ผู้เขียน หัวข้อ: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ  (อ่าน 356362 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
   ส่วนคำจารึกอักขรเทวนาครีฉบับวัดเพชรพลี ปรากฏข้อความที่พิสดารยิ่งขึ้น โดยกล่าวถึงคณะพระธรรมทูตได้เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาโดยทางเรือ ประกอบด้วยพระโสณเถระ พระอุตรเถระ พระฌานียะ พระภูริยะ พระมูนิยะ สามเณรอิสิจน์ สามเณรคุณะ สามเณรนิตตย เขมกะอุบาสก อนีฆาอุบาสิกา อดุลยอำมาตย์ และคุณหญิงอดุลยา พราหมณ์ และนางพราหมณี ผู้คนอีก 38 คน ได้มาพักที่ วัดช้างค่อม (นครศรีธรรมราช เมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย พ.ศ.235 ออกบิณฑบาต วันขึ้น 15 ค่ำ แล้วเทศนาพรหมชาลสูตร และได้วางวิธีอุปสมบทญัตติจตุตถกรรมวาจา โดยใช้อุทกเขปเสมาหรือเสมาน้ำ และได้วางเพศชีไทย โดยถือแบบเหล่าพระสากิยานีซึ่งเป็นต้นของพระภิกษุณี โดยบวชหรือบรรพชาไม่มีเรือน ออกจากเรือน (อาคารสมา อนคาริย ปพพชชา) ได้วางวิธีสวดปาติโมกข์หรืออุโบสถกรรม ปวารณากรรม เมื่อพระเจ้าโลกละว้า (เจ้าผู้ครองแคว้นสุวรรณภูมิ) รับสั่งให้มนขอมพิสนุ ขอมเฉย ขอมสอน ขอมเมือง สร้างวัดมหาธาตุ ท่านได้วางวิธีกำหนดนิมิตผูกขันธ์สีมา พ.ศ.238 เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำ

   ขณะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ท่านได้สอนพระบวชใหม่ให้ท่องพระปาติโมกข์จบหลายองค์ แล้วจึงวางวิธีสวด สาธยายโดยฝึกซ้อมให้คล่อง เมื่อคล่องแล้วจึงจะสัชฌายกันจริง ๆ ท่านให้มนขอม ปั้นพระพุทธรูปด้วยปูนขาวเป็นพระประธานในโรงพิธี เมื่อเรียบร้อยแล้วท่านวางวิธีกราบ สวดมนต์ไหว้พระเห็นดีแล้วจึงให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อมา ท่านได้วางวิธีกฐินและธุดงค์ คือ เที่ยวจาริกไปในเมืองต่าง ๆ

   การสร้างพระพุทธรูปในสมัยดังกล่าวนี้ ก็ล้วนเป็นสิ่งสมมติ มีพระพุทธรูปเป็นองค์สมมติ พระสงฆ์ก็เป็นเพียงสมมติสงฆ์ ส่วนพระธรรมนั้นเป็นเพียงเสียงสวด ท่านจึงใช้วงล้อเกวียนประดิษฐ์เป็นธรรมจักรแทนพระธรรม กับมีมิค (มิ-คะ) คือ สัตว์ประเภทกวาง ฟานหรือเก้ง เป็นเครื่องหมายในสมัยสุวรรณภูมิ

   พระพุทธรูปที่มีกวางกับธรรมจักรกลับไม่มีการสร้างหรือออกแบบในสมัยนั้น มีอยู่สี่ลักษณะด้วยกัน คือ ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักร ปรินิพพาน มีอักษรเทวนาครีจารึกระบุพระนามว่า โลกกน แบบประภามณฑล มี 3 วง ซึ่งเป็นเครื่องหมายพระนามว่า “โลก” คือ วัฎฎ 3 แบบ โปรดสหายพระยศ ส่วนปางมารวิชัยและปางสมาธิมีมาทุกสมัย

   ต่อมาในปี พ.ศ.239 พระโสณกับพระเจ้าโลกละว้าราชา ได้ส่งพระภิกษุไทย 10 รูป มีพระญาณจรณะ (ทองดี) เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยสามเณร 3 รูป อุบาสก อุบาสิกา ไปเรียนและศึกษา ณ กรุงปาตลีบุตร แคว้นมคธ นับเป็นเวลา 5 ปี (พระญาณจรณะ (ทองดี) ท่านนี้ ปรากฏหลักฐานเพียงรูปของพระพิมพ์มีลักษณะอวบอ้วนคล้ายพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ด้านหลังมีรูปพระ 9 องค์เป็นอนุจร หรือบวชทีหลัง คนเรียกกันมานานนับพัน ๆ ปี ศัพท์สังขจายไม่มีคำนิยามในพจนานุกรม พุทธสาวกทุกพระองค์จะมีนามเป็นภาษาบาลีทั้งสิ้น ไม่มีนามเป็นภาษาไทย พระญาณจรณะ (ทองดี) บรรลุอรหันต์และจบกิจ นานนับพันปีแล้ว ปัญหาเช่นดังกล่าวนี้ หากนำพระปิดตาขึ้นมาพิจารณาก็ยากที่จะตัดสินว่าเป็นพุทธสาวกองค์ใดกันแน่ อาจจะเป็นพระมหากัจจายนะเถระเจ้า ปางเนรมิตวรกายก็ได้ อาจจะเป็นพระควัมปติก็ได้ เป็นพุทธสาวกทรงเอตทัคคะด้วยกัน แต่เป็นคนละองค์ คำพระควัมบดี ไม่มี)

   ลุปี พ.ศ.245 พระเจ้าโลกละว้าสิ้นพระชนม์ ตะวันทับฟ้า ราชบุตรขึ้นครองราชย์ นามตะวันอธิราชเจ้า ถึงปี พ.ศ.264 พระโสณใกล้นิพพาน พระโสณเถระอยู่ ณ แดนสุวรรณภูมิ วางรากฐานะกรรมวินัยในพระบวรพุทธศาสนา เป็นระยะเวลา 29 ปี และท่านนิพพานในปีนั้น

