บทความนี้ตอนเริ่มต้นมี 2 คำที่เป็นเหตุผลให้มีตอนหลัง คำแรกคือคำว่าจิตที่หมายถึงจิตจักรวาล เพราะจิตนั้น - หลังจากจักรวาลอันนี้เกิดแล้ว - ก็เข้ามาอยู่ในทุกๆ ที่ว่างและเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ทันที พุทธศาสนาและนักวิทยาศาสตร์บางคนว่าเช่นนั้น คือบอกว่าจิตมันมีมาตั้งแต่แรกเลย (ดูเรื่องจิตปฐมภูมิ) ส่วนคำที่ 2 คือคำว่าสมองจักรวาล ไม่ใช่สมองมนุษย์นะครับ! ความหมายคือจักรวาลวิทยาใหม่ ในด้านวิทยาศาสตร์ก็มีสมองของจักรวาลที่เหมือนกับสมองมนุษย์ คือ มีหน้าที่บริหารจัดการให้จิตจักรวาล ซึ่งเป็นจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึก จักรวาลวิทยาใหม่จึงเป็นวิวัฒนาการความก้าวหน้าของจิตจักรวาลไปตามจิตของมนุษย์ที่สมองมนุษย์เปลี่ยนแปลงจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึก คือเข้าไปใกล้ๆ ภาวะจิตวิญญาณและนิพพานไปตามขั้นตอนของวิวัฒนาการความก้าวหน้านั้น
จักรวาลวิทยาใหม่ทางวิทยาศาสตร์ที่มีพลังงานมืด-สสารมืด (dark energy-dark matter) มีหลายๆ จักรวาล (multiverses) ฯลฯ จึงมีขึ้น ผู้เขียนคิดและเขียนเรื่องหนักๆ ที่นักเขียนคนอื่นแทบจะไม่คิดไม่เขียนมานาน เพราะเหตุผลเพียงอย่างเดียว นั่นคือมนุษย์และสังคมของมนุษย์ คิดและทำผิดๆ มาตลอดเวลา นับตั้งแต่โลกได้เริ่มมีวิวัฒนาการของชีวิตและมีมนุษย์คนแรกเกิดขึ้นมาในโลกเรา และมนุษย์เราก็อยู่กับความเคยชินกับสิ่งผิดๆ นั้นมาตลอด เหตุผล? เพราะว่ามนุษย์เราไม่รู้จริงๆ ว่าเราเป็นใคร? หรือถ้าหากเราไล่มาตั้งแต่ต้นจริงๆ เราจะพบว่าเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับกำพืดและที่มาของเรา รวมการเจริญเติบโต-วิวัฒนาการ “ในบ้านของเรา” นั้น พูดง่ายๆ คือมนุษย์เราไม่รู้จักโลกกับจักรวาลหรือจักรวาลวิทยา เพราะเราไม่รู้จริงๆ เนื่องจากเราไม่มีทฤษฎีจักรวาลที่ยอมรับกัน ทฤษฎีบิ๊กแบ็งเองแม้จะมีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1920 ก็เพิ่งมีคนสนใจจริงๆ ในปี 1965 นี้เอง (เมื่อมีการพบ background radiation) นอกจากนี้เรา - ส่วนใหญ่มากๆ มักคิดอะไรที่ใกล้ตัว แถมยังเคยสบายมานานจนภัยธรรมชาตินานัปการที่หนักหน่วงจริงๆ (เช่น การระเบิดของภูเขาไฟที่รุนแรงเป็นหมื่นๆ เท่าของภูเขาไฟกระกะตั้วที่อินโดนีเซียเหมือนกันเมื่อ 70,000 ปีก่อน ที่ให้เกิดทะเลสาบ “โตบา” รวมทั้งยุคน้ำแข็งใหญ่ที่หนาวเหน็บเมื่อ 12,000 ปีที่แล้ว) ได้ถูกลืมเลือนไปหมดสิ้นแล้ว และแล้วมนุษย์เราก็เพิ่มทวีความสบายมากขึ้น คิดอะไรใกล้ตัวมากขึ้นตราบเท่าปัจจุบันนี้ เพราะเราย่างเข้ายุคสมัยอินเตอร์เกลเชียล (interglacial period) ที่อากาศอบอุ่น การตั้งถิ่นฐานหลักแหลงเริ่มจากนั้น
