ผู้เขียน หัวข้อ: ดับร้อน กาย หายใจ ด้วยวิถีไทยๆ  (อ่าน 5852 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
ดับร้อน กาย หายใจ ด้วยวิถีไทยๆ
« เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2011, 04:40:31 pm »

             

ดับร้อน กาย หายใจ ด้วยวิถีไทยๆ
โดย…วันพรรษา อภิรัฐนานนท์

ใช้ชีวิตอย่างไรไม่ให้ร้อน คนโบราณใช้ชีวิตหน้าร้อนอย่างไรไม่ให้ร้อน
ง่ายนิดเดียว ก็ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือภูมิปัญญาพื้นบ้านนี่เอง….

สมัยก่อนไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีพัดลมยี่ห้อดังๆ ไม่มีตู้เย็นหรูออปชันเพียบเหมือนปัจจุบัน สรุปว่าแทบจะไม่มีเครื่องบำบัดความร้อนที่ผลิตจากเครื่องไม้เครื่องมือ เทคโนโลยีทันสมัย แต่คนโบราณเขาก็อยู่กันอย่างมีความสุขในช่วงหน้าร้อนนะ เพราะเหตุใดคน สมัยนี้คงต้องเก็บมาคิด และนำมาปรับใช้กับวิถีชีวิตในปัจจุบันดูบ้าง จะได้ไม่ต้องเปิดแอร์ตะพึด (ถูกกะ-ตังค์ ดีด้วย..อิอิ)

ผู้ที่จะมาช่วยชี้แนะทางเลือกใหม่ๆ (ความจริงเป็นทางเลือกเก่าๆ) คือ นพ. นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งให้ความสนใจงานอนุรักษ์ภูมิปัญญาของชาติเป็นพิเศษ ทางเลือกด้วยวิถีไทยๆ ที่นำมาเล่าสู่จึงเป็นภูมิปัญญาน่าทึ่งที่รับรองว่าจะช่วย ดับร้อนกาย หายร้อนใจในวันที่อุณหภูมิพุ่งปรี๊ดๆ แบบทุกวันนี้ได้แน่

ใช้ชีวิตอย่างไรไม่ให้ร้อน คนโบราณใช้ชีวิตหน้าร้อนอย่างไรไม่ให้ร้อน คุณหมอ บอกว่าง่ายนิดเดียว ก็ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือภูมิปัญญาพื้นบ้านนี่เอง นำมาใช้ดูแลตัวเองตามหลักธรรมชาติ นับตั้งแต่อาหารการกิน หน้าร้อนต้องรับประทานอาหารที่มีรสจืด รสเย็น หรือ ขมเล็กน้อย เพื่อดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ถ้าจะเผ็ดก็เผ็ดพอประมาณ กระตุ้นการเจริญอาหารได้บ้างเล็กน้อย

สำหรับพืชผักที่เหมาะสำหรับการบริโภคหน้าร้อน ส่วนใหญ่อยู่ในตระกูลฟัก แฟง แตงโม แตงกวา ผักทอดยอด ตำลึง ผักบุ้ง กระเฉด บัว และ มะระ สำหรับเครื่องดื่มก็ปรุงจากสมุนไพรช่วยดับกระหาย น้ำสมุนไพรคลายร้อนที่รู้จักกันดีคือ น้ำใบบัวบก น้ำว่านรางจืด น้ำใบเตย และ น้ำชาเขียวใบหม่อน ทั้งหมดไม่ต้องซื้อหาราคาแพง ปรุงรับประทานด้วยตัวเองได้แสนจะง่าย


ตำรับลับตรีผลา นอกเหนือจาก น้ำสมุนไพร ดับร้อน ทั่วไป ยังมีน้ำสมุนไพรตามตำราโบราณที่น้อยคนนักจะรู้จักอีกหนึ่ง ส่วนใหญ่รู้จักเฉพาะคนในวงการแพทย์แผนไทย คือ น้ำสมุนไพรตำรับตรีผลา ถือเป็นความชาญฉลาดอันแยบยลของบรรพบุรุษ จึงอยากเผยแพร่เพื่อผู้สนใจ จะนำไปปรุงดื่มกันในครอบครัว น้ำตรีผลาประกอบด้วย 1.สมอไทย 2.สมอพิเภก และ 3.มะขามป้อม ตามตำรับให้ใช้อัตราส่วนของผลทั้งสามอย่างละ 1 ส่วน นำไปต้มในน้ำเดือด จากนั้นเคี่ยวจนมีสีของผลสมุนไพร ออกมา ปรุงรสตามชอบ ถ้าไม่ชอบขมหรือเปรี้ยวฝาดมาก อาจเติมน้ำลงไปได้บ้าง

เบญจเกสร หรือ เกสรทั้งห้า
ส่วนผสม


1.ดอกมะลิ 1 ส่วน
2.ดอกพิกุล 1 ส่วน
3.ดอกบุนนาค 1 ส่วน
4.ดอกสารภี 1 ส่วน
5.เกสรบัวหลวง 1 ส่วน

วิธีปรุง
ต้มน้ำให้เดือด นำส่วนผสมทั้งหมดในอัตราที่เท่ากัน ใส่ในภาชนะชงชา เทน้ำกรองเอาเฉพาะน้ำที่ต้ม ใส่ ถ้วยดื่ม จิบคลายร้อนชื่นใจดีนัก ถ้าต้องการให้หอม น่าดื่มขึ้นไปอีก ให้นำใบเตยหอมมาหั่นแล้วคั่วไฟอ่อนๆ ใส่ต้มพร้อมกับส่วนผสมทั้งหมด