   หลักฐานต่าง ๆ ตามที่กล่าวจารึกด้วยอักษรเทวนาครี ขุดพบที่โคกประดับอิฐ ตำบลคูบัว จังหวัดราชบุรี พบรูปปั้นลอยองค์ ลักษณะนั่งห้อยเท้า มีลีลาแบบปฐมเทศนา มีเศียรโล้น ด้านหนึ่งจารึกว่าโสณเถร ด้านล่างอุตตรเถร ด้านล่างสุด สุวรรณภูมิมีอยู่ด้วยกัน 5 องค์ ผู้ค้นพบทุบเล่น 3 องค์เหลือเพียง 2 องค์ ตกเป็นสมบัติของวัดเพชรพลี ส่วนครบชุด 5 องค์ คือ พระโสณเถระ พระอุตรเถระ พระฌานียเถระ พระมูนียะเถระ พระภูริยะเถระ ในท่านั่งแสดงธรรม สมัยต่อมาในรัชกาลที่ 4 ที่ 5 มีการสร้างแบบพระสมเด็จขึ้น แล้วเห็นเป็นพระสมเด็จผิดพิมพ์อีกด้วย จึงเป็นการสับสนสำหรับผู้ที่ไม่รู้จริง
   จะเห็นได้ว่าตามหลักฐานบันทึก กล่าวเพียงพระโสณเถระ ไม่ได้กล่าวถึงพระอุตรเถระ (อุตร ก็คือ อุดร) เป็นปัญหาว่าหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเป็นองค์ใดกันแน่ เพราะในสมัยปัจจุบันกล่าวถึงบรมครูพระเทพโลกอุดร ไม่มีใครรู้จักพระโสณเถระ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ข้อเท็จจริง ท่านทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต องค์พี่ คือ พระอุตรมีร่างกายสันทัด องค์น้องมีร่างกายสูงใหญ่ มีฉายาว่าขรัวตีนโต ถ้านำพระธาตุมาตรวจนิมิตจะบอกว่า โสณ-อุตร ไม่แยกจากกัน องค์น้องบรรลุอรหันต์ก่อนองค์พี่ แต่มีความเคารพองค์พี่มากต้องกราบองค์พี่ ถือว่าเป็นภันเต แต่เหตุที่บรรลุธรรมก่อนพี่ชาย จึงเรียก “โสณ-อุตร” ไม่เรียก “อุตร-โสณ” ฉะนั้นหลวงปู่ใหญ่ก็คือพระอุตรนั่นเอง เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี กล่าวพระนามขององค์ท่านว่า พระโสณอุดร พระโลกอุดร ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมเกิดความคิดจัดกลุ่มพระเทพโลกอุดรขึ้น และเขียนเรื่องลงในวารสารพระเครื่อง โดยแบ่งกลุ่มออก ดังนี้:-
      กลุ่มที่ 1 มีพระโสณ
      กลุ่มที่ 2 พระมูนียะ หรือหลวงปู่โพรงโพ เป็นเอกเทศ
      กลุ่มที่ 3 พระฌานียะ (หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) พระภูริยะ (หลวงปู่หน้าปาน)
รวมเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน แต่ไม่เป็นการถูกต้องตามข้อเท็จจริง ได้เกิดนิมิตครั้งแรกพบเพียงพระอุตรเถระเจ้า ปรากฏกายเพียงครึ่งท่อน (สอบแล้วตรงกับคนใต้ท่านหนึ่ง) ท่านบินเข้าสู่โดยลักษณะการที่รวดเร็วยิ่ง ตรงเข้ากอดรัดด้วยความเมตตา ผมทักท่านว่า “หลวงปู่ใหญ่” ท่านยิ้มแล้วบอกกับผมว่า “ปู่ชื่อเปลี่ยนนะลูก” ขอให้ลูกจงหลุดจาดการยึดมั่นถือมั่น ท่านสอนธรรมง่าย ๆ แต่มันลึกและเป็นขั้นสูงไม่ธรรมดา ท่านมาองค์เดียว ท่านอภิชิโตภิกขุก็เคยเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่อยู่องค์เดียว นอกนั้นก็เป็นเพียงศิษย์ในสำนัก เรื่องนี้ผมไม่ได้คุยให้ใครฟังมาก นักเกรงจะไม่เชื่อ คนที่มาหาก็ชอบแต่ส่องพระด้วยแว่น ไม่ส่องด้วยจิต และผมจะดีใจในเมื่อพบคนส่องพระทางจิตคุยกันถูกคอ

   อยู่มาวันหนึ่งท่านอาจารย์บุญส่ง สามผ่องบุญ โรงเรียนทวีธาภิเศก ได้มาเยือนผมถึงบ้านพัก ท่านมาด้วยกันหลายคนพร้อมภรรยา แต่ทิ้งไว้ในรถยนต์ ท่านเล่าว่าที่มานี้ก็เพราะได้รับประสบการณ์ คือ มีพรรคพวกของท่านคนหนึ่งแขวนพระพิมพ์โลกอุดรรุ่นเทิดพระเกียรติวังหน้าพิมพ์ปิดตาสี่กร เกิดไปปะทะกับรถยนต์บรรทุกสิบล้อเข้าอย่างจัง แต่หาอันตรายมิได้ พระพิมพ์วิเศษชนิดนี้หากเอาพระสมเด็จวัดระฆังที่เขานิยมกันองค์ละ 3 ล้าน 3 องค์ มาแลกอย่าได้เอา แล้วท่านก็แนะนำตนเองว่าได้ฝึกฝนในด้านสมาธิมานานจบธรรมกายอรหันต์ละเอียดแล้ว ไปศึกษาพุทโธสาย ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ละเลิกการติดฤทธิ์แล้ว ตัวท่านเองรู้จักกับพระภิกษุและวัดต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ มากมาย แต่น่าอัศจรรย์ใจ คือ มีบุคคลท่านหนึ่งประสงค์จะอุปสมบท และขอร้องให้ท่านช่วยไปหาสำนักที่ดี ๆ ให้ด้วย ท่านพาดุ่มไปยังวัดหนึ่ง ไม่เคยรู้จักกับสมภารเจ้าอาวาสวัดนั้นมาก่อน เป็นสมภารหนุ่มเรียนจบขั้นปริญญาโทจากต่างประเทศ และมีภาพพระเทพโลกอุดรขนาดใหญ่ตั้งบูชาอยู่ ท่านอาจารย์บุญส่งก็ถามว่า “อาจารย์ก็นับถือหลวงปู่เทพโลกอุดรเหมือนกันหรือ” ท่านอาจารย์บุญส่งตอบว่า “ท่านสอนให้สิ้นการยึดมั่นถือมั่น ผมจึงสิ้นฤทธิ์ไม่ติดฤทธิ์ต่อไป” ผมจึงตอบท่านอาจารย์บุญส่งว่า “ใช่ครับเป็นคำสอนของหลวงปู่ใหญ่ ผมขอรับรอง ไม่ใช่คำพูดของเจ้าอาวาส” ตัวผมเองไม่ได้ฌานได้ญาณอะไรกับเขาหรอก ท่านอาจารย์บุญส่งไม่เรียกผม อาจารย์ขอเรียกพี่ ครั้งแล้วท่านอาจารย์บุญส่งก็เล่นงานผมเข้าให้บ้าง แผล็บเดียวก็คุกเข่าลงกราบ ผมถามว่า “อาจารย์ทำไมทำเช่นนี้” อาจารย์บุญส่งไม่ตอบ เรียกคนในรถทุกคนให้ขึ้นบ้าน บอกว่าเข้ามากราบได้สนิท ผมก็ยิ่งสงสัยว่านี่มันอะไรกัน ท่านอาจารย์บุญส่งจึงไขข้อปัญหาว่า “พี่ก็เป็นอย่างเดียวกันท่านเจ้าอาวาสนั่นแหละ เพียงแต่ว่ารังสีไม่เฉิดฉายเท่ากับท่านเจ้าอาวาส เพราะท่านเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ แสดงว่าพี่เป็นคนของหลวงปู่ และสิ้นการสงสัย” ต่อจากนั้นท่านก็ทำนายทายทักว่าผมจะเจ็บป่วยอีกครั้งและกำหนดระยะเวลาให้ ซึ่งผมก็ต้องเข้าโรงพยาบาลรามาธิบดี ทำการผ่าตัดนิ่วถุงน้ำดี และพักอยู่นานวัน ท่านสงสารในสุขภาพของผม ท่านบอกว่าเรามาถ่ายทอดพลังปราณกันเถอะ แล้วเราก็เอามือทั้งสองยันกันทำสมาธิถ่ายทอดพลังลมปราณสู่กัน ท่านถ่ายทอดพลังเย็น คือ อาโปธาตุสู่ตัวผม ผมเองก็ถ่ายไปตามเรื่อง ท่านบอกว่าของผมเป็นเตโชพลังร้อน ซึ่งก็เป็นความจริง ก่อนที่ท่านจะลากลับ ผมแจกพระพิมพ์โลกอุดรเป็นที่ระลึกให้กับท่านและผู้ติดตาม และเห็นท่านเดินไปทางหลังบ้านคิดว่าจะเข้าห้องน้ำ ภายหลังปรากฏความจริงว่าท่านได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับลูกสาวผมไว้ โดยที่ลูกสาวไม่รู้เรื่องและปฏิเสธ ท่านพยายามยัดเยียดเงินให้แล้วรีบเดินทางกลับ หลังจากนั้นเราไม่ได้พบกันอีก ท่านเป็นคนดีมากคนหนึ่ง
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
คำสอนของหลวงปู่เป็นตัวสุดท้ายในมหาสติปัฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม สักแต่ว่า... ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา อย่างที่เขาสอนกัน กายในกาย จิตในจิต ไม่ติดมันก็หลุด ก็ไม่รู้จะหลุดอย่างไร ตามความเข้าใจของผม ธรรมตัวนี้ก็คือสภาวธรรม มันแปรเปลี่ยนไม่คงที่ คือ ทุกข์การทนอยู่ไม่ได้ในสิ่งที่มีชีวิต และปราศจากชีวิตมันเสื่อมสิ้นไปตามสภาวธรรมไม่ยืนยงคนที่ หลวงปู่จึงให้ปริศนาว่า “ปู่ชื่อเปลี่ยนนะลูก” เมื่อมันไม่ดำรงคงที่ มันก็ไม่เที่ยงนะซิ มันทุกข์ อนิจจัง ก็เมื่อมันไร้สาระเช่นนี้ จะไปยึดถือเป็นตัวเป็นตนทำไม อนัตตา สัพเพธัมมาทุกขา สัพเพธัมมาอนิจจา สัพเพธัมมาอนัตตา ติ ถ้าจะตัดรูปนาม ปล่อยเวทนา สัญญา ไว้ ละเพียงสังขารเครื่องปรุงแต่งจิตอันเป็นตัวอุปทาน ตัดตัวนี้เปรียบเหมือนการตัดคั๊ดเอาท์สวิทไฟฟ้า ไฟฟ้าดวงอื่นพากันดับหมด เป็นสูญญตนิพพาน ท่านอาจารย์วิชัย แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาจม เชียงราย เคยนำมาแสดงธรรมในรายการธัมมะทาง TV ผมฟังแล้วถึงกับก้มลงกราบเพราะความถูกใจ ไปเรียนให้มากทำไม ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ฌาณวรเถระ) อบรมสั่งสอนสานุศิษย์ให้ไหว้ 5 ครั้ง ให้มีศีลบริบูรณ์ ไหว้พระเสร็จให้ทำสมาธิ ก่อนตายให้พิจารณาถึงสัพเพธัมมาอนัตตา จะไม่กลับมาเกิดอีก จึงว่าหลวงปู่ท่านสอนตามขั้นภูมิธรรมปัญญา ฟังดูง่าย ๆ แต่ทำยาก

