(สงบเพราะมันขาดออกไปแล้ว) จึงว่า พระพุทธเจ้าตัดผมครั้งเดียว ขาดเลย และผมก็ไม่ยาวอีกสักทีแล้ว หลวงพ่อไม่เข้าใจทีแรก
โอ๊ะ...ความจริง..แม้จะพูดร้อยคำพันคำ แต่มีจุดสำคัญคือจุดเดียว เรียกว่าสัจธรรมแท้ จึงว่าไม่เปลี่ยนแปลงไม่แปรผัน คงที่ถาวรตลอดเวลา หลวงพ่อเข้าใจอย่างนั้น ใครจะพูดยังไงก็ตาม หลวงพ่อฟังได้ แต่ว่าพูดอย่างนั้นหลวงพ่อรู้จัก พูดอย่างนี้หลวงพ่อรู้จัก ไม่ใช่หลวงพ่อจะเป็นพระอริยบุคคลชั้นนั้นชั้นนี้ แต่หลวงพ่อรู้จักเอง
เพราะหลวงพ่อเป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องเข้าใจอย่างนั้น เมื่อไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่เข้าใจเลย หลวงพ่อเคยให้ทานมา เคยรักษาศีลมา เคยไปทำความสงบมา ไม่รู้เลยความสงบนี่หลวงพ่อไม่รู้
รู้ความสงบแบบที่ไปนั่งภาวนาดูลมหายใจ...มันสงบ แต่อันนั้นไม่ใช่สงบ คนนั้นไม่อยากสงบ แน่ะ..สงบแบบไม่อยากสงบ พูดยังไงดี ความสงบ(แบบ)ไม่สงบ
อันนั้นเรียกว่าคนนั้นไม่อยากสงบ คืออยากไปติดอยู่ แค่นั้นเอง เรียกว่าความสงบ(แบบ)ไม่อยากสงบ
อันความสงบแบบที่หลวงพ่อพูดนี่ คือ มันขาดออกไปแล้ว
จะเรียกว่าสงบก็ได้ ไม่สงบก็ได้ เรียกว่าความเพลิดเพลินเจริญใจ เป็นอย่างนั้น เรียกว่ามันเพลินกับอันนั้นเอง หรือมันอยู่กับภาวะเช่นนั้นเอง มันเป็นภาวะเช่นนั้นเอง มันเป็นสภาพเช่นนั้นของมันมีอยู่แล้ว จึงว่าทุกคนต้องไปประสบอันนี้ หนีไม่พ้น นี่แหละ
อาการเกิดดับแท้
(เมื่อไม่รู้จุดนั้นก็ยังสงสัย) หลวงพ่อรับรองแทนพระพุทธเจ้าว่า ทุกคนไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าพระสงฆ์องค์เจ้าต้องประสบอันนี้ และก็ไม่ใช่ว่าเฉพาะคนไทยอีกเสียด้วยนะ คนจีน คนฝั่งเศษ คนเอริกา หรือว่าให้คนนี่แหละ จะนับถือศาสนาไหนก็ตามจะเป็นเพศใดก็ตาม ต้องประสบอันนี้จริงๆ เรียกว่าสัจจะแท้ ไม่ต้องไปศึกษาว่าศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู อิสลาม ทั้งหมดเลย มันจะมารวมที่จุดนี้ ถ้าหากไม่ม้วนมันลงมาแล้ว แปลว่า ยังมีความสงสัย ลังเลใจ กังวลใจ
คนกังวลใจแสดงว่ามันมืดอยู่ในใจ เพราะมันยังไม่รู้จักทิศทาง เหมือนกับเรือมันแตกกลางวัง น้ำท่วมหัว ถึงจะเอาน้ำยันพื้นมันแรงๆ มันก็ยังไม่หวิดหัวเลย(ยังไม่โผล่พ้นน้ำเลย)
พวกท่านก็รู้จัหหมากพร้าวนี่ ลูกมะพร้าวดิบๆเปียกๆ โยนปุ๊งลงไปในน้ำ มันฟูขึ้นมา แต่น้ำมันยังท่วมหลังมันอยู่ ส่วนมะพร้าวแห้งนี่โยนปุ๊บลงไปมันจมปิ๊ง แล้วมันโผล่ดันขึ้นมา พ้นน้ำขึ้นมา ฟูขึ้นมา นี่สมมติให้ฟัง
