ผู้เขียน หัวข้อ: Hero : ผู้ชนะ  (อ่าน 2631 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Hero : ผู้ชนะ
« เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 11:21:37 pm »

“ ศิลปะแห่งภูมิปัญญาโดยแท้ ” คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลยไปสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ของ จางอี้โหมว หลังจากสำรวจความคิดตัวเองมาหลายปี จางอี้โหมวก็ถึงเวลาของการเข้าสู่ภาวะที่เรียกได้ว่า “เข้าใจชีวิต ” อย่างแท้จริง หลังจากเป็นผู้กำกับที่นิยมชมชอบตัวละครหัวแข็งดื้อด้านมาเป็นเวลาช้านาน ( หากสังเกตจะเห็นได้ว่าตัวละครหลักทุกเรื่องของจางอี้โหมวจะเป็นผู้มีความคิดแหกขนบธรรมเนียมและปฏิเสธที่จะเชื่อฟังเสมอ )

ใน Hero นี้ผู้กำกับได้แนะนำตัวละครซึ่งมีลักษณะแปลกใหม่ให้กับผู้ชมแฟนพันธุ์แท้ได้รู้จัก นั่นคือตัวละครผู้ซึ่งเคยมีความคิดอะไรบางอย่างฝังหัวอยู่อย่างรุนแรง แต่ในเวลาต่อมา กลับประนีประนอมยอมเปลี่ยนแปลงความคิดเดิม เพื่อรับฟังมุมมองที่แตกต่างออกไป แม้ว่ามุมมองนั้นจะขัดกับพื้นฐานความเชื่อเดิมๆ ของตนเองก็ตามที

วิธีการเล่าเรื่องของจางอี้โหมวใน Hero นี้หยิบยืมรูปแบบมาจากภาพยนตร์เรื่อง Rashomon ของ อาคิระ คูโรซาว่า ผู้กำกับอันเลื่องชื่อชาวญี่ปุ่นในส่วนของโครงเรื่องเพื่อใช้ในการถ่ายทอดเนื้อหาและเดินตามแนวทางการใช้สีจากภาพยนตร์เรื่อง Ran ซึ่งเป็นงานของผู้กำกับคนเดียวกันนั้น

ในส่วนของรายละเอียดงานสร้าง จางอี้โหมวนำเข้านักออกแบบเสื้อผ้าชาวญี่ปุ่น เอมิ วาดะซึ่งเคยร่วมงานกับ อาคิระ คูโรซาว่า มาก่อน งานกำกับศิลป์โดยรวม Hero ได้อาศัยภูมิปัญญาแห่งศิลปะญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้ ซึ่งเป็นงานศิลป์ที่มักให้ความสำคัญกับพื้นที่ว่างหรือความว่าง (Space) มากเป็นพิเศษ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงออกมาในแบบนิทานเซ็น (Zen) ที่เน้นความเรียบง่ายไม่รกรุงรัง ไม่เต็มไปด้วยเครื่องทรงเหมือนเช่นภาพยนตร์จีนย้อนยุคเรื่องก่อนๆ แต่ในความเรียบง่ายนี้เองได้แฝงความลึกซึ้งให้ผู้ชมต้องค้นหาอยู่ตลอดเวลาถึงอลังการแห่งคมความคิดที่ซ่อนอยู่




มองดูผิวเผินแล้วเหมือนจางอี้โหมวเลียนแบบ แต่แท้จริงเป็นความจงใจของผู้กำกับ ความจงใจที่จะใช้ภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อให้นึกถึงประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของประเทศจีน ( ความเป็นอริกันของสองชาตินี้ในทัศนะของจางอี้โหมวปรากฏชัดจากภาพยนตร์เรื่อง Red Sorghum ซึ่งกล่าวถึงความดิบเถื่อนของทหารญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกที่ทารุณกรรมชาวจีนอย่างโหดเหี้ยม อาทิเช่นการถลกหนังหัวชาวบ้านในชนบท เป็นต้น ) หากแต่การสื่อถึงประเทศญี่ปุ่นในภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเป็นไปในแง่บวกและมีลักษณะเป็นการคารวะเสียมากกว่า

Hero กล่าวถึงประวัติศาสตร์จีนในช่วงที่เรียกกันว่า “รณยุค” ( ภาษาอังกฤษเรียก Waring-States’s Period ส่วนภาษาจีนเรียกว่า ยุคเลียดก๊ก ) การสู้รบระหว่างรัฐทั้งเจ็ดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะยุติ รัฐฉินซึ่งปกครองโดยท่านอ๋องนามว่าจิ๋นซี เป็นรัฐที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น เนื่องจากรัฐฉินคือผู้กำชัยชนะเสมอในสงครามระหว่างรัฐ อีกทั้งยังมีเจตนารมณ์อันสูงส่งที่จะรวมทุกรัฐทุกแว่นแคว้นใหญ่น้อยเข้าเป็นหนึ่งเดียว ด้วยหวังว่าจะทำให้ศึกสงครามระหว่างกันที่ยืดเยื้อมายาวนานนี้จบสิ้นลง เพื่อเข้าสู่ยุคแห่งความสุขสงบและสันติภาพต่อไป

จิ๋นซีผู้นำรัฐฉินเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเหี้ยมโหดอำมหิต ด้วยเพราะเคยเข่นฆ่าประชาชนในรัฐอื่นอย่างไม่ปราณี ผู้คนในรัฐต่างๆจึงพากันโกรธแค้นและปรารถนาให้จิ๋นซีผู้นี้ถึงแก่ความตายในเร็ววัน ( เป็นภาพลักษณ์เดียวกันกับที่ผู้ชมรู้จักจิ๋นซีฮ่องเต้ในฐานะของจักรพรรดิผู้โหดเหี้ยมทารุณ ) บรรดานักฆ่า (Assassins) จากรัฐต่างๆ มีความพยายามอย่างแรงกล้าในการสังหารฉินอ๋องผู้นี้ให้จงได้ แต่ภารกิจ การสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ต้องพบกับความล้มเหลว

เรื่องราวใน Hero ได้กล่าวถึงบรรดานักฆ่าเหล่านี้ในแง่มุมที่หลากหลายและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนสืบมาจวบจนปัจจุบัน




Hero ประกอบไปด้วยหกตัวละครหลัก อันได้แก่ ไร้นาม (Nameless) , ฟ้าเวิ้ง (sky) , กระบี่หัก (Broken Sword) ,หิมะเหิน (Flying Snow), ปานเดือน (Moon) และตัวฉินอ๋อง ตัวละครเหล่านี้ให้ภาพที่กระจัดกระจายออกไป เพราะล้วนแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละคน

รูปแบบความสัมพันธ์ของคนทั้งหกที่ปรากฏอยู่ในมุมมองต่างๆของภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อได้กับยุคแห่งการแตกแยกนี้ของจีนที่มีความหลากหลายทางความคิด ( บางความสัมพันธ์ก็เป็นไปในทางลบคือ สู้รบกันเองจนภารกิจล้มเหลว บางความสัมพันธ์ก็เป็นไปในทางบวกคือเสียสละสมานฉันท์กันจนภารกิจสำเร็จลุล่วง )

จางอี้โหมวเปิดเรื่องมากับการแนะนำตัวละคร ไร้นาม ให้ผู้ชมได้รู้จักกันก่อนในฐานะของผู้กล้าซึ่งกำราบเหล่านักฆ่าที่ลอบสังหารฉินอ๋องได้สำเร็จ ไร้นามมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฉินอ๋อง ณ พระราชวังหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญชิ้นนี้ นั่นคือสังหารฟ้าเวิ้ง กระบี่หัก และหิมะเหิน นักฆ่า ผู้เลื่องชื่อตามป้ายประกาศจับของทางการได้ ผู้กำกับสร้างฉากนี้ในโทนสีดำ



ในระยะยี่สิบก้าวที่ไร้นามนั่งสนทนากับฉินอ๋องถึงรายละเอียดในภารกิจอยู่นี่เอง ได้บังเกิดเรื่องเล่าแทรกเข้ามาอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องของฟ้าเวิ้งที่เกิดขึ้นในบ้านหมากล้อม

ภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในบ้านหมากล้อมนี้ถือว่าสร้างออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอันมาก เพราะได้นำเสนอรูปแบบการต่อสู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้โดยใช้กำลังยุทธ การเล่นหมากล้อมหรือหมากรุกซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ต้องขับเคี่ยวกันด้วยปัญญา ตลอดไปถึงการต่อสู้ภายในจิตใจตามแนวคิดทางพุทธศาสนาที่ลึกซึ้ง (ประเด็นเรื่องธรรมาธรรมะสงคราม)

ภาพที่ถ่ายออกมาในฉากนี้สื่อให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว เปรียบได้กับสีขาวและสีดำที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน ( แบ่งขั้วเด็ดขาดโดยไม่เหลือที่ว่างให้กับพื้นที่สีเทา อันเป็นวิธีคิดแบบตะวันออกที่มักสร้างตำนานเทพปกรณัมป์เช่นเรื่องรามายณะ ด้วยการมีตัวละครที่ แยกฝักฝ่ายคนดี-คนชั่วออกจากกันอย่างชัดเจน ลักษณะแบนราบของมิติตัวละครนี้ในละครช่องเจ็ดสี ก็ยังปรากฏอยู่ )

ในทางเนื้อเรื่องแล้วบทภาพยนตร์จัดให้ไร้นามเป็นฝั่งของคนดีและจัดให้ฟ้าเวิ้งเป็นฝั่งของคนชั่ว กระดานหมากล้อมจึงเป็นเสมือนภาพจำลองสมรภูมิรบของจอมยุทธทั้งสอง กล่าวคือ พื้นกระเบื้องในบ้านดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผ่นตารางคล้ายกับตารางหมากล้อม ไร้นามและฟ้าเวิ้งเป็นเสมือนตัวหมากล้อมสีขาวและสีดำที่เล่นค้างอยู่บนกระดาน ซึ่งทั้งสองฝั่งได้ต่อสู้ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด (ระหว่างความดีและความชั่ว) นอกจากนั้นผู้กำกับยังใช้ภาพ “ขาว-ดำ” แทนการต่อสู้ภายในจิตใจของ ทั้งสองคน กล่าวคือเป็นการต่อสู้ระหว่างอารมณ์แห่งกิเลส ( สีดำ ) กับเหตุผลที่ถูกต้อง ( สีขาว )




โดยสรุป ฉากนี้นำเสนอรูปแบบการต่อสู้ในลักษณะต่างๆ ระหว่างขาวและดำ ไล่ระดับไปตั้งแต่ขั้นที่หยาบที่สุด (การใช้กำลังภายนอก) จนถึงขั้นที่ละเอียดลึกซึ้งที่สุด (การใช้กำลังภายใน)

ไร้นามเปรียบเทียบการต่อสู้กับการบรรเลงดนตรีว่ามีลักษณะที่เหมือนกัน ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กันภายในจิตใจนั้น ผู้เฒ่าตาบอดก็บรรเลงเพลงพิณประกอบคลอไปด้วยทุกขณะ ผู้ชมอาจตีความต่ออีกได้ว่า เสียงเพลงที่พลิ้วไหวไพเราะนั้นคือท่วงท่าการต่อสู้ภายในจิตใจที่สง่าและงดงาม แต่เมื่อยามที่เสียงเพลงนั้นถูกรุกเร้าอารมณ์ให้ดุดันและเคร่งเครียดขึ้นจนสายพิณขาด การต่อสู้ภายในจิตใจที่ดำเนินอยู่ก็ถึงคราวต้องขาดสะบั้นลงด้วยในเวลาเดียวกัน ( ลุแก่โทสะหรือพ่ายแพ้ต่อความโกรธในจิตใจนั่นเอง ) และกลับคืนสู่การห้ำหั่นโดยใช้กำลังความรุนแรงในโลกแห่งความเป็นจริงแทน

อธิบายให้เข้าใจง่ายเข้าก็เช่นในเวลาที่เรากำลังโกรธจัดแต่ก็ยังพยายามระงับอารมณ์โกรธนั้นไว้ภายในแต่ผู้เดียวไม่แสดงออกให้บุคคลอื่นได้รับรู้ หากอารมณ์โกรธถูกเพิ่มระดับให้มากขึ้นจนเกินอดกลั้น ( ภาษาชาวบ้านเรียกว่าฟิวส์ขาด ) แรงแค้นอาฆาตก็พร้อมจะพุ่งพรวดออกมาอย่างรุนแรงเฉกเช่นกัน

ในระยะสิบก้าวที่ขยับใกล้เข้ามาอีกช่วงหนึ่ง ไร้นามนั่งสนทนากับฉินอ๋องถึงรายละเอียดในการสังหารกระบี่หักและหิมะเหิน เรื่องเล่าอันร้อนแรงฉูดฉาดในโทนสีแดงของทั้งสองก็เริ่มต้นขึ้น




กระบี่หักและหิมะเหินแอบปลอมตัวไปอาศัยอยู่ในโรงเรียนประดิษฐ์อักษรแห่งหนึ่งโดยใช้ชื่อปลอมเพื่อเรียกขานกัน เนื่องจากกระบี่หักมีความเชี่ยวชาญในการเขียนอักษร ไร้นามจึงเดินทางไปยัง โรงเรียนประดิษฐ์อักษรดังกล่าวเพื่อให้กระบี่หักเขียนอักษรคำว่า “กระบี่”ให้กับตน

จุดประสงค์ที่แท้จริงของไร้นามนั้นคือหวังที่จะเปิดขุมความลับในทักษะการใช้อาวุธของกระบี่หักนั่นเอง กระบี่หักเขียนอักษรคำนี้โดยใช้หมึกสีแดงอันสื่อได้ถึงเลือดที่ต้องหลั่งไหลเมื่อสิ่งที่เรียกว่ากระบี่นี้ปรากฏขึ้น ไร้นามเปรียบการใช้อาวุธกับการเขียนอักษรว่าเป็นสิ่งที่มาจากรากฐานเดียวกัน อันสะท้อนถึงแนวคิดทางปรัชญาที่ว่า “อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดของมนุษย์คือปัญญา”

ในเวลาเดียวกันนั้น กองกำลังเกาทัณฑ์ของฉินอ๋องได้ยกทัพมาประจันหน้าโรงเรียนประดิษฐ์อักษรในรัฐจ้าวนี้ด้วย ภายใต้การบังคับบัญชาของแม่ทัพที่เชี่ยวชาญการศึก กองกำลังเกาทัณฑ์นี้จึง เข้มแข็งพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา

ศัตรูในศึกครั้งนี้ของฉินอ๋องเป็นเหล่าบัณฑิตและอาจารย์ในโรงเรียน ซึ่งบทภาพยนตร์ถือว่าเดินตามเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี เนื่องจากในยุคสมัยของจิ๋นซีฮ๋องเต้ จักรพรรดิพระองค์นี้ดำรินโยบายในการทำลายภูมิปัญญาเก่าแก่ของชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นตำราอันทรงคุณค่าของขงจื๊อหรือตำราเรียนของสำนักคิดใดๆ เพื่อไม่ให้ความคิดก้าวหน้าได้บังเกิดขึ้นกับประชาชน ซึ่งความคิดก้าวหน้าที่แตกต่างหลากหลายนี่เองจะนำมาซึ่งการปฏิวัติอันเป็นเสมือนอุปสรรคของการปกครองในระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราช




เนื้อหาในส่วนนี้ของภาพยนตร์ยังสะท้อนไปถึงยุคของจีนในสมัยของท่านผู้นำเหมาเจ๋อตุงอีกด้วย ผู้นำประเทศที่มีความพยายามในการปฏิวัติวัฒนธรรมโดยทำลายล้างวัฒนธรรมเดิมในยุคเก่าที่แสดงถึงความมีอยู่ของระบบศักดินาและระบบกษัตริย์ และกลับให้การยกย่องชนชั้นกรรมาชีพหรือชาวนาว่าเป็นผู้ที่มีเกียรติอย่างแท้จริงในสังคมตามแนวความคิดของระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และจากนโยบายนี้เองที่ทำร้ายระบบการศึกษาในยุคนั้นของประเทศจีนอย่างรุนแรง

