ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง  (อ่าน 13208 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2011, 07:55:31 pm »
คำคมที่ว่า "ลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะตน"
ผลเป็นจริงเช่นนั้นหรือไม่...
อ่านคำตอบในเนื้อหาดังต่อไปนี้...
"ชีวิตลิขิตได้ ด้วยตนเอง" บทนิพนธ์ใน
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก...
หนังสือเทิดพระเกียรติคุณสังฆราช
ทรงเจริญพระชนมายุครบ 8 รอบ 96 พรรษา

มูลนิธิจิตอิ่มบุญบารมี จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ดำเนินการส่งเสริม
และสนับสนุนสันติสุขให้บังเกิดมีแก่สังคมทุกระดับ ทุกเชื้อชาติ ศาสนา
ส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา  การอ่านหนังสือธรรมะ
จะสำเร็จประโยชน์ เกิดความรู้ความเข้าใจนั้น ผู้อ่านควรอ่านแบบ
โยนิโสมนสิการ คือ อ่านอย่างมีสติ ค่อยๆคิด ค่อยๆอ่าน ไม่ต้องรีบร้อน
ถ้ายังไม่เข้าใจก็อ่านใหม่ อ่านหลายๆรอบ ปัญญาจักคมขึ้น สามารถเข้าใจ
ธรรมะได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เปรียบเหมือนการเคี้ยวอาหาร ต้องค่อยๆเคี้ยว
ค่อยๆขบ ยิ่งเคี้ยวนาน เคี้ยวให้ละเอียด รสชาติก็ยิ่งโอชากลมกล่อม
ก่อคุณประโยชน์แก่ร่างกายอย่างเต็มที่

"อ่านสิบรอบ คิดสิบหน ฝึกฝนปัญญา ฉลาดใช้ เฉลียวคิด ชีวิตสนุก สุข สงบ เย็น"

การให้ธรรรม ชนะการให้ทั้งปวง ผู้ให้ธรรมทั้งด้วยการให้หนังสือธรรม และทั้งปฏิบัติ
ด้วยตนเองให้ปรากฎเป็นแบบอย่างที่ดีงาม เป็นแบบอย่างของสัตบุรุษ กล่าวว่า
เป็นผู้ให้เหนือกว่าการให้ทั้งปวง เพราะการพยายามช่วยให้คนเป็นผู้มีธรรม
ก็เท่ากับพยายามช่วยคนบนดินคือต่ำเตี้ยให้เข้าใกล้ฟ้าคือสูงส่ง พูดง่ายๆว่า
ช่วยคนให้เป็นคนดีนั้นเอง ....พระวรคติธรรม สมเด็จพระญาณสังวรฯ

คติทางพระพุทธศาสนามีอยู่ว่า ทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนเป็นไปตามอำนาจของบุญและบาป
เป็นผลมาจากการกระทำที่เรียกว่า กรรม...ผลของกรรมดีเรียกว่าบุญ เช่น
บุคคลหนึ่งเกิดมาในตระกูลเศรษฐี มีผิวพรรณผ่องใส อยากได้อะไรก็ได้ดังใจนึก
เรียกคนเช่นนี้ว่า คนมีบุญ  ส่วนผลของกรรมชั่วนั้นเรียกว่าบาป เช่น คนบางคนพอเกิดมา
ก็มีร่างกายพิกลพิการ เรียกคนเช่นนี้ว่า คนมีบาป หรือคนมีกรรมเป็นต้น

พระนิพนธ์เรื่องนี้ทรงมุ่งสอนให้คนเรานั้น ตระหนักถึงผลของกรรมดีและกรรมชั่วว่าจะส่งผล
ต่อชีวิตของผู้ทำแตกต่างกันอย่างไร และทรงย้ำว่าสิ่งต่างๆที่แต่ละคนประสบพบผ่านนั้น
ล้วนแล้วเกิดจากกรรมคือการกระทำของเขาเองทั้งสิ้น ดังความตอนหนึ่งในบทพระนิพนธ์ว่า
"อันเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น นับว่าเป็นกรรมของคน หมายความว่า การที่คนทำขึ้น
และไม่ใช่ว่ากรรมเก่าอะไรที่คนไม่รู้ แต่เป็นกรรมคือการกระทำที่รู้ๆกันอยู่นี่แหละ เมื่อก่อขึ้น
ด้วยกิเลสก็เป็นเหตุทำลายล้าง เมื่อก่อขึ้นด้วยธรรมก็เป็นเหตุเกื้อกูลให้มีความสุข
ในฐานะเช่นนี้ผู้เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า ย่อมใช้ศรัทธาในกรรม และการให้ผลของกรรม
ทำกรรมที่ผิดไว้ก็ต้องรับผิดต่างๆ ทำกรรมที่ชอบไว้ก็ต้องรับชอบต่างๆ จะเลือกเอาอย่างหนึ่ง
อย่างใดหาได้ไม่"