อันคนสงสัยลังเลใจ จะนับถือศาสนาใดก็ตาม แสดงว่ายังไม่รู้จักทิศทาง ยังไม่รู้จักทางออกเลย เหมือนกับนกที่ถูกขังไว้ในตุ่มนี้เอง แม้จะเรียนมหาจบประโยคเก้าก็ตาม แม้เรียนทางฝ่ายโลกได้ปริญญาเอกสักสิบปริญญาเอกก็ตาม ครั้นถ้าไม่รู้อันนี้ แสดงว่าปราชญ์หรือบัณฑิตแบบนั้น ยังเป็นเพียงปราชญ์ตำรา บัณฑิตตำรา
แต่ถ้าคนเขียนหนังสือไม่เป็นอ่านหนังสือไม่ได้ คนเงอะงะยังไงก็ตาม
เมื่อเขาพ้นไปจากอันนี้แล้ว นั้นแหละคือปราชญ์แท้ บัณฑิตแท้
อันนั้นแหละควรศึกษาและปฏิบัติ
จึงว่า ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความเบียดเบียนตนเอง และเบียดเบียนคนอื่นนั้น ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัย ไม่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ควรศึกษาและไม่ควรปฏิบัติ เมื่อก่อนเราไม่รู้ หลวงพ่อไม่รู้จริงๆ เมื่อไม่รู้ก็ต้องศึกษาต้องปฏิบัติไป เห็นอาจารย์องค์ใดพูดเก่ง ก็ต้อง “แหม..เพราะหูนี่...ท่านรู้ดี” แน่ะ...เป็นอย่างนั้น ถ้าองค์ใดพูดไม่เก่งพูดไม่เพราะ “โอ๊ย...ไม่น่าฟัง นี่...ไม่รู้เรื่อง” เพราะเราไม่รู้ เรายังเป็นน้ำกับมะพร้าวที่โยนตูมลงไป มะพร้าวแห้งนะ เอ้า! ลองก็ได้ เอามะพร้าวแห้งสักลูกหนึ่งและมะพร้าวดิบสักลูกหนึ่ง ไปโยนเลยก็ได้ ทดลองก็ได้ นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาวัตถุ(ตาเนื้อ)อันนี้
นี้แหละจึงว่า มันมีความสงสัย เพราะเราไม่รู้จุดนั้น
เพียงแต่ว่า การให้ทานจะให้ใครก็ได้ ได้บุญคือกัน แต่ว่าจุดนั้นไม่ใช่เป็นบุญแล้ว ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป จึงว่ามันเหนือทุกข์ เหนือสุข เหนือดี เหนือชั่ว เหนืออะไรก็ได้ เพราะมันไม่มีอะไร...คนเรา เราต้องเห็นอย่างนั้น
(พระอริยบุคคล) จึงว่า การให้ทานให้พระโสดาบันนั้น ท่านจะชี้ไปเลย...ไปนี่ แต่จะไปถึงไม่ถึงก็ไม่รู้ล่ะ เหมือนกับที่เรือของเราแตกกลางวังนี่ ถ้าน้ำมันไม่ลึกเท่าไหร่ พอเรือเราแตกปุ๊บ เราจมลงไป เราหยั่งถึงเพียงระดับคอ แต่จะอยู่เพียงคออย่างนั้นไม่ได้ แม้จะมองเห็นฝั่ง แต่เราจะเดินไปไม่ได้...น้ำไหล มันต้องลอยไป บางทีก็ไม่ถึงฝั่ง อาจจะตายกลางวังก็ได้
บางคนที่ลงเรือพายไปแล้ว เรือมันแตกปั๊วะไปเลย สมมติเอานะ เรือเรารั่วไปแตกที่น้ำสูงเพียงกลางขานี่ เราก็เดินไป ถ้าน้ำเชี่ยว น้ำไหลแรงๆมานะ หลวงพ่อเคยเปรียบเทียบให้ฟังอย่างนี้ ยังทรงตัวไม่อยู่เลย จำเป็นต้องล้มตัวลอยไป บางทีก็ไม่ถึงฝั่ง ตายก็มีนี่
ทีนี้อีกคนที่พายเรือไปใกล้ๆกับฝั่งแล้ว แตกปุ๊เลยคราวนี้ น้ำสูงเพียงกลางแข้งนี่ เดินไปได้สบาย แม้จะไหลแรงขนาดใดก็ไม่ล้มเลย คนนี้เดินไปได้ ขึ้นไปบนบกได้สบาย อันนี้ แสดงว่า เป็นคนที่รู้จักจุดที่หลวงพ่อพูดนี่ รู้จักจุดแล้วจะไปไว้จุดไหน นี่เขาว่าอย่างนั้น มีความหมายอย่างนั้น