ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์โลกได้ก้าวมาถึงขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการ..  (อ่าน 1796 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
มนุษย์โลกได้ก้าวมาถึงขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวิวัฒนาการของธรรมชาติแล้ว  นั่นคือกระบวนการวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ  ซึ่งเป็นกระบวนการสุดท้ายก่อนที่สภาพโลกทางภูมิดาราศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้  ซึ่งจะทำให้ชีวิตต่างๆ  มีชีวิตอยู่ต่อไปไมได้  เรารู้ดีว่าชีวิตทุกๆ  ชีวิตรวมทั้งมนุษย์  มีข้อจำกัดหลากหลายที่จะอยู่ได้รอดและปลอดภัยที่โลกธรรมชาติจัดหาไว้ให้อย่างเหมาะสม   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร  น้ำ  อากาศ  อุณหภูมิ  ฤดูกาล  ฯลฯ  ทั้งหมดโลกได้จัดสร้างไว้อย่างพอเพียงพอดีและยั่งยืน  แต่เป็นมนุษย์เองทั้งที่วิวัฒนาการธรรมชาติยังไม่แล้วเสร็จ  คือแล้วเสร็จเพียงบางส่วน-เช่น  วิวัฒนาการของรูปกายภาพทั้งหมด  และวิวัฒนาการของจิตรู้ตัวตนหรือจิตสำนึก  แต่จิตวิญญาณ  (spirituality)  อันจะทำให้เรารู้ว่าโลกธรรมชาติและชีวิต  โดยเฉพาะมนุษย์เชื่อมโยงติดต่อเป็นเนื้อเดียวกันอย่างที่จะแยกออกจากกันไม่ได้-เพราะความกำแหงอหังการแท้ๆ  ของมนุษย์ที่กลับไปหลงกายของตัวเอง  ดังที่  นีตซ์เชพูดไว้  (narcissus)  ทั้งที่วิวัฒนาการอันสมบูรณ์ยังไม่แล้วเสร็จแต่คิดว่าเสร็จแล้ว  จึงเป็นเช่นเด็กวัยรุ่นที่ไม่รู้ว่าโลกธรรมชาติคือเรา  และเป็นตัวของเราเองในแง่ของจิต  เราจึงดูถูกดูแคลนเหยียบย่ำโลกธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ  มาตลอดเวลา  ตั้งแต่มนุษย์เราเกิดมีขึ้นมาในโลก  เรารู้จักแต่เฉพาะการเอาเปรียบและกดขี่ข่มเหงธรรมชาติ  ประดุจว่าจะเป็นเพียงอย่างเดียว  ด้วยการคิดและผลิตสร้างระบบต่างๆ  ขึ้นมาบริหาร  และจัดการกับโลกธรรมชาติอย่างไม่ปรานีปราศรัย

     แต่มีน้อยคนเหลือเกินที่รู้ว่ามนุษย์ยังวิวัฒนาการไม่แล้วเสร็จ  คนเหล่านี้คือศาสดา  อรหันต์  เซนต์  นะบี  ไล่ลงมาถึงนักบุญในศาสนาต่างๆ  รวมทั้งกูรู  นักปราชญ์  และนักคิดที่ค่อยๆ  มีจำนวนมากขึ้นๆ  โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกธรรมชาติกำลังใกล้กับความพินาศหายนะด้วยน้ำมือของมนุษย์อยู่ในขณะนี้  นักปราชญ์และนักคิดบางคนเหล่านี้ต่างรู้ดีว่า  เวลาของมวลมนุษย์ทั่วทั้งโลกเหลือน้อยเต็มที  มนุษย์กำลังเสี่ยงต่อการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์อย่างที่สุด  ทั้งที่กระบวนการวิวัฒนาการทั้งหมดทั้งสิ้นยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์  เพราะฉะนั้นเราอาจจะสูญพันธุ์ไปจริงๆ  ก็ได้  หากเรายังไม่รู้สึกตัว  และรีบเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์กระบวนทัศน์เสียใหม่ตั้งแต่วันนี้และเดี๋ยวนี้

     คนน้อยคนที่ว่านั้นเหล่านี้ได้บอกแก่เราเหมือนๆ  กันทุกประการ  ด้วยความรู้เร้นลับที่ได้จากภายใน  (mysticism)  แต่เราไม่รู้และขี้เกียจคิด  กลับไปเชื่อแต่ความรู้ที่ได้จากภายนอก  เพราะมันตรงกับที่เราเห็นเรารับรู้อยู่ทุกวัน  โดยไม่ต้องคิดเพราะง่ายดี  ที่แน่นอนจากการอุบัติขึ้นในสถานที่และเวลาที่ห่างกันลักษณะภายนอกจึงไม่เหมือนกัน  และเราไปยึดมั่นถือมั่นตามกิเลสตัณหา  ทำให้ความไม่เหมือนกันนั้นแตกดอกออกผลเป็นความสุดโต่ง  และทะเลาะกันต่อสู้กันเพราะความ  "ดีกว่า"  ตามประสาของคนที่ชอบเอาชนะกัน

