ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จักรวาลวิทยากับนรก-สวรรค์-มนุษย์ต่างมิติ  (อ่าน 6009 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



 
 
จักรวาลวิทยากับนรก-สวรรค์-มนุษย์ต่างมิติ

บทความวันนี้อาจจะถือว่าใช้คืนผู้อ่านตามที่ได้สัญญาไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน ในขณะเดียวกันก็ขอรับรองว่า เรื่องที่จะพูดคุยกันนี้ทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ เป็นความงมงายไสยศาสตร์หรือคิดเอาเอง อย่างน้อยเป็นเรื่องที่มีเหตุผลที่เราใช้กัน หรือเป็นทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ โดยเฉพาะนักจักรวาลวิทยาและนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ระดับนักคิดหรือนักเขียน หรือกระทั่งบางส่วนมีหลักฐานทางคณิตศาสตร์สนับสนุนให้เราเอาไปคิดต่อ แม้ว่าทั้งหมดที่ผู้เขียนได้เขียนมา บางส่วนจะยังไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการบ้านเราเป็นเอกฉันท์ แต่ผู้อ่านก็รู้ดีว่าผู้เขียนจะคิดและเขียนตามข้อเท็จจริงเท่าที่รู้มา หรือไม่ก็ให้ที่อ้างอิงไม่ว่าทางวิทยาศาสตร์ หรือศาสนา หรือปรัชญา หรือข้อมูลทางด้านวิชาการสายต่างๆ ดังนั้น เรื่องที่จะเล่าในวันนี้จึงมีความเป็นไปได้
 
โดยกฎของความสัมพัทธภาพทั่วไปกับในทางจักรวาลวิทยา ไอน์สไตน์บอกเราว่า กำเนิดของจักรวาล (อันนี้) มันน่าจะมีการระเบิดที่เรียกว่าบิ๊ก-แบง และจักรวาลนี้อาจเป็นได้หลายๆ อย่าง แต่ไม่ได้บอกว่าแบบไหนจริง คือทั้งสิ้นสุดหรือมีการเกิดและมีจุดจบ กับไม่มีการเกิดและไม่มีจุดสิ้นสุด ดังนั้นจะมีผู้สร้างมันขึ้นมาก็ได้ ไม่มีผู้สร้างก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นในรูปแบบหลังจักรวาลก็จะมีของมันเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะเดียวกันและโดยคณิตศาสตร์เดียวกัน ไอน์สไตน์ก็ได้บอกอีกว่า จักรวาลรูปแบบแรกที่สิ้นสุดนั้น "สิ้นสุดแบบไม่มีขอบเขต" (finite but unbound) พูดง่ายๆ ก็คือจักรวาลมันไม่มีขอบเหมือนกับพื้นผิวของโลก ที่เป็นความรู้สึกที่มนุษย์เราจะสังเกตเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วโลกเรามันไม่มีขอบ โดยรูปแบบที่ว่านี้จักรวาลของเราอันนี้จึงอาจจะมีจักรวาลเพียงอันเดียว คือมีบิ๊ก-แบงครั้งเดียว จึงอาจจะมีผู้สร้างขึ้นมา หรือมีพระเจ้าดังศาสนาที่มีพระเจ้าผู้สร้างขึ้นมาก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน จักรวาลนี้มันอาจไม่มีพระเจ้าหรือผู้สร้าง หรือว่าไม่จำเป็นที่เราจะต้องดึงเอาพระเจ้าให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเราในโลกแห่งโลกียกามนี้ก็ได้ ตามที่เราอาจจะเข้าใจจากศาสนาที่ไม่กล่าวถึงพระเจ้า เช่นในศาสนาพุทธหรือศาสนาเต๋า คือในศาสนาพุทธเราอาจจะเข้าใจได้ว่า จักรวาลอาจไม่มีเพียงจักรวาลนี้ของเรา ที่เราอาศัยอยู่ที่เรารู้เราเห็นว่ามีอันเดียว แต่จริงแล้วมันมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คือมียุบๆ พองๆ หรือวิวัตตากับสังวิวัตตา ทำนองเดียวกับบิ๊ก-แบง แล้วก็บิ๊ก-ครันช์ (big-bang and big crunch) เรื่อยๆ ไป อย่างที่องค์ทะไล ลามะ บอก จักรวาลนั้นในทางพุทธศาสนาของทิเบต มันไม่มีการสิ้นสุดหรอก มันจะมีก็แต่ บิ๊ก-แบง บิ๊ก-แบง บิ๊ก-แบง ฯลฯ เรื่อยไป แอด อินฟินิตตัม (Dalai Lama: Universe in a Single Atom, 2006) นอกจากนั้น ไอน์สไตน์ยังบอกว่าจากคณิตศาสตร์-ซึ่งจะล้มเหลวล้มพังพาบโดยสิ้นเชิงในสภาพก่อนจะมีบิ๊ก-แบงทันทีทันใด - นั่นคือสภาพที่ไอน์สไตน์เรียก "ซิงกูลาริตี" ซึ่งก็คือจุดที่เขาคิดว่าเป็นจุดตั้งต้นของจักรวาลนี้
 