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2011, 08:13:33 pm »
วงจรชีวิต ใครลิขิตให้เราเกิด
อะไรทำให้เราเกิด-ตายไม่รู้จบ

ปัญหาข้อหนึ่งที่คนชอบตั้งคำถามกัน
ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์มาจนถึงทุกวันนี้
คือ ตายเกิด หรือ ตายสูญ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ความจริงในข้อนี้
จึงสิ้นปัญหาในสิ่งที่รู้แล้ว ดังที่ได้ตรัสว่า

กรรม เป็นเหมือนนา (กมฺมํ เขตฺต์)
วิญญาณ เป็นเหมือนพืชที่หว่านลงในนา (วิญฺญานํ พีชํ)
ตัณหา เป็นเหมือนยางเหนียวมีอยู่ในพืช อันจะทำให้พืชนั้น
ปลูกงอกงามขึ้นได้* (ตณฺหา สิเนโห)

เพราะฉะนั้น เมื่อยังมีกรรม วิญญาณและ
ตัณหาอยู่ ก็ยังจะต้องไปเกิดในภพต่างๆ

*ในคัมภีร์อรรถกถาอังคุตตรนิกาย ติกนบาต นวสูตร
พระอรรถกถาจารย์(อาจารย์ผู้แต่งหนังสืออธิบายความบาลี
ในพระไตรปิฏก) อธิบายเรื่องความเกิดขึ้นในภพภูมิต่างๆ
ของสัตว์โลกไว้ว่า "กรรม คือ กุศลกรรมและอกุศลกรรม
เป็นเหมือนนา เพราะเป็นสถานที่เกิดขึ้นแห่งร่างกายเพื่อรับผลกรรม,
วิญญาณ คือ อภิสังขารวิญญาณที่เกิดพร้อมกับกรรม เป็นเหมือนพืช
เพราะเป็นเหตุให้เกิดขึ้น, ตัณหา คือ ความอยาก เป็นเหมือนยางเหนียว
เพราะเป็นเครื่องผูกใจสัตว์ให้ติดอยู่ในภพ ทำให้การเกิดในภพใหม่ยังมีอยู่ต่อไป"

จากคำอธิบายสรุปได้ว่า เราเกิดมาได้ด้วยอำนาจของตัณหาความอยากในใจของเราเอง
เพราะเมื่อตัณหาเกิดขึ้น จะเป็นแรงผลักดันให้ทำกรรมต่างๆดีบ้าง ชั่วบ้าง เมื่อชีวิตนี้
สิ้นสุดลงก็จะชักนำวิญญาณให้ไปปฏิสนธิใหม่เพื่อรับผลของกรรมที่ทำไว้ ท่านจึงเปรียบ
ตัณหาว่าเป็นเหมือนยางเหนียวที่ยึดเอาความเกิดในภพชาติต่อๆไปอย่างไม่สิ้นสุด
แต่พระอรหันต์ที่ท่านหมดตัณหาคือหมดยางเหนียวแล้ว จึงไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
(เสริมสาระโดย ไพยนต์ กาสี คณาจารย์สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง)

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 03:22:22 am »
เราเกิดมาจาก 3 พร้อม

ในการเกิด หมายถึง ในการตั้งครรภ์ของมารดานั้น
ได้มีกล่าวไว้ว่า เพราะประชุมแห่งองค์3 จึงมีการตั้งครรภ์ คือ
1. มารดา บิดา สันนิบาต หมายความว่า อยู่ด้วยกัน
2. มารดามีระดู หมายความว่า ในระดู
3. คันธัพพะ ท่านอธิบายว่า สัตว์ผู้เข้าถึงครรภ์ คือสัตว์ผู้จะเกิดปรากฎ

