ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ปรากฏการณ์เนสซี่-ปรากฏการณ์บึงโขงหลง  (อ่าน 1683 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



ห้วงเวลาร่วมเดือนที่ผ่านมา ปรากฏข่าวเหตุการณ์ประหลาดที่บริเวณบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เป็นเงาดำเคลื่อนที่อยู่กลางบึงเป็นแนวยาวประมาณ  10-20 เมตร คล้ายสิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนที่ดำผุดดำว่ายบิดไปบิดมาอยู่บริเวณนั้นเป็นเวลาหลายนาที บางจังหวะจับภาพได้ว่า เป็นแนวโค้งรูปคลื่น 3 โค้งที่ขึ้นลง
 ชาวบ้านเชื่อกันว่านั่นคือ "พญานาค"

 ที่จริงแล้วเรื่องลี้ลับเกี่ยวกับสัตว์ใต้น้ำ ไม่ฉพาะคนไทยเท่านั้น ที่เชื่อเป็นตุเป็นตะ ฝรั่งมังค่าก็เอากับเขาด้วย อย่างกรณี "เนสซี่" อันลือลั่น มาจวบจนบัดนี้ยังคงมีคนไปเฝ้ารอที่ทะเลสาบล็อกเนสส์ เผื่อว่าเนสซี่จะออกมาจ๊ะเอ๋ แต่จนแล้วจนรอดยังไม่มีใครเคยเจอตัวเป็นๆ

 อาจมีบ้างที่ถ่ายรูปได้ แต่ไม่ชัดพอที่ระบุได้ว่ามันคือสัตว์ดึกดำบรรพ์ แม้กระทั่งมีการบันทึกเป็นรูปเคลื่อนไหว แต่ก็ถูกแย้งว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของผิวน้ำ ที่ถูกกระทำโดยลม
 แต่เนสซี่ยังขลังไม่เลิก

 มากกว่า 10,000 ปีมาแล้ว ธารน้ำแข็งสายสุดท้ายได้กัดเซาะให้เกิดรอยแยกของหินขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ในแถบไอซ์แลนด์ของสกอตแลนด์

 และเมื่อน้ำแข็งละลายหมดลง รอยแยกยาว 25 ไมล์นั้นก็ขังเจิ่งนองไปด้วยน้ำ และกลายเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดลึกลับตลอดกาลแห่งทะเลสาบล็อกเนสส์

 ตำนานของสัตว์ประหลาดตัวนี้ หรือที่เรียกขานกันด้วยความเอ็นดูว่าเนสซี่นั้น อาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อกเนสส์มาเนิ่นนาน ก่อนที่จะมีรายงานว่ามันปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนครั้งแรกในปี ค.ศ.565 

 ในปีดังกล่าว เซนต์โคลัมบากำลังอยู่ในระหว่างเดินทางไปอินเวอร์เนส  เพื่อนำคณะนักบวชไปเผยแพร่คริสต์ศาสนาให้กับพวกฟิคท์ และได้สั่งให้ผู้ติดตามคนหนึ่งว่ายน้ำไปเก็บเรือลำเล็กที่ลอยออกจากฝั่งทะเลสาบกลับมา ขณะที่ชายผู้นั้นเริ่มว่ายน้ำออกไป "สัตว์รูปร่างประหลาดก็โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ" เพียงไม่กี่หลาตรงหน้าชายผู้นั้น

 เรื่องราวกล่าวไว้เพียงว่า เซนต์โคลัมบาเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตัวนั้นพร้อมกับตะโกนว่า "อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้หรือทำอันตรายชายคนนั้น" สัตว์ประหลาดก็หนีไป

 นับตั้งแต่นั้นมาประชาชนของตำบลเกรทเกลน แห่งทะเลสาบล็อกเนสส์ ก็ได้รู้จักกับเนสซี่และบรรพบุรุษของมันว่าเป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจ สงบเสงี่ยม และไม่เป็นอันตรายกับใคร

 นานๆ ถึงจะขึ้นมาสู่ผิวน้ำสักครั้ง แม้ว่าในแถบทะเลสาบเป็นที่รู้จักกันว่า มีสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่นานนับศตวรรษ แต่ชื่อเสียงของเนสซี่เพิ่งขจรขจายไปทั่วโลก เมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมานี้เท่านั้นเอง
 วันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1933 จอห์น แม็คเคย์ และภรรยาขับรถไปตามถนนตัดใหม่เลียบทะเลสาบล็อกเนสส์ ที่ยามนั้นพื้นน้ำราบเรียบปานกระจก ล้อมรอบไปด้วยยอดเขาสูง ทันใดนั้น...มิสซิสแม็คเคย์ก็คว้าแขนสามีอย่างตื่นเต้น " จอห์น..." เธอเรียกชื่อเขาอย่างกระหืดกระหอบ "นั่นอะไรคะ...โน่นน่ะ?"
 พื้นน้ำในทะเลาสาบที่ต้องแสงอาทิตย์เป็นประกายแวววาวนั้น กำลังผุดเป็นฟองคล้ายกับภูเขาไฟคุกรุ่นอยู่ใต้ผิวน้ำ จอห์น แม็คเคย์ ผู้เป็นเจ้าของโรงแรมในละแวกนั้นเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน เขาและภรรยาเฝ้ามองด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดกลัว

 เมื่อสัตว์ขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมา มันเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีคอยาวคล้ายงู สัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาผกผันฟาดฟันพื้นน้ำแตกฟองขาว จากนั้นก็ดำหายไปจากสายตา

 นับจากวันนั้นของปี 1933 เป็นต้นมา เนสซี่ยั่วยวนโดยการเล่นเกมซ่อนหากับบรรดานักวิทยาศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา และนักล่าสัตว์ประหลาดนับพันๆ ซึ่งมีผู้อ้างว่าพบเห็นสัตว์ประหลาดที่ว่องไวราวกับปรอทตัวนี้ มากกว่า  3,000 คน

 เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่คล้ายคลึงกับประสบการณ์ของสามีภรรยาแม็คเคย์ก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งการที่เห็นสัตว์ประหลาดในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นที่จะสืบสาวราวเรื่องของเนสซี่อย่างจริงจัง จนสบโอกาสถ่ายรูปของสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้เป็นครั้งแรก

 โดยวิศวกรชื่อ ฮิว เกรย์ ขณะเขาเดินทางกลับจากโบสถ์ในวันอาทิตย์  ใกล้ถึงบ้านพักในฟอยเยอร์ ทะเลสาบราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรรบกวน แต่ประมาณ 100 หลาจากฝั่ง เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

 "หลังกลมมนและส่วนหางปรากฏขึ้น" เขากล่าวในเวลาต่อมา "และสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่ยาวประมาณ 40 ฟุต กำลังพ่นน้ำเป็นฟองฟู่กระจาย

 ภาพถ่ายสัตว์ประหลาดของเกรย์ถูกส่งไปวิเคราะห์ที่บริษัทโกดัก ซึ่งได้รับการยืนยันว่าไม่ได้มีการยุ่งเกี่ยวแต่งเติมกับฟิล์มที่ใช้ถ่าย แต่ภาพสัตว์ประหลาดที่เป็นเงาดำนั้น เป็นหลักฐานที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก

 ภาพหนึ่งที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญได้ลงความเห็นว่า ยังคงเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุด ถ่ายไว้เมื่อเดือนเมษายน ปี 1934 โดยโรเบิร์ต เดนเนธ วิลสัน ศัลยแพทย์จากลอนดอน ผู้มีบุคลิกลักษณะน่าเชื่อถือ ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง วิลสันและเพื่อนคนหนึ่งกำลังขับรถเลียบไปตามถนนริมทะเลสาบล็อกเนสส์ เป็นการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่พวกเขาหวังว่าคงได้ถ่ายภาพสัตว์ป่าไว้ได้บ้าง แต่ภาพที่วิลสันได้รับในวันนั้น กลับกลายเป็นภาพของสัตว์ที่เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่า มันมีตัวตนอยู่จริงๆ

 ศัลยแพทย์และเพื่อนร่วมเดินทางขับรถมาตลอดกลางคืน และตัดสินใจหยุดพักแรมใกล้กับอินเวอร์มอร์ริสัน ขณะที่วิลสันนั่งเหยียดขาอยู่ริมทะเลสาบนั่นเอง หัวเล็กๆ ของสัตว์ชนิดหนึ่งก็โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา เขากระโจนกลับไปที่รถ คว้ากล้องถ่ายรูปเอามาไว้บันทึกภาพได้ชุดหนึ่ง ซึ่งภาพเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงส่วนหัวและคอที่สะโอดสะองและลำตัวของมันเห็นเลือนรางอยู่ใต้ผิวน้ำ

 ภาพถ่ายเหล่านี้ รวมทั้งอีกจำนวนนับร้อยที่ได้มีการถ่ายเอาไว้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาถูกยกเลิกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยผู้ที่ทำลายชื่อเสียงแห่งตำนานของเนสซี่ ว่าจริงๆ แล้วเป็นเพียงท่อนซุง แมวน้ำ นก นาก หรือว่าเรือที่ลอยคว่ำอยู่ในน้ำ แต่ความจริงเป็นสิ่งใดก็ตาม รายงานและรูปภาพของสัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนสส์เหล่านั้น ก็เป็นสาเหตุให้ทั่วโลกบังเกิดความตื่นเต้น

