แต่กลับนำเขียงไม้ไปพาดกับปากหม้อข้าวต้มใบใหญ่
ที่กำลังเดือดพลั่กๆอยู่
แล้วเอาปลายไม้ข้างหนึ่งพาดหมิ่นๆไว้ที่ปากหม้อข้าว
จากนั้นเธอจึงเดินออกไปแอบดูอยู่ใกล้ๆ
ฝ่ายเจ้าลูกสุนัขเมื่อเห็นไม่มีคนอยู่ตรงนั้น
มันจึงกระโดดเต็มแรงเพื่อขึ้นมากินเนื้อหมูสับอย่างเคย
แต่ทว่าปลายไม้ที่วางหมิ่นๆพาดกับปากหม้อข้าวไว้นั้นได้กระดกขึ้นมา
ทำให้เจ้าลูกสุนัขตกลงไปในหม้อข้าวต้มที่กำลังเดือดพลั่กๆทันที
ผลคือตายคาที่ โดยไม่มีโอกาสได้ร้องเลยสักแอะเดียว
อนิจจา..เจ้าหมาน้อย
เมื่อจัดการกับเจ้าลูกสุนัขได้แล้วเธอก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเป็นอันมาก
เพราะไม่ต้องมาคอยกังวลว่า
เนื้อหมูสับจะหายไปอีก เพียงไม่กี่วันเธอก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท
ประกอบกับหลังจากนั้นไม่มีงานศพที่วัดเธอจึงไม่มีงาน
ที่ต้องมาทำอาหารเลี้ยงแขกเวลาผ่านไป 7 วันครบวันที่ลูกสุนัขตายพอดี
วันนั้นเผอิญมีงานศพที่วัดแม่ครัวคนนี้ก็เข้าไปรับงานจัดเลี้ยงเหมือนเดิม
วันนั้นเป็นวันแรกของงานศพเธอจึงได้ต้มข้าวต้มหมูเหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆมา
ขณะที่ข้าวต้มกำลังเดือดพลั่กๆอยู่นั้นเธอก็บอกคนงานให้มาช่วย
ยกหม้อข้าวลงจากเตาไฟ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ก็เกิดขึ้น หูหิ้วหม้อข้าวต้มข้างที่เธอถือนั้นเกิดหักหลุดจากมือ
ตัวเธอจึงถลำลื่นหัวทิ่มลงไปในหม้อข้าวต้มใบใหญ่
ที่กำลังเดือดพลั่กๆ นั้น ตายทันทีโดยไม่ทันได้ร้องสักแอะเดียว
เป็นชะตากรรมเดียวกับที่เธอทำกับเจ้าลูกสุนัขตัวนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน!!
ลูกสุนัขกับแม่ครัวคนนี้คงจะเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมา
หลายภพหลายชาติ ผูกพยาบาทอาฆาตกันไม่จบสิ้น ในชาตินี้
จึงมาสร้างกรรมทำเวรซึ่งกันและกัน เพิ่มเข้าไปอีก
ผู้เขียนขอย้ำว่ากฏแห่งกรรมนั้นมีจริง
เป็นจริงได้ตลอดเวลาโดยไม่คาดฝันสุดแท้แต่ว่าจะให้อโหสิกรรมต่อกัน
เลิกอาฆาตพยาบาทจองเวรกันและกันหรือไม่หากไม่ได้
ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน 4ก็จะไม่รู้ซึ้งถึงกฏแห่งกรรม
จะไม่รู้ถึงการให้อภัยทานการเลิกอาฆาตพยาบาทกันและกัน
กฏแห่งกรรมนั้นนอกจากจะมีจริง
เป็นจริงแล้วยังเกิดขึ้นได้โดยไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่อีกด้วยดังนั้นคงไม่มี
อะไรประเสริฐเท่ากับความมีเมตตา ให้อภัยต่อกัน ไม่ว่ากับคนด้วยกัน
หรือกับสรรพสัตวเพราะต่างก็มีชีวิต มีความรู้สึกเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเหมือนๆกัน
ขอขอบคุณบทความจาก อารมณ์ดีดอทคอม
นำมาแบ่งปันโดย ทรงกลดhttp://www.bp.or.th/webboard/index.php?action=profile;u=11106;sa=showPostsอนุโมทนาสาธุค่ะ