   นิมิตครั้งที่ 2 พบกับพระโสณเถระเจ้า ท่านมากับพระอิเกสาโร จิตผมทราบทันทีว่าเป็นหลวงปู่องค์ที่สอง รูปกายท่านสูงใหญ่เกศายาวประมาณ 1 องคุลี ผมคิดอยู่ภายในใจว่าอยากจะได้เกศาของท่านไว้บูชา หลวงปู่เรียกผมเข้าไปใกล้ ผมก้มลงกราบท่าน ๆ ยิ้มด้วยความปราณี ยกมือลูบศีรษะของผมพลางเรียกชื่อ ท่านมิได้กล่าวธรรมอันใด ส่วนองค์ที่นั่งถัดไปประมาณ 4 ว่า ปรากฏเกศายาวคลุมด้านหลังห่มจีวรสีกรัก แสดงว่าเป็นพระอิเกสาโร (เกศา แปลว่า ผม) มิได้กล่าวธรรมใดเช่นกัน แสดงชัดว่าพระอิเกสาโร เป็นสานุศิษย์พระโสณ ภาพนิมิตเลือนหายไป ปรากฏเห็นพระภิกษุชรารูปหนึ่งร่างกายสูงใหญ่ ยืนเทียบแล้วยังสูงไม่พ้นไหล่ท่าน มีขนตายาวพิเศษประกอบอารมณ์ขัน ท่านยกมือลูบศีรษะของผมพลางกล่าวว่า “ลงศีรษะมามากจริง” ทันใดนั่นท่านก็หัวเราะก๊ากผลักผมกระเด็นไปประมาณ 2 วา แล้วกล่าวว่า “โอ้โฮมีพระมากจัง” แล้วท่านก็พาเดิน ผมก็ตามหลังท่านไป ในจิตรู้ว่าท่านคือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า จนที่สุดไปพบกลุ่มพระภิกษุและฆราวาสกลุ่มหนึ่ง มีฆราวาสท่านหนึ่งอุ้มขันสำริดเดินอยู่ในกลุ่ม ท่านชี้มือไปยังบุคคลผู้นั้นแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นี้เป็นสามี” ทำให้ผมต้องตีปัญหาพักใหญ่ ขันนั้นน่าจะหมายถึงขันธ์ห้า คำว่าสามีแปลได้หลายอย่าง เจ้าของ ผัว ตำแหน่งพระสังฆราช บัณฑิต น่าจะเป็นบัณฑิตนั่นเอง ท่านผู้นี้จิตบอกว่าเป็นหลวงปู่ขรัวหน้าปาน องค์ที่ห้า เป็นอันว่าผมได้เห็นหน้าพระเทพโลกอุดรครบทุกพระองค์

   9.พระมหินทรเถระ เป็นพระราชบุตรของพระเจ้าอโศกมหาราช พร้อมด้วยพระภิกษุหลายรูป ไปลังกาทวีปแห่งหนึ่ง
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ปริเฉทสอง
พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระอุทุมพรมหาสวามี

   พระอุตรเถระเจ้า อวตารเป็นพระอุทุมพรมหาสวามี ในสมัยพระเจ้าลิไท แห่งราชวงศ์สุโขทัย ปี พ.ศ.1900 ห่างจากระยะแรกประมาณ 1,600 ปี มีบางท่านกล่าวว่าในสมัยหริภุญไชย ท่านมาเกิดเป็นครูบาบุญทา แต่เป็นเรื่องของความฝัน ไม่ปรากฏหลักฐานแจ้งชัด และมีผู้เล่าให้ฟังว่าในครั้งกระนั้นผมเป็นสามเณรอาศัยอยู่กับท่าน มีชื่อว่า “น้อยคำอ้าย” เป็นสล่า คือ ช่างปั้นพระ คนเล่าเป็นพนักงานออมสิน สำนักงานใหญ่ โดยการผ่านร่างแต่ไม่ถึงกับประทับทรง จึงเกิดปัญหาว่า คนฝันกับคนที่เป็นร่างผ่านให้ข้อความไม่ตรงกัน จึงตัดออก เอาแต่เรื่องที่มีหลักฐานมากล่าวและมีบันทึก คณะพระเทพโลกอุดร มีหน้าที่ดูแลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไปจนกว่าจะสิ้นพุทธธันดร (พ.ศ.5000) คราใดที่พระพุทธศาสนาอ่อนแอลง ท่านมักจะมาโปรด ท่านเป็นพระธรรมทูตเดินทางมาจากประเทศลังกาสู่ประเทศมอญ ความว่าในสมัยนั้นมีพระอาจารย์ชาวลังกาท่านหนึ่ง นามว่า “พระมติมา” เป็นศิษย์ในสำนักพระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราช ซึ่งมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดที่สุดในประเทศลังกา มาตั้งสำนักที่เมืองนครพัน หรือเมืองเมาะตะมะของมอญ ในสมัยพระสุตโสมเป็นพ่อเมือง พระเถระทางกรุงสุโขทัยได้ทราบข่าว เกิดความศรัทธาปสาทะ จึงพากันมาขออุปสมบทใหม่ในสำนักพระมติมา และข่าวได้แพร่ไปถึงพระเจ้าลิไท แห่งกรุงสุโขทัย จึงจัดส่งสมณทูตอาราธนาพระมติมามาอยู่ ณ กรุงสุโขทัย แล้วพระองค์ได้ทรงผนวชในสำนักพระมติมา ประกาศปรารถนาพุทธภูมิแล้วลาสิกขาบท เพื่อบำเพ็ญพระราชกรณียกิจตามเม แต่งตั้งพระมติมาให้เป็นที่พระสวามี (ตำแหน่งพระสังฆราชาของลังกา) พระมติมาได้พยากรณ์ไว้ว่า พระพุทธศาสนาจะไม่ตั้งมั่นในมอญ แต่จะตั้งมั่นในไทย จนถึง พ.ศ.5000 (เป็นอันแสดงว่าพระสังฆราชรูปนี้เป็นชาวลังกา) บางท่านยังอ้างข้อความบางตอนในศิลาจารึกกล่าวความเคร่งครัดของท่านว่า มีจริยาวัตรเยี่ยงพระอรหันต์

