ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : แม็ตทีเรียลลิสต์เอ๋ย - ฝันกับความหมายชี้วัดไม่ได้  (อ่าน 1303 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


มนุษย์เราจำนวนมากๆ โดยเฉพาะสาธารณชนคนทั่วไปทั่วทั้งโลกมักจะเป็นแม็ตทีเรียลลิสต์ (materialist) แต่ในปัจจุบันนี้คนฝรั่งในประเทศที่พัฒนามากๆ แล้ว เช่น ในยุโรป ที่สหรัฐอเมริกา ฯลฯ โดยเฉพาะนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักฟิสิกส์กำลังหันไปเชื่อในฟิสิกส์ใหม่ โดยเฉพาะควอนตัมเม็คคานิกส์เป็นจำนวนมากและรวดเร็วมากๆ แต่ในประเทศด้อยพัฒนา กำลังพัฒนา และประเทศที่พัฒนาใหม่ของเอเชีย นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่แม้ว่าบางคนจะเคยได้ยินฟิสิกส์ใหม่มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ติดตาม แถมบางคนยังไม่เชื่อ โดยคิดว่าเป็นวิทยาศาสตร์ผิดๆ หรือทฤษฎีเทียมๆ รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ในบ้านเรา โดยเฉพาะแพทย์เราโดยทั่วไป เมื่อต้นเดือนของเดือนมิถุนายนนี้ มีแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ต่างจังหวัดมาเยี่ยมสถานพยาบาลที่ผู้เขียนทำงานอยู่ ระหว่างพูดคุยกันมีหมอคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุคงจะประมาณ 56-57 ปี ถามขึ้นมาในทำนองว่าแพทย์เรียนมาทางวิทยาศาสตร์และรู้วิทยาศาสตร์พอสมควร ดังนั้นเราควรเรียนวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ อาทิ ควอนตัมเม็คคานิกส์หรือไม่? และได้ตอบเขาไปว่าควรจะเรียน  หรืออย่างน้อยก็ควรจะติดตาม เพราะว่าควอนตัมฟิสิกส์ได้ผ่านการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาอย่างครบถ้วนกระบวนความมากที่สุด ที่พูดว่ามาที่สุดนั้นก็เพราะมันขัดกับสามัญสำนึกของนักวิทยาศาสตร์เก่าแทบจะทุกคน เนื่องจากว่าควอนตัมฟิสิกส์เหมือนถูกผีสิงหรือพระเจ้าเล่นตลก คือกลับไปเล่นการพนันเสียเอง ไอน์สไตน์ถึงได้พูดว่า “พระเจ้าท่านไม่เล่นทอดลูกเต๋าหรอก” ที่แย่ไปกว่านั้นควอนตัมฟิสิกส์กลับไปตรงกับความจริงที่แท้จริงของศาสนาที่นักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่าเป็นความ “งมงาย” เช่น ในที่นี้ทฤษฎีควอนตัมกลับไปตรงกับวัฒนธรรมเวดิก และศาสนาที่เกิดมาจากวัฒนธรรมนั้น เป็นต้นว่า ศาสนาฮินดู  (พราหมณ์) ศาสนาพุทธ และกับศาสนาเต๋ามากที่สุดจนไม่น่าเชื่อ (Frittjof  Capra) ควอนตัมเม็คคานิกส์ ซึ่งบอกว่าในธรรมชาตินั้นพูดๆ ได้ว่าในสภาพที่เล็กจริงๆ ขนาดอะตอมและอนุภาค (ต่างๆ รวมทั้งคว้าก) ที่ทางวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นวัตถุ แต่ในธรรมชาติแล้วไซร้พวกมันทั้งหมดกลับเป็น “คลื่น” ที่เชื่อมโยงติดต่อพัวพันกันอีนุงตุงนัง (entangled) แถมยังเชื่อมโยงติดต่อกันแบบไม่มีตำแหน่งแหล่งที่ (non-local) เสียด้วย การจะทำให้มันกลับกลายมาเป็นวัตถุ เป็นอะตอมที่ประกอบหรือโตจนมองเห็นเป็นความจริงทางโลกได้ หรือเป็นเหตุการณ์ - ประสบการณ์ให้เรารับรู้ได้ก็ต้องสลายความเป็น “คลื่น” ออกไปก่อน  (wave-function collapsed) ซึ่งพฤติกรรมที่ว่านี้จะต้องมี “จิต” (consciousness)  เป็นส่วนร่วมด้วย หรือเป็นผู้สังเกต (participating or as observer)
นานพอสมควรที่บ้านเราคงจะสัก 10 กว่าปีได้ มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากแทบจะทั้งหมดก็ว่าได้มีความเชื่อมั่นว่าโครงการอะไรก็ตามจะต้องชี้วัดได้ การชี้วัด (measurable) ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นลักษณะหรือคุณสมบัติของแม็ตทีเรียลลิสต์ (materialist) ผู้เขียนคิดว่าการชี้วัดคือการที่เราวัด ชั่ง  จับเวลา และหาปริมาตรของวัตถุ (matter) ต่างๆ ซึ่งมาริโอ บูเรการ์ด นักประสาทวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเคยมาเมืองไทยและได้ไปพูดที่มหิดล  (ศาลายา) เมื่อต้นปีนี้ (ได้อ้างอิงชื่อไปหลายหนแล้ว) ที่คิดว่าคงจะไม่ชอบนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักแม็ตทีเรียลลิสต์เท่าใดนัก เพราะเขียน “ว่า” ไว้เสมอ (ในหนังสือ the spiritual brain ที่ขายดีมากของเขา) มนุษย์นั้นมีทั้งความฝันและความหมาย ซึ่งถ้าหากใครมาพูดว่านักวิชาการคนใดคนหนึ่งในพวกนั้นว่า “คุณช่างเป็นคนที่ไม่มีความหมายอะไรเลย” ผู้เขียนเชื่อว่าเขาคงไม่ชอบใจแน่นอน                                      นักวิทยาศาสตร์แห่งปลายกับต้นศตวรรษที่ 19-20 อันเป็นศตวรรษของช่วงเวลาของการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีที่คิดค้นขึ้นใหม่ทุกๆ วัน  นั่นคือการเริ่มต้นทำร้ายและทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างทารุณและโหดร้ายไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ และเป็นช่วงเวลาที่ “พอดี” กับจำนวนประชากรของโลกมามีความสมดุลกับปริมาณของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่โลกเรามีอยู่ นั่นคือ ประชากรโลกในตอนเริ่มต้นสงครามมหาเอเชียบูรพาจะอยู่ที่ประมาณ 2,000  ล้านคน และสิ่งแวดล้อมธรรมชาติกำลังอยู่ในความพอดีที่ว่านั้น เพราะเทคโนโลยีทั่วๆ ไปได้หยุดชะงักลงบางส่วน คงเหลือแต่เทคโนโลยีด้านยุทธศาสตร์ที่ก้าวหน้าไปมาก