     จนกลายเป็นความรุนแรงหรือสงคราม   การที่ศาสดาอรหันต์และเซนต์นะบีบอกกับเราตลอดเวลาว่า  ทุกๆ  สรรพสิ่ง  ทุกๆ  อย่างในโลกในจักรวาล  ล้วนมีการเชื่อมโยงต่อเนื่องกันและกันเป็นบูรณาการ   ชีวิตและมนุษย์ต่างเป็นผลพวงของวิวัฒนาการของจักรวาลอันมีจิตวิญญาณ  (Spirit)  เป็นทั้งผู้แสดงและควบคุมการแสดง  ทุกสิ่งจึงประกอบด้วยไล่ตามกันมาเป็นลำดับของ  ดิน  มนุษย์  ฟ้า  อันเป็นปรัชญาสากลนิรันดร  (perennial  philosophy)  ที่มีในทุกๆ  สังคม  วัฒนธรรมมาตั้งแต่โบราณ  ซึ่งต่อมาได้เพิ่มเป็นสสาร  มนุษย์  (กาย)  จิต  วิญญาณ  และจิตวิญญาณ  (matter  body  mind  soul  Spirit)  เคน  วิลเบอร์  นักคิดนักเขียนจิตวิทยาเชิงลึกที่มีชื่อเสียงยิ่งได้บอกว่า  เราเสียเงินและเสียเวลาอย่างหวือหวาและวิลิสมาหราไปมากมายเพื่อการค้นหาและทำแผนที่ยีนส์ของมนุษย์  (human  genomes  project)  ที่แม้ว่าจะสำคัญ  แต่เรื่องของจิตและจิตวิญญาณของมนุษย์  (human  consciousness  project)  มีความสำคัญมากกว่าและแทบจะไม่มีใครรู้เรื่องเท่าไรนัก  บทความบทนี้ผู้เขียนจะเขียนเล่าถึงงานวิจัยที่เชื่อว่าจะเป็นงานวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ซึ่งอาจจะชี้บ่งธรรมชาติของจิตและความสัมพันธ์เชื่อมโยงของจิตกับสมอง  ผ่านประสบการณ์ใกล้ตายที่ให้การระลึกความจำของผู้ป่วยได้เหมือนๆ  กัน  โดยหลักการซึ่งถึงปัจจุบันได้มีรายงานทั่วทั้งโลกไว้นับเป็นหมื่นๆ  ราย

     งานวิจัยที่ใหญ่มากๆ  ซึ่งอาจจะใหญ่ที่สุดในโลกที่กำลังเริ่มในปี  2009  นี้  ไม่มีใครรู้ว่าจะเสร็จเมื่อไร  เป็นงานวิจัยของโครงการจิตของมนุษย์ที่มีนักวิทยาศาสตร์และแพทย์จำนวนมากจากโรงพยาบาลใหญ่ๆ  ของประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาถึง  25  โรงพยาบาล  เป็นงานวิจัยเพื่อศึกษาการระลึกความจำของผู้ที่ทางคลินิกถือว่าตายแล้วด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน  แต่กลับฟื้นขึ้นมาด้วยการปั๊มหัวใจและการใช้อุปกรณ์ช่วยหัวใจต่างๆ  (near  death  experiences  or  NDEs)  ซึ่งโดยทั่วๆ  ไปผู้ป่วยจะมีประสบการณ์ที่จิตของผู้ป่วยคนนั้นออกจากร่างกาย  และลอยออกไปถึงเพดานห้องโดยที่ผู้ป่วยนั้นๆ-ภายหลังที่ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว-สามารถที่จะอธิบายขั้นตอนของการทำงานของแพทย์  และเจ้าหน้าที่ที่ช่วยชีวิตเขาได้อย่างละเอียด  ประสบการณ์การเห็นร่างของตัวเองลอยออกจากร่าง  (out  of  body  experience  or  OBE)  นี้  ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตาย  คือเกิดต่างหากก็ได้-เรียกว่า  ร่างดารา  (astral  body)  หรือร่างวิญญาณ  (soul)  บางครั้งคล้ายๆ  กับมีไหมเงิน  (silver  cord)  โยงใยติดต่อกับร่างจริงๆ-แต่มักเกิดร่วมในผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตายแทบทุกราย  มีสิ่งหนึ่งที่แปลกมากๆ  คือว่าประสบการณ์  (OBEs)  นี้พบบ่อยเอามากๆ  (Robert  Cookall:  Out  of  body  Experiences,  1982)  โดยเฉพาะในนักเรียนนักศึกษาในเมืองนอกอาจถึงเกือบครึ่งหนึ่งของชั้นเรียน  แต่ที่บ้านเรา-เท่าที่รู้-ไม่มีใครรายงานการศึกษาเรื่องนี้อย่างเป็นกิจจะลักษณะเลย  อาจจะเป็นเพราะศาสนาก็ได้  ผู้เขียนมีเพื่อนที่สามารถมีประสบการณ์นี้อย่างน่าทึ่งถึงสองครั้ง  ทั้งที่นับถือพุทธที่ไม่มีคำว่าวิญญาณ  (soul)  ที่มีเฉพาะในมนุษย์เท่านั้นในคริสต์ศาสนา