บทความของวันนี้เป็นคำถามเท่าๆ กับเป็นคำตอบ และเป็นความคิดของผู้เขียนว่า ความคิดของผู้เขียนที่สะท้อนออกมานั้นมีความเป็นไปได้ ซึ่งนั่น - ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดกรุณาอย่าได้คิดว่าผู้เขียนยโสโอหังที่กำแหงอยากจะเป็นนักจักรวาลวิทยาหรือนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่ไม่ได้เป็นง่ายๆ ที่เสนอจึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเฉยๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นที่จ่าเป็นหัวข้อของบทความวันนี้ว่าเป็นจิตจักรวาลนั้น เพราะผู้เขียนคิดอย่างนั้นจริงๆ แล้วผู้อ่านคอยดูเอาเองว่าในอนาคตจักรวาลวิทยาใหม่ที่สุดในทางวิทยาศาสตร์นั้นจะเป็นผลผลิตของจิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาลกับสมองของจักรวาลจริงหรือไม่ และจักรวาลวิทยาใหม่ทางวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคตก็แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงโดยหลักการอะไรเลย ในอนาคตไม่ว่าอนาคตนั้นจะยาวนานแค่ไหนก็คงเป็นเช่นนั้นแทบโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพราะในเวลานั้นผู้เขียนคงจะตายไปจากโลกแล้ว แต่หากเหลือสิ่งใดให้ไว้กับโลกบ้างก็ยังดี โปรดอย่าลืมว่าที่ผู้เขียนจะเขียนต่อไปนี้เป็นแต่เพียงความคิดจินตนาการ (imagination) คล้ายกับว่ามนุษย์ คือ ไมโครคอสมอส (microcosmos) และจักรวาลทั้งหมดก็เป็นแม็คโครคอสมอส (macrocosmos) ที่มหึมากว่ามนุษย์มาก และจักรวาลมีหน้าที่บริหารหรือจัดการเปลี่ยนแปลงจิตไร้สำนึก อันหมายถึงความจริงที่แท้จริง หรือจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาลของคาร์ล ซี จุง (universal unconscious continuum) ให้เป็นจิตรู้ หรือจิตสำนึก เพราะฉะนั้น จักรวาลวิทยาในทางวิทยาศาสตร์ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของจิตสำนึกหรือจิตรู้ของมนุษย์ไปตามสเปกตรัมของวิวัฒนาการของจิต ตรงนี้เราต้องรู้ว่า จริงๆ แล้วที่เราเรียกกันว่าเป็นวิวัฒนาการของจิตไปตามสเปกตรัมของจิตนั้น ที่แท้แล้วเป็นวิวัฒนาการของประสบการณ์ (experiences) ไปตามความรู้ของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ความซับซ้อนยิ่งกว่าตลอดเวลา
พุทธศาสนาก็มีจักรวาลวิทยา (Buddhist cosmology) เป็นการเฉพาะถึง 2 คัมภีร์ แสดงถึงความสำคัญที่มนุษย์ต้องรู้ที่มาของเรา 2 คัมภีร์นี้คือ ตันตระกับอภิธรรม ซึ่งองค์ทะไล ลามะ บอกว่า อภิธรรมนั้นเราไม่ควรอ่านอย่างยิ่ง ควรอ่านเฉพาะกาลจักรตันตระ เพราะไตรภูมิกถาไม่ใช่พุทธวัจนะ ส่วนกาลจักรเป็นการอธิบายพุทธศาสนาจักรวาลวิทยาที่คล้ายกับทางวิทยาศาสตร์ คือจักรวาลเป็นสิ่งเดียวกับจิต (consciousness) ที่เป็นสิ่งที่มีมาก่อนจักรวาลอันนี้ที่แยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ (ทุกวันนี้นักจักรวาลวิทยาด้านวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยคิดว่าพลังงานและสสารมืดคงจะเกี่ยวข้องกับจิต) และมิชิโอะ กากุ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยซิตี้แห่งนิวยอร์ก คิดว่าจักรวาลวิทยาใหม่มีจำนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตรงกันกับที่ทะไล ลามะ พูดว่า ในทางพุทธศาสนานั้น “มันมีแต่บิ๊กแบ็ง บิ๊กแบ็งๆๆ ไปเรื่อยๆ”