 ในไม่ช้าทะเลสาบก็คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว นักวิทยาศาสตร์ นักล่า  นักเรียนและนักหลอกลวง ชาวบ้านร้านตลาดพากันไปทำธุรกิจอาหารและที่พักอย่างเป็นล่ำเป็นสันและอึกทึกครึกโครม เบอร์แทรม มิลส์ หัวหน้าคณะละครสัตว์เสนอรางวัล 20,000 ปอนด์ แก่ผู้ที่จับเป็นสัตว์ประหลาดมาให้เขาได้ ปัญหาที่ถูกนำไปถกกันในสภาผู้แทนราษฎรก็คือความปลอดภัยของเนสซี่

 ในที่สุดกฎหมายฉบับหนึ่งก็ผ่านสภาออกมาปกป้องสัตว์ต่างๆ ในทะเลสาบให้ปลอดภัยจากการยิง วางกับดัก หรือสร้างความรบกวน การหลอกลวงครั้งหนึ่งที่ผ่านมา เกี่ยวข้องกับนักล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ ชื่อ มิเชล เวทเธอเรลล์ สมาชิกของบริเทน'ส ฮลี่-เรสเปดเทด ซูโลจิคอล โซไซตี้ ในปี  1533 เขาพบรอยเท้าของสัตว์ประหลาดบนชายฝั่งทะเลสาบ เวทเธอเรลล์กล่าวว่า "มันเป็นสัตว์ 4 เท้า ซึ่งเท้าหรือครีบกว้าง 8 นิ้ว ผมเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดทรงพลังที่ยาวประมาณ 20 ฟุต"

 ท่ามกลางกระแสความตื่นเต้นรุนแรง แบบพิมพ์รอยเท้าที่หล่อโดยปูนปลาสเตอร์ก็ถูกส่งไปยังพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติกลางกรุงลอนดอน หลังจากการตรวจสอบ ผู้เชี่ยวชาญก็ลงความเห็นว่า "มันเหมือนกับรอยเท้าของฮิปโปโปเตมัส" และต่อมาพบว่า เท้าของฮิปโปที่ถูกทำให้แห้ง หายไปจากพิพิธภัณฑ์ที่อินเวอร์เนส ห่างจากทะเลสาบออกไปเพียง 2-3 ไมล์

 การเห็นสัตว์ประหลาดที่สร้างความตื่นเต้นจำนวน 3 ครั้ง ได้ถูกรายงานไว้ในปี 1933 และ 1934 สองครั้งแรกพบเห็นโดยชาวบ้านในละแวกทะเลสาบ  ส่วนครั้งที่สามพบเห็นโดยนักธุรกิจชาวลอนดอน
 ต่อไปนี้คือความรู้สึกของนักข่าวอิสระของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น อเล็กซานเดอร์ แคมเบลล์ พรรณนาถึงสิ่งที่เขาพบเห็นในตอนกลางวันของเดือนมิถุนายน  ปี ค.ศ.1434

 ขณะที่ผมออกจากกระท่อมติดทะเลสาบนั้น สัตว์ชนิดหนึ่งคล้ายสัตว์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ก็โผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ มันยาวประมาณ 30 ฟุต คอยาวคล้ายงูและหางแบน ระหว่างคอและลำตัวที่ตะโหงกนูนขึ้นมา สัตว์ประหลาดลอยอาบแดดอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ จนกระทั่งได้ยินเสียงเรือจากแคลโดเนียน ดานัล แว่วมา จึงดำน้ำหายไป เหลือไว้แต่รอยกระเพื่อมบนพื้นน้ำ 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น แคมเบลล์ได้อ่านพบรายงานของพระรูปหนึ่ง คือ บราเธอร์ ริชาร์ด โฮแรน แห่งโบสถ์เซนต์เบเนดิคท์ ฟอร์ท ออกัสตัส ดังนี้
 "ผมเห็นสัตว์ประหลาดโผล่ขึ้นมาจากทะเลสาบล็อกเนสส์ และเฝ้ารอดูอยู่ราวๆ 20 นาที หัวและคอยื่นออกมาทำมุม 45 องศากับพื้นน้ำ ด้านล่างของลำคอที่อวบหนานั้นเป็นสีน้ำเงิน จมูกเชิด เมื่อเครื่องยนต์เรือดังใกล้เข้ามา สัตว์ประหลาดก็ค่อยๆ จมหายไปอย่างช้าๆ"

 ฝรั่งมีเรื่องราวของสัตว์ประหลาดใต้น้ำเล่ากันไม่จบสิ้น พญานาคบึงโขงหลงบ้านเราแม้จะใหม่กว่า แต่ก็ดังเป็นพลุแตกไปแล้ว

 พญานาคมีจริงหรือไม่ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ไม่ยาก เช่นเดียวกับบั้งไฟพญานาคที่ไม่เกินความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ไปได้

 แต่สิ่งที่นอกเหนือจากนั้น คือเสน่ห์ของเรื่องเล่า และวิถีพื้นถิ่นที่มีลักษณะเฉพาะตัว คือปรากฏการณ์ที่น่าอนุรักษ์เช่นกัน
                       กาลิเลอี

http://www.thaipost.net/sunday/180911/45184
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...