เพราะความประชุมแห่งองค์3 เหล่านี้ ครรภ์จึงตั้งขึ้น
มารดาบริหารครรภ์ 9-10 เดือนก็คลอดบุตร
และโดยปกติก็เลี้ยงด้วยโลหิตคือน้ำนมของตน
องค์ที่3 น่าจะเป็นปัญหาที่วิชาการแพทย์ในปัจจุบัน
ไม่อาจอธิบายได้ เพราะเป็นเรื่องทางวิญญาณจิตใจโดยตรง

กำเนิดของมนุษย์ คัมภีร์สุตตันตปิฏก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
ว่ามีองค์ประกอบอยู่ 3 ประการ คือ
1. บิดามารดาอยู่ร่วมกัน คือ มีการสมสู่กันระหว่างชายกับหญิงผู้เป็นพ่อแม่
2. มารดามีระดู คือ มีการตกไข่ขึ้นในครรภ์ของแม่ (และมีสเปิร์มของพ่อไปผสม)
3. สัตว์ที่จะมาเกิดในครรภ์ คือ ปฏิสนธิวิญญาณปรากฎ
องค์ประกอบที่3 พระเดชพระคุณพระธรรมวิสุทธิกวี(พิจิตร ฐิตวณฺโณ) ท่านอธิบายไว้
ในหนังสือตายแล้วไปไหน หน้า10 ความว่า "มีสัตว์มาเกิด หมายถึง มีจุติจิต
หรือจุติวิญญาณ เคลื่อนมาปฏิสนธิจึงเกิดเป็นปฏิสนธิวิญญาณขึ้น และปฏิสนธิวิญญาณ
นี้เอง เป็นจิตดวงแรกที่เกิดในชาติใหม่ และจัดเป็นส่วนนามที่สืบต่อมาจากภพชาติก่อนๆ
โดยนำเอาบุญ บาป กรรม กิเลสติดมาด้วย" องค์ประกอบทั้ง 3 ประการนี้จะขาดข้อใด
ข้อหนึ่งไม่ได้ มิเช่นนั้นจะไม่มีการเกิดขึ้นของชีวิตได้เลย (เสริมสาระโดยไพยนต์ กาสี)

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 03:37:42 am »
เราสร้างความอยากเอง=เราสร้างความเกิดใหม่อีก

ทางพระพุทธศาสนา ปัญหาเรื่องตายแล้วเกิดใหม่อีกหรือไม่
เป็นเรื่องประกอบเท่านั้น เพราะมุ่งสอนให้คนละความไม่ดี
ให้ทำความดีในชาตินี้ แต่ส่วนมากก็อดสงสัยมิได้ในเรื่องเกิดตาย
และกล่าวได้ว่า ส่วนมากเชื่อว่าตายแล้วเกิดอีก

สรุปความในตอนนี้ว่า เรื่องตาย เกิดหรือไม่เกิด ใครจะเชื่อหรือไม่
อย่างไร ไม่สำคัญ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า ความจริงเป็นอย่างไร
ตายแล้วเกิดอีกหรือไม่เกิด ปัญหาจึงมีว่า ใครจะเป็นผู้บอกได้
จะรู้จริงได้อย่างไร...ตอบได้ว่า ผู้บอกมีอยู่แล้ว คือ พระพุทธเจ้า
ท่านตอบไว้ในหลักอริยสัจสี่ ถอดความมาสั้นๆว่า
มีตัณหา(ความอยาก) ก็มีชาติ(ความเกิด) สิ้นตัณหา ก็สิ้นชาติ"

แต่จะรู้จริงด้วยตนเองได้นั้น มีผู้แนะว่าต้องทำสมาธิจนได้ดวงตาชั้นใน
มองเห็นความจริงได้ด้วยตนเอง จึงจะสิ้นสงสัย ถ้ายังไม่ได้ดวงตาชั้นใน
อย่างดีก็ต้องอาศัยศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าไปก่อน...

ในครั้งพุทธกาล มีแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่งชื่อ ท่านสีหะ ไปเฝ้ากราบทูลถามว่า
จะทรงอาจบัญญัติแสดงผลทานที่มองเห็นได้ในปัจจุบันได้หรือไม่...

