สองเรื่องที่สืบเนื่องกันเพราะความเกี่ยวข้องโยงผูกพันกัน ของจิตจักรวาลอันเป็นสากลเช่นระบบนิเวศ (cosmic ecology) ของข่ายใยแห่งชีวิต (web of life)
จิตจักรวาลที่เป็นสากลที่ให้ปัญญา หรือข้อมูลให้เรารับรู้เรียกว่า ญาณทัสนะ (intuition) ปัญญาหรือข้อมูลที่โผล่ออกมาเองจากภายใน ที่โพล่งออกมาเองอย่ากะทันหันโดยไม่มีตรรกะ ไม่มีเหตุผลเป็นปัจจัย ซึ่งนักจิตวิทยาส่วนมากที่วิจัยที่มาของปัญญา ไม่ว่าจะเป็น เฮาวาร์ด การ์ดเนอร์ (Multiple Intelligents) ริชาร์ด สเตร์นเบิร์ก (Triarchaic Intelligent) หรือ แดเนียล โกลแมน (Emotional Intelligent) กระทั่ง อีเลน เดอ โบปอร์ด (Three Faces of Mind) ล้วนคิดว่าญาณทัสนะก็เป็นรูปแบบหนึ่งของสติปัญญา นั่นไม่น่าจะใช่ หากมองจากความคิดของ คาร์ล จุง เพราะที่มาของญาณทัสนะ (intuition) มาจากจิตไร้สำนึกร่วมของจักวาล (collective unconcious continuum) เป็นส่วนของไซคี (psyche archetype) ที่ไม่มีทางสำนึกให้เป็นจิตรู้ได้ ผู้เขียนคิดว่าที่รู้เพราะสมอง ที่กำหนดโดยดีเอ็นเอ ขณะที่จิตร่วมจักรวาลอยู่เหนือดีเอ็นเอ แต่ที่ยกมากล่าวนั้นไม่ใช่ว่าจะอธิบายเป็นบทความสั้นๆ แล้วจะให้ผู้อ่านเข้าใจได้ทั้งหมด และที่จะเขียนในวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องปัญญาของคน ในตัวตนเป็นปัจเจก หากเป็นเรื่องของจิตใจไร้สำนึกร่วมจักรวาล ที่ซึมแทรกทุกหนทุกแห่งกระทั่งเชื่อมโยงเป็นเส้นทางภายใน เป็นจิตไร้สำนึกที่ระลึกไม่ได้ บทจะมามันก็มาของมันเอง
ข่ายใยของการดำรงอยู่ของปัญญาอันสากลหรือญาณทัสนะ จึงไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องของพระจิตพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือพระปัญญาอันสูง ส่ง หรือว่าเป็นจิตแห่งนิพพานที่ได้มาด้วยฌาณด้วยสมาธิเท่านั้นทั้งหมด แต่มี ข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ว่าปัญญาเหนือสำนึกที่ให้ข้อมูลหรือ ปรากฏการณ์ทางโลกแห่งโลกียกามอาจได้มาจากสนามแควนตัมที่มีอยู่ทุกจุด อย่างไม่มีตำแหน่งที่ของจักรวาล
ในปี 1928 แคลเรนซ์ ดาร์โรว์ ทนายความที่เป็นนักต่อต้าน การประหารชีวิตนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ได้กล่าวปิดคดีต่อหน้าผู้พิพากษาและ บรรดาลูกขุนในคดีฆาตกรรม คำกล่าวที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ในทาง อาชญากรรมวิทยามาแต่บัดนั้น คำกล่าวปิดคดีที่มีข้อความสั้นๆ ดังนี้
(David La Chapelle ; Navigating the Tides of Change, 2001)
“ศาลที่เคารพ..ข้าพเจ้าทราบ...อะตอมทุกอะตอมของชีวิตทุก ชีวิตในจักรวาลนี้ล้วนเชื่อมโยงผูกพันกัน...ข้าพเจ้าทราบ...ไม่มีทางที่เราจะ โยนก้อนหินเล็กๆ ก้อนหนึ่งก้อนใดลงไปในน้ำในมหาสมุทร แล้วคิดว่ามันจะ ไม่รบกวนน้ำทุกๆ หยาดหยดที่ก่อประกอบเป็นทะเลใหญ่นั้น...ข้าพเจ้า ทราบ...ใยแห่งชีวิตของทุกๆ ชีวิตล้วนถักทอด้วยใยที่ประกอบเป็นชีวิตของ ทุกๆ ชีวิต...ข้าพเจ้าทราบ...อิทธิพลใดๆ หรือการกระทำอะไร - ไม่ว่าจะรู้ ตัวและตั้งใจกระทำหรือไม่ - ย่อมก่อกิริยาและปฏิกิริยาต่อทุกๆ ชีวิต ซึ่งคงไม่ใช่ว่าผู้ใดที่จะไปกล่าวโทษผู้ใดได้...”