การสู้ศึกครั้งนี้ของโรงเรียนประดิษฐ์อักษรซึ่งปราดเปรื่องในเชิงบุ๋นนั้นไม่อาจต่อกรหรือเทียบชั้นได้เลยกับกองทัพที่เชี่ยวชาญในเชิงบู๊ของฉินอ๋อง นักเรียนในโรงเรียนดังกล่าวจึงล้มตายลงเป็นจำนวนมาก แต่ถึงกระนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าแห่งสำนักนี้ก็ได้แสดงให้ลูกศิษย์ให้ประจักษ์ถึงแก่นแท้แห่งจิตวิญญาณของตัวอักษร ( อักษรเป็นสัญลักษณ์แทนภูมิปัญญาหรือความรู้ ) ว่าแม้เกาทัณฑ์ของฉินอ๋องนั้น จะดุดันหรือร้ายกาจเพียงใด แม้จะทำลายล้างได้แทบทุกสิ่งทั้งบ้านเมืองและโคตรก๊กต่างๆในแผ่นดิน แต่อาวุธเหล่านั้นก็ไม่อาจกลืนภูมิปัญญาอันเป็นเสมือนจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่นี้ลงได้ เพราะภูมิปัญญา คือสัจธรรมความจริง (The Truth) ที่เป็นอมตะ ( Immortal ) ไม่อาจถูกทำลายหรือลบทิ้งได้ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ

อาจารย์ผู้เฒ่านั่งเขียนตัวอักษรโดยหันหน้าเข้าหาลูกเกาทัณฑ์ที่แหลมคมซึ่งโหมกระหน่ำลงมาเหมือนห่าฝน ภาวะจิตที่แน่วนิ่งไม่สั่นคลอนนี้แสดงถึงสัจจะที่ยิ่งใหญ่ว่าภูมิปัญญาแห่งวัฒนธรรมไม่อาจถูกทำลายลงไปได้ (ผู้กำกับสื่อความคิดนี้ด้วยการให้ลูกเกาทัณฑ์ยิงไปไม่ถูกตัวอาจารย์)




นอกจากความต้องการในอักษรประดิษฐ์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ไร้นามยังนำข่าวการตายของฟ้าเวิ้งมาบอกแก่หิมะเหินเพื่อสร้างความแตกแยกให้กับกระบี่หัก เนื่องจากหิมะเหินกับกระบี่หักเป็นคู่รักกัน ข่าวการตายของฟ้าเวิ้งซึ่งเป็นอดีตคนรักของหิมะเหิน ทำให้ความรักของทั้งสองที่เริ่มระหองระแหงอยู่แล้วต้องถึงคราวแตกหักลงอย่างยับเยิน

ผู้กำกับใช้วิธีในการจับอารมณ์ตัวละครในฉากนี้ ด้วยการถ่ายภาพที่เอนกล้องไปมาเพื่อสื่อให้เห็นถึงความไม่มั่นคง ความเคลือบแคลงสงสัยและความโอนเอนแห่งภาวะจิต

แรงหึงหวงและอารมณ์ประชดประชันหิมะเหินของกระบี่หัก ถูกปลดปล่อยออกมาโดยมีปานเดือนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กระบี่หักระบายอารมณ์ฟุ้งซ่านสับสนของตนออกมากับปานเดือนในรูปของสัมพันธ์สวาทชั่วข้ามคืน โดยตัวหิมะเหินเองก็ล่วงรู้ถึงการกระทำนี้อยู่เต็มอก

สีแดงฉานของผืนแพรที่รองร่างชู้รักยามสมสู่กัน ส่งกลิ่นความรัญจวนแห่งอารมณ์เพศออกมาอย่างชัดเจน เป็นการปลดปล่อยกายให้ไหลล่วงดำดิ่งลงสู่กระแสแห่งอารมณ์ไร้ซึ่งเหตุผลและไม่ยี่หระต่อความรู้สึกของผู้ใด




จากน้ำตาของความเสียใจกลายสภาพเป็นความเคียดแค้นเดือดดาล หิมะเหินฆ่ากระบี่หักตาย ความรู้สึกผิดที่พลาดพลั้งทำไปโดยขาดสตินี้ทำให้หิมะเหินต้องตกอยู่ในภาวะสับสนฟุ้งซ่านเสมือนกำลังหลงทางอยู่ในเขาวงกต ความตายของกระบี่หักนำไปสู่ฉากการต่อสู้ระหว่างหิมะเหินกับปานเดือน ผู้กำกับสร้างฉากต่อสู้นี้ได้งดงามจับใจเสมือนหนึ่งจิตรกรตวัดปลายพู่กันจีนเขียนงานศิลป์ที่พริ้วไหวแผ่วเบาแต่ก็แฝงไว้ซึ่งความหนักแน่นดุดัน

ฉากต่อสู้ในทัศนียภาพของหมู่แมกไม้ใบเหลืองที่กระพือพัดตามแรงพายุ ปรากฏสีเหลืองจัดของใบไม้รวมเข้ากับชุดสีแดงของทั้งสองคน ให้ภาพที่ร้อนแรงตามโทนที่ผู้กำกับต้องการและในฉากนี้ยังสื่อนัยยะทางความคิดได้อย่างคมคาย

ในการต่อสู้ของสตรีที่มีอารมณ์ร้อนแรงและจัดจ้านทั้งสอง หิมะเหินมีวรยุทธสูงส่งกว่าปานเดือนอย่างเทียบกันไม่ได้ ผู้กำกับให้ภาพหิมะเหินในฉากนี้เป็นเสมือนดวงอาทิตย์ที่ทรงอำนาจ (โดยย้อมสีชุดที่สวมอยู่ให้เป็นสีแดงเข้มและแต่งหน้าทาปากด้วยสีแดงฉูดฉาด ) ในขณะที่ให้ภาพปานเดือนเป็นเสมือนดวงจันทร์ที่ซีดจาง (ชุดที่สวมเป็นสีแดงซีดและปานเดือนในฉากนี้ไม่ได้แต่งหน้า )

การถ่ายภาพในฉากนี้ใช้วิธีการถ่ายย้อนแสงหรือโดยการเอากล้องไปสู้กับแสงอาทิตย์ตรงๆ จนมองดูแสบตา ( เทคนิคนี้เคยใช้มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Red Sorghum โดยให้แสงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์แทนประเทศญี่ปุ่น และการต่อสู้จนตัวตายของประชาชนชาวจีนเป็นเสมือนปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่พยายามบดบังแสงที่ทรงอานุภาพนั้น ) การถ่ายภาพด้วยวิธีนี้สื่อถึงข้อความคิดที่กล่าวมาแล้วข้างต้นในเรื่องของดวงจันทร์ที่ย่อมต้องพ่ายแพ้ต่อแสงแห่งดวงอาทิตย์อยู่วันยังค่ำ




การจัดแบ่งสีเข้มและสีอ่อนสื่อถึงการต่อสู้ในทางกำลังกายภาพที่ปานเดือนไม่มีทางชนะหิมะเหินได้ซึ่งในท้ายที่สุดปานเดือนก็ต้องปราชัยจบชีวิตลง

หากแต่เป็นการตายที่แสนฉลาด เพราะว่าก่อนที่ปานเดือนจะสิ้นใจเธอได้ปล่อยอาวุธเด็ดออกมาเป็นคำพูดที่เชือดเฉือนเฉียบคมว่า การที่หิมะเหินฆ่ากระบี่หักนั้นเป็น “การกระทำที่โง่เง่า”

จากที่หิมะเหินเคยเป็นต่ออยู่ในทุกกระบวนยุทธ แต่กับคำพูดเพียงหนึ่งวลีนี้กลับเสียดแทงได้อย่างตรงเป้าและสร้างความเจ็บปวดได้ยิ่งกว่าคมกระบี่วงจันทร์ของปานเดือนหลายเท่านัก หัวใจของหิมะเหินพ่ายแพ้ต่อคำพูดนี้อย่างสิ้นท่า ในขณะนี้เองที่ฉากสีเหลืองของมวลไม้ซึ่งปลิวว่อนตามแรงลม ( และตามแรงของอารมณ์ ) ได้กลายสภาพเป็นสีแดงเลือดที่แปดเปื้อนไปไม่รู้จบ

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beerled&month=07-2008&date=08&group=1&gblog=28


Hero teaser trailer
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: Hero : ผู้ชนะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 11:27:45 pm »

Hero : ผู้ชนะ (ตอนที่สอง)