     ทีมของนักวิทยาศาสตร์และแพทย์จำนวนมากเหล่านี้  ได้ความคิดมาจากการประชุมใหญ่ขององค์การสหประชาชาติที่มีขึ้นเมื่อเร็วๆ  นี้  ในเรื่องของความเกี่ยวข้องกันระหว่างจิตกับสมอง  นำโดยนายแพทย์แซม  พาร์เนีย  ผู้เชี่ยวชาญการดูแลรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน  และเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตายมากที่สุดคนหนึ่ง  แซม  พาร์เนีย  ไม่ได้คิดว่าการวิจัยครั้งนี้จะอธิบายเรื่องของจิตได้ทั้งหมด  แต่คิดว่าสามารถจะอธิบายประสบการณ์ใกล้ตาย  และการระลึกความทรงจำของสมองที่ผู้ที่ตายแล้วฟื้น  ที่เห็นหรือรับรู้ได้ตามที่ทางศาสนาอธิบาย  เขาคิดว่าการวิจัยครั้งนี้  อย่างน้อยก็สามารถบอกกับนักวิจัยถึงธรรมชาติของจิตกับความสัมพันธ์ของจิตกับสมอง  นอกจากนั้น  ในผู้ร่วมวิจัยของโครงการจิตมนุษย์ยังมีมาริโอ  โบเรการ์ด  นักประสาทวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยมอนทรีออล  ผู้ที่มีชื่ออย่างรวดเร็วจากหนังสือของเขา  ที่ผู้เขียนได้อ้างอิงถึงบ่อยๆ  (Mario  Beuregard  et  al:  The  Spiritual  Brain,  2007)  ซึ่งเขาได้อ้างว่ามันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่า  มีการดำรงอยู่ของวิญญาณในสมองจริงๆ  ดร.มาริโอ  โบเรการ์ด  นั้นจริงๆ  แล้วไม่ใช่เป็นผู้ที่เคร่งศาสนาไม่ว่าจะเป็นศาสนาอะไร  ที่เขาบอกว่ามีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะมีวิญญาณ  (soul)  อยู่ในสมองนั้น  ในความเห็นของผู้เขียนเข้าใจว่า  จากการอธิบายในหนังสือของเขา  น่าจะเป็นจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในสมองของปัจเจกบุคคล  แล้วเพิ่งผ่านการบริหารโดยสมองใหม่ๆ  หรือที่ทางพุทธเราเรียกว่าสัมวัฏฏิกะ  วิญญาณ  หรือวิญญาณโลตะ  (stream  of  consciousness)  ที่มาของความรู้สึก  ความจำ  และความคิดของเรา

     ในเดือนมีนาคม  ปี  2009  ดร.โบเรการ์ดได้ศึกษา  "นำร่อง"  การทำงานของสมองในผู้ป่วยที่กำลังมีประสบการณ์ใกล้ตาย  ซึ่งการศึกษาของเขาได้รับการยกย่องจากนักประสาทวิทยาศาสตร์อย่างแทบเป็นเอกภาพ 

     นั่นคือเหตุผลที่เขามีความสำคัญต่องานวิจัยในครั้งนี้  ในการวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีผู้ร่วมวิจัยเป็นประวัติการณ์  โบเรการ์ดยังมีโอกาสได้ศึกษาการทำงานของสมองของผู้ป่วย  ซึ่งมีการลดอุณหภูมิของร่างกายลง  (hypothermia)  มาจนกระทั่งหัวใจหยุดเต้นโดยสิ้นเชิง  ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดแดงโป่งพองในสมองและเอออร์ตาจนแล้วเสร็จ   ซึ่งกินเวลาเป็นชั่วโมงๆ  ด้วย