   แต่หลักฐานในหนังสือชินกาลบาลีปกรณ์ ระบุความตอนหนึ่งว่า พระสังฆราชรูปนี้ความจริงเป็นชาวสุโขทัย ชื่อ พระสุมนเถระ เดิมได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมจากสำนักต่าง ๆ หลายสำนัก จากเมืองอโยชฌปุระ (อยุธยา) จนความรู้แตกฉาน แล้วกลับมาอยู่ที่เมืองสุโขทัยตามเดิม ครั้งต่อมาได้ทราบข่าวว่าพระมหาสวามีองค์เถระชาวลังกาผู้ทรงคุณอันเลิศในทางธรรม ชื่อว่า “อุทุมพร” ได้จาริกจากลังกามาอยู่ที่รัมนะประเทศ (ในพงศาวดารโยนก เรียกชื่อว่า เมืองเมาะตะมา ในศิลาจารึก เรียกนครพัน) พระสุมนเถระจึงชักชวนพระภิกษุซึ่งเป็นสหายทางธรรมจำนวนหนึ่ง พากันเดินทางจากกรุงสุโขทัย ไปนมัสการพระมหาสวามีอุทุมพร แล้วอยู่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมกับพระมหาสวามีอุทุมพร นั้น

   กาลต่อมา ความทราบถึงพระกรรณพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงสุโขทัย (คือ พระยาศรีสูรยพงศ์ราม มหาธรรมราชาธิราช พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์สุโขทัย ซึ่งก็คือ พระเจ้าลิไท แต่คำในลายสือไท อ่านยาก มิได้จารึกคำว่า “ลิไท” โดยตรง มีพระนามก่อนเสวยราชย์ว่า พญาฤาไท อ่านอย่างภาษามคธว่า       “ลิไท” “ลิเทยย” คำว่า พระยาศรีสูรยพงศ์ เป็นพระนามเดียวกับพระราชบิดา เพียงแต่เติมคำว่าบุตรต่อท้ายคำ) ว่าพระมหาสวามีอุทุมพรจาริกมาจากเมืองลังกา มาอยู่ที่เมืองรัมมประเทศ ก็ทรงมีพระราชประสงค์ใคร่จัดได้พระภิกษุสงฆ์ผู้สามารถคงแก่เรียน กระทำสังฆกรรมได้ครบถ้วนมาประจำที่สำนักเมืองสุโขทัย จึงจัดส่งสมณทูตไปนมัสการพระมหาสวามีอุทุมพร เพื่อขอพระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมดังกล่าว พระมหาสวามีอุทุมพรจึงได้ส่งพระสุมนเถระ พร้อมด้วยคณะที่มาด้วยกัน ให้แก่พระมหาธรรมราชามาประจำกรุงสุโขทัย พระมหาธรรมราชาทรงดีพระทัยยิ่งนัก โปรดเกล้าให้สร้าง “วัดอัมพวนาราม” (คือ ว่าป่ามะม่วง ในปัจจุบัน) แล้วนิมนต์พระสุมนเถระให้อยู่ที่วัดนั้น (ในศิลาจารึกไม่มีคำว่าวัด มีแต่อาวาส สุมม่วง สุม คือ ซุ้ม หมายถึง ซุ้มมะม่วง ป่าม่วง ปรากฏว่าเป็นสถานที่เดียวกัน)
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ปัญหาที่เคยสงสัยกันว่า ถ้าพระมหาสวามีสังฆราชเป็นภิกษุชาวลังกาจริงแล้ว ได้ทำการเผยแพร่ธรรมแก่ชาวบ้าน เป็นการยากที่จะทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ (ความคิดเช่นนี้ยังไม่ลึกซึ้งพอ ไม่ได้ศึกษาในเรื่องปฏิสัมภิทาญาณสี่ จะเข้าใจผิดกันไปใหญ่ และก็เมื่อตอนที่คณะพระธรรมทูตชุดแรกที่มาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังแคว้นสุวรรณภูมิเล่า ท่านจะทำประการใด ท่านก็เทศน์โปรดตามภาษาพื้นบ้านนั่นเอง และในการตรวจพระพิมพ์โลกอุดร โดยพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง ท่านไม่มีความรู้เรื่องพระโลกอุดร จึงใช้จิตถาม พระพิมพ์ตอบว่า ข้าคือบรมครูศรีสัชนาลัย ซ้ำอยู่ 2 ครั้ง ซึ่งหมดภูมิปัญญาของผู้ตรวจ จึงได้รับคำอธิบายจากตัวกระผมผู้เขียนเรื่องว่า ถูกแล้วเพียงศิษย์ท่านยังเป็นถึงพระสังฆราช องค์ท่านจะเป็นอะไรดี เลิกเรียกพระครูโลกอุดรกันเสียทีเถอะ) และการที่พระสุมนเถระ เพียงถวายพระธรรมคำสอนแก่พระมหาธรรมราชาช่วงระยะพรรษาเดียว ก็ทรงบรรลุภูมิธรรมแตกฉาน ก็คือ ภาษาไทยนี้เอง ต่อมาได้ทรงสถาปนา พระสุมนเถระ ขึ้นดำรงตำแหน่ง “พระสวามีสุมนเถระ”

   อนึ่ง พิจารณาแผ่นศิลาจารึกของวัดป่ามะม่วง เป็นศิลาจารึกลายสือไท หลักที่ 27 ได้กล่าวถึง พระยาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชา ทรงผนวช แต่อักษรจารึกด้านที่ 1 และด้านที่ 2 ชำรุดอ่านไม่ได้ความ คงเหลือเพียงด้านที่ 2 และด้านที่ 4 ตัดเฉพาะด้านที่ 2 ถอดความเป็นภาษาไทยปัจจุบัน ดังนี้:-
   “...อั (น)...นี้ ในกลางสุมม่วงให้ประดิษฐานกุฎี พิหาร แถลงเมื่อพระนิรพาน ทางกุสินารนคร แลลงฝูงขสินาสรพนั่งบริพาร แถลงทั้งพระอารยกัสสป มาทูลฝ่าตีนพระเจ้าอันชำแรกจากโลงทอง แถลงทั้งขุนมัลลราชสี่คนมากระทำบูชา ประดิษฐานทั้งปฏิมากะลาอุโบสถ แลเสมานั้นโสดเทียน ญ่อมฝูงสงฆ์อันคง...ปรัชญา...ร...อันมีสังฆราชา...พระไตรปิฏกอันหด้...บวชแต่...ไ...ฝูงมหาสมณลังกาทวีป น...มานั้น...นั้น ที่พระยาศรีสูรยพงศ์ธรรมราชาธิราชออกผนวชแลแผ่นดินป่าม่วงนี้ไหว...มหาสมณทั้งอัน...เลิก...น ปลายพ ...ปาลย...น นำให้ฝูง...ทั้งหลายเห็น”

   ซึ่งผมขอถอดและขยายความดังนี้:- ภายในบริเวณศูนย์กลางของอาวาสสุมม่วงหรือวัดป่ามะม่วง มีการก่อสร้างเป็นกุฎี วิหาร ปรากฏภาพเขียนภายในผนังพระวิหาร แสดงภาพพระอรหันต์ขีณาสพ มาประชุมกันหนาแน่นดุจกำแพงกั้นน้ำ เพื่อเตรียมถวายเพลิงพระบรมศพพระผู้เป็นเจ้าซึ่งดับขันธปรินิพพาน แสดงภาพพระมหากัสสปเถระเจ้า ก้มถวายบังคมเบื้องพระยุคลบาท ซึ่งยื่นจากโลกทองบรรจุพระบรมศพ แสดงภาพขุนมัลลราช คือ มัลลกษัตริย์ทั้งสี่ (ทรงเชียวชาญในวิชามวยปล้ำ) กำลังถวายสักการะ ภายในพระวิหารมีพระประธานประกอบด้วยพระอัครสกวกซ้ายขวา มีตู้พระไตรปิฏก รอบ ๆ พระวิหารประกอบด้วยพัทธเสมา แสดงภาพพระภิกษุสงฆ์ผู้คงแก่เรียน อันได้แก่พระสุมนสวามีสังฆราช ฝูงมหาณแห่งลังกาทวีป คือ คณะของพระอุทุมพรสวามีสังฆราช (บรมครูพระเทพโลกอุดร) ปรากฏในศิลาจารึกเนินปราศาท ด้านที่ 2 บรรทัดที่ 17 – 18 “เมื่อได้สมเด็จพระมหาเถระกับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายมา”

   พระยาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช มีพระบัญชาให้ราชบัณฑิตไปอาราธนาพระมหาสวามีอุทุมพร จากเมืองนครพัน ทราบว่าท่านรับการอาราธนา และเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว (ทราบทางจิต) พระยาศรีสูรยพงษ์มหาธรรมราชาธิราช ทรงจัดให้หมู่อำมาตย์มุขมนตรี และบรรดาราชตระกูลไปเตรียมการต้อนรับทำการสักการบูชาพระมหาสวามีอุทุมพรสังฆราชตามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ทรงจาริกผ่าน เริ่มจัดเครื่องสักการะบูชา ตั้งแต่เมืองเชียงของ เมืองบางจันทร์ เมืองบางพาร ตลอดมาจนถึงเมืองสุโขทัย นับว่าเป็นการต้อนรับเป็นพิธีการอันยิ่งใหญ่ของเมืองสุโขทัย

   วันทรงผนวช ขณะที่พระยาศรีสูรยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช รับผ้าไตรจากพระอุปัชฌาย์ แล้ว ทรงอธิษฐานจิตปรารถนาพุทธภูมิ ได้บังเกิดแผ่นดินไหวไปทั่วทุกสารทิศในบริเวณอาวาสสมุม่วง เป็นที่ประจักษ์แก่ฝูงชนทั้งหลายทั่วกัน พระองค์ได้รับพระฉายาในสมณะเพศว่า “ปัลละวะราชา” (ปลลุวราชา) แปลว่า พระราชาผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร

   สันนิษฐานว่า พระอุทุมพรมหาสวามีสังฆราช พร้อมคณะ น่าจะพำนัก ณ อาวสสุมม่วง ชั่วระยะหนึ่ง โดยธรรมเนียมพระมหากษัตริย์ในสมัยโบราณมักนิยมสร้างพระพุทธรูป พระพิมพ์ พระเครื่อง เพื่อหวังอานิสงค์ แลบรรจุกรุเจดีย์ไว้สืบพระพุทธศาสนา จึงมีการสร้าระพิมพ์เนื้อดินขึ้นชุดหนึ่ง นิยมเรียกกันว่าพระพิมพ์วัดป่ามะม่วง สมัยสุโขทัย หลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด ยืนยันว่าวิเศษกว่าพระสมเด็จวัดระฆังฯ มากมาย สิ่งนี้เป็นข้อยีนยันสำหรับปริเฉทสอง
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ปริเฉทสาม
พระอุตรเถระเจ้าอวตารเป็นพระครูเทพผู้วิเศษ

   พระอุตรเถระเจ้า อวตารเป็นพระครูเทพ ผู้วิเศษในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ประมาณปี พ.ศ.2127 ระยะเวลาห่างจากสมัยสุโขทัยประมาณ 227 ปี คันคว้าจากตำราไสยศาสตร์ ประกอบความรู้อันบังเกิดจากญาณหรือสิ่งบันดาลใจ จากคำที่ว่าตอนที่สร้างกำแพงเมืองลพบุรี ข้ายังได้เห็น หมายถึง สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มิใช่สมัยลพบุรี (ขอม) และยังมีคำว่า “เทพ” (มาจากคำเทพโลกอุดร) ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า นับจากแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถึงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินถึง 9 รัชกาลด้วยกัน แต่ปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์คำนวณอายุได้ประมาณ 53 ปี เท่านั้น กล่าวคือ
      พระเอกาทศรถ         16 ปี
      พระศรีเสาวภาคย์      ไม่ถึงปี
      พระเจ้าทรงธรรม      8 ปี
      พระเชษฐาธิราช         3 ปี
      พระอาทิตย์วงศ์         37 วัน
      พระเจ้าปราสาททอง      25 ปี
      เจ้าฟ้าลั่น         1 ปี
      พระศรีสุธรรมราชา      3 เดือน
      พระนารายณ์มหาราช      32 ปี (คิดเพียงด้านรัชกาลขณะสร้างกำแพงเมืองให้เวลา 3 ปี)
   รวมรัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คงไม่ถึง 100 ปี และองค์พระครูเทพ ผู้วิเศษน่าจะมีอายุยืนยาวเป็นกรณีพิเศษ

   มีบันทึกว่าพระครูเทพ ผู้วิเศษเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างพระโพ ปางยืนห้ามสมุทร (โพ เป็นชื่อต้นไม้ โพธิ แปลว่า ตรัสรู้ ไม่ใช่เรียกชื่อต้นไม้) และพระควัมปติ (ไม่ใช่พระควัมบดี) แต่จะเป็นพระควัมปติ หรือพระมหากัจจายนะเถระเจ้าปางยกหัตถ์ปิดพระพักตร์อธิษฐานวรกาย ยังเป็นปัญหา เพราะเป็นคนละองค์ตามรายพระนามสาวกผู้ทรงเอกะทัคคะ 80 รูป แต่เมื่อสร้างเป็นพระพิมพ์แล้วมีลักษณะอย่างเดียวกัน จงเข้าใจเสียใหม่ว่าพระควัมปติกับพระมหากัจจายนะเถระเจ้า เป็นคนละองค์แน่นอน และพระพิมพ์โลกอุดรส่วนใหญ่มักจะสร้างเป็นรูปพระปิดตา (ยกหัตถ์ปิดพระพักตร์)