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ได้ คือ เป็นที่รักของชนมาก, เป็นที่คบหาของคนดี,
มีเสียงพูดถึงในทางดีงาม, กล้าเข้ามาหมู่คนชั้นต่างๆ, ตายไปสุคติ(ไปดี)โลกสวรรค์

ท่านแม่ทัพสีหะกราลทูลว่า 4 ข้อต้น ไม่ต้องถึงความเชื่อต่อพระพุทธเจ้า
เพราะรู้ได้ด้วยตนเอง ส่วนข้อหลังไม่รู้ แต่ก็ถึงความเชื่อต่อพระพุทธเจ้าในข้อนั้น

ท่านแม่ทัพเป็นทหาร ทราบทูลตรงๆ รู้ว่ารู้ ไม่รู้ว่าไม่รู้ แต่ก็มีศรัทธาต่อพระพุทธองค์มั่นคง
ฉะนั้น ถึงไม่รู้ แต่มีผู้รู้เป็นผู้นำทาง และมีความเชื่อฟังผู้รู้ ก็ย่อมเดินถูกทางแน่





เราเกิดมาทำไม
ตอบปัญหานี้ได้ต้องอาศัยการอนุมานและการศึกษา

เราเกิดมาทำไม ปัญหานี้ถ้าตั้งขึ้นคิด ก็น่าจะจน
เพราะขณะเมื่อทุกคนเกิดนั้น ไม่มีใครรู้
มารู้เมื่อเกิดมาและพอรู้เดียงสาแล้วว่า
มีตัวเราขึ้นคนหนึ่งในโลก

แต่ทุกๆคนย่อมมีความไม่อยากตาย กลัวความตาย
อยากจะดำรงชีวิตอยู่นานเท่านาน นอกจากนี้
ยังมีความอยากในสิ่งต่างๆอีกมากมาย คล้ายกับว่า
ความที่ต้องเกิดมานี้ ไม่อยู่ในอำนาจของตนเอง
มีอำนาจอย่างหนึ่งทำให้เกิดมา ตนเองจึงไม่มีอำนาจ
หรือไม่มีส่วนที่จะตั้งวัตถุประสงค์แห่งความเกิดของตนว่า
เกิดมาเพื่อทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือเพื่อเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

ดูล้ายๆกับจะเป็นดังที่ว่ามานี้ ที่ว่าดูคล้ายๆก็เพราะความไม่รู้
หรือจะเรียกว่า "อวิชชา" ก็น่าจะได้

แต่ถ้าจะยอมจำนนต่อความไม่รู้ก็ดูจะมักง่ายมากไป
น่าจะลองทำตามหลักอันหนึ่งที่ว่า อนุมาน และศึกษา
คือสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาก็รู้ได้ง่าย แต่สิ่งที่ไม่ประจักษ์
แก่สายตาก็ใช้อนุมาน โดยอาศัยการสันนิษฐานและ
ใช้การศึกษาในถ้อยคำของท่านผู้ตรัสรู้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 02:49:41 pm »
เกิดมาเพื่อสนองความอยาก
และสนองกรรมของตนเอง

พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ ได้ตรัสไว้แปลความว่า
"ตัณหา(ความอยาก)ยังคนให้เกิด" และว่า
"โลก คือ หมู่สัตว์ ย่อมเป็นไปตามกรรม"

ลองอนุมานดูตามคำของท่านผู้ตรัสรู้นี้
ดูตามความอยากในกระแสปัจจุบันก่อนว่า
สมมติว่า อยากเป็นผู้แทนราษฎร ก็สมัครรับเลือกตั้ง
และทำการหาเสียง เมื่อได้ชนะคะแนน ก็ได้เป็น

นี้คือ ความอยาก เป็นเหตุให้ทำกรรม คือ ทำการต่างๆ
ตั้งต้นแต่การสมัคร การหาเสียง เป็นต้น ซึ่งเป็นเหตุ
ให้ได้รับผล คือได้เป็นผู้แทน หรือแม้ไม่ได้เป็น ถ้าจะ
ตัดตอนเอาเฉพาะความเกิดมาในช่วงแห่งชีวิตตอนนี้
ก็จะตอบปัญหาข้างต้นนั้นได้ว่า "เกิดมาเพื่อเป็นผู้แทน"

ตัวอย่างนี้เป็นรายละเอียดเฉพาะเรื่อง ถ้าจะตอบให้
ครอบคลุมทั้งหมดก็ควรจะตอบได้ว่า
"เกิดมาเพื่อสนองความอยาก และสนองกรรมของตนเอง"