เรื่องเล่าของไร้นามเกี่ยวกับกระบี่หักและหิมะเหินได้จบลง แต่การชิงไหวชิงพริบระหว่างองค์ฉินอ๋องและไร้นามยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ฉินอ๋องสรุปว่าเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดเป็นความเท็จซึ่งตัวไร้นามอุปโลกโป้ปดขึ้น ก่อนที่จะเริ่มต้นเล่าเรื่องที่ตัวเองคิดว่าเป็นความจริง

ผู้กำกับถ่ายทอดเรื่องเล่าของฉินอ๋องออกมาด้วยโทนสีฟ้า




เรื่องราวเริ่มขึ้นในห้องสมุดที่ไร้นามกำลังสำแดงความเชี่ยวชาญในการใช้กระบี่ของตนต่อหน้ากระบี่หักและหิมะเหิน หลังจากที่ฟ้าเวิ้งได้ยอมสละชีวิตตนเพื่อภารกิจนี้ไปก่อนหน้านั้นแล้ว ไร้นามทดสอบขีดความสามารถในการใช้กระบี่ของตนในระยะสิบก้าวเพื่อให้นักฆ่าที่เหลืออีกสองคนยอมปลงใจสละชีวิตเข้าร่วมในภารกิจนี้ด้วย

การใช้กระบี่ของไร้นามเป็นไปอย่างเฉียบขาดและว่องไว วัดเวลาในการทดสอบด้วยการโยน ถ้วยน้ำขึ้นไปในอากาศ แล้วทะยานไปตัดเชือกในมัดหนังสือไม้ไผ่ที่กองเรียงอยู่รอบๆห้องสมุดได้อย่างครบถ้วนก่อนที่ถ้วยน้ำจะหล่นถึงพื้น การทดสอบดังกล่าวประสบความสำเร็จ กระบี่หักและหิมะเหินไว้วางใจไร้นามจนยอมเข้าร่วมในภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วย

การทดสอบกระบี่ของไร้นามด้วยการตัดเชือกที่มัดม้วนหนังสือนี้ คล้ายกำลังกระซิบบอกสารอะไรบางอย่างแก่นักฆ่าทั้งสองด้วย ว่าหากเหล่านักฆ่าผู้เยี่ยมยุทธทั้งสี่ไม่ร่วมกันผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวในการสังหารฉินอ๋องแล้ว ความล้มเหลวของภารกิจย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ( เชือกที่ถูกตัดในมัดหนังสือนี้เป็นสัญลักษณ์แทนความสามัคคี ) ชีวิตของประชาชนในรัฐต่างๆก็ยังต้องล้มตายลงไปอีกเหมือนกองหนังสือที่ล้มระเนระนาดอยู่ตรงหน้า

ตามหมายจับของทางการระบุต้องการตัวแค่กระบี่หักหรือหิมะเหินเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งสองไม่อาจตกลงกันได้ว่าใครจะต้องเสียสละในการถูกสังหารต่อหน้าเหล่าทหารเพื่อให้ไร้นามได้รับโอกาสในการเข้าเฝ้าฉินอ๋องอย่างใกล้ชิดในระยะสิบก้าว ทางออกสุดท้ายจึงกลายเป็นว่าทั้งสองคนยอมเข้าร่วมในภารกิจแห่งชีวิตนี้ด้วยกัน




แม้ว่ากระบี่หักและหิมะเหินจะมีความรักต่อกันอย่างมั่นคง ความรักที่เป็นดั่งสายใยซึ่งผูกพันแนบแน่นจนไม่อาจที่จะพรากออกจากกันได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ แต่ด้วยอานุภาพของความรักอันยิ่งใหญ่นี้เอง หิมะเหินจึงไม่อาจยอมให้กระบี่หักต้องมาตายร่วมไปกับตนด้วยแม้ว่าทั้งสองจะเคยกำหนดหัวใจให้กับภารกิจการสังหารฉินอ๋องนี้มาอย่างแน่วแน่แล้วก็ตามที

ระหว่างเดินทางในเช้าที่ต้องเริ่มภารกิจ หิมะเหินใช้อาวุธของตนแทงกระบี่หักจนได้รับบาดเจ็บเพื่อกระบี่หักจะได้ไม่ต้องเข้าร่วมในภารกิจนี้ การตัดใจแทงคนรักของหิมะเหิน ถือได้ว่าเป็นการแทงที่ตัวหิมะเหินเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน

หิมะเหินมอบบาดแผลแห่งการเสียสละนี้ให้กับกระบี่หักพร้อมๆกับมอบชีวิตของตนให้กับภารกิจนี้อย่างเต็มใจ

ไร้นามลำบากใจเป็นอย่างมากที่ต้องมาฆ่าเพื่อนด้วยกันเอง แต่ด้วยความยืนยันของหิมะเหินที่ให้คำนึงถึงภารกิจเป็นหลัก ไร้นามจึงจำต้องฆ่าอีกครั้งเหมือนเช่นที่เคยทำกับฟ้าเวิ้งมาก่อน ( ฉากนี้คืออีกรูปแบบหนึ่งของการต่อสู้ภายในจิตใจของไร้นาม )

การเสียสละของหิมะเหินเป็นเรื่องที่ทรงเกียรติ ดังนั้น ก่อนที่ไร้นามจะเดินทางไปยังพระราชวังตามแผนที่วางไว้ ไร้นามและกระบี่หักได้ทำการต่อสู้กันในจิตใจเพื่อเป็นเกียรติแก่การตายของหิมะเหิน ภาพการต่อสู้นี้บรรจงสร้างขึ้นอย่างวิจิตรประณีต ณ ศาลากลางน้ำในทะเลสาบอันเลื่องชื่อของจีน ซึ่งมีทิวทัศน์อันงดงามประหนึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยความจงใจของธรรมชาติเช่นกัน

ผืนน้ำที่ปราศจากการพัดผ่านของสายลมเป็นเสมือนแผ่นกระจกที่เรียบนิ่ง การต่อสู้ในจิตใจของทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้น หากแต่ความเย็นเยียบในจิตใจของกระบี่หักจากการสูญเสียหญิงคนรักทำให้เขาไม่มีกระจิตกระใจในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างเต็มที่ ละอองน้ำที่กระเซ็นไปตกลงบนใบหน้าของหิมะเหิน ชักนำให้กระบี่หักหันหลังให้กับการต่อสู้ดังกล่าว แล้วทะยานไปซับหยดน้ำที่เป็นดั่งน้ำตาแห่งความเศร้าโศกนั้นแทน ( การต่อสู้ภายในจิตใจของฉากนี้เป็นเสมือนการต่อกรกับความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจที่แสนยะเยือกเย็น เป็นอารมณ์ที่เกาะกินจิตวิญญาณจนไม่เหลือกำลังใจในชีวิต และหากอารมณ์ที่เศร้าโศกนั้นมีชัยเหนือเหตุผลแล้ว ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป )




การต่อสู้ในจิตใจนี้ต้องยุติลงเพราะกระบี่หักถอนตัวออกกลางคัน

ผู้กำกับถ่ายภาพในฉากนี้เพื่อสื่อถึงความหนาวเย็นของธาตุน้ำ โดยนำกล้องไปถ่ายใต้ผืนน้ำจริงๆ (ปกติในภาพยนตร์เรื่องอื่นหากใช้กล้องถ่ายใต้น้ำก็จะพยายามจับภาพใต้น้ำนั้นเป็นหลัก แต่ในภาพยนตร์เรื่อง Hero นี้กลับแหงนหน้ากล้องมาจับภาพการต่อสู้ซึ่งดำเนินอยู่บนอากาศแทน เป็นเทคนิคที่เดินตามวิธีการถ่ายย้อนแสงในฉากสีแดงแต่ในฉากสีฟ้านี้เป็นการถ่ายโดยมองผ่านน้ำ )

วันต่อมาในระหว่างที่ไร้นามเดินทางไปปฏิบัติภารกิจสุดท้าย ณ พระราชวัง ปานเดือนนำอาวุธของกระบี่หักมามอบให้ไร้นามและนำข่าวการฆ่าตัวตายของเขามาบอกด้วย

หิมะเหินและกระบี่หักไม่อาจแยกจิตวิญญาณออกจากกันและกันได้ อันเป็นเสมือนสายน้ำ ที่ไม่ว่าจะพยายามตัดให้ขาดด้วยอาวุธใดก็ไม่อาจที่จะแยกมันออกจากกันได้สำเร็จ ความรักของนักฆ่าทั้งสองนี้ก็เช่นกัน

บทบาทของปานเดือนในฉากนี้ทำหน้าที่สะท้อนรัศมีแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของกระบี่หักและหิมะเหินให้ผู้ชมได้ประจักษ์ ว่ารักแท้อันบริสุทธิ์จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป แม้ว่าชีวิตกายเนื้อของทั้งสองคนนั้นจะลาลับไปแล้วก็ตามที

ฉินอ๋องจบเรื่องเล่าของตนด้วยการยกย่องคารวะความเสียสละของนักฆ่าทั้งสาม แต่ความจริงในภารกิจนี้ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างสิ้นเชิง ไร้นามได้ทำหน้าที่เล่าเหตุการณ์ที่ปราศจากการปรุงแต่งหรือคาดเดาใดๆ ต่ออีกเรื่องหนึ่ง ผู้กำกับให้ภาพในเรื่องเล่าของไร้นามครั้งนี้เป็นโทนสีขาว




เรื่องราวเริ่มขึ้นในห้องสมุด ไร้นามกำลังแสดงความเชี่ยวชาญในการใช้กระบี่ของตนให้กระบี่หัก หิมะเหินและปานเดือนได้ดูชม การทดสอบทำโดยการโยนพู่กันนับร้อยๆอันขึ้นในอากาศ โดยไร้นามต้องใช้กระบี่เพื่อเสาะหาพู่กันที่แตกต่างซึ่งมีอยู่เพียงหนึ่งอันนั้นให้ได้ก่อนที่พู่กันทั้งหมดจะหล่นลงบนพื้นห้อง

ไร้นามสามารถทำการทดสอบนี้ได้สำเร็จ เขาแสดงให้เห็นว่านอกจากการใช้กระบี่ของตนจะมีความว่องไวเป็นเลิศแล้วยังมีความแม่นยำอันไร้ที่ติอีกด้วย การทดสอบที่เพิ่งผ่านไปนี้ยังแฝงไว้ซึ่งข้อความเพื่อจะบอกอะไรบางอย่างว่า การเสาะหาพู่กันที่แตกต่างจากอันอื่นๆ ให้พบเพื่อทำลายเสียนั้น คือการค้นหาผู้ที่มีความคิดเห็นแตกแยกในภารกิจนี้ว่าจะต้องถูกขจัดให้สิ้นไปเช่นกัน

คนผู้นั้นก็คือกระบี่หัก

กระบี่หักมีความเห็นที่แตกต่างกับหิมะเหินหญิงคนรักอย่างไม่อาจหลอมรวมความคิดเข้าด้วยกันได้ หิมะเหินยืนยันให้ภารกิจการสังหารฉินอ๋องนี้ต้องดำเนินต่อ แต่กระบี่หักกลับมองว่า ฉินอ๋องผู้นี้จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยเหตุผลบางอย่างที่หิมะเหินไม่เข้าใจ แม้กระบี่หักและหิมะเหินจะมีความรักต่อกันอย่างแท้จริง แต่สำหรับเรื่องนี้แล้วทั้งสองถือว่าเป็นปฏิปักษ์ทางความคิดกันเลยทีเดียว

หิมะเหินต่อสู้กับกระบี่หักจนกระบี่หักได้รับบาดเจ็บ ส่วนไร้นามเองก็ต่อสู้กับปานเดือน (หญิงสาวผู้เป็นเสมือนบริวารของกระบี่หักซึ่งภักดีต่อนายไม่เปลี่ยนแปลง) กำลังยุทธของปานเดือนไม่อาจทัดเทียมกับไร้นามได้ จนในที่สุดการประฝีมือที่ไม่คู่ควรนั้นก็ยุติลง

ลึกลงไปในจิตใจของหิมะเหินแล้วมีความห่วงหาอาทรกระบี่หักอยู่ไม่น้อย แต่เพื่อภารกิจอันเป็นการล้างแค้นแทนครอบครัว อารมณ์ส่วนตัวดังกล่าวก็ไม่อาจปล่อยให้เป็นอุปสรรคได้

ไร้นามใช้วิธีการสังหารหลอกเพื่อตบตาเหล่าทหารของฉินอ๋องในกรณีของฟ้าเวิ้งได้สำเร็จก่อนหน้านั้น ในครั้งนี้ก็เช่นกัน การสังหารหลอกครั้งที่สองโดยมีหิมะเหินเป็นเป้าหมายได้ดำเนินไปและจบลงด้วยดี จนทหารที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้นยอมเชื่อจนสนิทใจให้ไร้นามได้เข้าเฝ้าฉินอ๋องในระยะสิบก้าว

ในระหว่างการเดินทางของไร้นามเพื่อไปปฏิบัติภารกิจสุดท้าย กระบี่หักยอมฝืนกายที่บาดเจ็บมาหาไร้นามด้วยความดูแลของปานเดือนเพื่อจะยุติภารกิจนี้ให้จงได้

อีกหนึ่งเรื่องเล่าผ่านมุมมองของกระบี่หัก ถูกถ่ายทอดออกมาในโทนสีเขียว




ก่อนนั้น กระบี่หักและหิมะเหินอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านป่าชนบท ฝึกปรือฝีมือการใช้กระบี่และการเขียนอักษรไปพร้อม ๆ กัน ชีวิตของทั้งคู่เป็นไปอย่างสมถะ งดงามและเรียบง่ายตามแบบอย่างของธรรมชาติ ทั้งสองปฏิญาณต่อกันว่าเมื่อสำเร็จภารกิจการสังหารฉินอ๋องแล้วจะมาใช้ชีวิตอันสงบสุขที่นี้ด้วยกัน

ภาพชีวิตของทั้งสองที่นี่ ดำเนินไปตามแนวทางปรัชญาแห่งลัทธิเต๋าหรือเล่าจื๊อ ( แนวคิดที่เน้นการเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองหรือทางรัฐศาสตร์เหมือนเช่นแนวคิดของสำนักขงจื๊อ ) นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับแนวคิดแห่งนิกายเซ็นของญี่ปุ่น ( การยกย่องจิตเดิมแท้ที่ไม่ปรุงแต่งว่ามีคุณค่าประหนึ่งนิพพาน ) กระบี่หักและหิมะเหินขยับเข้าใกล้ธรรมชาติและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาตินั้นอย่างสุขสงบ ความรักอันบริสุทธิ์ของทั้งสองงอกงามและเติบโตขึ้นเสมือนความอุดมของสิ่งแวดล้อมที่รายรอบ

ระหว่างนั้น กระบี่หักได้เรียนรู้ถึงแก่นแท้แห่งจิตวิญญาณของตัวอักษร เมื่อเขาบรรลุแล้วซึ่งความหมายที่แท้จริงของกระบี่ จิตใจที่เคยหมกมุ่นอยู่กับภารกิจการสังหารได้ค่อยๆ ผ่อนคลายลง จนสงบและไม่คิดที่จะฆ่าฉินอ๋องอีกต่อไป แต่ถึงกระนั้นด้วยความรักอันล้นเหลือที่มีต่อหิมะเหิน กระบี่หัก ได้บุกเข้าวังไปพร้อมกับหิมะเหินด้วยในภารกิจสังหารฉินอ๋อง เพราะจิตใจของหิมะเหินนั้นยังคงแน่วแน่ต่อภารกิจนี้ไม่แปรเปลี่ยน




ทั้งสองบุกเข้าวังอย่างองอาจไม่หวั่นเกรงต่อทัพทหารนับพันที่ปกป้ององค์ฉินอ๋องอยู่ในขณะที่หิมะเหินจัดการอยู่กับเหล่าทหารองครักษ์ กระบี่หักได้เข้าไปประจันหน้าต่อสู้กับฉินอ๋องภายในท้องพระโรง

ภาพภายในท้องพระโรง ปรากฏผืนผ้าขนาดยาวสีเขียวประดับอยู่เป็นจำนวนมาก เสมือนผืนป่าจำลองที่ยกมาไว้ภายในพระราชวัง ความลึกลับและดงดิบของป่าจำลองนั้นเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมใน การหลบซ่อนตัวของนักฆ่าเช่นกระบี่หัก (ในภาพยนตร์เรื่อง Rashomon ของอาคิระ คูโรซาว่า เหตุการณ์ส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นในป่าอันสะท้อนให้เห็นถึงความดงดิบและลึกลับซับซ้อนภายในจิตใจมนุษย์ )

