ความสำคัญของปฏิจจสมุปบาท และพระไตรลักษณ์คติธรรม
จิตมี
ตัณหาปรุงแต่ง
เวทนาเป็นเหตุ เป็น
สมุทัย เหตุแห่งทุกข์
ผลของ
จิตมีตัณหาปรุงแต่งเวทนา เป็น
ทุกข์อุปาทาน สติ
เห็นกาย,เวทนา,จิตสังขารหรือธรรม เป็น
มรรคปฏิบัติ
ผลของสติ
เห็นกาย,เวทนา,จิต,ธรรม เป็น
นิโรธอันพ้นทุกข์ [
พนมพร คูภิรมย์]
กล่าวคือ จิต,อีกทั้งทวารทั้ง๕ ที่
ส่งออกไปฟุ้งซ่านปรุงแต่ง
ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการ
ผัสสะ ย่อมยังให้เกิด
เวทนาต่างๆขึ้น เป็นธรรมดา
อันเวทนาที่ย่อมเกิดขึ้นเหล่านี้นั่นแล
อาจเป็นปัจจัยให้เกิด
ตัณหาขึ้น
อันเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์อุปปาทานอันแสนเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวาย
ยิ่งกว่า
ทุกข์โดยธรรมชาติ อีกทั้ง
ยังประกอบด้วยการวนเวียน
ปรุงแต่งเป็นระยะโดยที่ไม่สามารถหยุดได้อีกเสียด้วย
คติธรรมนี้รวบรวมแก่นธรรมอันสําคัญยิ่งทางพุทธศาสนา
อันเมื่อบริกรรม ท่องบ่น เพื่อเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ
เครื่องพิจารณา อันพึงมีความเข้าใจในความหมายของธรรมเหล่านี้ด้วย
จึงจักยังผลอันยิ่งใหญ่ อันมี
อิทัปปัจจยตา แสดงหลักธรรม
อิทัปปัจจยตาที่มีใจความอันสำคัญยิ่ง อีกทั้งเป็นจริงทุกกาลสมัยว่า
เพราะเหตุนี้มี ผลเหล่านี้จึงเกิดขึ้น
เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ
ปฏิจจสมุปบาท : เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา
หมายถึงเมื่อเกิดเวทนาขึ้นแล้ว อาจเกิดตัณหาชนิดความทะยานอยาก(
ภวตัณหา)
หรือความไม่อยาก(
วิภวตัณหา)ต่อเวทนาต่างๆที่เกิดขึ้นเหล่านั้น
เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความทุกข์ชนิดประกอบด้วยอุปาทานอันแสนเร่าร้อน
เผาลน กระวนกระวายขึ้น สังขาร อันเกิดจาก
อาสวะกิเลส เป็นเหตุปัจจัยร่วมกับ
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด ทุกข์อุปาทาน
(รายละเอียดใน ปฏิจจสมุปบาท)อริยสัจ ๔ ทุกข์.. อันมี..
ทุกขอริยสัจ และทุกข์อุปาทาน อันเป็น
ทุกข์..
สมุทัย.. คือเหตุแห่งทุกข์
นิโรธ.. คือการพ้นทุกข์
มรรค.. คือทางปฏิบัติ ให้พ้นไปจากทุกข์
สติปัฏฐาน๔ : ทางสายเอก.. ในการปฏิบัติ..
อันควรปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวัน กล่าวคือ เห็นธรรมใด
คือสติระลึกรู้เท่าทันในธรรมคือใน
กาย หรือ
เวทนา หรือ
จิต หรือ
ธรรมใดก่อน ก็ปฏิบัติไปตามธรรมนั้นๆ
อันมี..
สติเห็นเวทนา หรือ
เวทนานุปัสสนา(สติระลึกรู้เท่าทันในเวทนา) ในสติปัฏฐาน ๔,
อันคือมีสติรู้เท่าทันอย่าง
เข้าใจในเวทนา
สติเห็นจิต คือจิตตสังขาร(คิด,โทสะ ฯ.) หรือ
จิตตานุปัสสนา (สติระลึกรู้
เท่าทันในจิตตสังขาร) ในสติปัฏฐาน๔ อันคือสติรู้เท่าทันอย่างเข้าใจในจิต
ที่หมายถึงจิตตสังขาร(ราคะ, โทสะ, ฟุ้งซ่าน, หดหู่ ฯลฯ หรือความคิด, ความนึก)
สติเห็นกาย หรือ
กายานุปัสสนา (สติระลึกรู้เท่าทันในกาย) ในสติปัฏาน๔ อันคือ
ฝึกสติและมีสติรู้เท่าทันอย่างเข้าใจใน กายหรือกายสังขาร เช่น สักว่าธาตุ๔ ฯลฯ.
สติเห็นธรรม ดังเช่น
ธรรมานุปัสสนา(สติระลึกรู้เท่าทันในธรรม) ในสติปัฏฐาน๔
หรือสติเห็น
ปฏิจจสมุปบาท สติเห็นคือรู้เท่าทันและเข้าใจในธรรมดังกล่าว
เพื่อเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ อีกเพื่อให้เกิด
ปัญญาญาณ(สัมมาญาณ)
อันสําคัญยิ่งในการปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์
เมื่อมีสติรู้เท่าทันในธรรมทั้ง๔ คือ
กาย หรือ
เวทนา หรือ
จิต หรือ
ธรรม กล่าวคือสิ่งใดสิ่งหนึ่งในธรรมทั้ง๔ นี้ที่บังเกิดขึ้นนั้นๆแล้ว ก็ให้ไม่ยึดมั่น หมายมั่น
ในสิ่งนั้นๆ ดังปรากฏใน
สติปัฏฐาน๔ ด้วย
อาการของการเป็นกลางวางทีเฉย(อุเบกขา) โดยการปฏิบัติก็คือ การไม่เอนเอียง
ไปแทรกแซงคิดนึกปรุงแต่ง
ในเรื่องหรือกิจที่สติเท่าทันนั้นๆ แม้ทั้งทางดีหรือชั่ว อันหมายถึงไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆ
กล่าวคือไม่ไปยึดแม้ทั้งในด้านดี(กุศล)หรือด้านร้าย(อกุศล)ในเรื่องนั้นๆ
เพราะต่างล้วนเป็น
เหตุเป็น
ปัจจัยกันให้เกิดการ
ปรุงแต่งจนๆเกิด
เวทนาต่างๆขึ้น
อันอาจเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิด
ตัณหา อันยังให้เกิด
ทุกข์อุปาทาน..
.............. อันเร่าร้อนเผาลนขึ้นในที่สุดโดยไม่รู้ตัว
.........อันดำเนินเป็นไปตาม
หลักปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง........
หลักปฏิบัติอันสำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง และมักเป็นไปกันโดยไม่รู้ตัว คือ
อย่าจิตส่งใน ไปแช่นิ่งหรือเสพรส
และอย่าส่งจิตออกนอก ไปฟุ้งซ่านปรุงแต่ง (เพราะย่อมเกิดการผัสสะ
ให้เกิดเวทนาต่างๆนาๆ อันเวทนาเหล่านั้นอาจเป็นปัจจัย
ให้เกิดทุกข์อุปาทานขึ้น อันย่อมต้องเป็นไปตามปฏิจจสมุปบันธรรม)[
พนมพร คูภิรมย์] :
http://nkgen.com/1mainpage1024.htm#title