ทุกคนมีความอยากฝังในจิตสันดาน

แต่การกล่าวดังนี้ เป็นการกล่าวครอบคลุมทั้งหมด
เหมือนอย่างที่เรียกกันว่า พูดอย่างกำปั้นทุบดิน
เพราะยังอาจกล่าวจำแนกออกไปได้อีกหลายลักษณะ
หลายประการ และถ้าจะแย้งว่า ตอบอย่างนั้นมันพอฟังได้
สำหรับกระแสชีวิตปัจจุบัน แต่เมื่อเกิดมาทีแรกยังมองไม่เห็น
เพราะไม่รู้จริงๆ ถ้าแย้งดังนี้ ก็ต้องตอบว่า ฉะนั้นจึงว่า
ต้องใช้วิธีอนุมานโดยสันนิษฐาน ถ้ารู้จริงแล้วจะต้องอนุมานทำไม
และอาศัยคำของท่านผู้ตรัสรู้เป็นหลัก ดังจะลองอนุมานต่อไปว่า
จริงอยู่ เมื่อเกิดมาไม่รู้ แต่เมื่อรู้ขึ้นแล้ว ก็มีความกลัวตาย
อยากดำรงชีวิตอยู่นานเท่านาน แสดงว่า ทุกคนมีความอยาก
ที่เป็นตัวตัณหานี้ เพราะความตาย เป็นความสิ้นสุดแห่งชีวิต
ในภพชาติอันหนึ่งๆ เมื่อยังมีความอยากดำรงชีวิตอยู่ในจิตสันดาน
ก็เท่ากับความอยากเกิดอีก เพื่อให้ดำรงอยู่ตามที่อยากนั้น
ทั้งต้องเกิดตามกรรม เป็นไปตามกรรม จึงสรุปได้ว่าเราเกิดมา
ด้วยตัณหา คือ ความอยาก และ กรรม เพื่อสนองตัณหาและกรรม
ของตนเอง ตัณหาและกรรมจึงเป็นตัวอำนาจหรือผู้สร้างให้เกิดมา

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 02:59:53 pm »
เราคือผู้สร้างอำนาจตัณหา และอำนาจกรรม

ใครเล่าเป็นผู้สร้างตัวอำนาจนี้ ตอบได้ว่า คือ ตนเอง
เพราะตนเองเป็นผู้อยากเอง และเป็นผู้ทำกรรมเอง
จึงกล่าวได้ว่า ตนเองนี้แหละ เป็นผู้สร้างตนเองให้เกิดมา

ผู้ถือทางไสยกล่าวว่า ชีวิตของคนเรานี้ มีพรหมลิขิต คือ
พระพรหมกำหนดเหมือนอย่างเขียนมาเสร็จ ว่าจะเป็นอย่างไร

แต่ผู้ถือทางพุทธมักใช้ว่า กรรมลิขิต คือ กรรมกำหนดมา
โดยผลก็เป็นอย่างเดียวกัน คือ มีสิ่งกำหนดให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้

น่าพิจารณาว่า ทางพระพุทธศาสนาแสดงไว้จริงๆอย่างไร?
ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า "มากตเหตุ อย่าถือว่าเพราะเหตุ
แห่งกรรมที่ได้ทำไว้" คือ อย่าถือว่าทุกๆอย่างที่จะได้รับ มีเพราะ
เหตุแห่งกรรมที่ได้ทำไว้แล้ว เพราะถ้าถืออย่างนั้น ก็จะไม่ต้องทำ
อะไรขึ้นใหม่ รออยู่เฉยๆอย่างเดียว เพื่อให้กรรมเก่าสนองผลต่างๆ
ขึ้นเอง ถือเอาความดังนี้ ก็เท่ากับไม่ให้ถือกรรมลิขิตนั่นเอง

มีปัญหาว่า ถ้าเช่นนั้น พระพุทธศาสนาแสดงเรื่องกรรมไว้ทำไม?
พิจารณาดูจะตอบได้ว่า แสดงเรื่องกรรมไว้เพื่อให้รู้ว่า กรรม เป็นเหตุ
ให้วิบาก คือ ผล ตั้งแต่ให้กำเนิดเกิดมา และติดตามให้ผลต่างๆแก่ชีวิต
ทำนองกรรมลิขิตนั่นแหละ