สรรพคุณ - ปรุงเป็นยาหอมเพื่อบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต ชูกำลัง แก้ลมวิงเวียน ใจสั่น แก้อาการหน้ามืดตาลาย บำรุงประสาท แก้โรคตา แก้ร้อนในกระหายน้ำ และแก้ไข้ แต่ถ้าไม่สามารถหาให้ครบเกสรทั้ง 5 สามารถใช้เฉพาะดอกสารภีอย่างเดียวก็ได้ โดยเลือกเอาดอกที่เริ่มบานซึ่งเป็นสาระสำคัญ

น้ำสมุนไพรรางจืด
ส่วนประกอบ


1.รางจืดทั้งต้น 1 กำมือ
2.น้ำเปล่าสะอาด 1 ลิตร

วิธีปรุง
1.นำใบรางจืด ล้างน้ำให้สะอาด
2.นำน้ำเปล่าสะอาด ใส่ภาชนะตั้งไฟ ใส่ใบรางจืดลงไป
3.ต้มให้เดือด เคี่ยว 15-20 นาที
4.นำมากรองเอากากออก รินน้ำดื่ม

สรรพคุณ - รางจืดมีรสเย็น ใช้ปรุงเป็นยาเขียว ถอนพิษไข้ ถอนพิษผิดสำแดง และพิษอื่นๆ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ พิษเบื่อเมา เนื่องจากเห็ดพิษ สารหนู และพิษสุราเรื้อรัง

กระแจะ ชโลมกาย
 วิถีชีวิตโบราณสมัยปู่ยาตาทวด ทำกันเสมอในช่วงหน้าร้อน ได้แก่ การใช้แป้งกระแจะชโลมร่างกาย ที่นิยมคือดินสอพอง ซึ่งก็คือหินปูนเนื้อมาร์ล (marly limestone) สารประกอบหลักเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต เมื่อนำน้ำมะนาวซึ่งเป็นกรดบีบใส่ จึงทำปฏิกิริยาเกิดเป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ฟองฟูขึ้น เห็นเป็นดิน พองตัว โบราณใช้ทำแป้งประร่างกายให้เย็นสบาย เมื่อผสมน้ำหอมเข้าไปด้วยก็กลายเป็นแป้งกระแจะ

ประโยชน์นั้นมากหลาย ใช้ผสมน้ำอบไทย ทาตัว แก้ร้อน ผดผื่นคัน ห้ามเหงื่อ รวมทั้งช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษเผ็ดที่โดนพริก ในทางยาไทยดินสอพองมีรสเย็น เป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้านที่ผลิตจากดินธรรมชาติกับน้ำ คนไทยส่วนใหญ่ใช้ร่วมกับแป้งหรือเครื่องหอม ประพรมตามร่างกายในหน้าร้อน เย็นทั้งกายและเย็นทั้งใจ รวมทั้งหอมฟุ้งชื่นใจเป็นที่สุด

ศีล-เมตตา รักษาใจ

ชาวพุทธโดยทั่วไป อย่างน้อยควรมีพื้นฐานของธรรมประจำใจ ข้อธรรมต่อไปนี้เป็นปรารภธรรมของท่านพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก แห่งวัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ว่าด้วยศีลและเมตตา ซึ่งช่วยอบรมใจให้พ้นจากความรุ่มร้อน ท่านว่า ศีลคือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 ข้อ เหล่านี้เป็นอาการของศีล ตัวศีลจริง คือจิต หรือเจตนาเป็นศีลเพียงข้อเดียว ซึ่งหมายถึง หนักแน่น เป็นปกติ ไม่ยินดี ไม่ยินร้ายกับสิ่งที่มากระทบทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ

มีศีลคือ ตั้งเจตนาถูกต้อง ที่จะละความโลภ โกรธ หลง ไม่คิดเบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น วิธีปฏิบัติเบื้องต้นของอาจารย์ซึ่งท่านสอนอยู่เสมอคือ

“หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
ให้มีสติ มีความรู้สึกตัวชัดเจน
เมื่อมีความรู้สึกตัวชัดเจนกับลมหายใจแล้ว
ความคิดไม่ดี ความรู้สึกไม่ดี ก็ตั้งอยู่ไม่ได้

ความสบายใจ สงบใจ จะเข้ามาแทน
สบายใจ สงบใจ ในทุกสถานการณ์
คือรักษาใจเป็นปกติ ใจเป็นศีล
มีเมตตา คือ เราทำจิตใจของตัวเองให้มี
ความสบายใจ สุขใจได้ในทุกสถานการณ์

อะหัง สุขิโต โหมิ
ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ถึงสุข”

พระโมคคัลลาน์ ดับไฟนรก กลางเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา เดินทางไปงานศพญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ได้รับหนังสือแจกงานศพเป็น มนต์พิธีที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือคาถาพระโมคคัลลาน์ดับไฟนรก คาถานี้ใช้ดับพิษไฟสารพัด หายสิ้น ทั้งร้อนกาย ร้อนใจ ไม่ร้อน ไม่พอง ใครสนใจจะนำไปท่อง แก้ร้อนก็ได้ ง่ายและสั้นนิดเดียว

เถโร โมคคัลลาโน นะระกัตตัง โลหะกุมภี ทิสวา อัคคีปัตติ กัมปะติ

http://soclaimon.wordpress.com/category/%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B9%8C/health-me/%E0%B9%83%E0%B8%88/page/4/