บทที่ 1 หลักการปฏิบัติธรรม
OUTLINE OF PRACTICE ถนนหลายสายย่อมนำไปสู่มรรค
1* แต่โดยพื้นฐานแล้ว ย่อมมีทางเพียง 2 ทางเท่านั้น คือ
ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ การเข้าถึงทฤษฎี หมายถึงการเข้าใจอย่างชัดเจนถึงเนื้อหาสาระในการสอน และความเชื่อที่ว่าสรรพชีวิตย่อมรวมอยู่ในธรรมชาติอันเดียวกัน แต่ความเข้าใจตามหลักทฤษฎีนี้ ไม่เป็นที่แจ่มแจ้งชัดเจน
เพราะเราถูกห่อหุ้มด้วยอำนาจแห่งเวทนา และความหลง
สำหรับบุคคลที่
ขจัดความหลงออกได้ ย่อมพบความจริง คือบุคคลที่เพ่งพินิจต่อกำแพงธรรม
2* ( สุญญตาธรรม ) อยู่เสมอ ไม่มีความสำคัญมั่นหมายในตนเองและผู้อื่น ย่อมรวม
ความเป็นปุถุชนและพุทธะเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเป็นผู้
ดำรงจิตไว้อย่างมั่นคงไม่คลอนแคลนหวั่นไหว
ไปกับอำนาจคัมภีร์ตำรา
บุคคลเช่นนั้น ย่อมประสบกับความสำเร็จ
และไม่ขัดแย้งกับทฤษฎีด้วย การไม่คลอนแคลนหวั่นไหวไปกับหลักทฤษฎี เรากล่าวว่าบุคคลนั้น
เข้าสู่กระแสธรรม
การเข้าสู่กระแสธรรมโดยการปฏิบัติ หมายถึง
การปฏิบัติที่ประกอบไปด้วย
หลัก 4 ประการ (
อริยสัจแบบมหายาน ) เหล่านี้คือ
1. การกำหนดรู้ทุกข์
2. การปรับปรุงแก้ไขทุกข์อยู่เสมอ
3. การไม่มีความทะเยอทะยาน
4. การเจริญภาวนาธรรม ( อริยมรรค )ประการที่ 1. การกำหนดรู้ทุกข์ เมื่อแสวงหาอริยมรรค ย่อมเผชิญกับความยากลำบาก ผู้แสวงหาย่อมคิดถึงตัวเอง ( ด้วยความท้อถอยว่า ) “
ในกัป กัลป์ที่ผ่านไป อันกำหนดนับไม่ได้นี้ ฉันได้ใช้ชีวิตสิ้นเปลืองไปกับสิ่งไร้สาระ และเวียนว่ายไปในภพภูมิต่าง ๆ มากมาย บ่อยครั้งที่เราโกรธอย่างไร้เหตุผล และละเมิดฝ่าฝืนทำสิ่งผิดนับครั้งไม่ถ้วน
มาบัดนี้ แม้จะไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แต่เราก็ต้องถูกลงโทษด้วยอดีตกรรม เมื่อกรรมชั่วให้ผลตอบสนอง ทั้งเทวดาและมนุษย์ก็ไม่อาจมองเห็น ฉันจะก้มหน้ารับผลกรรมอันนี้ด้วยจิตใจที่เปิดเผย และจะไม่คร่ำครวญพร่ำบ่นถึงความไม่เป็นธรรม”พระสูตรกล่าวว่า “
เมื่อท่านพบกับความทุกข์ยากลำบาก อย่าเสียใจ เพราะมันจะทำให้เกิดอุปาทาน ” เมื่อเข้าใจเช่นนี้
ชื่อว่าท่านทำถูกต้องกับทฤษฎี และการกำหนดรู้ทุกข์ย่อมทำให้ท่าน
เข้าสู่กระแสแห่ง
อริยมรรคประการที่ 2. การปรับปรุงแก้ไขทุกข์อยู่เสมอ ในฐานะเราเป็นสัตว์ที่ต้องตาย เราถูก
สังขารธรรมทั้งหลายครอบงำ ไม่ใช่ตัวเราเอง ความทุกข์ความสุขที่เราได้รับ
ล้วนเกิดจากสังขาร (
การปรุงแต่งกาย – ใจ ) เราจะไม่มีความรู้สึกเป็นสุข
ถ้าเราประสบโชคอันยิ่งใหญ่ เช่น ชื่อเสียง โภคทรัพย์ เป็นต้น อันเป็นผลของบุญกุศลอันเราได้บำเพ็ญไว้ในอดีตกาล
เมื่อเหตุปัจจัยเปลี่ยนแปลงโชคลาภก็หมดไป
ทำไมเราต้องยินดีพอใจในชีวิตเช่นนั้นด้วยเล่า ? เมื่อความสำเร็จและความล้มเหลว
ต่างก็เป็นสังขารธรรมทั้งนั้น จึงไม่ควรปล่อยจิตใจให้