ทุกวันเราต้องมุ่งมั่นสร้างอำนาจกรรมดี

แต่กระบวนการของกรรมที่ทำไว้ มีความสลับซับซ้อนมาก ทั้งเกี่ยวกับเวลา
ที่กรรมให้ผล ข้อสำคัญที่สุด คือ เกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคล
ในปัจจุบัน คือ ทางพระพุทธศาสนาสอนให้ไม่เป็นทาสของกรรมเก่า เช่นเดียวกับ
ให้ไม่เป็นทาสของตัณหา แต่ให้ละกรรมชั่ว กระทำกรรมดี และชำระจิตใจของตน
ให้บริสุทธิ์สะอาดตามหลักพระโอวาท 3 หรือกล่าวโดยทั่วไป มีกิจที่ควรทำ
ก็ทำโดยไม่ต้องนั่งรอนอนรอผลของกรรมเก่าอะไร ความพิจารณาเพื่อให้รู้กรรม
และผลของกรรมนั้น ก็เพื่อให้จิตเกิดอุเบกขา ในเวลาที่เกิดเหตุการณ์เหลือที่จะ
ช่วยแก่ทั้งคนที่เป็นที่รักและที่ชัง กับเพื่อจะได้ปฏิบัติตนตามหลักพระโอวาท 3 ข้อนั้น

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2011, 01:22:02 am »
 :13: อนุโมทนาครับ ขอบคุณครับพี่เล็ก
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2011, 06:59:49 pm »
เราเกิดมา ตามที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาทำ

คนเรามีจิตใจที่เป็นต้นเดิมของกรรมทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นกรรมเก่า หรือกรรมใหม่ เพราะจะต้อง
มีจิตเจตนาเกิดขึ้นก่อน แล้วจึงทำกรรมอะไรออกไป
ฉะนั้น จึงสามารถจะทำอธิษฐาน คือ ตั้งใจว่า
จะประสงค์ผลอันใด เมื่อประกอบกรรมให้เหมาะ
แก่ผลอันนั้น ก็จะได้รับความสำเร็จ

ดังนั้น จึงสามารถตอบปัญหาว่า "เราเกิดมาทำไม"
ได้อีกอย่างหนึ่งว่า "เราเกิดมา ตามที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาทำ"

เป็นอันไม่พ้นจากคำตอบที่ว่า เราเกิดมาเพื่อสนองตัณหา
และกรรมของตนเอง...แต่คนดี ย่อมมีอธิษฐานใจที่ดี
ดังพระโพธิสัตว์ทรงอธิษฐานพระหทัยเพื่อบำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง
ความเกิดของพระองค์ในชาติทั้งหลาย เพื่อบำเพ็ญบารมี คือ
ความดีต่างๆ ให้บริบูรณ์

*บารมี 10 ภาษาธรรมเรียกว่า สมติงสบารมี แปลว่า บารมี 30 ทัศ
โดยท่านจัดลำดับการบำเพ็ญออกเป็น 3 ระดับ คือ
บารมี การทำความดีในระดับสามัญ เช่น ทานบารมี ได้แก่ การให้สมบัตินอกกาย
อุปบารมี การทำความดีในระดับกลาง เช่น ทานอุปบารมี ได้แก่ การให้อวัยวะ
ปรมัตถบารมี การทำความดีในระดับสูง เช่น ทานปรมัตถบารมี ได้แก่ การให้ชีวิต เป็นต้น



เราเกิดมา เพื่อทำความดี

อันที่จริง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะถือว่าตนเกิดมาเพื่อบำเพ็ญความดีให้มากขึ้น
และสามารถที่จะบำเพ็ญความดีได้
ความสำนึกเข้าใจตนเองไว้ว่า "เราเกิดมาเพื่อทำความดี"
"เราเกิดมาเพื่อเพิ่มพูนปัญญา คือ ความรู้ความฉลาด"
ดังนี้ ย่อมมีประโยชน์ ไม่มีโทษ เพราะจะทำให้ขวนขวายทำความ
คือ ผลของกรรม และกิเลสของตนเอง

แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่ง คือ ความดีที่แต่ละคนได้อบรมสั่งสมมา
อันเรียกว่า บารมี คือ ความดีที่เก็บพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งจะส่งเสริมจิตใจให้เกิดความเห็นที่ถูกต้อง และ ดำเนิน
ไปในทางที่ถูก