การระเบิดที่เรียกว่าบิ๊ก-แบงนี่ มีหลักฐานของการพบพื้นรังสีคอสมิก (cosmic background radiation) ที่เชื่อว่าเกิดจากการระเบิดของซิงกูลาริตี หรือบิ๊ก-แบงนั้น และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราในระยะแรกๆ คิดว่าส่งผลให้จักรวาล "พองตัว" อย่างรวดเร็ว (inflation) แต่ตอนนี้มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า การพองตัวของจักรวาลนั้นเกิดจากแรงต้านความโน้มถ่วงกลับมีความรวดเร็วมากกว่าความเร็วแสงเสียอีกมากนัก (ไม่ได้ขัดแย้งกับกฎของไอน์สไตน์ เพราะว่าการพองตัวของจักรวาลเป็นการพองตัวในที่ว่างจริงๆ) นักจักรวาลวิทยายังคิดว่า การพองตัวอย่างรวดเร็วกะทันหันคือสาเหตุที่ทำให้จักรวาลที่ทีแรกมีแต่ความไม่เป็นระเบียบ กลับเป็นสวยงามและมีระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งไม่ว่าส่วนไหนของจักรวาลจะมองเห็นเหมือนกันทั้งหมด (fractal) ที่กล่าวมานั้นจนบัดนี้ก็ไม่ได้ตอบคำถามเรามากไปกว่านั้น นอกจากว่าจักรวาล-เฉพาะจักรวาลอันนี้จักรวาลเดียว-ที่เราก็รู้ในทางกายภาพมากขึ้น แต่ก็ยิ่งสับสนมากขึ้น แต่ในทางฟิสิกส์คณิตศาสตร์ มันก็มีทฤษฎีที่ชี้บ่งความน่าจะเป็นไปได้มากพอดู น่าแปลกใจที่ในทางจักรวาลวิทยานั้น อะไรๆ ที่จะเกิดต้องเกิดภายใน 15 พันล้านปีทั้งนั้น นั่นคือข้อจำกัดของอดีตที่เราต้องรู้ เช่นเมื่อเร็วๆ นี้ มีนักฟิสิกส์ได้คำนวณและบอกว่า จักรวาลของเราอันนี้มีอายุราว 13.7 พันล้านปี
 
จักรวาลนั้นมีแต่เรื่องของมายากลที่ใกล้เคียงกับปาฏิหาริย์มากมายที่เราไม่รู้ และแทบหมดปัญญาคิด ส่วนหนึ่งมาจากที่นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์คิดว่า ความสำเร็จทางเทคโนโลยียังห่างไกลจากความจริงที่เรารับรู้มากนัก ในความเห็นของผู้เขียน มนุษย์เราไม่มีทางและไม่มีวันที่จะยอมรับกันเป็นเอกภาพ แม้แต่รายละเอียดของสุริยจักรวาลเอง เรายังอยู่อีกห่างไกลจากความรู้ที่สมบูรณ์ ทั้งหมดของจักรวาลวิทยาทางวิทยาศาสตร์ในความเห็นของผู้เขียน จึงมีแต่ความคิดหรือความเชื่อยิ่งกว่าทางศาสนาเสียอีก
 
เราในปัจจุบันเชื่อกันว่า ระหว่างความเชื่อที่มักจะเกี่ยวข้องกับศาสนาและกับวิทยาศาสตร์ที่บ้านเราเชื่อ หรือนักฟิสิกส์คลาสสิกที่นิวตันค้นพบเมื่อ 400 ปีก่อนเชื่อมั่นว่าคือความจริงทั้งหมด โดยเฉพาะคนที่เป็นคน "สมัยใหม่" ส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะว่าวิทยาศาสตร์คลาสสิก หรือกายภาพหรือวิทยาศาสตร์เฉยๆ เป็นรากฐานของเทคโนโลยีส่วนใหญ่มากๆ ที่ให้ประสิทธิภาพจริงๆ สำหรับในโลกแห่งโลกียกามที่มีสามมิติที่มนุษย์อาศัยอยู่ ทำให้พวกเราเชื่อ-ด้วยความผิวเผินและหยาบใหญ่-ถือมั่นว่า วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงที่พิสูจน์ได้จากการรับรู้หรือที่ตาของมนุษย์เห็น และคนส่วนใหญ่ในโลกโดยเฉพาะประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือพัฒนาใหม่ๆ มักจะคิดว่า อะไรๆ ที่มนุษย์รับรู้ต้องถูกทั้งหมด เฉพาะบ้านเราที่เรียนมาเช่นนั้นตั้งสามสี่ชั่วคนแล้ว ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผู้เขียนเชื่อมั่นมาตลอดเวลาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ และเข้าโรงเรียนเป็นต้นมา จนมีอายุร่วมๆ 60 ปีถึงได้รู้ว่าที่เรียนมา ที่ตาเรามองเห็น อาจเป็นความจริงทางโลกที่มีแค่สามมิติ (เฉพาะที่ว่างหรือสถานที่โดยไม่รวมเวลา) สำหรับมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้นอาจจะไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง และยิ่งผู้เขียนเรียนรู้มากขึ้นเท่าไร โดยเฉพาะฟิสิกส์ใหม่-ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์และควอนตัมเมกานิกส์-ความจริงที่เรารับรู้ก็ค่อยๆ หายไป หรือไม่เป็นความจริงที่แท้จริงอีกต่อไป แม้ในจักรวาลของเรา จริงๆ แล้วแม้อะไรๆ ที่อยู่นอกเหนือจากระบบสุริยะของเรา ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริงแท้ทั้งหมด
 