     การวิจัยของโครงการจิตมนุษย์ในผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลัน  ที่แพทย์กำลังช่วยอยู่และกำลังมีประสบการณ์ใกล้ตายนี้  นอกจากนักประสาทวิทยาศาสตร์จะได้ศึกษาการระลึกความจำและความคิดแล้ว   ผู้วิจัยยังจะเอาภาพต่างๆ  ที่มองเห็นได้แต่เฉพาะคนที่ลอยตัวอยู่ที่เพดานห้องถึงจะเห็น  โดยผู้ที่อยู่ในที่อื่นจะมองไม่เห็นภาพเหล่านั้น  ในขณะที่ผู้ป่วยมีรายงานว่าจิตกำลังออกจากร่างไป  (OBEs)  หากว่าจิตออกจากร่างไปจริงๆ  ผู้ป่วยจะได้อธิบายภาพเหล่านั้นได้อย่างถูกต้อง

     ในปัจจุบันนี้  บรรดานักประสาทวิทยาศาสตร์  จิตแพทย์  และนักประสาทสรีระวิทยาส่วนใหญ่มากๆ  จะอธิบายประสบการณ์ใกล้ตายในแบบเป็นความจริงทางโลกหรือทางสังคม  คือเป็นรูปธรรมกายวัตถุแทบจะทั้งนั้น  ซึ่งต่างจากแพทย์และนักจิตวิทยาบางคนที่ได้พบกับผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตายโดยตรง  ที่แม้จะอธิบายไม่ได้ก็มักจะเชื่อว่า  การที่ผู้ป่วยใกล้ตายแทบทุกคน-บางคนอาจเดินข้ามสะพานก็ได้-จะเห็นแสงสว่างที่ปากอุโมงค์  นั้นๆ  เป็นเรื่องจริง  แต่แพทย์หรือใครก็ตามที่ไม่เคยมีประสบการณ์โดยตรง  จะไม่เชื่อและพยายามหาทฤษฎีมาอธิบายที่ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะใช้ไม่ได้ทั้งคู่  สองทฤษฎีที่ใช้อธิบายคือ  หนึ่ง-เป็นเพราะการเดินสายไฟของเซลล์สมองอย่างซับซ้อน  ในยามที่สมองกำลังขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง  ทำให้เกิดไฟฟ้า  "ชอร์ต"  ในสมองส่วนที่เกี่ยวกับความคิดและความจำ  ทำให้มนุษย์ทุกๆ  คนมองเห็นภาพเช่นนั้นเหมือนกัน  ส่วนประเด็นที่สอง  เป็นภาพหลอนที่เกิดจากยาที่แพทย์ให้ผู้ป่วยในขณะที่หัวใจวาย

     จากหนังสือสมองแห่งจิตวิญญาณ  (spiritual  Brain)  ที่กล่าวมาข้างบน  นักประสาทวิทยาศาสตร์  มาริโอ  โบเรการ์ด  ผู้นี้  รู้สึกว่าจะไม่เห็นด้วยกับนักวิทยาศาสตร์ประสาทวิทยาสายตรง  ที่เขาเรียกว่านักวัตถุนิยมจ๋า  (materialist)  ซึ่งผู้เขียนก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน  ดร.โบเรการ์ดนั้นก็ไม่ใช่คนที่เคร่งศาสนาใดๆ  เลย  ทั้งงานวิจัยเรื่องประสบการณ์ใกล้ตายก็ไม่ใช่ว่าเขาพยายามเข้าข้างศาสนา  แต่เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากสำหรับนักประสาทวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าจิตมีจริง  ซึ่งเขากับผู้เขียนเชื่อ  สำหรับประสบการณ์ใกล้ตายหรือตายแล้วฟื้นที่อธิบายด้วยทฤษฎีที่หนึ่งนั้น  เป็นคำถามที่นักประสาทวิทยาศาสตร์และคนที่ไม่เชื่อจะตอบไม่ได้เลย  เป็นต้นว่าทำไมผู้ป่วยแทบจะทุกๆ  คนเห็นการกระทำของแพทย์และเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังช่วยเหลือตนเองอยู่นั้น  ถึงได้เห็นการกระทำทั้งหมดอย่างสุดละเอียดลออปานนั้น?  และทำไมส่วนอื่นของสมอง-ที่ก็ขาดออกซิเจนเหมือนๆ  กัน-ถึงไม่แสดงลักษณะของส่วนนั้นๆ  ด้วย?  ยิ่งทฤษฎีที่สองยิ่งใช้ไม่ได้เลย  เพราะไม่ใช่ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจวายเท่านั้น  หรือว่าผู้ป่วยไปกินยาที่ให้ภาพหลอนได้เท่านั้น  ผู้ป่วยใกล้ตายด้วยโรคอื่นทั้งไม่ได้กินยาอะไร?  สักเม็ดตามที่มีรายงานมากมาย   ซึ่งต่างก็มีประสบการณ์ใกล้ตายเหมือนกันเป๊ะๆ  จะอธิบายอย่างไร?


http://www.thaipost.net/sunday/041009/11696
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...