การรู้จักและรู้จักรวาลวิทยาจริงๆ อย่างน้อยในภาพย่อ แต่ขอให้เป็นจิตวิทยาใหม่จริงๆ นั้นจำเป็นที่สุด และต้องระลึกเสมอว่ามันมีอยู่ 2 อย่างที่ต้องจำและต้องรู้คือ 1.โปรดอย่าคิดว่าจักรวาลวิทยาจริงๆ เป็นเรื่องไกลตัว มันสำคัญยิ่งกว่าสังคมและตระกูลกับวงศาคณาญาติแม้แต่ลูกหลาน รวมทั้งบ้านที่เราอยู่มากนักจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง 2.เราจะต้องเลือกจำ เลือกรู้เฉพาะจักรวาลวิทยาที่ใหม่ที่สุดพร้อมกับทิ้งความรู้เก่าๆ ไป และจะให้ดีต้องรู้ถึงจักรวาลวิทยาของพุทธศาสนาด้วย ซึ่งก็ไม่ยากนักหากติดตามอยู่เสมอๆ ประเด็นที่สำคัญยิ่งคือ จะต้องมองว่าไม่เป็นเรื่องที่ไกลตัว รู้ก็ได้หรือไม่รู้ก็ได้ จริงๆ แล้วผู้เขียนอยากจะบังคับให้ประชากรชาวโลกทุกๆคนรู้และจดจำจักรวาลวิทยาใหม่ทางวิทยาศาสตร์และทางจิตเพื่อเรา - ชาวโลกจะได้ไม่คิดหรือทำผิดเลย ความจริงการรู้กับการจำจักรวาลวิทยาใหม่ล่าสุดไม่ต่างกันกับการรู้และการจดจำสังคมประเทศชาติของเรา หรือการรู้การจดจำศาสนาหรือธรรมชาติทั้ง 2 ระดับหรือธรรมะอันเป็นความจริงที่แท้จริงธรรมชาติ
ที่เราจะต้องรู้ต้องจำจักรวาลวิทยาใหม่และล่าที่สุด เพราะเหตุผลที่แสนสำคัญยิ่งคือ มนุษย์เราจำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องรู้จักกำพืดของเราที่แท้จริงที่มีอยู่ 3 ประการ คือ 1.มนุษย์เราคือใคร? (who are we?) 2.มนุษย์เรามาอยู่ในโลกในจักรวาลนี้ทำไม? (why we are here?) และ 3.เรากำลังจะไปไหน? (where are we going?) คำถามเหล่านี้ต่างก็มีคำตอบ คำตอบแรกมาก่อนนานนัก เป็นคำตอบทางศาสนาที่ตั้งบนความเชื่อความศรัทธา หรือมีจิตที่มองไม่เห็นเป็นส่วนที่สำคัญ จึงต้องฝึกฝนมาตั้งแต่เล็กๆ พุทธศาสนาบอกว่ามนุษย์คือสัตว์โลกที่เกิดมาด้วยกรรม กรรมจึงเป็นเสมือนเหตุปัจจัยของทั้ง 3 คำถามนั้น ฉะนั้นจึงมีความทุกข์ 2.เรามาอยู่ที่นี่เพราะเราต้องเรียนรู้หรือใช้กรรม 3.เพราะกรรมจึงทำให้เราเกิดใหม่ ภพภูมิไหนก็สุดแต่กรรม ต่อมา - ตั้งแต่ยุคสมัยก่อนที่เรามีการฟื้นฟูศิลปกรรมและวรรณคดี มนุษย์เราเริ่มมีเหตุผลและมีวิวัฒนาการของความรู้ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ที่ตามมาในภายหลัง เราส่วนหนึ่งก็เริ่มจะไม่เชื่อไม่ศรัทธาหรือสงสัยในศาสนานั้นๆ แล้วหันไปเชื่อความรู้ที่ตั้งบนวิทยาศาสตร์ที่ตั้งบนรูปกายวัตถุที่มองเห็น-แทน พร้อมๆ กับพัฒนาเทคโนโลยีที่เอื้อผลประโยชนได้จริงๆ และมองเห็น-แทน สังคมของมนุษย์จึงถูกแบ่งให้แปลกแยกย่อยย่อออกเป็นวัฒนธรรมภาษากับศาสนา จนต่อมาแยกย่อยต่อเป็นชาติประเทศแล้วก็ทะเลาะกัน เพราะต่างก็ไม่รู้กำพืดว่าเป็นใคร? เกิดมาทำไม? ทั้งๆ ที่เป็นมนุษยชาติสปีชีส์เผ่าพันธุ์เดียวกัน นั่น - เป็นเพราะอะไรหรือ? ทุกวันนี้เราตอบทั้งหมดได้ แต่ยากที่จะปฏิบัติได้ เพราะเหตุผลเพียงข้อเดียว นั่นคือมนุษย์เราไม่รู้จักรวาลวิทยาเลย และยังอาจแยกย่อยไปยิ่งกว่านั้น เพราะเราคิดไกลๆ ตัวไม่เป็นหนึ่ง เราคิดในสิ่งที่มองไม่เห็นไม่เป็นหนึ่ง และความรู้ที่คนไทยเราส่วนใหญ่รู้ยังไม่พอ คือรู้เฉพาะวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมกับเทคโนโลยี แต่เราจำนวนมากๆ ไม่รู้จักรวาลวิทยาใหม่ที่ตั้งบนทฤษฎีควอนตัมและสตริงอีกหนึ่ง