เจดีย์บรรจุพระองค์เดียว

   พระครูเทพ ผู้วิเศษ ได้สร้างพระพิมพ์ไว้เพียงองค์เดียว บรรจุเจดีย์ไว้ที่วัดพุทไธศวรรค์ จังหวัดอยุธยา สมัยสงครามมหาบูรพาเอเชีย พระเจดีย์เกิดเอนทำท่าจะล้มมิล้มแหล่ คาดคะเนกันว่าจ่าจะมีทองคำบรรจุอยู่ ครั้งเจาะที่คอระฆังพบเพียงพระพิมพ์องเดียว บรรจุใส่ผอบไว้ สร้างเป็นรูปพระมหากัจจายนะเถระเจ้า เนื้อผงมหาราชล้วน ๆ ผสมตัวยาสีออกเทาไม่ผสมปูน เนื้อจึงค่อนข้างอ่อน ขนาดแท่งผง ครั้งนำพระออกแล้วเจดีย์กลับตั้งตรงตามเดิม พระอาจารย์ช้อย วัดบ้านแป้ง จังหวัดอยุธยาเป็นนักนิยมพระเครื่องท่านหนึ่ง ยินดีนำพระบูชาสมัยสุโขทัยขนาดหน้าตัก 9 นิ้ว แลกไว้เป็นพระสุดยอดทางเมตตา และมหานิยม ตามอานุภาพของผงมหาราช ศิษย์ท่านอาจารย์ช้อยขอยืมไปใช้ แล้วขูดผงใส่ให้หญิงสาวกินได้เป็นภรรยา ยังกำเริบขูดใส่แม่ยายคิดจะเทครัว อาจารย์ช้อยโกรธมากเรียกพระคืนมาเก็บรักษาไว้ หวงแหนที่สุด รักษาได้เพียง 9 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2484 ถึง 2493 ต้องเดินทางจากจังหวัดอยุธยาไปถึงอำเภอท่าอุเทน โดยที่ไม่เคยรู้จักกับผมมาก่อน ได้รับการแนะนำโดย คุณหมอเฉลียว ภู่มาลา ชาวจังหวัดอยุธยา ไปเปิดคลินิกที่อำเภอท่าอุเทน ผลที่สุดพระองค์นั่นก็ตกเป็นสมบัติของผม ปรากฏในด้านโชคลาภดีมาก ไม่เคยให้อาจารย์ประจำตัวตรวจอานุภาพ ปี พ.ศ.2500 ย้ายมาอยู่อำเภอบ้านนา ทำการตรวจสองทางใน 2 ครั้ง อาจารย์ท่าน แรกเห็นนิมิตปรากฏชัดเจน กลุ่มปืนกลเงียบเสียง นิมิตเห็นพระพุทธองค์กำลังประชุมแสดงพระโอวาทะปาฏิโมกข์ ในวันจาตุรงคสันนิบาต กล่าวว่ามหานิยมขนาดสมัครผู้แทนทีเดียว ขอชมบารมีเพียงสองด้าน และนิมิตบอกว่า      ผู้ไม่มีศีลห้ารับรองรักษาไม่ได้เด็ดขาด จากท่าอุเทนได้ 7 ปี อาจารย์ช้อยเที่ยวตามหาทั่วประเทศ มาพบผมที่อำเภอบ้านนา บอกว่าตั้งแต่หมดพระองค์นี้แล้วตกมากแทบไม่มีคนจองกฐิน ขอขูดผงไปใช้ก็ยังดี ผมก็ยอมให้ขูด เรื่องการตรวจพระคราวที่แล้วก็เพียงพิสูจน์ว่าองค์ใดเป็นเลิศในปฐพี มีพระพิมพ์โลกอุดร 3 องค์ พระสมเด็จวัดระฆัง 1 องค์ ผมยังไม่ทราบว่าเป็นพระโลกอุดร รู้จักแต่พระวังหน้า พระหลวงปู่ดำ ครั้นให้อาจารย์ท่านหนึ่งตรวจท่านว่ารังสีทอง ก็ยังไม่รู้ประสาอีก ท่านว่านิมิตเห็นพระพุทธรูปทองคำลอยลงมาจากฟากฟ้า มีพระยาช้างเผือกเชือกหนึ่งคุกเข่าใช้งวงรับแล้วบรรจุลงในพระเจดีย์ ท่านว่าพระนี้มีองค์เดียวในโลก อาจารย์ท่านนี้ชอบดูการสร้างพระ ไม่ค่อยชอบดูการเสกพระ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด จะไม่เจริญในการศึกษาเรื่องพระเครื่องเด็ดขาด ท่านเห็นพระภิกษุผู้เฒ่ารูปหนึ่งกำลังนอกเสกพระและเป็นพระองค์เดียว มีอะไรที่วิเศษท่านนำมาผสมหมด เขาว่าสมบัติผลัดกันชมหลวงปู่คง เปลี่ยนเวรมาให้ผมลองรักษาดูบ้าง ผมก็รักษาได้โดยตลอดมา เพียงไม่เลี่ยมแขวนคอ เพราะรู้สึกว่าเป็นพระเนื้ออ่อนตามที่ได้อธิบายมาแล้วในตอนต้น อยู่มาวันหนึ่งบุตรชายซึ่งเป็นนายตำรวจ อยากได้พระดีที่สุดในโลกไปใช้ ปรากฏว่าอาทิตย์เดียวจบ ซักไซ้ก็ไม่ได้ความ คือ เขาไม่มีศีล อยู่ได้ 7 วัน ก็บุญแล้ว ผมเสียดายมากแปลว่าผมหมดบุญ แต่ผมก็มีพระโลกอุดรหลายยุคสมัยที่คนหาไม่ได้หลายองค์เกินพอ หลวงปู่พระครูเทพผู้วิเศษ อยู่ที่วัดพุทไธศวรรย์นี่เองครับ พระวิเศษองค์ดังกล่าวนี้ไม่ทราบไปตกกับผู้ใด ผมสู้ราคาไม่อั้นหากพบเห็น
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ปริเฉทสี่
คณะพระธรรมฑูต

   เริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชกาลที่ 4 ประมาณปี พ.ศ.2395 ในขณะที่พระองค์เจ้ายอด หรือพระองค์เจ้ายอดยศบวรราโชราสราชกุมาร ประสูติ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำ ปีจอ สัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 พุทธศักราช 2381 ในรัชกาลที่ 3 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอ นับเป็นพระราชโอรสองค์ต้นในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมายุได้ 14 พรรษา ปี 2395  เป็นการปรากฏทั้งคณะพระธรรมทูต มี
   1.พระอุตรเถระ เรียกกันว่า พระครูโลกอุดร หลวงปู่ใหญ่ หลวงพ่อดำ เจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เรียกท่านว่า “พระโลกอุดร”
   2.พระโสณเถระ เรียกกันว่า พระครูโลกอุดร เช่นกัน ฉายานามขรัวตีนโต เจ้าประคุณสมเด็จฯ เรียกท่านว่า “พระโสอุดร”
   3.พระมูนียะ เรียกกันว่า หลวงปู่โพรงโพ ท่านอิเกสาโร หลวงปู่เดินหน
   4.พระฌานียะ เรียกกันว่า หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า
   5.พระภูมิยะ เรียกกันว่า หลวงปู่หน้าปาน

   ทราบโดยญาณของผมเอง พระอิเกสาโร เป็นศิษย์พระโสณเถระ ส่วนอีกสองท่านจะเป็นศิษย์พระอุตรเถระ หรือพระโสณเถระ ยังไม่แจ้งชัด เพียงอาจารย์ผมบอกว่า ท่านฌานียะยังมีอายุแก่กว่าพระอุตรเถระด้วยซ้ำไป หลวงปู่ขรัวขี้เถ้ากับหลวงปู่หน้าปาน จะจบกิจเป็นพระอรหันต์หรือยังมิอาจทราบได้ เพียงท่านหายไป ตอนแรกอาจเป็นเพียงอรหันต์ (ตามคำวิเคราะห์ศัพท์ในตอนต้น) จึงต้องมาสร้างบารมีเพิ่ม ในรูปของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ก็คือท่านขรัวขี้เถ้าเผาแหลก มีอะไรท่านเผาหมด เป็นปริศนาธรรมอันหนึ่งว่า “ตูนี่แหละคือครัวขี้เถ้า”  ท่านแปรธาตุแบบสำนักโลกอุดร เสกใบมะม่วงเป็นกบเลี้ยงลูกศิษย์ จึงมีฉายาว่าหลวงพ่อกบ กล่าวกันว่าเมื่อท่านมรณภาพแล้วนำใส่โลงศพ ได้เกิดหายไปไม่มีร่องรอย ก็ท่านตามจริงเสียเมื่อไร ที่เห็นนั่นเป็นเพียงกายธรรมเท่านั้น ส่วนอีกท่านหนึ่งมาในนามของหลวงพ่อโอภาสี หรือมหาชวนแห่งอาศรมบางมด ท่านก็บอกว่ามหาชวนตายไปแล้ว ท่านเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างเพื่อสร้างบารมีต่อ ปริศนาธรรมของท่านก็คือ มีพระบรมสาทิสลักษณ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 คนก็ตีความไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าท่านนับถือรัชกาลที่ 5 บ้าง รัชกาลที่ 5 มาเกิดบ้าง ก็รัชกาลที่ 5 สวรรคตในปี พ.ศ.2453 ท่านมหาชวนเกิดก่อนแล้ว ความจริงก็คือ “ตูนี่แหละพระโลกอุดรองค์ที่ 5”  ก็เท่านั้น

   พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศฯ น่าจะสร้างบารมีต่อเนื่องมาแต่ปางบรรพ์ ทรงมีธรรมาพิสมัยแต่ครั้งยังเยาว์วัย นอกจากจะทรงสนพระทัยในวิทยาการทางอักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ การช่าง ช่างฝีมือ ยุทธศาสตร์ จนถึงวิชาการฟ้อนรำ ทรงสนพระทัยในวิปัสสนากรรมฐานแต่เยาว์วัย ขณะที่พระชนมายุเพียง 14 พรรษา ฝึกฝนจนอินทรีย์พละแก่กล้าพอควร บรมครูพระเทพโลกอุดร (พระอุตรเถระ) เห็นว่า เจ้าชายท่านนี้เคยเป็นศิษย์ในความอุปการะกันมา จึงมาเข้านิมิตสอนธรรมกรรมฐาน โดยต่อเนื่องในสภาพกายทิพย์ (มองเห็นได้ด้วยตาใน) จนเห็นว่าบรรลุขั้นทิพยจักษุแล้ว จึงปรากฏเป็นกายธรรม มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อและสามารถผัสสะจับต้องได้ โดยที่ผู้ศึกษาไม่ถึงจะตู่ว่าเป็นองค์จริงแทบร้อยทั้งร้อย นั่นคือความไม่รู้จริงแล้วคิดว่ารู้ สำหรับเรื่องนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาอุปราชแห่งพระราชวังหน้า ก็มิได้ทราบความจริงเท่าใดนัก เพียงแต่กล่าวกันกว่าพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศมักจะหายไปจากพระราชวังหน้าบ่อยครั้งในระยะหลัง ก็ไม่ทราบว่าเสด็จไปทางไหน และมิได้บอกกล่าวให้ผู้ใดทราบ หายไปคราวหนึ่ง ๆ ประมาณ 15 – 20 วัน คงมีแต่เจ้าจอมมารดาเอม ซึ่งเป็นพระชนนีที่ทราบความเป็นไปและในการที่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ เสด็จทิวงคตด้วยโรควักกะ (ไต) พิการในปี พ.ศ.2428 นั่นมิได้ทิวงคตจริง แต่บรมครูพระเทพโลกอุดร หรือหลวงปู่ดำ พาไปอยู่ด้วย และเสกใบพลูแทนตัวไว้ เรื่องออกจะเหลือเชื่อ แต่ก็น่าเชื่อเพราะปรากฏหลักฐานยืนยันจากท่านอาจารย์ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ หรือท่านอภิชิโตภิกขุ ได้ไปพบท่านวังหน้าที่สำนักโลกอุดร แต่ไม่ใช่ถ้ำวัวแดง อย่างที่เล่าลือกัน ท่านวังหน้ากับท่านอาจารย์แจ้งฌาน 2 รูป เป็นพี่เลี้ยงถ่ายทอดวิชาให้ ท่านอภิชิโต มักเรียกว่า “ครูฝึก” โดยปกติหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรมิได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้โดยตรง ต่อเมื่อเรียนจบขั้นหนึ่ง ๆ แล้วท่านจะต้องทดสอบความรู้และรับรองให้เรียนขั้นสูงต่อไป ปัจจุบันท่านวังหน้ายังดำรงชีวิตอยู่ ประมาณ 150 ปีเศษ ท่านรู้จักผมดี เรียกว่า “โยมประถม” ท่านอภิชิโตได้ให้ช่างวาดภาพท่านวังหน้าด้วยถ่านเครยองมองเห็นครั้งแรกเกิดความสนใจคิดว่าเป็นภาพหลวงปู่ใหญ่ เพราะเป็นภาพของบรรชิต แต่กลับเป็นภาพของท่านวังหน้า ส่วนภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงภาพของพระอิเกสาโร หรือหลวงปู่โพรงโพ พระโลกอุดรองค์ที่ 3 เคยมีผู้นำภาพถ่ายขนาดเล็กมาให้ชม ท่านเขียนเป็นภาษาขอมว่า “ไตรโลกอุดร” หมายความถึงพระโลกอุดรองค์ที่สาม ผมเคยเรียนถามหลวงปู่ว่าในขณะที่อธิษฐานจิตพระพิมพ์โลกอุดรกรุแรก ซึ่งบรรจุในเจดีย์วัดบวรสถานสุทธาวาส หลวงปู่เสด็จมาในสภาพกายทิพย์หรือกายธรรม ท่านตอบว่ามาในรูปแห่งกายธรรม ถามท่านว่าปัจจุบันเหตุใดจึงไม่เสด็จมาในรูปกายธรรมในการอธิษฐานจิตอีก ท่านหัวเราะตอบว่า คนเราในสมัยปัจจุบันไม่เหมือนกับคนในสมัยก่อน
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
บุคลิกภาพและจริตแห่งพระโลกอุดร

   พระโลกอุดรทั้ง 5 พระองค์ ท่านไม่ใช่คนไทย เป็นชาวเนปาล แต่ละองค์มีจริตและบุคลิกภาพแตกต่างกัน ผู้ที่อวดรู้อวดเห็นยากที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นพระโลกอุดรองค์ไหน ดีไม่ดีไปพบหลวงปู่แจ้งฌานว่าที่พระโลกอุดรเข้าก็อาจเป็นได้ หลวงปู่ท่านนี้ได้อภิญญาโลกีย์ และเป็นพระสำเร็จชอบท่องเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง นอกจากท่านอภิชิโตภิกขุแล้ว ยากที่ผู้อื่นจะดูออก ท่านอภิชิโตมักจะสัพยอกครูฝึกว่า “นี่คนหรือผีกันแน่ เห็นมากี่สิบปีร่างกายก็คงเดิมไม่แปรเปลี่ยน”  สมัยยังมีการใช้รถราง บางครั้งก็จ๊ะเอ๋กันในรถก็ยังเคย เคยถามท่านอภิชิโตว่า ตามที่เขาลือกันว่า หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ซึ่งเป็นสานุศิษย์สายโลกอุดร ไม่มรณภาพจริง อาจารย์เคยพบบ้างไหม ท่านตอบว่าไม่เคยพบ เป็นอันแสดงว่าสายของพระโลกอุดร มีอยู่หลายสายด้วยกัน และยังแยกออกเป็นสายในดงและสายนอกดง สายในดง คือ ไปศึกษาความรู้จากองค์ท่าน สายนอกดงนำมาสอนกันสืบต่อไปอาจจะเป็นทั้งฆราวาสและบรรชิต เช่น อาจารย์พัว แก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว อาจารย์ชม สุคันธรัต เป็นต้น พยายามศึกษาให้แตกฉานนะครับ อย่าเขียนเรื่องเรื่อยเปื่อยจะเป็นบาป หลวงปู่ท่านเคยตำหนิ บ่นว่ามีชายแก่นำชื่อท่านไปขาย ถามว่าเป็นตัวผมหรือเปล่าท่านว่าไม่ใช่ ที่ผมทำไปนั้นถูกต้องแล้ว

   องค์ที่หนึ่ง พระอุตรเถระ หรือ หลวงปู่ใหญ่ คือ บรมครูเทพโลกอุดร ลักษณะรูปร่างสันทัด ผิวกายค่อนข้างดำคล้ำ จึงมีฉายาว่า “หลวงพ่อดำ” มีจิตเยี่ยงพระโพธิสัตว์เจ้า บรรลุอภิญญาหก แต่ในบทสวดกล่าวว่าเตวิชโช คือวิชาสาม ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับปฏิสัมภิทาญาณ แต่ในบทสวดก็กล่าวว่าท่านบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทาฌาน เช่นกัน ท่านวางหลักสูตรในการฝึกสมาธิซึ่งเรียกว่า “วิทยาศาสตร์ทางใจ” มิใช่วิชาไสยศาสตร์ และมิใช่มายากล ศิษย์ในดงนอกดง สามารถแปรธาตุได้ เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อภิชิโตภิกขุ อาจารย์พัว แก้วพลอย อาจารย์ฉลอง เมืองแก้ว หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ฯลฯ เป็นต้น ท่านเชี่ยวชาญในวิชาแพทย์และเภสัชกรรม ใจดีประกอบด้วยเมตตา มีอารมณ์ขัน หากจะกล่าวถึงหัวหน้าคณะพระธรรมทูต ซึ่งเดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสุวรรณภูมิ แหลมทอง คงได้แก่ พระโสณเถระ ซึ่งเป็นน้องชายพระอุตร แต่บรรลุอรหันต์ก่อนพี่ชาย บทบาทของพระอุตรเถระ จึงไม่ค่อยมีปรากฏ และพระโสณเถระก็บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ เช่นกัน มิฉะนั้นจะสอนศาสนาแก่คนต่างชาติได้อย่างไร ปฏิสัมภิทาณสี่มี ดังนี้:-
   1.อัตถปฏิสัมภิทา คือ ความแตกฉานในอรรถ เข้าใจอธิบายอรรถแห่งภาษิตให้พิศดาร และเข้าใจคาดคะเนล่วงหน้าถึงผลอันจักมี เข้าใจผล
   2.รามปฏิสัมภิทา คือ ความแตกฉานในธรรม เข้าใจถือเอาใจความแห่งอธิบายนั้น ๆ ตั้งเป็นกระทู้ หรือหัวข้อขึ้นได้ สาวเหตุในหนหลังให้เข้าใจเหตุ
   3.นิรุตติปฏิสัมภิทา คือ ความแตกฉานในภาษา และรู้จักใช้ถ้อยคำ ตลอดจนรู้ถึงภาษาต่างประเทศ
   4.ปฏิภาณสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบเข้าใจทำให้สบเหมาะในทันที หรือในเมื่อเหตุเกิดขึ้นโดยฉุกเฉิน หรือกล่าวตอบโตได้ทันท่วงที