*บารมี แปลว่า ปฏิปทาเป็นเครื่องให้ถึงฝั่ง, ข้อปฏิบัติเป็นไป
เพื่อประโยชน์สุขอันยิ่งใหญ่ หมายถึง คุณความดีที่ได้
บำเพ็ญไว้ในอดีตอย่างยิ่งยวด โดยปกติจะใช้เรียกคุณความดี
ในอดีตของพระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญมาอย่างยาวนาน
เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ตัวอย่างการบำเพ็ญ
บารมีที่ได้ยินกันบ่อย เช่น เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระมหาชนก
ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี เป็นต้น

บารมี มี 10 อย่าง คือ ทาน มีใจเอื้อเฟื้อในการให้,
ศีล รักษากายวาจาเป็นปกติ, เนกขัมมะ ดำริออกจากกาม,
ปัญญา ความรู้ทุกอย่างจริงแท้, วิริยะ แน่วแน่พากเพียรทำไป,
ขันติ อดทนได้ในทุกสถานการณ์, สัจจะ ยึดมั่นในความจริง,
อธิษฐาน ไม่ละทิ้งความตั้งใจ, เมตตา ให้ความรักต่อผู้คน,
และอุเบกขา วางตนเป็นกลาง

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2011, 07:11:46 pm »
สั่งสมปัญญาบารมี=ลิขิตชีวิตตนให้ได้ดี

ท่านกล่าวไว้ว่า มนุษย์เราเกิดมาด้วยอำนาจของกุศล
คือ กุศลจิตและกุศลกรรม ไม่ว่าจะเกิดมายากดีมีจนอย่างไร
เพราะมนุษยภูมิ* เป็นผลของกุศล ทุกคนจึงชื่อว่ามีกุศล
หนุนมาให้เกิดด้วยกันทั้งนั้น จึงได้ชื่อว่า มนุษย์
ที่แปลอย่างหนึ่งว่า ผู้มีใจสูง คือ มีความรู้สูง ดังจะเห็นได้ว่า

คนเรามีพื้นฐานปัญญาสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานมากมาย
สามารถรู้จักเปรียบเทียบในความดีความชั่ว ความควรทำ
ไม่ควรทำ รู้จักละอาย รู้จักเกรง รู้จักปรับปรุงสร้างสรรค์สิ่งที่
เรียกว่า "วัฒนธรรม" "อารยธรรม" "ศาสนา"เป็นต้น

แสดงว่า มีความดีที่ได้สั่งสมมา โดยเฉพาะปัญญา เป็น
รัตนะอันส่องแสงสว่างนำทางแห่งชีวิต ถึงดังนั้นก็ตาม
คนเราก็ยังมีความมืดที่มาเกิดกำบังจิตใจ ให้เห็นผิดเป็นชอบ
ความมืด ที่สำคัญนั้นคือ กิเลสในจิตใจ และกรรมเก่างทั้งหลาย**

*การจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ต้องเป็นผู้ได้บำเพ็ญกุศลธรรมคือ
ศีล 5 และกุศลกรรมบถ 10 (ไม่ทำกรรมชั่วทางกาย 3 อย่างคือ
ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม, ทางวาจา 4 อย่างคือ
ไม่พูดโกหก, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดให้เกิดความผิดใจกัน,
ไม่พูดเหลวไหลไร้สาระ, ทางใจ 3 อย่างคือ ไม่โลภอยากได้ของคนอื่น,
ไม่พยาบาทปองร้ายใคร, มีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม)
มาแล้วในอดีตชาติ จึงจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

**เพราะเหตุที่คนยังมีกิเลส และกรรมเก่า ท่านจึงได้แบ่งประเภทคน
ออกเป็น 4 ประเภท คือ
-ผู้มืดมาแล้วมืดไป เกิดมาพบกับความลำบากในการดำเนินชีวิต
แต่ก็ยังคิดไม่ได้ว่าเป็นไปตามกรรม เมื่อตายไปก็ย่อมไปสู่ทุคติ
-ผู้มืดมาสว่างไป เกิดมาเหมือนบุคคลข้างต้น แต่มีจิตสำนึกคิดได้ว่า
ตนสร้างกรรมมาไม่ดี ในชาตินี้จึงตั้งมั่นในการทำความดี
-ผู้สว่างมามืดไป เกิดมาในชาตินี้มีความสมบูรณ์พร้อม แต่เกิด
ความประมาทในชีวิตหลงผิดทำชั่ว ต้องพบความหมองมัวทั้งในชาตินี้
และชาติหน้า
-ผู้สว่างมาสว่างไป เกิดมาชาตินี้ก็ดีพร้อมและไม่หยุดหย่อนในการทำดี
ให้ยิ่งๆขึ้นไป มีโอกาสได้เกิดในภพภูมิที่สูงยิ่งขึ้นไปกว่ามนุษยภูมิ