แต่ว่ามนุษย์เราได้มีวิวัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ยิ่งๆ ขึ้นมาตลอด จริงๆ แล้วจักรวาลวิทยาใหม่ที่ตั้งบนควอนตัมเม็คคานิกส์แสะทฤษฎีสตริง โดยเฉพาะซูเปอร์สตริงธีออรีนั้น ในความเห็นของผู้เขียนคิดว่าโดยหลักการต่อไปนี้ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักอีก เพราะอะไรหรือที่ผู้เขียนคิดเช่นนั้น? เพราะว่าขณะนี้ก็เป็นที่รู้กันในชมรมนักวิทยาศาสตร์ว่า นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์มักจะเป็นนักจิตนิยมมากกว่าวัตถุนิยมมากๆๆ นัก หรือเฉพาะนักจักรวาลวิทยาแล้วแทบจะไม่มีเลย เรารู้ว่าไอน์สไตน์เมื่อทดสอบทฤษฎีของเขา (ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ) ในจักรวาลเขาได้พบว่าจักรวาลมันเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลง! ในสมัยนั้นนักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งไอน์สไตน์ด้วยเชื่อว่าจักรวาลมันคงที่ถาวรอยู่ในสภาพนั้นตลอดเวลา ตอนหลังถึงได้เชื่อว่าจักรวาลอาจมีถึง 3 รูปแบบ คือ นอกจากคงที่ (steady state) ซึ่งไม่มีปัญหากับศาสนาคริสต์และการสร้างสรรค์ (genesis) แล้วก็มีจักรวาลเปิด-จักรวาลปิดที่ขึ้นอยู่กับความแน่นจำเพาะ (density) ของจักรวาลว่ามีน้อยลงหรือมีมากขึ้นแน่นขึ้น (big crunch) ที่สตีเฟน ฮอว์กิง พูดถึงในหนังสือของเขาที่แปลเป็นภาษาไทย ซึ่งเน้นการพองตัวอย่างรวดเร็วของจักรวาล (inflation) ซึ่งทีแรกเข้าใจว่าเกิดจากบิ๊กแบ็ง (แต่ตอนหลังพบว่าอัตราการพองตัวเองของจักรวาลนั้นมันเพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจว่าเพราะสสารกับพลังงานมืดที่เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงที่กำลังมีการวิจัยอยู่ในขณะนี้)
จักรวาลวิทยาใหม่ที่มีอายุยังไม่ถึง 10 ปีนี้ ได้กล่าวมาบ้างบางส่วนแล้วในตอนต้นๆ ของบทความ เท่าที่ผู้เขียนรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น เรารู้จักจักรวาลของเรานี้เพียงจักรวาลเดียวก็น้อยมากๆๆ อยู่แล้ว คือรู้เฉพาะส่วนอันน้อยนิดของกาแล็กซีทางช้างเผือก ซึ่งเป็นหนึ่งในร้อยพันล้านของกาแล็กซีในจักรวาลนี้ และจักรวาลนี้ก็มีเพียง 4% เท่านั้นที่มองเห็น ที่เหลือเป็นพลังงานมืด 73% และสสารมืด 23% ซึ่งนักจักรวาลวิทยาทางวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยเลยเชื่อว่าพลังงานและสสารมืด (dark energy and dark matter) คือจิตจักรวาล และผู้เขียนเชื่อว่า จักรวาลวิทยาใหม่ที่รวมทั้งบิ๊กแบ็งๆๆ และจักรวาลที่มีจำนวนไม่สิ้นสุด การพองตัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สสารและพลังงานมืด สมองที่มีหน้าที่เปลี่ยนจิตจักรวาล (ไร้สำนึก) เป็นจิตสำนึกไปตามสเปกตรัมของวิวัฒนาการของจิตสู่ภาวะจิตวิญญาณและนิพพาน พุทธศาสนาจักรวาลวิทยา ฯลฯ ล้วนเป็นความจริงที่แท้จริง มนุษย์ไม่มีทางรู้จักรวาลได้หมดสิ้น นอกจากใช้จิตจนทุกคนได้นิพพาน เรากำลังไปสู่ทางนั้น.
http://www.thaipost.net/sunday/300111/33592