จักรวาลวิทยาใหม่รวมทั้งฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่อยู่นอกเหนือจากระบบสุริยะของเรา คือความไม่รู้ของเราเพราะมองไม่เห็นและไม่มีทางเห็น ดังที่นักดาราศาสตร์ เคน ครอสแมน กล่าว "ในด้านจักรวาลวิทยานั้น เราจะพูดอย่างไรก็ได้เพราะมันไม่ผิดหรอก" กล้องฮับเบิลและดาวเทียมที่มีวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์กายภาพ รวมทั้งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างยิ่ง แม้ว่าจะก้าวหน้ากว่านี้อีกเท่าไหร่ก็ไม่สามารถช่วยทำให้เราเชื่อมั่นกว่านี้ได้มากนัก เราคงไม่อาจจะที่จะตอบคำถามที่เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพล้วนๆ ได้ถึงความเร้นลับ เช่นความรู้เร้นลับ (mysticism) ที่มีนับเป็นร้อยๆ พันๆ "ความพ้องจองกันดุจมายากล" ที่มีมากเกินกว่าความบังเอิญที่ยอมรับกันในทางวิชาการมากนัก อีกอย่างเราคงไม่สามารถอธิบายการ "พองตัว" (inflation) ของจักรวาลที่เกิดแทบทันทีทันใดหลังบิ๊ก-แบ็ง หรืออธิบายทุกสิ่งทุกอย่างคือศูนย์กลางของจักรวาลทั้งนั้นได้ ว่าไปแล้วฟิสิกส์ดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาใหม่ ในความคิดของผู้เขียนอาจพูดได้ว่า เป็นเสมือนอภิปรัชญาที่ประกอบขึ้นมาจากปาฏิหาริย์-มายากลที่ไม่มีทางพิสูจน์ได้ สุดท้ายมันเป็นเพียงคณิตศาสตร์ที่พยายามอธิบายเรื่องของจิตวิญญาณหรือศาสนา ดังที่ไพธากอราส และตอนหลังพลาโตได้บอกว่า โลกที่สามคือโลกแห่งจิตวิญญาณหรือโลกแห่งคณิตศาสตร์ (Roger Penrose: Emperor New Mind, 1994)
 
นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยาใหม่-ที่ใหม่จริงๆ เพราะมีอายุไม่ถึงสิบปีนับจากที่โลกมีเทคโนโลยีที่สุดแสนจะก้าวหน้า เช่น ซูเปอร์คอนดักเตอร์ ซูเปอร์คอลไลเดอร์ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 20 กิโลเมตร (LHC ของ CERNS มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 27 กิโลเมตร) เลเซอร์ ไฮ-เทค เครื่องวัดคลื่นแรงโน้มถ่วง หรือดาวเทียม WMAP, GPS ฯลฯ ทำให้นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จำนวนมากหันไปทำวิจัยตอบคำถามเรื่องสสารมืดและพลังงานมืด เรื่องของสิ่งที่ซ่อนตัว ซูเปอร์ซิมเมตรี กระทั่งจักรวาลขนานที่มีมิติต่างๆ ที่ซ้อนอยู่กับจักรวาลของเราอันนี้ นั่นคือจักรวาลที่มีมิติต่างไปจากสามมิติ (บวกหนึ่ง) ของเรา ที่เรามองไม่เห็นเพราะต่างมิติกับเรา ยิงธนูหรือปล่อยโคมไฟไป หรือเครื่องบินที่บินกันอยู่ในท้องฟ้าทุกๆ วันมันก็ไม่หายไปไหน ทั้งๆ ที่จักรวาลขนานที่มีมิติต่างๆ กันเหล่านี้อยู่ห่างจากจักรวาลของเราห่างไปแค่ต่ำกว่าหนึ่งมิลลิเมตรเสียอีก โดยเฉพาะการค้นหามิติที่สิบหรือสิบเอ็ด (หากนับมิติของที่ว่างและเวลาของไอน์สไตน์) และเป็นการหาจักรวาลที่มีมิติที่ต่างกับเราที่อยู่ซ้อนกับจักรวาลสามมิติ (บวกหนึ่ง) ของเรานั่นเองที่เป็นงานวิจัยที่ทำกันเป็นพิเศษ เช่น ที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด ที่โบลเดอร์และมหาวิทยาลัยเปอร์ดูร์ เป็นต้น (ด้วยการหาแรงโน้มถ่วงที่จะน้อยลงเป็นสัดส่วน กับระยะทางยกกำลังสองที่เป็นกฎของนิวตัน นั่น-สำหรับระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์เท่านั้น แต่หากว่าระยะทางห่างไกลออกไปจากระยะทางที่อยู่ในโลก หรือเป็นระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ กฎของนิวตันนี้จะต้องปรับให้เป็นสัดส่วนของระยะทางยกกำลังสี่แทนที่จะเป็นยกกำลังสอง ดังที่ได้เคยเขียนลงในไทยโพสต์หลายครั้งแล้วว่า มิชิโอะ กากุ ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์-คณิตศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กซิตีบอก โดยมีหลักฐานบางอย่าง (M-theory or Superstring theory, WMAP ฯลฯ) เขาเชื่อว่ามิติที่สิบเอ็ด (สิบ) ซึ่งมีการสั่นไหว (vibration) ของพลังงานหรือแรงดึงดูด คือมิติแห่งนิพพานที่สั่นไหวละเอียดอย่างสุดๆ-เช่นเป็นส่วนของหนึ่งในล้านล้านของมิลลิเมตร-แทบจะเหมือนกับคงที่ตลอดกาล ซึ่งตรงกันกับที่กล่าวไว้ในพุทธศาสนาว่า นิพพานคือความแทบจะคงที่สถาพรเป็นนิรันด์
 
หากว่ามิติสิบเอ็ดคือนิพพานแล้ว มิติที่สิบ เก้า แปด เจ็ด หก ห้าล่ะ คืออะไร? นั่นยังไม่พอ แล้วมิติที่ต่ำกว่าจักรวาลและโลกสี่มิติของเรา เช่นจักรวาลที่มีสามมิติ และสองมิติ และหนึ่งมิติ คืออะไร? ก็ขอฟันธงไว้ ณ ที่นี้ว่า ความน่าจะเป็นไปได้ของจักรวาลที่ซ้อนกับจักรวาลของเรา หรือจักรวาลขนานที่แต่ละจักรวาลมีมิติแตกต่างกัน ดังยกมาในต้นพารากราฟนี้นั้น ก็คือสวรรค์ (เทวดา) รูปพรหมกับอรูปพรหม (สำหรับจักรวาลที่มีมิติมากกว่าจักรวาลเรา ซึ่งตรงกับมนุษย์ต่างดาวที่เราเรียกๆ กัน ซึ่งผู้เขียนเสนอว่าน่าจะเรียกว่ามนุษย์ต่างมิติน่าจะถูกต้องกว่า) และเปตรภูมิ อสุรกายภูมิ นรกภูมิ (สำหรับมิติที่มีต่ำกว่าหรือน้อยกว่าเรา) และทั้งหมดนี้มีหลักฐานและประสบการณ์ส่วนตัว กับมีนักวิชาการคิด-เขียนมามากทีเดียว (สำหรับผู้สนใจที่จะอ่านเพิ่มเติมคือ Erich Von Daniken 2 เล่ม ซึ่งตีพิมพ์กว่า 40 ครั้ง จำนวนทั้งสิ้นที่ขายได้กว่า 30 ล้านเล่ม คือ Chariofs of the Gods กับ Gods from Outer Space, 1970; Bud Hopkins: Alien Discussion, Proceeding of Alien Ab- duction, 1995; John E. Mack: Abduction, 1996; Brian Green,: Fabric of Universe, 2004; Michio Kaku: Parallel Worlds, 2005) ส่วนประสบการณ์ส่วนตัวนั้น ผู้เขียนประสบด้วยตนเองที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2551 เมื่ออาจารย์ ดร.เทพพนม เมืองแมน และพวก ได้ติดต่อทางจิตขอให้มนุษย์ต่างดาว (ต่างมิติ) ขับขี่ยานยูเอฟโอมาปรากฏที่มหาวิทยาลัยในเวลาห้าโมงเย็นสักสามลำ เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็นสามลำที่ว่านั้นก็มาจริงๆ.


 
http://www.thaipost.net/sunday/260709/8295
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...