มีคำที่เกี่ยวข้องกันในบทความนี้อยู่ 2 คำ คือคำว่าการแพทย์ที่หมายรวมถึงการดูแลสุขภาพ การวินิจฉัย การรักษา ฯลฯ ทั่วทั้งโลก (Health Care) กับคำว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเอง (transformation) ในฐานะที่ใหญ่กว่าปัจเจกชนและสถาบัน นั่นคือการเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ - ที่แพร่สะพัดไปทั่วทุกหัวระแหง ที่หมายถึงทุกๆ วิชาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์และสุขภาพของคนทั่วทั้งโลกทุกๆ ระบบและองค์กร การเปลี่ยนแปลงตัวเองทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่ส่วนหนึ่งได้นำมาเขียนแล้ว แต่อีกส่วนยังไม่ได้เขียน จึงได้เอาเรื่องทั้งหมดมาเขียนใหม่ ทั้งนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยซึ่งลืมง่ายมาก หรือแกล้งทำเป็นลืมเสียเฉยๆ หากไม่ถูกกับจริตของตัว เพราะคิดว่าเชยแหลกที่ไปเอาของเก่าที่เราโยนทิ้งไปแล้วมาใช้ใหม่ เพราะแพทย์ “สมัยใหม่” แผนปัจจุบันคิดว่าไม่ใช่วิทยาศาสตร์กายภาพ ไม่วูบวาบหรือ “ขลัง” แถมยังไม่ทำเงินเสียด้วย แพทย์ใหม่ๆ ถึง “มัก” ไม่สนใจ โดยลืมนึกไปว่าวิทยาศาสตร์กายวัตถุที่ว่าที่นำโดยนิวโตเนียนฟิสิกส์นั้นเก่าแก่แล้ว มีอายุกว่า 500 ปีแล้ว และทีควอนตัมเม็คคานิกส์ที่เหมือนๆ กับศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาเต๋าเป๊ะๆ แพทย์ไทยจึงไม่สนใจ คงจะนึกว่าศาสนาขัดกับวิทยาศาสตร์กระมัง? ฉะนั้น เมื่อเป็นคนรุ่นใหม่ก็ต้องเลือกวิทยาศาสตร์น่ะซี!
ก่อนอื่นผู้เขียนใคร่ขออนุญาตพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบและองค์กรซึ่งสำคัญกว่าประเทศชาติ หรืออาจจะสำคัญกว่าหรือใหญ่กว่า ทั้งยังเกี่ยวข้องกับมวลมนุษยชาติโดยรวมด้วยซ้ำ การเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ใหญ่ในระดับนี้ชี้บ่งว่าโลกและมนุษยชาติกำลังย่างเท้าก้าวเข้าไปถึงวิวัฒนาการของจิตระดับสูง หรือระดับจิตวิญญาณ (spirituality) สู่การตรัสรู้ - รู้แจ้งแทงตลอด (enlightenment) แม้เป็นขั้นที่เราเรียกว่าพ่อมด (shamanistic or psychic spirituality) มีการเข้า-ออกสภาวะจิตวิญญาณที่ไม่ต่อเนื่องตลอดไป อันเป็นระดับแรกของ 4 ระดับ (psychic, subtle, causal, and non-dual) คือยังอีกยาวไกลของกระบวนการวิวัฒนาการ สำหรับวิวัฒนาการของรูปกายนั้นได้บอกไว้แลัวว่าเสร็จสิ้น หรือเกือบจะเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว แต่เราต้องรู้ว่าวิวัฒนาการทางจิต โดยเฉพาะวิวัฒนาการของจิตวิญญาณคือเส้นทางไปสู่การตรัสรู้หรือการหลุดพ้น (วิมุติหรือโมกษะ) ซึ่งตอนนี้ที่สหรัฐอเมริกามีวารสารจำพวกนี้หลายฉบับ และเราต้องรู้ว่าระดับทั้งหมดนั้นจะใช้เวลาไม่นานในการเกิด-การตายจากโลกนี้จักรวาลอันนี้ นั่น-คิดตามที่พุทธศาสนาบอกให้คิด