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: ชีวิตลิขิตได้ด้วยตนเอง
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2011, 06:22:04 pm »
ผู้ปกครองดีดี ช่วยเราสร้างกรรมใหม่ดีดี

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กรรมมี 2 อย่าง  คือ
1. ปุราณกรรม ได้แก่ กรรมเก่า
2. นวกรรม ได้แก่ กรรมใหม่

อะไรคือกรรมเก่า ไม่มีอธิบายอื่น จะอธิบายอย่างมองเห็น
เช่น พระพุท่ธาธิบายที่ตรัสไว้ความว่า "กรรมเก่า คือ
ตา หู  จมูก ลิ้น กาย และมนะ(ใจ)" กล่าวคือ ร่างกายที่
ประกอบด้วยอายตนะทั้ง 6 นี้แหละเป็นตัวกรรมเก่า
เป็นกรรมเก่าที่ทุกๆคนมองเห็น

นอกจากนี้ ยังเป็นวัตถุที่ตั้งแห่งกรรมใหม่ทั้งปวงอีกด้วย
เพราะกรรมที่ทำขึ้นในปัจจุบันจะเป็น กายกรรม วจีกรรม
มโนกรรม ก็อาศัยกรรมเก่านี้แหละ เป็นเครื่องมือกระทำ
ทั้งกรรมเก่านี้ ยังเป็นชนวนให้เกิดเจตนาที่ทำกรรมใหม่ๆทั้งหลายด้วย

อะไรคือกรรมใหม่ ก็ได้แก่ การงานที่ ทำ พูด คิด ด้วยเจตนา
มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะ ตา หู เป็นต้น มิใช่ว่าจะมีไว้เฉยๆ
ต้องดูต้องฟัง แล้วก็ก่อกิเลส เช่น ราคะ (ความติดความยินดี),
โทสะ (ความขัดเคือง), โมหะ (ความหลงไหล), ให้เกิดขึ้น

ขณะที่ร่างกายเจริญในวัยหนุ่มสาว กล่าวได้ว่า กรรมเก่ากำลังเติบโต
เป็นหนุ่มสาว ตาหู เป็นต้น ก็ยิ่งเป็นสื่อแห่งราคะ โทสะ และเป็นสื่อ
แห่งกรรมต่างๆ ตามอำนาจของจิตใจที่กำลังระเริงหลง จึงจำต้องมี
การควบคุมปกครอง จะปล่อยเสีย หาได้ไม่ ถ้าตนเองควบคุมตนเองได้
ก็เป็นวิเศษที่สุด แต่ถ้าควบคุมตนเองไม่ได้ ก็ต้องมีผู้ใหญ่ เช่น
มารดา บิดาและผู้ใหญ่ต่างๆที่เกี่ยวข้องควบคุมให้อยู่ในระเบียบ
วินัยที่ดีงาม ให้เกิดความสำนึกว่า "เรานี่ เกิดมาเพื่อทำความดี"

พระพุทธองค์นอกจากทรงแสดงกรรมเก่าและกรรมใหม่ไว้แล้ว
ยังทรงแสดงความดับกรรม และวิธีดับกรรมทั้ง 2 อย่างไว้ว่า
"บุคคสัมผัสวิมุตติ(ความหลุดพ้น) เพราะความดับกายกรรม
วจีกรรม มโนกรรม นี้ชื่อว่าเป็นความดับกรรม มรรคมีองค์ 8 คือ
เห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ
พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ นี้ชื่อว่าเป็นข้อปฏิบัติ
ให้ถึงความดับกรรม" ดังนั้น หลักการแก้กรรมตามหลักพุทธศาสนาก็คือ
การหยุดทำความชั่วทางกาย วาจา ใจ ด้วยการปฏิบัติตามหลักมรรค 8
เมื่อย่อให้สั้นก็คือปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง