โมนาลิซามีคนบอกว่า ผลงานศิลปะที่เต็มไปด้วยความลึกลับ และผู้คนสืบเสาะค้นหาเพื่อเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในภาพนั้นมากที่สุด คือ ภาพแม่งาม "โมนาลิซา" ผลงานสุดรักของลีโอนาร์โด ดาวินชี ซึ่งล่าสุด ซิลวาโน วินเซติ ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมของอิตาลี นักประวัติศาสตร์ศิลป์ชื่อดัง ได้ประกาศการค้นพบรหัสลับ หรือสัญลักษณ์ซ่อนเร้นในภาพที่ถูกปิดบังมานานครึ่งสหัสวรรษว่า ในดวงตาของโมนาลิซา มีตัวอักษรเลือนๆซ่อนอยู่
ทีแรก ทีมงานของซิลวาโน วินเซติ บอกว่า ในดวงตาขวาของ "น้องโมนา" มีตัวอักษรคล้าย LV ในขณะที่ในตาซ้าย มีตัวอักษร CE หรือไม่ก็ B ส่วนฉากหลังที่มีสะพานอยู่นั้น ตรงบริเวณส่วนโค้งของสะพานพบว่ามีสัญลักษณ์ L2 หรือไม่ก็ 72 ซึ่งหลังจากเปิดเผยออกมาแล้ว ก็มีผู้ "แห่" กันไปศึกษา และเกิดเป็นทฤษฎีที่น่าสนใจออกมาหลายอย่าง
แต่ที่ชัดเจนมากที่สุดในการ "ถอดรหัสดาวินชี" ที่ซ่อนไว้นาน 500 ปีนี้ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ส่วนใหญ่ฟันธงว่า ความลับที่ซ่อนอยู่คือ การสื่อให้รู้ว่าผู้หญิงที่มีรอยยิ้มลึกลับคนนี้เป็นใครกันแน่
ไปฟังจากต้นตอ คือผู้เปิดเผยความลับนี้ออกมาก่อน ผ่านไปเพียงเดือนเดียวหลังประกาศการค้นพบ ซิลวาโน วินเซติ ก็บอกว่า เมื่อจ้องมองอย่างละเอียดอีกครั้งแล้ว ในตาซ้ายของน้องโมนา ที่ทีแรกคิดว่าเป็นอักษร CE หรือ B นั้น ที่แท้เป็นตัว S ต่างหาก ส่วนข้างขวายังยืนยันว่าเป็นตัว L แน่นอน
ด้วยตัวอักษรนี้ ทำให้ซิลวาโน วินเซติ ตั้งทฤษฎีว่า ตัว S นี้ สื่อถึงการที่ลีโอฯต้องการจะบอกว่านางแบบในภาพคือสาวสูงศักดิ์จากตระกูล "สฟอร์ซา" ซึ่งเป็นระดับบิ๊กของมิลานในช่วงที่ลีโอฯวาดภาพโมนาลิซาขึ้น
คุณหนูสฟอร์ซา
ตาม ประวัติของลีโอนาร์โด ดาวินชี ระบุว่า ศิลปินขี้เล่นผู้นี้ เคยใช้ชีวิตอยู่ในมิลานในช่วงปี ค.ศ.1482-1499 และช่วง ค.ศ.1506-1507 ทำให้ ซิลวาโน วินเซติ ปักใจว่าภาพนี้ต้องวาดขึ้นในช่วงนั้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของโมนาลิซาเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้เชื่อกันว่า ลีโอฯวาดภาพนี้ขึ้นในปี ค.ศ.1503 แต่หากเราปักใจแล้วว่า แม่สาวในภาพเป็น "คุณหนูสฟอร์ซา" เวลาที่ลีโอฯปัดฝีแปรง ก็เลยน่าจะเป็นช่วงที่เขาเดินยํ่าอยู่ในมิลาน อย่างที่ซิลวาโน วินเซติ ว่าไว้
อย่างไรก็ตาม ซิลวาโน วินเซติ ไม่กล้าฟันธงลงไปชัดๆว่าคุณหนูสฟอร์ซาคนนี้เป็นใครกันแน่ แต่ก็มีนักประวัติศาสตร์ศิลป์คนอื่นที่มั่นอกมั่นใจมากกว่า และกล้าพอที่จะชี้ชัดลงไปเลยว่าโมนาลิซาเป็นใคร แต่เดี๋ยว...ขอทำให้ผู้อ่านเคืองใจด้วยการอุบตอนสำคัญไว้ก่อน เพราะต้องเล่าทฤษฎีของ ซิลวาโน วินเซติ ให้จบเสียทีเดียวว่า นอกจากตัว S ที่พบแล้ว ในส่วนของตัว L ที่เห็นในตาอีกข้างนั้น เขามั่นใจว่าเป็นชื่อย่อของศิลปิน ลีโอนาร์โด ดาวินชี แน่นอน ซึ่งนักประวัติศาสตร์ศิลป์หลายท่านก็สนับสนุนแนวคิดนี้
ส่วนตัวเลข 72 นั้น ซิลวาโน วินเซติ บอกว่า มันเป็นการสื่อให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสนใจของลีโอนาร์โด ดาวินชี ที่มีต่อศาสนา และศาสตร์ลึกลับ เพราะตัวเลขนี้เป็นสัญลักษณ์ที่พบมากในความเชื่อของศาสนายิว และคริสต์ กล่าวคือ เลข 7 หมายถึงจำนวนวันที่พระเจ้าสร้างโลกจนเสร็จและพักผ่อน ในขณะที่เลข 2 หมายถึงมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นหญิงและชาย ตัวเลขนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังเป็นการสื่อให้เห็นว่า ลีโอนาร์โด ดาวินชี แอบเขียนสัญลักษณ์นี้เอาไว้ด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่บังเอิญ แต่เป็นความพยายามที่จะสื่อความคิดของตัวเองฝากมาถึงคนรุ่นหลัง เป็น "รหัสลับดาวินชี" ของแท้ แต่แม้จะมีการตีความหมายออกมาแล้ว ก็ยังไม่สามารถบอกได้ชัดๆว่า ลีโอฯต้องการจะบอกอะไรกันแน่
ลีโอนาร์โด ดาวินชี
อย่างไร ก็ตาม คุณพี่ซิลวาโน วินเซติ บอกว่า นี่เป็นเพียงทฤษฎีในเบื้องต้น และเปิดใจกว้างที่จะยอมรับทฤษฎีอื่นๆอีก ซึ่งน่าจะรวมถึงทฤษฎีเก่าที่เคยมีผู้เสนอเอาไว้ว่า จริงๆแล้วภาพโมนาลิซานั้นไม่มีนางแบบหรอก มีแต่ "นายแบบ" เพราะมันเป็นภาพวาดตัวเองของลีโอนาร์โด ดาวินชี ที่วาดภาพเหมือนตัวเองในรูปลักษณ์ของสตรีไว้ บางคนก็บอกว่า เป็นเพราะความขี้เล่น แต่บางคนก็บอกว่า ไม่ได้ ขี้ล่ง...ขี้เล่นอะไรกันหรอก...แต่เป็นเรื่องเบื้องลึกในใจต่างหาก เพราะลีโอฯเป็นเกย์ ก็เลยต้องหาทางออกที่ถูกเก็บกดด้วยการวาดภาพตัวเองเป็นสาวยิ้มกริ่มแบบ ลึกลับเอาไว้นี่แหละ และพอมีคนเอาภาพน้องโมนา กับภาพวาดตัวเองยามชราของลีโอฯ มาเทียบกันด้วยการแบ่งครึ่งภาพ ก็ ปรากฏว่าเข้ากันเป๊ะๆ ก็เลยมีคนเชื่อเรื่องนี้กันมาก
ซิลวาโน วินเซติ เองก็อยากตรวจสอบเรื่องนี้ให้ แน่ชัด ก็เลยทำเรื่องที่ออกจะบ้าบิ่นสักหน่อย คือส่งทีมงานไปยื่นขอขุดหลุมศพลีโอนาร์โด ดาวินชี ขึ้นมาซะเลย จะได้เอากะโหลกมาเทียบโครงสร้างดูว่า เหมือนน้องโมนาหรือเปล่า จะได้จบข้อสงสัย แต่ยังเป็นโชคดีของลีโอฯ ที่คำขอนี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ศิลปินคนเก่งของเราก็เลยยังนอนพักอย่างสงบต่อไปในดินแดนฝรั่งเศส
ลูโดวิโซ สฟอร์ซา
อย่าง ที่บอกไว้ข้างต้นแล้วว่า มีคนอื่นกล้าฟันธงลงไปแบบโป๊ะเชะเลยว่า น้องนางโมนาลิซาเป็นใครกันแน่ ผู้กล้าคนนี้คือ คาร์ลา กลอรี นักประวัติศาสตร์ ศิลป์ชาวอิตาเลียน ที่บอกว่าสาวเจ้าจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก จิโอวานนา เบียงกา สฟอร์ซา ลูกสาวสุดรักของลูโดวิโซ สฟอร์ซา ดุ๊กแห่งมิลาน ที่คาร์ลา กลอรี กล้าฟันธงแบบนี้ก็เพราะเธออ่านตัวอักษรอันเลือนรางในดวงตาว่า น่าจะเป็นอักษร SG ต่างหาก และ SG นี่แหละ ที่เป็นชื่อย่อของจิโอวานนา เบียงกา สฟอร์ซา แน่นอน
ที่สำคัญ คาร์ลา กลอรี ยังเปิดเผยทฤษฎีสำคัญด้วยว่า ฉากที่เห็นเป็นสะพานอยู่ด้านหลังของน้องโมนานั้น จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจากสะพานที่ทอดข้ามแม่นํ้าเทร็บเบีย ในเมืองบ็อบบิโอ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากมิลานนั่นแหละ
สะพานปีศาจ
คาร์ ลา กลอรี ปักใจว่าลีโอฯน่าจะเคยมาเดินย่ำต๊อกอยู่ที่บ็อบบิโอ และประทับใจทิวทัศน์ที่นี่ จนเมื่อได้วาดภาพจิโอวานนา เบียงกา สฟอร์ซา ก็เลยเอาสะพานข้ามแม่นํ้านี้มาเป็นฉากหลัง และตัวเลข 72 ที่แอบใส่เอาไว้ในสะพาน ก็สื่อถึงปี ค.ศ.1472 อันเป็นปีสำคัญ เพราะกระแสนํ้าเชี่ยวกรากได้พัดสะพานนี้จนพังทลายลงก่อนจะมีการสร้างขึ้นมา ใหม่
จุดเด่นของสะพานนี้คือความคดเคี้ยว แถมส่วนโค้งของสะพานยังไม่ค่อยสมํ่าเสมอด้วย และเป็นจุดเด่นที่เห็นได้ในฉากหลังของภาพอันโด่งดังนี้ด้วย ทำให้คาร์ลา กลอรี ปักอกปักใจเป็นอย่างมากว่า ต้องเป็นสะพานข้ามแม่นํ้าเทร็บเบียแหงๆ
สำหรับสะพานแห่งนี้เป็นสะพานที่มีตำนานที่น่าสนใจ มันถูกเรียกขานว่า "สะพานของปีศาจ" ที่เรียกกันอย่างนี้ก็เพราะมีเรื่องเล่าขานกันมานานว่า สะพานแห่งนี้ ปีศาจร้ายเป็นผู้เนรมิตขึ้นภายในคืนเดียว แต่ไม่ได้ทำเพราะหวังดีอยากให้ชาวเมืองได้เดินข้ามแม่นํ้ากันอย่างสะดวกสบาย แต่อย่างใด แต่เป็นการสร้างขึ้นด้วยความประสงค์ร้าย เพราะเจ้าปีศาจได้ทำความตกลงกับนักบุญโคลัมบานัส ที่ได้ให้สัญญาว่า หากเจ้าปีศาจสร้างสะพานนี้เสร็จแล้ว ท่านจะอนุญาตให้มันนำดวงวิญญาณของชีวิตแรกที่เดินข้ามสะพานไปได้ ปีศาจร้ายก็เลยชะล่าใจ คิดว่ายังไงถ้าสร้างสะพานแล้ว ก็ต้องมีคนเดินผ่านแหงๆ และมันก็จะได้วิญญาณของคนโชคร้ายนั้นไปเป็นสาวกที่ต้องรับใช้มันไปตลอดกาล ว่าแล้วก็รีบใช้อิทธิฤทธิ์เนรมิตสะพานนี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
นักบุญ โคลัมบานัส
และ แล้ว เมื่อผ่านเวลากลางคืนอันเงียบสงบไป รุ่งเช้า สะพานปีศาจนี้ก็ถือกำเนิดขึ้น เจ้าปีศาจยืนกระหยิ่มยิ้มย่องเฝ้ารอว่า ใครจะชะตาขาดมาเดินผ่านเป็นคนแรก มันจะได้ฉกวิญญาณของเขาไป แต่งานนี้กลับตาลปัตรค่ะ นักบุญโคลัมบานัสท่านมีไหวพริบ และไม่ยอมผิดคำพูด ท่านได้บันดาลให้สิ่งมีชีวิตมาเดินผ่านสะพาน และมอบวิญญาณให้ปีศาจตามสัญญา นั่นคือ... เจ้าหมาน้อยธรรมดาตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ได้รับเกียรติให้เดินเปิดซิงสะพานปีศาจแห่งนี้ เป็นตัวแรก และปีศาจก็สติแตกกลับไป
ก็แหม...หวังจะได้วิญญาณมนุษย์ไปรับใช้สักหน่อย นักบุญโคลัมบานัสกลับเปิดทางให้สุนัขเดินขึ้น มาเสียนี่ จะไปว่าท่านก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างก็เป็นไปตามสัญญาอย่างครบถ้วนแล้ว สะพานนี้ก็เลยถูกขนานนามว่า สะพานปีศาจตามตำนานนี้นี่เอง
สรุปว่า คาร์ลา กลอรี ได้ตั้งทฤษฎีที่เปิดเผยทั้งตัวตนของโมนาลิซา และสถานที่อันเป็นฉากหลัง ซึ่งมีตำนานอันน่าหลงใหลพอๆกับความลึกลับของน้องโมนา
แต่ช้าก่อน...งานนี้มีคนไม่เห็นด้วยกับคาร์ลา กลอรี อีกแยะ เช่น ท่านศาสตราจารย์มาร์ติน เคมป์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดาวินชีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งส่ายหัวดิกๆแล้วบอกว่า จากการศึกษามานาน แม่งามโมนาลิซาไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้ แต่ต้องเป็น ลิซา เดล จิโอคอนโด ภรรยาของฟรานเชสโก เดล จิโอคอนโด พ่อค้าในฟลอเรนซ์ ตามที่เชื่อกันมาหลายปีต่างหาก