ในขณะเดียวกันเราก็ต้องรู้ว่าการตรัสรู้ หรือวิมุติบรรลุนิพพานนั้น ผู้ที่เข้าสู่ระดับทางจิตวิญญาณระดับ 3 (causal) หรือเข้าสู่ระดับที่ 4 (non-dual) ทางจิตวิทยาสายไหนๆ ก็ตาม จะถือว่าผ่านการตรัสรู้และเข้าถึงนิพพานทั้งนั้น ที่พุทธศาสนาบอกว่า การหลุดพ้นจากกิเลสตัณหาก่อน (เจโตวิมุติ) หรือกำจัดอวิชชาก่อน (ปัญญาวิมุติ) ก็ได้นิพพานทั้งนั้น ส่วนพระพุทธเจ้าและสัพพัญญูทั้งหลายจะผ่านระดับที่ 4 เรียบร้อยแล้วทั้งระดับ
กลับมาที่เรื่องการแพทย์แผนปัจจุบัน และการเปลี่ยนแปลงตัวเองของระบบหรือองค์กรนั้น ในสมัยที่ผู้เขียนอยู่เมืองนอก การแพทย์ยังไม่มีวิกฤติใดๆ เลย (ประชากรโลกอยู่ที่ 2,000 กว่าล้านคนต้นๆ) การเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ระบบจึงไม่มีใครพูดถึง ตรงกันข้ามการแพทย์แผนปัจจุบันหรือสมัยใหม่ “รู้สึก” ว่ามีความก้าวหน้าไปมาก โรคหลายโรคทำท่าว่าจะหายหน้าไปจากระบบ อย่างน้อยที่เมืองนอก เช่น กาฬโรค ฝีดาษ และโปลิโอ ฯลฯ จนกระทั่งอาจารย์แพทย์ทางโรคติดต่อของโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งในอเมริกาถึงกับพูดว่า “อย่ามาเรียนโรคติดต่ออีกเลย มันกำลังจะหมดสมัยแล้ว”
แต่การแพทย์สมัยใหม่ไม่ได้ก้าวหน้าจริงๆ เลย โดยเฉพาะการป้องกันและการดูแลสุขภาพโดยรวม สำหรับที่อเมริกาและที่ยุโรป การแพทย์แผนปัจจุบัน “อย่างแท้จริง รวมทั้งการป้องกันโรค” อยู่ได้เพียง 30 กว่าปี (ทศวรรษที่ 1950-1980) กระทั่งทศวรรษที่ 1990 ก็พังทลายด้วยสาเหตุ 3 ประการ คือ 1. เพราะความโลภของบริษัทยาและเครื่องมือแพทย์ 2.เพราะโรงเรียนแพทย์และนักเรียนแพทย์เองที่ส่วนมากขาดความสนใจ ไปถึงจงใจละทิ้งอุดมการณ์ของฮิปโปเครติส และพ่อ-แม่ของนักเรียนก็เห็นความร่ำรวยมั่งคั่งสำคัญกว่า 3.โรคอันเกิดจากโรงพยาบาลและแพทย์ (iatrogenic) เพิ่มขึ้นมากจากยาใหม่ๆ และงานที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2 ข้อแรก ทำให้เกิด 2 อย่างขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คือ ราคาค่ารักษาพยบาล “ถีบตัว” เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วมากเป็นประวัติการณ์ และผลมันก็คือในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 1970 ถึง 1990 (ประมาณ) มีนักธุรกิจจำนวนมาก (ส่วนใหญ่มากๆ) มองเห็นการแพทย์เป็นธุรกิจเพื่อเงินเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งต่อมาไม่นานระบบเศรษฐกิจทุนนิยมก็ถึงซึ่งกาลอวสานจริงๆ ส่วนมากจากระบบเศรษฐกิจชูกิเลสที่ผิด และการทำร้าย ทำลายธรรมชาติ จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และจากประชากรโลกเพิ่มขึ้น - เป็นรอง
แต่ประชาชนของโลกยังไม่รู้ตัวว่าถึงกาลอวสานอย่างแท้จริง