   ท่านมีสภาวะจิตที่รวดเร็วมาก เพียงนึกถึงท่าน ท่านจะบอกให้นิมิต “เมื่อเจ้าต้องการพบเรา เราก็มา เรามาจากทางไกลด้วยความรวดเร็วยิ่ง”

   ในการตรวจพระพิมพ์ของท่าน ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดร ท่านอภิชิโตภิกขุมอบให้เป็นสมบัติ บอกว่าอาจารย์ท่านคือ หลวงปู่ดำเสกให้ เคยทดลองให้ท่านอาจารย์วิเชียร คำไสสว่าง ชีประขาวผู้ทรงคุณ กำหนดจิตดู ท่านอาจารย์บอกว่า พระนี้ว่องไวและรวดเร็วยิ่ง ต่อมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ทดสอบ ได้นำพระพิมพ์ที่ว่านำไปตรวจสอบกับพระพิมพ์โลกอุดรกรุวังหน้า ปรากฏว่าเหมือนกันทุกประการ

   องค์ที่สอง พระโสณเถระ หรือหลวงปู่ตีนโต รูปกายสูงใหญ่ผิวดำ ทรงคุณสมบัติเช่นองค์ที่หนึ่ง เว้นวิชาแพทย์ ใจดีเยือกเย็น ประกอบด้วยเมตตาธรรม ชอบผาดโผนเหินฟ้านภาลัย โขดเขินเนินไศลเป็นที่สัญจร

องค์ที่สาม พระมูนียะ หรือ พระอิเกสาโร หลวงปู่โพรงโพ หลวงปู่เดินหน ล้วนเป็นองค์เดียวกัน มีบุคลิกภาพอันสง่างาม ปรากฏตามภาพซึ่งใช้บูชากันอยู่ในปัจจุบัน เชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุ เป็นผู้คงแก่เรียน ชอบเจริญอสุภกรรมฐาน 10 มักสร้างรูปบูชาเป็นโครงกระดูก พูดน้อย ค่อนข้างเคร่งขรึมคล้ายดุ แต่ก็ไม่ดุ เป็นอาจารย์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ห่มจีวรสีหมองคล้ำ หากปรากฏภาพในนิมิตมักจะปรากฏเส้นเกศายาวจรดเอวทีเดียว แสดงว่า “อิเกสาโร” (เกศา แปลงว่า เส้นผม) ท่านมีบทบาทไม่น้อย ตามความรู้สึกน่าจะมีบทบาทมากกว่าองค์อื่น ๆ ด้วยซ้ำไป

   องค์ที่สี่ พระฌานียะ ฉายาหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จังหวัดนครปฐม รูปกายค่อนข้างสูงใหญ่ ขนตาดกยาวแปลกกว่าองค์อื่น มีอำนาจ แต่ขี้เล่น ใจดี นิมิตไม่แน่นอน อาจเป็นรูปพระภิกษุชราถือไม้เท้า อาจเป็นพระภิกษุในวัยกลางคน เคยมาโปรดในร่างของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อำเภอบางหมี่ จังหวัดลพบุรี ท่านจะชื่ออะไรไม่ทราบ แต่แปรธาตุเสกใบมะม่วงเป็นกบนำมาพร่ายำเลี้ยงสานุศิษย์  เลยเรียกกันว่าหลวงพ่อกบ ท่านมาสร้างบารมีต่อ ปริศนาธรรม คือ ขรัวขี้เถ้าเผาแหลกมีอะไรเผาหมด แบบเฒ่าสู่เถ้า ผลคลีดินสู่ผงคลีดิน จะใหญ่สักปานใดมันก็ไม่พ้นจากความเป็นขี้เถ้าหรอก ที่สุดก็มรณภาพ และศิษย์นำใส่โลกศพรอวันเผา หลวงปู่เกิดหายไปไร้ร่องรอย เลยไม่มีการฌาปนกิจศพ

   องค์ที่ห้า พระภูริยะ หลวงปู่หน้าปาน บางคนก็เรียกท่านว่าหลวงปู่แก้วแดง เคยเรียนถามท่านอภิชิโตภิกขุ ท่านบอกว่าขรัวหน้าปานองค์นี้สำเร็จปรอท ล่องหนย่นทางเก่ง ถ้าท่านเอาลูกปรอทอมทางซีกซ้าย สหธรรมิกกับหลวงปู่ขรัวขี้เถ้า มาสร้างเสริมบารมีในระยะเวลาเดียวกัน โดยอาศัยร่างท่านมหาชวน หรือ หลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด ท่านเป็นภิกษุทรงศีล เมื่อมีผู้ซักถามท่านก็บอกตามตรงว่า พระมหาชวนได้ตายไปแล้ว อาตมาเป็นพระสำเร็จมาอาศัยร่างสร้างบารมีต่อ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
คำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
นโม   ๓   จบ

อะหัง   วันทามิ   อะธะ   ปะติฏฐิตา   พุทธะธาตุโย   ตัสสานุภาเวนะ   สะทา   โสตถี   ภะวันตุ   เม.

   ข้าพเจ้า   ขอนอบน้อมนมัสการกราบไหว้   พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ที่ประดิษฐานอยู่   ณ   ที่นี้   ด้วยอานุภาพแห่งกุศลผลบุญนี้   ขอให้ข้าพเจ้าประสพแต่ความสุขสวัสดีตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ
คาถาบูชาพระปัจเจกพุทธเจ้า
สัพเพ ปัจเจกะสัมพุทธา นิโรธะฌานะโกวิทา นิราละยา นิราสังกา อัปปะเมยยา มะเหสะโย  ทูเรปิ วิเนยเย ทิสสะวา สัมปัตตา ตังขะเณนะ เต สันทิฏฐิกะผะเล กัตตะวา สะทา สันติง กะโรนตุ โน

การทำบุญประจำวัน

1.ให้อธิษฐานเลยว่าเดือนนี้จะทำ  30  บาท ตั้งเป็นสัจจะเอาไว้เลย

2.นำเหรียญ 1 หรือ 5 หรือ เหรียญ 10 ยกขึ้นมาอธิษฐาน ว่าข้าพเจ้าขอนำเงินที่ได้มาเหนื่อยยากนี้ เพื่อทำบุญ


1.ทำบุญที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ในทุกกรณี

2..ทำบุญกับมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับในหลวงหรือพระเทพฯ

3.ชำระหนี้สงฆ์

4.ทำบุญเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์ 


แล้วสวดต่อด้วย

“คาถาเรียกทรัพย์”   (หลวงพ่อปาน  วัดบางนมโค  อยุธยา)

พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม"

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
.

คนเราทุกวันนี้
ดีแต่ส่องกระจกด้านหน้า
แต่เพียงด้านเดียว
ให้เอากระจกหกด้าน
มาส่องเสียบ้าง แล้วจะเห็นเอง

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)




.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)