พูดถึงอาจารย์เคมป์ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งยืนยันผลงานที่หายไปของดาวินชีมาแล้วชิ้นหนึ่ง เมื่อ 2 ปีก่อน เรื่องของเรื่องก็คือ มีภาพวาดสาวงามนางหนึ่ง ชื่อภาพ Young Girl in Profile in Renaissance Dress หรือสาวน้อยแห่งเรเนซองซ์ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นผลงานของใคร รู้แต่ว่าเป็นภาพเก่าแก่ประมาณ 500 ปี และเหตุผลที่ภาพนี้โด่งดัง ก็เพราะมีความคล้ายคลึงกับผลงานของลีโอนาร์โด ดาวินชี เป็นอย่างมาก เพียงแต่ภาพนี้เป็นภาพขนาดค่อนข้างเล็ก คือ กว้างแค่ 10 นิ้ว สูง 13 นิ้วครึ่ง หรือเล็กกว่าโมนาลิซาครึ่งหนึ่ง แถมยังเป็นภาพที่วาดบนแผ่นหนัง ซึ่งปกติแล้วลีโอฯไม่ค่อยทำแบบนี้ แต่ก็มีการวิเคราะห์กันว่าเหตุผลที่ภาพนี้มีขนาดเล็ก และวาดบนแผ่นหนังก็เพราะเป็นภาพที่ถูกเตรียมการเอาไว้เพื่อเป็นปกหนังสือ ซึ่งมีผู้พยายามศึกษากันหัวแทบแตกมานานว่าใครกันแน่ที่เป็นคนวาดภาพนี้ขึ้น หลายคนอยากจะฟันธงลงไปเหลือเกินว่าเป็นลีโอนาร์โด ดาวินชี แต่เมื่อยังไม่มีหลักฐานอะไรมารองรับ ก็เลยทำให้ต้องแอบๆกระซิบกันว่า หรือจะเป็นผลงานของลูกศิษย์ของลีโอฯหรือเปล่า
แต่ในปี ค.ศ.2009 ที่ผ่านมา ได้มีการนำภาพนี้ไปตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีให้เห็นเบื้องลึกกันชัดๆ ทำให้เห็นระดับชั้นสีที่ศิลปินวาดภาพ จนพบสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คือ รอยฝ่ามือ และรอยนิ้วมือ ที่ตรงกันกับรอยที่เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้ในผลงานอื่นๆของลีโอนาร์โด ดาวินชี โดย เฉพาะรอยนิ้วมือในผลงานที่ฝากไว้ที่วาติกัน เพราะฉะนั้น ก็เลยฟันธงได้ว่า ภาพสาวน้อยผู้ลึกลับนี้จะเป็นผลงานของใครไปไม่ได้ นอกจากลีโอฯแหงๆ
แล้วอาจารย์เคมป์ก็โผล่เข้ามาตอนนี้แหละ ด้วยการเปิดทฤษฎีว่า สาวน้อยลึกลับที่ถูกรัศมีของโมนาลิซาบดบังมานานนี้ ลีโอฯวาดจากนางแบบคนสำคัญคือ จิโอวานนา เบียงกา สฟอร์ซา หรือคุณหนูสฟอร์ซาผู้โด่งดังนั่นเอง
ภาพสาวน้อยลึกลับบนแผ่นหลัง
เอา ล่ะซิ ทีนี้มีทั้งทฤษฎีที่ว่า คุณหนูสฟอร์ซาคือสาวน้อยลึกลับในภาพที่เพิ่งได้รับการเปิดเผยว่าเป็นผลงาน ของลีโอฯ ในขณะเดียวกัน ทฤษฎีใหม่ก็บอกว่า คุณหนูนี่แหละที่เป็นโมนาลิซา
สรุปว่าความลึกลับก็ยังคงลึกลับต่อไป โมนาลิซาก็ยังคงมองอย่างเจ้าเล่ห์ และยิ้มกริ่มเหมือนเยาะหยันพวกเราต่อไป และที่สำคัญ รหัสลับที่ลีโอนาร์โด ดาวินชี ซ่อนเอาไว้ ก็ยังคงเป็นความมืดมนที่มีเพียงแสงสว่างที่ริบหรี่เท่านั้นเอง.
ทีมงานต่วย'ตูน
http://www.thairath.co.th/content/life/146808