ในด้านอารยธรรมสมัยใหม่ทั้งกระบิ รวมทั้งระบบต่างๆ ของสังคมทุกระบบ - พร้อมกับประชาโลกที่จะลดน้อยถอยลงไปมากต่อมากนัก แต่ก็จะยังคงเเหลือประชากรโลกอีกไม่น้อย เพราะควอนตัมที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีทางผิดบอกเช่นนั้น (anthropic principle) โดยจะเหลือแต่ผู้ที่มีความพร้อมทางจิตวิญญาณ (spirituality) ที่ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าจะเหลือรอดจากภัยธรรมชาติที่จะ “ต้องเกิด” อย่างแน่นอนภายในทศวรรษ (คริสตกาล) นี้ หรือใกล้ๆ กันนั้น (อ้างแล้ว)
ในช่วงต้นของทศวรษที่ 1990 นั้น เมื่อการแพทย์กายภาพหรือสสารวัตถุ - แทบจะเป็นอย่างเดียวที่ปกป้องรักษาสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บของประชาโลก และทำให้บริษัทที่ผลิตยารวยไม่รู้เรื่อง - ได้ก่อให้เกิดค่ารักษาพยาบาลที่แพงขึ้นมาก คือ การแพทย์ได้ถีบตัวพุ่งสูงอย่างรวดเร็วยิ่ง จนคนส่วนใหญ่และผู้ยากไร้ของโลกแทบจะไม่มีทางได้พบแพทย์แผนปัจจุบันได้ ได้มีเสียงเรียกร้องจากประชาชนเหล่านี้บ่อยครั้งมากว่าการแพทย์ที่มุ่งเฉพาะกายวัตถุเพียงอย่างเดียวน่าจะไม่พอ แม้ภายในประเทศที่รวยที่สุดอย่างในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง การแพทย์ “สมัยใหม่” แผนปัจจุบันกำลังวิกฤติอย่างแรง และมีคนส่วนน้อยนิดจริงๆ เท่านั้นที่ร่ำรวยและได้ประโยชน์ เสียงเรียกร้องได้พุ่งเป้าไปที่จิตวิญญาณที่รวมเจ้าพ่อเจ้าแม่ผีป่านางไพรและพระเจ้า (body mind sprit) การเรียกร้องประสงค์ให้แพทย์เราใช้ “ศิลปะ” มากกว่าการรักษาโรคเพียงอย่างเดียว (therapy ไม่ใช่ treatment ทีเดียว แต่แปลเหมือนกัน)
เสียงเรียกร้องของประชาชนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเป็นธรรมดาที่ผู้นำมักเป็นผู้เปลี่ยนก่อน อเมริกาและประเทศในยุโรปคือหัวหอกของการเปลี่ยนแปลงนั้น และเป็นการเปลี่ยนแปลงทางจิตที่มองไม่เห็นและหลายคนคิดว่าไม่มีจริง นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกนับตั้งแต่วิทยาศาสตร์กายภาพและสสารวัตถุแต่เพียงอย่างเดียวเป็นใหญ่มากว่าครึ่งศตวรรษ ในปี 1991 คนอเมริกันต้องแปลกใจที่มีผู้สนใจในการทำสมาธิกันอย่างล้นหลามเป็นประวัติการณ์ เมื่อเปิดศูนย์กลางการทำสมาธิครั้งแรกขึ้นที่แมสซาชูเซตส์ (contemplative center in the community) และในปี 1992 กระทรวงสาธารณสุขของอเมริกา (NIH) ได้เปิดศูนย์การแพทย์ทางเลือก หรือการแพทย์เสริม (alternative medicine) โดยมีทุนสำหรับการวิจัยนั้นเป็นเงินสองล้านเหรียญฯ การแพทย์ทางเลือกหรือการแพทย์องค์รวม (holistic medicine) ซึ่งการแพทย์องค์รวมนี้จะดูแลผู้ป่วย นอกจากทั้งร่างกาย ทั้งกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ (spirit) แล้วยังขยายไปถึงครอบครัว สังคมรอบๆ ตัว รวมถึงฐานะทางการเงินของครอบครัวด้วย ไม่ใช่รักษาโรคอย่างเดียวเหมือนทุกวันนี้ การแพทย์ทางเลือกได้รับความนิยมมากและอย่างรวดเร็วในยุโรป