แปลกไหม? ข้อมูลนั้นมาจากไหน ไม่มีหลักฐานว่าผู้พูดเป็น พุทธ หรือพราหมณ์ หรือเต๋า ส่วนความจริงทางแควนตัม ความเป็นหนึ่ง เดียวกันของทุกสรรพสิ่งทุกๆ ปรากฏการณ์ของจักรวาลที่ไม่มีทางแยกจากกัน ได้นั้น มีการประกาศให้เป็นความจริงแท้ทางวิทยาศาสตร์ที่กรุงโคเปนเฮเกน (Copenhagen Interpretation) อันได้รับการยอมรับว่าร่วมกันอย่างเป็น เอกฉันท์ของนักฟิสิกส์ระดับโลกแทบทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในเวลานั้น (ร่วมกับ ความจริงทางแควนตัมข้ออื่นๆ) แต่ประกาศที่ว่านั้นมีขึ้นในปี 1927 และมีแต่นักฟิสิกส์เท่านั้นที่รู้ ในขณะเดียวกันเรื่องของข่ายใยชีวิตหรือแม้แต่ ข่ายใยของสรรพสิ่งในจักรวาล ก็เป็นเรื่องที่พูดกันรู้กันเพียงไม่นานมานี้เท่า นั้น ข้อมูลที่แทบเป็นอมตะเป็นประวัติศาสตร์ของ แคลเรนซ์ ดาร์โรว์ ที่โพล่งออกมานั้น มาจากไหน อย่างไร? นอกจากข้อมูลทุกๆ ข้อมูลใน จักรวาล ล้วนม้วนซ้อนซ่อนหรือดำรงอยู่ของมันอยู่ที่นั่นหรือที่ไหนของมันอยู่ แล้ว เพียงแต่รอให้มันอยู่ เพียงแต่รอให้มันคลี่เปิดเผยออกมาเองเมื่อไหร่ และอย่างไรเท่านั้น ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ ปัญญาของจักรวาลที่มีอยู่แล้วนั้น - มีไว้ทำไม? หรือว่ามีให้เราค้นพบเพื่อที่จะได้นำปัญญานั้นมาใช้เช่นที่พลาโต สงสัย? (Plato’s world of mathematics) นั่นอาจทำให้เราต้องถามต่อไป อีกว่า จริงๆ แล้วที่จักรวาลมีปัญญาเหนือปัญญาเป็นญาณทัสนะให้มนุษย์เรา ทุกคนได้ใช้นั้น จักรวาลต้องการให้เราทำอะไร?
หรือว่านั่นคือที่มาของความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์เพื่อให้มนุษย์มี ศรัทธาปัสสาทิตต่อพระปัญญาเพื่อให้เรายอมไว้ใจในสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นโดยไม่ ถามไถ่กังขา? หรือว่ามีไว้เพื่อให้เราและสรรพสิ่งทั้งหลายที่เชื่อมโยงกันและ กันในจักรวาล ได้มีโอกาสวิวัฒนาการ หรือที่เราคิดว่าเป็นการจัดองค์กรตน เอง ในประเด็นแรก ที่เราคิดว่ามันมีขึ้นมาเองนั้น เป็นเรื่องที่มีการกำหนดเอา ไว้แล้ว (pre-given or predetermined) โดยพระปัญญาหรือปัญญาเหนือ ปัญญา ที่เราเรียกครึ่งเล่นครึ่งจริงว่า “พรหมลิขิต” หรือบุพเพสันนิวาส ส่วนประเด็นหลัง ดังที่วิทยาศาสตร์ใหม่บอกว่าเป็นผลของการเชื่อมโยงต่อ เนื่องพัวพันกันของสนามแควนตัมเหนือแควนตัม การจัดองค์กรตัวเองหรือ วิวัฒนาการตามที่ พอล เดวิส์ กล่าวว่า เป็นพิมพ์เขียวของจักรวาล (cosmic blueprint)
มิน่าเล่าที่เมื่อเย็นวันหนึ่งของช่วงกลางๆ ของทศวรรษที่ 19 ขณะที่ชาวนาผู้หนึ่งที่ประเทศอังกฤษกำลังเดินไปที่ชายไร่ปลายนาที่ราวป่า พลันได้ยินเสียงร้องเสียงขอความช่วยเหลือจากป่าพรุในราวป่า ชาวนาผู้นั้นจึง รีบวิ่งไปยังที่มาของเสียงนั้น ก็ได้พบเด็กชายคนหนึ่งตกลงไปในพรุและขาเกิด ไปขัดกับรากไม้ทำให้ไม่สามารถปืนขึ้นมาได้ หลังจากที่ชาวนาช่วยเด็กชายผู้ นั้นไปแล้ว ชาวนาก็ได้กลับไปยังบ้านของตน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งมาหาชาวนาถึงบ้านพักที่ กลางไร่ ขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่เป็นเจ้านายของคนเหล่านั้นได้ก้าวลงมาจากรถม้า เดินเข้ามาหาชาวนา และบอกว่าเด็กชายที่ชาวนาได้ช่วยชีวิตไว้คือบุตรชาย ของเขาเอง และพยายามขอร้องให้ชาวนาผู้นั้นรับเงินหรือรางวัลเพื่อเป็นการ ตอบแทน แต่ชาวนานอกจากไม่ยอมรับแล้ว ก็ยังไม่พอใจจนเกิดการโต้แย้ง กันอย่างขนานใหญ่ ขุนนางผู้สูงศักดิ์จึงจำต้องกลับบ้านไปโดยไม่สามารถตอบ แทนอย่างไรได้
ในปี 1944 อันเป็นช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่สอง นักชีวเคมีคนหนึ่งได้ค้นพบยาปฏิชีวนะขนานแรกของโลกขึ้นมาอย่างหนึ่ง ยาวิเศษนั้นคือ เพนนิซิลลิน ในช่วงต้นปีต่อมานายกรัฐมนตรีที่มีชื่อเสียงยิ่ง ของอังกฤษเกิดตกลงไปในบ่อน้ำพรุระหว่างเดินทาง และเมื่อกลับมาแล้วเกิด เป็นโรคปอดบวมอย่างรวดเร็วและรุนแรง ในช่วงเวลานั้นโรคปอดบวมรุนแรง มักลงเอยด้วยการตายของผู้ป่วย แต่ด้วยยาเพนนิซิลลินที่เพิ่งผลิตออกมาใช้ใน การทดลองนั้นเอง โรคปอดบวมติดเชื้อรุนแรงจึงหายไปเหมือนปลิดทิ้งภายใน เวลาอันรวดเร็ว
นายกรัฐมนตรีจึงได้เสนอชื่อของนักชีวเคมีผู้นั้นต่อพระมหา กษัตริย์แห่งอังกฤษให้ดำรงตำแหน่งเป็นท่านเซอร์ พร้อมๆ กันนั้นเขาก็ได้รับ การเสนอให้เป็นนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลในปี 1945 นักชีวเคมีผู้นั้นคือ เซอร์อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง ซึ่งเป็นบุตรของชาวนาคนดังกล่าว ส่วนท่าน นายกรัฐมนตรีผู้โด่งดังก็เป็นท่านเซอร์เหมือนกัน ซึ่งก็คือ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ที่เป็นเด็กชายบุตรขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ตกลงไปในพรุในราวป่าปลายไร่ ปลายนาที่เล่ามานั้นเอง
ไม่เพียงแต่สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาลเท่านั้นที่พัวพัน เชื่อมโยงกัน แต่เหตุการณ์หรือสรรพปรากฏการณ์ก็ล้วนพัวพันและเกิดขึ้นอย่าง พ้องจองกันที่ คาร์ล จุง เรียกว่าชินโครนิซิตี้ (synchronicity) ประหนึ่ง จักรวาลเป็นข่ายใยของความเชื่อโยงกันประหนึ่งใยแหของพระอินทร์ที่ผูกพัน ทั้งหมดดังอธิบายไว้ในอวตามังสกสูตร เมื่อการกระทำหนึ่งใดทำให้ใยแหแห่ง จักรวาลต้องเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนไปเป็นเหตุการณ์ หรือเป็นปรากฏการณ์รับ รู้ในโลกแห่งกายเหตุการณ์ นั่นคือผลของเมล็ดพืชของการกระทำของเราที่ หว่านลงไปก่อนหน้านั้น ผลตามที่เกิดตามมาอย่างนึกไม่ถึง
ชีวิตเป็นเพียงมายาหรือสัญลักษณ์ หากเราลงไปในความลึกที่ ละเอียดยิ่ง เราจะพบว่าพื้นฐานที่แท้จริงคือสนามของความพัวพันกันที่ให้ เหตุการณ์ให้ปรากฏการณ์ที่ก่อเกิดจากนั้น วิวัฒนาการของโลกแห่งชีวิตจะมี วิวัฒนาการของสมานความพัวพันกันที่พื้นฐานจากการกระทำของเราก่อนหน้า นั้น วิวัฒนาการที่พื้นฐานจึงให้ภาพลักษณ์ให้รับรู้เท่าๆ กับให้บทเรียนการชี้ แนะต่อหนทางที่เราจะต้องเดินที่เราจะต้องเรียนรู้ต่อไปจากนั้น
หากว่าเรามีความรับผิดชอบต่อการเดินทางเพื่อเรียนรู้ อนาคตของเราที่ประหนึ่งว่าเราเป็นผู้กำหนดขึ้นมานั้น แต่ทว่าในขณะเดียวกัน จะดูเหมือนกับว่าไม่ได้เป็นการกำหนดของเราเลย การเกิดขึ้นและเลื่อนไหล แปรเปลี่ยนไปของสภาวการณ์จึงเป็นประหนึ่งเป็นคู่ที่ขนานกันระหว่างสวนตัว เท่าๆ กับไม่ใช่ส่วนตัว ระหว่างภายนอกกับภายใน หรือระหว่างปัจเจก เท่าๆ กับโดยรวม ดังนั้นทุกสิ่งที่ดำเนินไปเหมือนกับว่าเป็นการกระทำของ เราเอง เป็นเราเองที่เป็นผู้แก้ปัญหาทุกปัญหา แต่นั่นเพราะเราละเลยที่จะ สังเกตว่าในกระบวนการกระทำในกระบวนการของการแก้ปัญหา ในระดับที่ ละเอียดสุดละเอียดที่แท้คือข่ายใยของการเชื่อมโยงพัวพันทั้งหมดที่ไหลเลื่อน เคลื่อนไปด้วยกัน
ตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่ดำเนินไปเสมือนว่าเป็นการกำหนดของ เราเอง หรือเสมือนเป็นความบังเอิญ คือ สถานที่ตั้งของอาศรมหรือแหล่ง ปฏิบัติสมาชิกร่วมระหว่างศาสนา (ashram or a religious retreat) ที่ตั้งอยู่ที่ปลายถนนซันเซ็ตบุลเลวาร์ดในนครลอสแองเจลิส ในตอนนั้น ปรมหรรษาโยคะนันทะปรารถนาจะหาที่ดินที่ห่างความจอแจในนครดัง
กล่าว เพื่อสร้างสถานที่ปฏิบัติสมาธิร่วมกันระหว่างศาสนา อยู่ๆ มาวันหนึ่ง มหาโยคีก็ได้รับโทรศัพท์จากคนแปลกหน้าเสนอให้ที่ดินที่มี ทะเลสาบน้อยริมหาสมุทร โดยไม่คิดค่าคิดราคาใดๆ เลย ปรากฏว่าเมื่อไม่กี่ วันก่อนนั้น ชายแปลกหน้าผู้นั้นได้ตื่นขึ้นมาถึงสามครั้งในคืนเดียวกันด้วย ความฝันที่ฝันอย่างชัดแจ้งว่า ส่วนของที่ดินที่ริมทะเลสาบนั้นจะต้องเป็นสถาน ที่ตั้งของโบสถ์หรืออารามของศาสนาต่างๆ ทุกศาสนา เช้าวันรุ่งขึ้นเขาเปิด โทรศัพท์ของนครลอสเองเจลิสดูก็พบกับสำนักงานเพื่อการปฏิบัติระหว่าง ศาสนา (Self-Realization Fellowship) ที่อธิบายถึงกิจกรรมการปฏิบัติจิตเพื่อ การรู้จักตัวเองของผู้แสวงหาจากทุกๆ ศาสนา หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวถึง ทราบว่า โยคะนันทะกำลังประสงค์ที่จะหาสถานที่เช่นนั้นอยู่พอดี ชายผู้นั้นจึง ได้บริจาคที่ดินส่วนดังกล่าวให้ นั่นคือสถานที่ตั้งของอาศรมทะเลสาบ (Lake Shrine) ของนครลอสแองเจลิสในเวลาปัจจุบัน
นั่นคือปรากฏการณ์ที่สำหรับผู้อยู่แต่ในโลกภายนอกอยู่กับโลกีย กามจะบอกว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องของความบังเอิญ หรืออาจจะกล่าวต่อไป อีกว่า มีแต่ที่หลงที่งมงายเท่านั้นที่เชื่อมั่นว่าเป็นปาฏิหาริย์ แต่ทุกวันนี้ ด้วยความจริงทางวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ที่พิสูจน์ได้บอกว่า นั่นไม่ใช่ทั้ง ความบังเอิญหรือปาฏิหาริย์ แม้จะดูว่าเร้นลับสำหรับเรา แต่นั่นคือความ เชื่อมโยงพัวพันเป็นหนึ่งเดียวกันของทั้งหมด พื้นฐานของชีวิตหรือของโลกของ จักรวาลคือข่ายใยหรือสนามของจิตปัญญาอันสากล สนามที่มาของข้อมูลที่ เป็นญาณทัสนะ (intuition) ที่โผล่โพล่งออกมาเองเป็นครั้งคราวให้กับเรา และก็เป็นสนามข้อมูลแห่งจักรวาลเป็นทัสนะอันถาวรแก่ผู้ทรงฌาณ ผู้ทรงสมาบัติพระอรหันต์ทุกรูปนาม
- ความทรงจำนอกมิติ จาก ไทยโพสต์ -