พูดง่ายๆ สิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับวัตถุ (matter) ที่หยาบและมองเห็น รวมทั้งหมดคือรูปร่างกายภาพ (physical) ที่แยกไปตั้งอยู่ข้างนอกนั่น - ก็คือนาม  (พุทธศาสนา) หรือจิตนั่นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับวัตถุหรือกายภาพ ที่มาของหลักการวัตถุกายภาพนิยมหรือแม็ตทีเรียลลิซึ่ม  (materialism) ก็คือจิต - ผู้เขียนเห็นด้วยกับคาร์ล ซี.จุง ร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นจิตไร้สำนึกร่วมจักรวาล (universal unconscious continuum) สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความฝัน ความหมาย (meaning) ความพ้องจองกัน (synchronicity) ของจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาล - ที่เชื่อมโยงติดต่อกับจิตจักรวาลโดยรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน - ซึ่งเข้ามาอยู่ในทุกๆ ที่ว่างของสมองแต่ละบุคคลเป็นปัจเจก

ตรงนี้ขอพูดและขอย้ำ ซึ่งผู้เขียนคิดเอาเองว่าจิตไร้สำนึก - ที่เชื่อมโยงติดต่อเป็นหนึ่งเดียวกันของจิตจักรวาลนั้น ซึ่งทำให้ความฝัน ความหมาย ความพ้องจองกัน ฯลฯ ติดต่อกันได้ และทำให้เรารู้ได้ - ส่วนสำหรับจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในสมองของแต่ละบุคคลเป็นปัจเจกนั้น จะเข้ามาอยู่โดยแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ จะเข้ามาก่อน - ในทารกในครรภ์แม่ เป็นอัตตา (self) กับเข้า “ตลอดเวลา” ในสมองของปัจเจกบุคลนั้นในภายหลัง (ข้อมูลจากอะบอริจินส์ที่นิวกินี ดู Arnold Mindel : Processmind, 2010) ซึ่งให้สมองของปัจเจกบุคคลนั้นๆ บริหารเป็นจิตรู้ หรือจิตสำนึก

ความฝัน ความหมาย ความพ้องจองกัน ฯลฯ ทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถจะชี้วัดได้เลย ทั้งหมดนั้นเป็นนามธรรม (subjective) ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับรูปธรรม (objective) นามธรรมนั้นว่ากันตามจริงสำคัญกว่ารูปธรรม เพราะว่ามันเป็น “เนื้อหาสาระ” (essence) ของนิยายเรื่องจักรวาลที่พูดกันตามจริง เพราะเราไม่รู้หรือ เพราะอวิชชาต่างหากที่ทำให้ฝรั่งในอดีต โดยเฉพาะนักปรัชญาแรกๆ สุด ชาวกรีกคิดง่ายๆ เพราะมองเห็นได้ชัดดี - ฝรั่งและชาวกรีกที่นับถือศาสนาคริสต์แท้ๆ แต่ไม่เคยคิดเลยว่ากลางวันและการมองเห็นนั้นได้มาจากกลางคืนที่ว่างเปล่าและไม่มีอะไร (เจเนสิส) - สำหรับรูปธรรมนั้นพูดง่ายๆ  เกี่ยวข้องกับการชี้วัด (measurement) และวิทยาศาสตร์โดยตรงเกี่ยวข้องกับเรื่องของที่ว่าง (space) กับเวลา (time) หรือระยะทาง และวัตถุ (matter) ซึ่งใช้การวัด การชั่ง การหาระยะทาง ฯลฯ หรือการชี้วัดอยู่แล้ว ซึ่งโครงการไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่จะไม่เกี่ยวข้องกับนามธรรมเลย ไม่เกี่ยวข้องกับความหมายเลย  หากเกี่ยวกับมนุษย์แล้ว - ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้นสรุปแล้วจะเห็นอย่างชัดเจนว่าเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงในโลกในจักรวาลนี้จะต้อมีทั้งรูปธรรมและนามธรรม จะต้องมีวัตถุกายภาพและความฝัน - ความหมาย เราจะต้องมีแม็ตทีเรียลลิซึ่ม  หรือออพเจ็คติวิซึ่ม “เท่าๆ กับ” จะต้องมีจิตไร้สำนึกจักรวาล หรือโปรเซสไมนด์  หรือซับเจ็คติวิซึ่ม (objectivism and subjectivism) นั่นคือเราจะต้องมีวิทยาศาสตร์และศาสนา และเราจะต้องรู้ว่า ที่จริงทั้ง 2 องค์ความรู้นั้นคือความรู้หนึ่งเดียวกันและความรู้ทั้งหมด อันดับแรกเป็นความรู้อันดับเดียวกันกับทั้งโลกทั้งจักรวาล และอันดับที่สองก็เชื่อมโยงติดต่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับสรรพสิ่งและปรากฏการณ์เป็นองค์รวม ซ้อนๆ องค์รวมเป็นบูรณาการ

เท่าที่เล่าให้ฟังในโลกหรือจักรวาลนี้จึงมีเพียง 2 อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าไว้  คือนามกับรูปที่ประกอบเป็นขันธ์ 5 และเดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้หรือนักฟิสิกส์ใหม่หรือนักวิชาการปัญญาชนของฝรั่งในประเทศที่พัฒนามากๆ มานานแล้วก็เชื่อกัน ฟิสิกส์ใหม่ที่รวมทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และทฤษฎีควอนตัม - ที่จริงที่สุดและนักฟิสิกส์แทบทั้งหมดเชื่อว่าเป็นความจริงที่แท้จริง  หรือเป็นความจริงทางธรรม หรือ “ธรรมะ” ระดับสูงของพระพุทธเจ้า - ขอย้ำว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่านักวิชาการปัญญาชนคนไทยจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ อีกสักหน่อยเราก็จะรู้เอง

นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์บ้านเราที่ยกมาในตอนต้นของบทความนี้  ที่ผู้เขียนคิดว่าอย่างน้อยก็เป็นส่วนใหญ่ส่วนหนึ่งทุกวันนี้และเดี๋ยวนี้ที่มัวเมาอยู่กับเทคโนโลยีกายวัตถุเก่าๆ นั่น-ในความคิดของผู้เขียนล้วนแล้วแต่เป็นแม็ตทีเรียลลิสต์ (materialist) เป็นส่วนใหญ่

พุทธศาสนาบอกว่าจิตไร้สำนึกมาก่อนจักรวาล -ไม่ว่าจักรวาลของเราอันนี้หรือจักรวาลอันไหน - และจิตปฐมภูมิ (ไร้สำนึกที่ซี.ซี.จุง เรียกว่า collective  unconscious continuum ของจักรวาล หรือที่อาร์โนลด์ มินเดล เรียกว่า สนามกระบวนการจิต หรือ processmind) นั้นที่แยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ -  จักรวาลวิทยาใหม่ซึ่งมีอายุไม่ถึง 10 ปี ที่ผู้เขียนในฐานะเป็นนักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ - เชื่อเพราะว่าเป็นผลงานของการวิจัยวิทยาศาสตร์แนวหน้า (science  at the cutting edge) ที่ส่วนใหญ่มากๆ เป็นฟิสิกส์ใหม่ อีกอย่างเพราะว่าผู้เขียนเชื่อมั่นในพุทธศาสนาและเชื่ออย่างมีเหตุผลร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มว่าพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นไม่มีเลยหรือปราศจากความงมงายไสยศาสตร์แม้แต่น้อย

 แม้แต่ในอดีตกาลมาแล้วเราจะรู้ว่า หลักการวัตถุนิยมเกี่ยวข้องกับวัตถุ  (matter) แต่เราเอากายภาพ (physical) มารวมกับวัตถุทีหลังเมื่อเราคิดว่าสรรพสิ่งทั้งหลาย - รวมทั้งชีวิตและเนื้อเยื่อจะต้องเป็นวัตถุเท่านั้น จะต้องประกอบด้วยวัตถุอย่างตลอดรอดฝั่งตั้งแต่ต้นเลย เช่นเดียวกับธาตุ ทองหรือเงินหรือตึก  ไม่ว่าจะใหญ่โตเท่าไหร่ต้องประกอบด้วยโครงสร้างที่เป็นวัตถุ (building-block)  สารและสสารไล่ลงไปจนถึงอะตอมที่เดโมเครตัส (300 B.C.) บอกว่าเป็นหน่วยที่เล็กที่สุด ไม่มีทางที่สามารถจะแยกต่อไปได้ ในสมัยลิบนิตช์คู่ปรับของนิวตันที่เป็นชาวเยอรมันได้คิดว่าอะตอมมีธาตุรู้หรือมีจิต (consciousness) เสียด้วย แต่ก็ต้องยอมแพ้นักวัตถุนิยมไป หลักการแม็ตทีเรียลลิซึ่มจึงค่อยๆ รุ่งโรจน์ชัชวาลมาตั้งแต่ตอนนั้น เพียง 200 กว่าปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ราว 30 กว่าปี หรือเพียง 4-5 ชั่วคน เมื่อปลายศตวรรษที่ 19 อันเป็นช่วงที่เทคโนโลยีทำร้ายและทำลายธรรมชาติและน้ำมันราคาถูกได้มีโอกาสหวือหวากระดี๊กระด๊าขึ้นมา ที่ชาวโลกดีใจพากันไชโยโห่ฮิ้ว โดยหารู้ไม่ว่าความเจริญที่เรียกๆ กันนั้นที่แท้คือความเสื่อมของโลกธรรมชาติอย่างแรง.

http://www.thaipost.net/sunday/190611/40400
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...