สายลมที่พัดกรรโชกแรงกระชากให้ผืนผ้านั้นพลิ้วไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา สะท้อนถึงภาวะจิตของกระบี่หักในขณะนี้ที่ต้องต่อสู้ภายในจิตใจ ว่าจะสังหารฉินอ๋องเพื่อให้หิมะเหินหญิงคนรักบรรลุความปรารถนา หรือจะปล่อยตัวฉินอ๋องไปตามเสียงเรียกร้องของความรู้สึกในเบื้องลึก

การประดาบดำเนินไปอย่างน่าตื่นเต้น แต่ในท้ายที่สุดเมื่อฉินอ๋องพยายามตัดผืนผ้าที่แขวนห้อยอยู่นั้นให้ขาดลงเพื่อเบิกมุมมองที่ทึบทึมให้กระจ่างขึ้น ภาวะจิตที่เคยสับสนของกระบี่หักก็ได้เริ่มผ่อนคลายและสงบลงอีกครั้ง




ผืนผ้าที่ร่วงกรูลงสู่พื้นท้องพระโรงแสดงถึงภาวะการปลดปล่อยความคิดที่เคยยึดมั่นถือมั่นให้วางลงสู่ความนิ่งสงบ และขณะนี้เองที่กระบี่ในใจของกระบี่หัก ( อันเป็นสัญลักษณ์ของความโกรธแค้น ) ได้หักสะบั้นลงแล้วอย่างแท้จริง

วิธีการเล่าเรื่องโดยอาศัยภาพการปล่อยผ้าให้ร่วงลงพื้นนี้จางอี้โหมวเคยใช้มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง Ju Dou ( เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ) แต่เป็นการใช้คนละเหตุผลกับเรื่อง Hero นี้ นั่นคือในฉากที่กงลี่กำลังสมสู่อยู่กับชู้รักซึ่งเป็นคนงานของสามีในโรงย้อมผ้า ทั้งคู่ประกอบกามกิจกันจนไปดึงเอาปลายผ้าที่ม้วนแขวนไว้บนขื่อให้หลุดลงมา ผ้าสีแดงจัดที่ถูกม้วนไว้อย่างแน่นหนาคลายตัวออกอย่างรวดเร็วและไหลลงตามแรงดึงดูดของธรรมชาติเสมือนการปลดปล่อยอารมณ์เพศที่ทำไปตามสัญชาตญาณดิบ ไร้ซึ่งข้อคำนึงถึงศีลธรรมหรือความถูกต้องใดๆ

กระบี่หักทะยานเข้าไปประชิดตัวและลงกระบี่ไปที่คอของฉินอ๋อง ปรากฏแผลเป็นรอยถาก เพียงเล็กน้อย การที่กระบี่หักมีโอกาสทองอันจะบรรลุภารกิจที่มุ่งหวังมานานนี้หากแต่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป สร้างความรู้สึกงุนงงให้แก่หิมะเหินและตัวฉินอ๋องเองเป็นอย่างมาก ภาพการต่อสู้ในวันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงของฉินอ๋องตลอดเวลาแต่ก็ไม่อาจทำความเข้าใจให้กระจ่างขึ้นได้ถึงเจตจำนงอันแท้จริงของกระบี่หัก

หิมะเหินโกรธกระบี่หักมากและทั้งคู่ก็ไม่ยอมพูดจากันอีก

เรื่องเล่าในมุมมองของกระบี่หักจบลงพร้อมกับข้อสรุปที่ว่าฉินอ๋องจะต้องไม่ถูกฆ่า ด้วยเหตุผลของอักษรหนึ่งคำที่กระบี่หักมอบให้ไร้นาม นั่นคือคำว่า “ใต้หล้า” ( Our Land )

กระบี่หักเขียนคำนี้ลงบนพื้นทราย อันเป็นวิธีเขียนที่ให้ความหมายคำว่า “ใต้หล้า” ได้อย่างชาญฉลาด (ในฉากสีแดงกระบี่หักได้เขียนคำว่า กระบี่ ลงบนพื้นกระบะทรายเช่นกัน อันแสดงถึงแผ่นดินจีนในยุคที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟันและนองเลือด )

กระบี่หักควบม้าจากไร้นามไปแล้ว แต่ปานเดือนยังคงย้ำเตือนให้ไร้นามเห็นถึงคุณค่าของคำพูดที่กระบี่หักได้กล่าวไว้ นางยืนยันว่าเจ้านายตนเป็นคนดีมีคุณธรรมและมีเหตุมีผล ปานเดือนในฉากนี้ ทำหน้าที่สะท้อนความสำคัญของคำว่า “ใต้หล้า” ให้ไร้นามได้ตระหนักอีกครั้งผ่านมุมมองของหญิงรับใช้ที่อยู่กับกระบี่หักมานานและเข้าใจถึงเจตจำนงอันยิ่งใหญ่นั้นเป็นอย่างดี



" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: Hero : ผู้ชนะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 30, 2011, 11:28:20 pm »

ไร้นามไม่เห็นด้วยกับความคิดของกระบี่หักและความสำคัญของถ้อยคำนี้ ดังนั้นภารกิจการสังหารฉินอ๋องจึงยังคงต้องดำเนินต่อไปตามแผน แต่ถึงกระนั้นคำว่า “ใต้หล้า” นี้ก็ยังคงรบกวนจิตใจของไร้นามอยู่ตลอดเวลา

ฉินอ๋องได้ฟังเรื่องเล่าของไร้นามถึงเจตจำนงของกระบี่หักที่ไม่ต้องการให้พระองค์ถูกสังหาร ด้วยเหตุผลว่าในยุคแห่งสงครามระหว่างก๊กอันยืดเยื้อนี้ มีเพียงฉินอ๋องเท่านั้นที่จะยุติการสูญเสียและการนองเลือดของประชาชนได้ โดยการรวมแผ่นดินทุกก๊กเข้าไว้ด้วยกันภายใต้การปกครองของ ฉินอ๋องผู้ซึ่งจะมอบสันติภาพให้แก่ใต้หล้าหรือแผ่นดินนี้ต่อไป

ฉินอ๋องเกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นอย่างเฉียบพลันที่มีคนในแผ่นดินนี้แม้เพียงหนึ่ง ได้เข้าใจในปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์อย่างแท้จริง

การสนทนาของไร้นามและฉินอ๋องงวดเข้าสู่ภาวะวิกฤติ ฉินอ๋องตระหนักดีว่าไร้นามคือนักฆ่า ที่ร้ายกาจและน่ากลัวที่สุด และยังเข้าใกล้ประชิดตัวยิ่งกว่าข้าราชบริพารของพระองค์เสียอีก

การสนทนาที่แลกหมัดกันด้วยปัญญาและไหวพริบครั้งนี้ ปรากฏรูปปั้นเป็นทิวแถวทหารยืนถือตะเกียงไฟ ประหนึ่งเส้นแนวที่กั้นกลางระหว่างไร้นามและฉินอ๋อง ฉากนี้สื่อถึงสัญลักษณ์ของสงครามในอีกรูปแบบหนึ่ง

ตะเกียงไฟที่กำลังลุกโชติช่วง เป็นดังความโกรธแค้นที่เผาไหม้ร้อนระอุอยู่ในใจของไร้นาม ตะเกียงไฟที่เป็นดังปราการกั้นทางจิตวิญญาณให้ศัตรูทั้งสองไม่อาจบรรจบลงรอยกันได้

ไร้นามผ่านด่านการตรวจอาวุธของเหล่าขันทีและได้รับอนุญาตให้เข้ามาในท้องพระโรงได้ เนื่องจากไม่มีอาวุธใดๆ ติดตัวมาด้วย ผู้กำกับสร้างภาพในฉากนี้ด้วยการให้ขันทีตรวจร่างกายของไร้นามอย่างละเอียดทุกซอกมุม แม้กระทั่งการนวดคลี่ไปตามมวยผมเพื่อเสาะหาอาวุธลับที่อาจซ่อนอยู่ แต่เมื่ออาวุธของไร้นามคือสติปัญญาอันเฉียบคมซึ่งถูกซ่อนไว้ในมันสมอง การตรวจสอบด้วยมือเปล่าจึงไม่อาจที่จะล่วงรู้ถึงอาวุธแห่งปัญญานั้นได้




แต่เมื่อผ่านการสนทนาอันยาวนานอันเป็นเสมือนการตรวจสอบอีกครั้งโดยฉินอ๋อง แววของคมปัญญาอันเป็นอาวุธที่มีพิษสงร้ายกาจของไร้นามก็ได้สว่างวาบขึ้นอย่างชัดเจน

ฉินอ๋องวัดใจไร้นามด้วยการโยนกระบี่ของตนไปให้ มองดูผิวเผินเหมือนพระองค์จะยอมแพ้ในชะตาชีวิต แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น

ฉินอ๋องผู้ปราดเปรื่องจับกระแสอารมณ์โกรธของไร้นามผ่านทางตะเกียงไฟที่ชี้พุ่งมาทางพระองค์ ด้วยปัญญาอันชาญฉลาดไม่แพ้กันของฉินอ๋อง พระองค์ใช้อักษรคำว่า กระบี่ ที่เขียนด้วยหมึกแดงบนผืนผ้าที่แขวนอยู่เบื้องหลัง เป็นอาวุธสุดท้ายในการต่อกรกับนักฆ่าในครั้งนี้

ในยามที่ไร้อาวุธและไม่สามารถต่อสู้ด้วยกำลังกายภายนอกได้ การสู้ด้วยกำลังภายในหรือปัญญา คือสิ่งที่จำเป็นและฉินอ๋องก็สามารถใช้อักษรคำว่า “กระบี่” นี้เป็นอาวุธอย่างได้ผล

ฉินอ๋องอธิบายนิยามที่แท้จริงของคำว่า “กระบี่” ให้ไร้นามฟัง ว่าผู้เชี่ยวชาญการใช้กระบี่มีระดับความสำเร็จอยู่สามขั้น กล่าวคือ ผู้เชี่ยวชาญใน ขั้นแรก ต้องเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในมือตนเป็นกระบี่ แม้แต่คมหญ้าก็สามารถหยิบมาใช้ฟาดฟันศัตรูได้อย่างราบคาบ ขั้นที่สอง คือกระบี่นั้นต้องหายไปจากมือแต่ไปปรากฏอยู่ในใจแทน เพียงแค่ใช้มือเปล่าต่อสู้ก็มีอานุภาพที่ร้ายกาจได้ไม่แพ้กัน ขั้นสุดท้าย คือการหายไปของกระบี่ทั้งจากมือและหัวใจไปสู่ความรู้สึกที่ว่างเปล่าและสงบ ปราศจากการเข่นฆ่าอีกต่อไป

ฉินอ๋องมอบบทเรียนอันล้ำเลิศนี้ให้ไร้นาม จนเขาบรรลุความสำเร็จในการใช้กระบี่ขั้นสูงสุด แววตาซึ่งเคยมุ่งร้ายของไร้นามอันเป็นเสมือนคมกระบี่ที่พุ่งแทงผู้ถูกมอง บัดนี้กลับเหลือเพียงแววตาที่เยือกเย็นสุขุม ไร้นามได้หันปลายกระบี่ในใจเข้าหาตัวเพื่อประหารความโกรธที่มีอยู่นั้นจนแตกดับสิ้นสูญ




ผู้กำกับใช้กล้องมุมเงยเมื่อไร้นามมองฉินอ๋องผู้ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่า และใช้กล้องมุมก้มสำหรับฉินอ๋องในการมองไร้นามผู้ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า อันแสดงถึงจุดยืนที่ต่างระดับกันของผู้ที่อยู่ใต้ปกครองและตัวผู้ปกครอง จุดยืนที่ต่างกันนี้ย่อมสร้างมุมมองที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา มีหลายเหตุผลที่ประชาชนผู้อยู่ใต้อำนาจปกครองไม่เข้าใจการกระทำของผู้นำในรัฐ และมีอีกหลายเหตุผลเช่นกันที่ผู้นำในรัฐไม่เข้าใจความต้องการของประชาชน ความแตกต่างทางมุมมองในภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังจะยุติลงด้วยภาษาภาพยนตร์ที่แสนฉลาด

หลังจบการอธิบายถึงนิยามของกระบี่ ไร้นามทะยานข้ามตะเกียงไฟที่กั้นกลาง ขึ้นไปยืนอยู่ ณ จุดเดียวกันกับฉินอ๋อง เพื่อมอบความรู้สึกจากการถูกสังหารให้พระองค์ได้รับทราบ อันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่ประชาชนผู้ล้มตายจากสงครามของฉินอ๋องเคยได้รับ

มุมกล้องที่กวาดตามการเคลื่อนไหวของไร้นาม เปรียบเสมือนการก้าวข้ามปราการแห่งความโกรธที่กั้นคนทั้งสองอยู่ เพื่อจะได้ทำความเข้าใจและแลกเปลี่ยนความรู้สึกระหว่างกันเมื่อแต่ละคนต้องมายืนอยู่ ณ จุดเดียวกัน ( เหมือนภาษิตที่ว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา )

แรงของด้ามกระบี่ที่กระแทกเข้ากับร่างของฉินอ๋อง สร้างภาวะสุดยอดที่วูบขึ้นอย่างเฉียบพลันให้แก่พระองค์เสมือนฉินอ๋องได้ร่วมอยู่ในอารมณ์ของความตายนั้นจริงๆ อันเป็นความรู้สึกของประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อจากสงครามซึ่งพระองค์ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน ภาวะแห่งอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นนี้ ถือเป็นบทเรียนล้ำค่าที่ไร้นามได้มอบให้

ไร้นามถอนตัวออกจากภารกิจกลางคัน การสังหารฉินอ๋องต้องพบกับความล้มเหลวอีกครั้ง




ผู้กำกับตัดภาพสลับไปมาระหว่างโทนสีขาว (ฉากหุบเขาสีขาวที่มีกระบี่หักและหิมะเหิน) กับโทนสีดำ ( ฉากในพระราชวังที่มีไร้นามและฉินอ๋อง ) คล้ายกำลังแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ภายในจิตใจของตัวละครแต่ละคน ที่ต้องขับเคี่ยวกันระหว่างอารมณ์แห่งกิเลสกับเหตุผลที่ถูกต้อง ( เสมือนฉากขาว-ดำ ที่แสดงถึงการต่อสู้ภายใจจิตใจตอนเริ่มเรื่อง )

หิมะเหินเสียใจเป็นอันมากและโทษว่าเป็นความผิดของกระบี่หักที่พูดกล่อมจนไร้นามยอมล้มเลิกภารกิจ การต่อสู้ที่เกิดจากปราการแห่งความไม่เข้าใจระหว่างหิมะเหินและกระบี่หัก (เหมือนเส้นแบ่งของแนวตะเกียงไฟ ) ได้เริ่มขึ้น ณ หุบเขาที่แห้งแล้งและขาวโพลนจนหิมะเหินพลั้งมือฆ่ากระบี่หักตาย

กระบี่หักเอาชนะใจตนด้วยการไม่หวั่นเกรงต่อความตายและประสบความสำเร็จในการแสดงให้หิมะเหินเห็นว่าตนมีความรักต่อนางอย่างแท้จริง ส่วนหิมะเหินก็พ่ายแพ้ต่ออารมณ์โกรธชั่ววูบของตน จนทำสิ่งที่แสนโง่เง่าลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า

ความเศร้าโศกเกินบรรยายของหิมะเหินเกาะกินหัวใจอย่างสุดขั้วและแล้วนางก็ฆ่าตัวตายตามกระบี่หักไปอย่างน่าเวทนา

ฉินอ๋องได้ประจักษ์แล้วซึ่งเหตุผลของบาดแผลที่กระบี่หักมอบให้ตอนบุกเข้าวัง คำตอบนี้ปรากฏอยู่ในความรู้สึกจากการถูกสังหารหลอกที่เป็นเสมือนการสั่งสอนของไร้นาม

ไร้นามเองก็แจ้งแก่ใจแล้วซึ่งเจตนารมณ์ของกระบี่หักที่ให้คำนึงถึงประโยชน์ของใต้หล้า (Public Interest) ว่ามีความสำคัญเหนือกว่าสิ่งใดและต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว (Private Interest)

การต่อสู้ภายในจิตใจของฉินอ๋องได้เริ่มขึ้นเมื่อต้องพิพากษาโทษแก่ไร้นาม การต่อสู้ภายในจิตใจของไร้นามต่อความตายที่กำลังจะมาถึงก็ได้เริ่มขึ้นเช่นกัน

แม้ความรู้สึกส่วนพระองค์ของฉินอ๋องจะไม่ต้องการฆ่าไร้นามก็ตามที (Private Interest) แต่เพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงแน่นอนของกฎหมาย (Public Interest) การตัดใจประหารชีวิตไร้นามจึงเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดตามแนวคิดอันว่าด้วยใต้หล้า




ขณะเดียวกันไร้นามก็ถึงแล้วซึ่งภาวะที่ความขลาดกลัวถูกประหารไปหมดสิ้น ไม่ว่าอาวุธใดของฉินอ๋องก็ไม่สามารถทำร้ายจิตวิญญาณที่กล้าหาญและยิ่งใหญ่ของเขาลงได้

เกาทัณฑ์นับหมื่นดอกพุ่งทะยานขึ้นฟ้าเพื่อปลิดชีพไร้นามในฐานะของนักฆ่าที่ลอบปลงพระชนม์ แต่แม้ว่าอาวุธเหล่านั้นจะรุนแรงร้ายกาจทะลวงร่างให้ยับเยินสักปานใดก็หาได้กระทบต้องตัวจิตวิญญาณอันเป็นอมตะนั้นให้ต้องระคายเคืองไปด้วยไม่ ( ความคิดนี้สื่อผ่านภาพพื้นที่ว่างบนผนังซึ่งปราศจากลูกเกาทัณฑ์ )

ไร้นามสิ้นชีพไปเยี่ยงวีรบุรุษจากวีรกรรมที่ไม่มีใครจดจำ เสมือนเหล่าเสรีชนคนไร้ชื่อ อีกมากมายที่แม้จะพลีชีพทำสิ่งยิ่งใหญ่ให้กับแผ่นดิน แต่ในฐานะของประชาชนคนตัวเล็กแล้วก็ย่อม ไม่มีความสำคัญมากพอที่จะดึงดูดใจให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง

ฉินอ๋องผู้ซึ่งเคยเข่นฆ่าประชาชนไม่ปรานีประหนึ่งนักฆ่าผู้โหดเหี้ยม ต่อมากลับเป็นที่จดจำของชนรุ่นหลังในฐานะของวีรบุรุษผู้รวมอาณาจักรต่าง ๆ ในจีนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้กำแพงเดียวกัน กำแพงหินที่เป็นดั่งอนุสรณ์สถานอันยาวเหยียด ที่ย้ำเตือนให้ลูกหลานในชาติเห็นถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์อันแสนยาวนาน

ภาพยนตร์เรื่องนี้จบลงด้วยภาพกำแพงเมืองจีน อันเป็นเสมือนเชือกเส้นใหญ่ที่มัดรวมประชาชนในชาติเข้าไว้ด้วยกันจนเป็นปึกแผ่น กำแพงหินอันยิ่งใหญ่นี้ยังฝากบทเรียนสุดท้ายให้แก่ผู้ชมได้ตระหนักถึงความสำคัญของพลังสามัคคี

Hero นำเสนอประเด็นอันว่าด้วยความแตกแยก โดยสื่อผ่านการแบ่งโทนสีออกเป็นห้าสี ในช่วงเวลาต่าง ๆ ( สีดำ,สีแดง,สีน้ำเงิน,สีขาวและสีเขียว) แล้วร้อยเรียงความหลากหลายของโทนสีเหล่านั้น มัดรวมเข้าไว้ด้วยกันภายในกรอบเวลาฉายเก้าสิบแปดนาที ถือเป็นรูปแบบการนำเสนอที่สร้างสรรค์และรับใช้ความคิดที่ต้องการจะสื่อได้อย่างดีเยี่ยม

นอกจากความแตกแยกระหว่างรัฐในแผ่นดินจีนและความแตกต่างทางความคิดของสมาชิกในกลุ่มต่างๆ แล้ว ประเด็นที่ถือว่าแยบคายและลึกซึ้งยิ่งกว่านั่นคือความแตกแยกที่ปรากฏอยู่ในจิตใจ Hero อาศัยข้อได้เปรียบทางภูมิปัญญาแห่งสังคมตะวันออกในการนำเสนอหลักปรัชญาแห่งพุทธศาสนาเพื่อต่อกรกับความแตกแยกที่ก่อเกิดเป็นสงครามขึ้นภายในจิตใจ

งานชิ้นก่อนนี้ของจางอี้โหมวคือ The Road home และ Not one less ซึ่งหากยังจำกันได้ก็จะเห็นถึงเจตนารมณ์ของผู้กำกับในภาพยนตร์สองเรื่องก่อนนั้น ที่พยายามเน้นถึงความสำคัญของการศึกษา ใน Hero นี้ก็เช่นกัน ( โดยเฉพาะฉากสีแดงในโรงเรียนประดิษฐ์อักษรและฉากห้องสมุด ) จางอี้โหมวยกย่องความเฉลียวฉลาดและปัญญาในระดับที่ลึกซึ้ง ( ที่ย่อมต้องมาจากการศึกษา ) ว่าเป็นเสมือนอาวุธในการต่อสู้ที่นำมาซึ่งชัยชนะได้เสมอ

ในสภาวการณ์ปัจจุบันที่ชาติมหาอำนาจตะวันตก ใช้ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจและกำลังทหารที่เข้มแข็งเพื่ออวดแสนยานุภาพอยู่ในโลกขณะนี้ ชาติตะวันออกที่มีกำลังกายภาพเหล่านั้นอยู่เพียงน้อยนิดคงไม่อาจเทียบชั้นไปต่อกรด้วยได้ การคิดหาเครื่องมือเพื่อป้องกันตัวให้อยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน คงจะมีแต่ภูมิปัญญาซึ่งสั่งสมมานานนับพันปีเท่านั้น ที่ชาติตะวันออกเราสามารถใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้กับมหาอำนาจตะวันตกได้อย่างคู่ควรและเท่าเทียม

ในฐานะที่ Hero เป็นภาพยนตร์จากทุนสร้างของรัฐบาลจีน สาระที่กล่าวมาแล้วข้างต้นจึงถูกผลักดันให้สอดแทรกอยู่ในเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย Hero ได้ถ่ายทอดความคิดทางการเมืองนี้ออกไปสู่การรับรู้ในระดับสากล ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่เหมือนกำลังประกาศศักดาให้มหาอำนาจได้รับรู้ถึงเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่แห่งชนชาติตน

จางอี้โหมวประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่งจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะมันได้ทำหน้าที่นำพาความคิดอันยิ่งใหญ่มาสู่ผู้ชม เป็นข้อความที่เต็มไปด้วยสาระซึ่งแตกตัวออกได้หลากหลายระดับ ตั้งแต่เรื่องราวทางการเมืองระดับชาติ ( การเรียกร้องความสมานฉันท์ของเพื่อนร่วมเชื้อชาติ ซึ่งได้แก่ จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และไต้หวัน ) เรื่องราวของความรักความผูกพันและการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งถึงความสงบสันติในระดับจิตวิญญาณของมนุษย์

ผู้กำกับได้ผสมผสานความเป็นแอ็คชั่นเข้ากับดราม่าได้อย่างกลมกลืน และนำเสนอเรื่องราวการต่อสู้ที่เรียกได้ว่ามีอยู่ครบในทุกๆ ประเด็นของข้อความคิดนี้ คือทั้งสงครามระหว่างประเทศ การต่อสู้ภายในประเทศ การต่อสู้ในกลุ่มบุคคลที่ต้องร่วมภารกิจกันและการต่อสู้ภายในจิตใจของมนุษย์

นอกจากเนื้อหาที่เข้มข้นยิ่งใหญ่แล้ว นักแสดงผู้รับบทต่างๆ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่การกำกับภาพกำกับศิลป์งดงามไร้ที่ติ ในส่วนของดนตรีประกอบก็ไพเราะและลงตัว อันทำให้งานชิ้นนี้ของจางอี้โหมวเป็นภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบและได้ชื่อว่าเป็น “งานศิลปะที่ทรงภูมิปัญญาอย่างแท้จริง


" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...