรู้นี้ เป็นการฉวยโอกาสจากปรากฏการณ์ดังกล่าว กระนั้น กรรมดีกรรม ชั่วที่บุคคลสร้างสมมาตลอดชีวิตก็ยังคงพอกพูนอยู่ในจิตเพื่อรอให้ผลในอนา คต แต่การเกิดใหม่ในทันทีนั้นถูกกำหนดได้ด้วยจิตขณะที่บุคคลกำลังจะตาย ถ้าเขาไปเกิดใหม่ในทันทีนั้นถูกกำหนดได้ด้วยจิตขณะที่บุคคลกำลังจะตาย ถ้าเขาไปเกิดใหม่ในสภาพที่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรมขั้นต่อไป เขาย่อมมีโอกาส ที่จะช่วยชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกรรมได้


วิธีการเคลื่อนย้ายธาตุรู้แบบมหายาน แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท คือ ประ เภทที่สอนกันในพระสูตร และประเภทที่สอนกันในแบบตันตระ วิธีการหลัก ในพระสูตร คือ " การใช้พลังทั้งห้า " ที่เรียกเช่นนี้เพราะขณะจะสิ้นใจผู้ใกล้ ตายจะอาศัยปัจจัย ๕ ประการ คือ เจตนา ความบริสุทธิ์ ความคุ้นเคย การ กระหาร( ความชั่ว ) และอำนาจการภาวนา


๑. พลังเจตนา ได้แก่ การตั้งเจตนาให้มั่นโดยไม่ยอมให้จิตแยกตัวออกจาก ความสำนึกอันเอื้ออาทรต่อผู้อื่นของพระโพธิสัตว์ ในขณะที่เข้าสู่กระบวน ความตาย ผ่านเข้าสู่บาร์โด และระหว่างการเกิดใหม่
 
๒. พลังความบริสุทธิ์ ได้แก่ การพยายามแยกจิตออกจากเครื่องเกาะเกี่ยว ร้อยรัดทางวัตถุทุกรูปแบบ ซึ่งทำได้โดยการสละทรัพย์สิน สมบัติ และวัตถุ ในครอบครองทั้งหมดไปเพื่อความมุ่งหมายอันประเสริฐ เช่น สละให้คน ยากจน ผู้หิวโหย คนป่วย สถาบันการศึกษา หรือโรงพยาบาล และสถา บันทางศาสนาเป็นต้น
 
 
๓. พลังการประหาร ได้แก่ การพยายามทำลายรอยกรรมชั่วที่เราสะสม เอาไว้ตลอดชีวิต ซึ่งทำได้โดยใช้พลังต่อต้าน ๔ ประการ คือ ( ๑ ) สำนึก ผิดในความชั่วที่เคยสร้าง ( ๒ ) ตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงการทำผิดในอนาคต ( ๓ ) ยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และสร้างสรรค์โพธิจิตซึ่งเป็นความ ปรารถนาในความรู้แจ้งขั้นสูงสุดเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น และ ( ๔ ) ชำระ ล้างรากเหง้าของกรรมชั่วโดยการปฏิบัติสุญญตสมาธิ และสวดมนตร์ ๑oo พยางค์แบบวัชรยานตามคำสอนของพระวัชรสัตว์เป็นต้น ถ้าเราทำ พิธีรับเข้าเป็นสาวกลัทธิตันตระ ก็ให้พระลามะทำพิธีเข้าเป็นศิษย์ หรือ ถ้าทำไม่ได้ ก็ให้เราทำพิธีรับตนเองเข้าสู่ลัทธิตามลำพัง


๔. พลังความคุ้นเคย หมายถึง การเสริมสร้างโพธิจิตให้แก่กล้ามากที่สุด และให้ตายไปในนขณะเข้าฌาน
 
๕. อำนาจภาวนา ในที่นี้ หมายถึง ความปรารถนาของชาวมหายานที่แท้จริง นั่นก็คือ ความปรารถนาที่จะให้ความทุกข์ยากทั้งมวลของผู้อื่นมาสุกงอม อยู่ที่ตัวผู้ปฏิบัติเพื่อผู้อื่นจะได้พ้นทุกข์ เนื่องจากพระโพธิสัตว์มีความมุ่ง หมายที่จะตรัสรู้เพื่อประโยชน์สุขของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย


การฝึกแบบตันตระมีอยู่หลายระบบ เราควรเลือกระบบที่เหมาะสมกับ ความโน้มเอียงตามกรรมของเรา ควรปรึกษาอาจารย์ผู้ฝึกเพื่อเลือกระ บบที่เหมาะสม ระบบการฝึกที่โยคีธิเบตนิยมใช้ปฏิบัติกันอยู่ในคัมภีร์ วัชร-โยคินี-ตันตระ กล่าวกันว่าการปฏิบัติตาม วัชร-โยคินี-ตันตระ เป็น เสมือนการถือบัตรผ่านประตูเข้าสู่แดนสุขาวดี


อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่จะสอนวิธีการแบบตันตระให้แก่คนนอก ลัทธิ พระวัชรธรพุทธเจ้าเคยตรัสว่า " เราไม่ควรเทนมของสิงโตหิมะลง ไปในชามใส่ดินเหนียว " เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้นมบูด แต่ชามดิน เหนียวกฌพลอยเสียหายไปด้วย ประตูเข้าสู่วัชรยานก็คือการเข้าพิธีประ กาศตัวเป็นสาวกของลัทธิตันตระ



ข้อควรรู้เกี่ยวกับเรื่องความตาย
 
คำถาม : เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังจะตาย
 
 
คำตอบ : ท่องคำภาวนาและสวดมนตร์กรอกหูผู้นั้น มนตร์ของพระศากย มุนีพุทธเจ้ามีประโยชน์เป็นพิเศษ คำสวดของมนตร์บทนี้คือ " โอม มุนี มุนี มหามุนี เย สวหะ " ซึ่งหมายถึง การอาศัยอยู่ภายใต้การควบคุม ๓ ระดับ อันได้แก่ การควบคุมอกุศลจิต การควบคุมให้พ้นจากการยึดเหนี่ยวกาม สุขขั้นสูงขึ้น และการควบคุมให้มีความสันโดษในการบรรลุนิรวาณด้วย ตนเอง การควบคุมตนเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดในเวลาตาย เสียงสวด มนตร์สามารถส่งเสริมให้ผู้ใกล้ตายมีทัศนคติเหมาะสมได้ บทสวดมนตร์ ถึงพระอวโลกิเตศวรผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์แห่งความการุณย์ย่อมให้ผล อย่างชะงัด คำสวดมีอยู่ว่า " โอม มณี ปัทเม หุม " ช่วยทำให้จิตใจของผู้ ใกล้ตายมีความสุขควรวางภาพของพรระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ไว้ใน ที่ที่ผู้ใกล้ตายมองเห็น พระรูปอันศักดิ์สิทธิ์นั้นย่อมทำให้จิตใจสงบ แจ่มใส และอยู่ในอำนาจควบคุม ถ้าผู้ใกล้ตายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรทางจิต เราควร สวดนามของคุรุของเขา และวางภาพของคุรุไว้ให้เขามองเห็น สิ่งที่สำคัญ ที่สุด ต้องทำให้ผู้ใกล้ตายมีจิตเป็นกุศล อย่าไปเกิดใหม่ในสุคติภพ เมื่อบุค คลนั้นได้ตายไปแล้ว ควรนำทรัพย์สินของเขาไปบริจาคให้คนยากเข็ญ และ สร้างบุญกุศล ควรนิมนต์อาจารย์ผู้สอนธรรมะของผู้นั้นมาทำพิธีสวดเป็น พิเศษ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สิ่งที่คุรุกระทำเพื่อศิษย์ที่ตายไปแล้ว หรือศิษย์ทำให้คุรุที่ตายไปแล้ว ย่อม ให้ผลอย่างมหาศาล บิดามารดาตลอดจนมิตรสหายก็ควรสวดมนตร์ เพราะ พวกเขาก็มีอิทธิพลต่อผู้ตายอย่างมากเช่นกัน มีตัวอย่างมากมายที่ผู้ตายมี อกุศลจิตและกำลังจะไปเกิดใหม่ในทุคติภพ แต่เนื่องจากผู้ที่เขารักใคร่ สวดมนตร์และอุทิศผลบุญไปให้เขาจึงได้ไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีขึ้น รายละ เอียดเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อผู้ใกล้ตายหรือผู้ตายมีอยู่ในหนังสือ สารานุกรม อภิปรัชญาทางพุทธศาสนา ของท่านวสุพันธุ

คำถาม : เราควรปฏิบัติต่อพุทธศาสนิกและศาสนิกอื่นเหมือนกันหรือไม่
คำตอบ : พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เป็นพระผู้อภิบาลสากล จึงไม่มี การแบ่งแยก แต่ถ้าผู้ใกล้ตายเป็นพุทธศาสนิก และใกล้ชิดกับเรา สิ่งที่ ทำให้จะให้ผลมากกว่า เพราะมีพลังความสัมพันธ์ต่อกัน
 
คำถาม : เราควรบอกผู้ใกล้ตายหรือไม่ว่าเขากำลังจะตาย
คำตอบ : ก็แล้วแต่บุคคล ถ้าเขาเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็ควรบอกเขาไปตาม ตรงจะดีกว่า เขาจะได้รวบรวมพลังเพื่อการปฏิบัติ เขาจะได้ไม่หวั่นไหว ต่อความตายและสามารถใช้วิธีเคลื่อนย้ายธาตุรู้ได้ ถ้าผู้ไกล้ตายไม่ได้ฝึก ฝนทางธรรมเลย อาจไม่มีเหตุผลอะไรที่จะบอก เพราะจะทำให้กลัวและ ผิดหวังเปล่า ๆ

คำถาม : ธาตุรู้จะอยู่ในตัวผู้นั้นอีกนานเท่าใด เมื่อสภาพภายนอกบ่งบอก ว่า เขาตายแล้ว
คำตอบ : ถ้าผู้นั้นสำเร็จฌานแล้ว ธาตุรู้อาจคงอยู่ต่อไปอีกหลายวันหรือ หลายเดือน แม้ว่าจะไม่เป็นนักปฏิบัติสมาธิ ธาตุรู้ก็อาจอยู่ต่อไปในร่างได้ นานถึง ๓ วัน ดังนั้นจึงยังไม่ควรเคลื่อนศพออกไปจนกว่าจะมีสัญญาณ ปรากฏว่า ธาตุรู้ได้จากไปแล้ว สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดก็คือ หยดเลือดหรือ หนองในแผลที่ขับออกมาทางช่องจมูกหรืออวัยวะเพศส่วนสัญญาณที่แน่ ชัดน้อยกว่าก็คือ ศพส่งกลิ่นเหม็น ถ้าไปเผาร่างเสียก่อนที่ธาตุรู้จะจากไป ก็เกือบมีผลเท่าฆาตกรรม ควรทิ้งร่างไว้โดยไม่แตะต้องครั้งแรก ธาตุรู้มัก ชอบออกไปทางส่วนบนของร่างกายมากกว่าทางส่วนล่าง ที่ที่ควรแตะเป็น ครั้งแรกจึงน่าจะเป็นตรงกระหม่อม
 
คำถาม : ทำไมไม่ค่อยมีผู้ฝังศพในธิเบต
คำตอบ : เพราะเชื่อกันว่าทิ้งร่างให้นกเป็นทานดีกว่า ต่อเมื่อไม่สมควรทิ้ง ร่างไว้ เช่น เป็นโรคตาย จึงจะฝัง ผู้เคร่งศาสนาจะมีประเพณีให้โยคีลัทธิ ตันตระมาทำพิธีตัดศพ คือสัมมติว่าทำการตัดศพออกเป็นชิ้นส่วนให้สัตว์ ต่าง ๆ ให้นก และให้ภูติผีปีศาจผู้หิวโหยกินเป็นอาหาร ถ้าผู้ใกล้ตายสำเร็จ ฌานแล้ว อาจทำพิธีนี้เองได้

 
คำถาม : วรรณคดีธิเบตว่าด้วยความตาย และสภาวะหลังความตายช่างมี อยู่มากมายเหลือเกิน ที่มาของวรรณคดีเหล่านี้คืออะไร
คำตอบ : โยคีและนักปฏิบัติสมาธิผู้มีประสบการณ์หลายต่อหลายท่านเป็น ผู้บันทึกจากประสยการณ์ของตนเอง พระพุทธเจ้าก็ทรงเคยกล่าวไว้หลาย ครั้งเกี่ยวกับความตาย อาการตาย และประสบการณ์ในบาร์โดหรือสภาวะ ระหว่างความตายและการเกิดใหม่ พระดำรัสของพระองค์ปรากฏอยู่ทั้งใน พระสูตรและในคัมภีร์ตันตระ ซึ่งท่านวสุพันธุ์ได้สรุปไว้ในหนังสือ สารา นุกรมอภิปรัชญาทางพุทธศาสนา และทะไลลามะองค์แรกได้ทรงอธิบาย ขยายความไว้ในบทวิจารณ์ของพระองค์
 
- จาก มรณสติแบบธิเบต พุทธวิธีเพื่อต้อนรับความตาย -
_________________________________________________________
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 02, 2010, 09:39:59 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: ทะลวงมิติความตาย ด้วย มรณานุสติแบบธิเบต
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2010, 11:20:14 pm »
 :13:อนุโมทนาครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~