ฟู – แฟบไปกับสังขารเหล่านั้น ผู้ดำรงจิตไว้อย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับกระแสแห่งความสุข , ความทุกข์
ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามอริยมรรคอย่างเงียบ ๆ
ประการที่ 3. การไม่มีความทะเยอทะยาน คนในโลกนี้ถูก
ความหลงครอบงำ พวกเขาจึงมักหมกมุ่นมัวเมาอยู่กับโลกธรรม ด้วยความหลงละเมอทะเยอทะยาน แต่ผู้รู้ ( วิญญูชน ) ย่อมตื่นตัว ท่านเหล่านั้นย่อมเลือกทำตามเหตุผลมากกว่าความเคยชิน และมี
โยนิโสมนสิการ คือ ทำทุกสิ่งไว้ด้วยใจอันแยบคาย และปล่อยร่างกายให้เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
ปรากฏการณ์ ( รูป – นาม ) ทุกอย่างเป็นของว่างเปล่า ไม่มีคุณค่าควรแก่การทะยานอยาก ความเสื่อมกับความเจริญ
4* เกิดขึ้น และดับไปสลับกันอยู่ตลอดเวลา ความยินดีพอใจอยู่ในภพทั้งสาม
5* เป็นเสมือนการอาศัยอยู่ในเรือนที่ไฟกำลังไหม้อยู่ การมีกายนี้จึงเป็นทุกข์
มีใครบ้างที่อาศัยกายนี้แล้ว พบกับความสงบสุข บรรดาผู้ที่
เข้าใจสัจจธรรมข้อนี้ ย่อมถ่ายถอนตนเองออกจากภพทั้งปวง และหยุดการปรุงแต่ง หรือทะยานอยากในสิ่งใด ๆ
พระสูตรกล่าวว่า “ การแสวงหาด้วยความทะยานอยากย่อมเป็นทุกข์ , การไม่แสวงหาด้วยความอยากย่อมเป็นสุข ”
เมื่อไม่ทะยานอยาก ท่านดำรงอยู่ในกระแสแห่งอริยมรรค
ประการที่ 4. การเจริญภาวนาธรรม 6* คำว่า ธรรม หมายถึง
ปรมัตถสัจจะซึ่งถือว่าธรรมชาติทั้งปวงเป็นสิ่งบริสุทธิ์ด้วยธรรมสัจจะนี้
ปรากฏการณ์ทั้งปวงจึงเป็นความว่างกิเลส,ตัณหาและอุปาทาน ทั้งที่เป็นอัตตวิสัยและภาวะวิสัยเป็นภาวะที่ไม่มีอยู่จริงพระสูตรกล่าวว่า “ ธรรมะ ”
เป็นนิชชีวะ คือ มิใช่สัตว์บุคคลเพราะว่างเปล่าจากความมั่นหมายจากสัตว์บุคคล และธรรมะเป็น
อนัตตาเพราะว่างเปล่าจากความมั่นหมายแห่งความเป็นตัวตน ( ที่จะปฏิบัติตาม )
บุคคลผู้นั้นย่อมอุทิศทั้งกายชีวิต ตลอดถึงทรัพย์สมบัติให้เป็นทานโดยไม่เสียดายและไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จากการให้ ไม่ว่าเป็นวัตถุข้าวของเงินทอง
และไม่มีความลำเอียงยึดติดในการให้ทาน และช่วยสั่งสอนให้ผู้อื่นได้ขัดเกลากิเลส โดยไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในรูปแบบ
ดังนั้นเมื่อตนเองปฏิบัติได้สำเร็จแล้ว ก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่น และทำให้เขาได้เข้าถึงธรรมได้อย่างสมบูรณ์เช่นกัน เพราะการเอื้ออาทรต่อผู้อื่นก็เป็นการบำเพ็ญบารมีธรรมไปด้วย และเมื่อบำเพ็ญบารมีธรรมทั้ง 6 ประการ
7* นั้นก็ช่วย
กำจัดความหลงของตนเองไปด้วย ซึ่งไม่ต้องไปบำเพ็ญคุณธรรมอย่างอื่น ๆ อีก (นอกจากบารมีธรรม 6 ประการ )
เมื่อ
ตั้งอยู่ใน
คุณธรรมเหล่านี้ ก็ไม่ต้องปฏิบัติธรรมอันอื่นอีกก็ได้ นี้ความหมายของคำว่า “
การปฏิบัติธรรม ”
( จบบทที่ 1 )