พระฉันนะ (ผู้ว่ายาก..สอนยาก..)
ไม่พึงคบผู้ชั่วช้าหรือต่ำช้า พึงคบผู้ดีงามหรือผู้ประเสริฐสุด
ในบรรดาพระภิกษุที่..ว่ายากสอนยากนั้น ไม่มีใครเกินพระฉันนะ
พระฉันนะหรือเดิมชื่อนายฉันนะ เป็นผู้ที่เกิดพร้อมเจ้าชายสิทธัตถะประสูติ เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด
ในยามที่เจ้าชายออกบวชก็ออกตามเสด็จพร้อมด้วยม้ากัณฐกะ
จึงได้ชื่อว่าเป็น สหชาติ (ผู้เกิดในเวลาเดียวกันพร้อมกัน)
เพราะอย่างนี้..จึงได้หยิ่งทะนงตนเอง...ว่าเป็นคนใกล้ชิดพระพุทธเจ้า..มาแต่ไหนแต่ไร
จึงไม่ค่อยยอมรับ..การว่ากล่าวตักเตือนจากพระรูปอื่น แม้พระพุทธเจ้าจะไม่เคยให้ท้ายเลยก็ตาม
พระฉันนะชอบด่า..พระอัครสาวกสองท่านคือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ว่า...
"อันตัวเรานั้นเป็นผู้เดินทางไปพร้อมกับพระพุทธเจ้า..ในคราวท่านออกผนวช
ส่วนพระสองรูปนี้..กลับเที่ยวประกาศตนว่า เป็นพระสารีบุตรบ้าง เป็นพระโมคคัลลานะบ้าง
เที่ยวประกาศตนว่าเป็นพระอัครสาวก"
พระพุทธเจ้าทรงทราบ..ก็เรียกมาว่ากล่าว..ตักเตือน พระฉันนะก็นิ่งรับฟัง
พอพระพุทธเจ้าเสด็จไป ก็เริ่มด่าพระอัครสาวกอีก
แม้พระองค์จะเรียกมาตักเตือนอีกจนถึงครั้งที่ ๓
ว่า..พระอัครสาวกทั้งสองรูปเป็นกัลยามิตรที่ดี..เป็นผู้ประเสริฐ
จงคบ..กัลยาณมิตรเพื่อนผู้ดีงาม..เช่นนี้เถิด
แม้กระนั้น..พระฉันนะได้ฟังโอวาทแล้วก็ยังไม่เชื่อฟัง..ยังคงด่า..พระอัครสาวกอีกต่อไป
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่บรรดาพระภิกษุว่า...
ภิกษุทั้งหลาย!! ขณะที่เรายังคงอยู่..พวกเธอคง..ไม่อาจอบรมสั่งสอนฉันนะได้
แต่เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว จึงจะสามารถทำได้
พระอานนท์..จึงกราบทูลถามว่า จะให้ทำเช่นไรต่อพระฉันนะ ?
พระองค์จึงได้ตรัสว่า..ให้ลงพรหมทัณฑ์ !!!..แก่ฉันนะ..
ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้ว พระสงฆ์ก็ประกาศลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ
พอพระฉันนะได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความทุกข์ขึ้นในใจ จิตใจเศร้าหมองเป็นลำดับ จนล้มสลบลงถึง ๓ ครั้ง
เมื่อฟื้นคืนสติ ก็ได้อ้อนวอนต่อคณะสงฆ์ว่า....ขอท่านทั้งหลายให้โอกาสกระผมเถิด
ว่าแล้วก็กลับตนประพฤติตนใหม่เป็นพระภิกษุที่ดี
จนปฏิบัติธรรมได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
พรหมทัณฑ์
โทษอย่างสูง..คือ สงฆ์ตกลงกัน..ลงโทษ..ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
โดยภิกษุทั้งหลาย...พร้อมใจกัน..ไม่สนทนา..ไม่พูดคุยด้วย..
ไม่ว่ากล่าวตักเตือน ..หรือสั่งสอนภิกษุรูปนั้น,
ขอบพระคุณที่มา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=36235