อเมริกา และชาวตะวันตกในที่ต่างๆ ดังจะเห็นได้ว่าโรงเรียนแพทย์ที่มีหลักสูตรการแพทย์ทางเลือกได้ขยายตัวเป็นประวัติการณ์ จากเพียง 3 โรงเรียน ในปี 1993 เพิ่มเป็นแทบทั้งหมดของโรงเรียนแพทย์ที่ตอบมา ในปี 2006 และเงินสงเคราะห์การวิจัยเกี่ยวกับการแพทย์ทางเลือกของกระทรวงสาธารณสุขของอเมริกา (NIH) ที่มีเพียงสองล้านดอลลาร์ ในปี 1993 ก็เพิ่มเป็น 123 ล้านดอลลาร์ ในปี 2006 ซึ่งในปีนั้นกว่าครึ่งหนึ่งของมลรัฐของอเมริกา ปรากฏว่ามีประชาชนไปหาแพทย์ทางเลือกมากกว่าไปหาแพทย์แผนปัจจุบัน
จิตวิทยาที่เป็นบวกที่หมายถึงความคิด จิตอารมณ์ที่มองโลกในด้านดีได้ เป็นเรื่องที่นักจิตวิทยาส่วนหนึ่งของเมริกาผู้ที่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปบ้างแล้วได้เริ่มนำไปปฏิบัติตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เมื่อมีการเปลี่ยนนายกสมาคมในปีนั้น ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบของการรักษาทางจิตให้เป็นในด้านบวก คือเน้นความสุขทางจิตมากกว่าการไปพิจารณาเรื่องของพฤติกรรมและพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น สมาคมได้พูดถึงและเน้นที่ความสุขของบุคคล โดยคิดว่าความสุข คือ นิสัยใจคอ ความเคยชิน (set point) บวกกับเงื่อนไข (condition) ที่ผูกมัดตัว บวกกับทำ (งาน) ได้ตามใจที่ตนชอบ (voluntary activity) เช่น การทำสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก เป็นต้น
ปัจจุบันชาวตะวันตกทำสมาธิกันมากยิ่งขึ้น และถือว่าการทำสมาธิเป็นการปฏิบัติจิตที่มีผลต่อการรักษา คือ เป็นองค์รวมของการรักษา (therapy) ผลของการวิจัยทั้งหมดบอกเหมือนๆ กันว่าการปฏิบัติสมาธิสามารถขจัดอารมณ์ที่แปรปรวน ภาวะซึมเศร้า ใจร้อนกระวนกระวาย ฯลฯ ได้ดีที่สุด จอห์น โคบาด-ซิน ตั้งแต่ปี 1998 ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติอานาปานนสติ (mindfulness meditation) ขื้นในทุกๆ เมืองใหญ่ๆ และขณะนี้มีแทบจะทุกๆ รัฐในอเมริกา
มีงานวิจัยงานหนึ่งที่น่าสนใจมาก ซึ่งทำโดยนายแพทย์ไมเคิล มิลเลอร์ แห่งศูนย์การแพทย์โรคหัวใจที่แมรีแลนด์ โดยให้ผู้ป่วยดูภาพยนตร์ตลก ผลของการวิจัยบอกชัดเจนว่า หนังตลกและการหัวเราะอย่างสุดๆ นั้นมีค่าสำหรับคนเป็นโรคหัวใจยิ่งกว่าการออกกำลังกายโดยการเต้นแอโรบิกเสียอีก ตรงที่ไม่ต้องเมื่อย ไม่ต้องเจ็บกล้ามเนื้อ เพราะการศึกษาเอ็นโดธิเลียมของเส้นเลือดแดงที่หัวใจบอกเช่นนั้น “ผมไม่ได้บอกให้เลิกการออกกำลังกาย เพียงแต่บอกว่าการหัวเราะอย่างสุดๆ นั้นมีคุณค่าพอๆ กับการเต้นแอโรบิก และผลแห่งการวิจัยบอกเราเช่นนั้น จะให้ดีผมคิดว่า สำหรับการป้องกันโรคหัวใจวายอย่างเฉียบพลัน ควรให้คนไข้ออกกำลังกายสักครึ่งชั่วโมง แล้วให้หัวเราะจริงๆ สัก 15 นาที”.
http://www.thaipost.net/sunday/210811/43607