ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะจากเสือ พระอาจารย์ภูสิต ขันติธโร  (อ่าน 1533 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


 เสือ เป็นสัตว์ที่อยู่ในภพที่มีคุณธรรมพอสมควร เขาไม่สะสม หิวเขาออกล่าเหยื่อ พอเขาอิ่ม เขาก็นอนพักผ่อน นี่คือปัจจุบันธรรมจริงๆ
   
   หนุ่มนักเรียนนอกจบปริญญาโทจาก City University London สหราชอาณาจักรอังกฤษ เตรียมจะบินกลับไปเรียนต่อปริญญาเอกหลังจากกลับมาทดแทนบุญคุณยายครั้งสุดท้ายด้วยการบวชหน้าไฟ

   โดยไม่คาดคิด เขาต้องเผชิญกับการคุกคามจากโรคมะเร็งในเม็ดเลือดพร้อมกับข่าวร้ายจากแพทย์ที่บอกว่า "มีชีวิตอยู่ได้แค่ 6 เดือน"

   นาฬิกาเริ่มนับถอยหลังทุกเสี้ยววินาที

   ช่วงเข้ารับการรักษาเพื่อประคองชีวิต เขาได้รับหนังสือ "ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ" รวบรวมและเรียบเรียงโดย หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด อุดรธานี จนเกิดแรงปรารถนาบวชในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายเริ่มมีกำลังวังชา เขาจึงเดินทางไปยังวัดป่าบ้านตาดเข้ากราบนมัสการหลวงตาพระมหาบัว และขอบวชเป็นภิกษุได้ชื่อว่า ภูสิต ขันติธโร

   ช่วงบวชอยู่ที่วัดบ้านตาด อาการป่วยเริ่มทุเลาขึ้น และปฏิบัติวัตรทุกอย่างเหมือนคนสุขภาพปกติ ไม่ใช่คนป่วยที่รอวันตาย

   ต่อมา พระอาจารย์ภูสิต หรือที่เรียกกันติดปากว่าอาจารย์จันทร์ เริ่มบริกรรม "โลหิตัง โลหิตัง" เพื่อพิจารณาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวภายในตัวเอง พิจารณาความเป็นปรปักษ์กันระหว่างเม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นเสมือนทหารรักษาการณ์ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคมาจู่โจม แต่ความผิดปกติกลับทำให้เม็ดเลือดขาวมากลุ้มรุมทำร้ายเม็ดเลือดแดง

   พิจารณาจนพบสัจจะว่า "เมื่อเม็ดเม็ดเลือดขาวกินเม็ดเลือดแดงหมด เราก็ตาย เมื่อเราตาย เม็ดเลือดขาวก็ตายเพราะไม่มีอาหารให้ดำรงชีวิต ทุกชีวิตต้องตายหมด เป็นธรรมชาติ" พระอาจารย์จันทร์พิจารณาความตายอยู่ตลอดจนปราศจากความกลัวตาย และดูเหมือนว่าเม็ดเลือดขาวเริ่มกลับตัวกลับใจ อาการป่วยของท่านดีขึ้นและแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

   ปลูกป่าให้เสือ ปลุกผู้รู้ในตัวคน

   ช่วงปี 2524-2529 พระอาจารย์ภูสิตเคยเป็นพระอุปัฏฐากหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน และได้เดินธุดงค์เข้ามาในทุ่งใหญ่นเรศวร ต่อมา เมื่อหลวงตาได้รับการถวายที่ดินจากโยม พระอาจารย์ภูสิตจึงได้มาปักหลักอยู่ที่วัดเสือ อ.ไทรโยค จนถึงปัจจุบัน

   "หลวงตาเรียกอาตมามาดูที่นี่ ถามว่าเอาไหม อาตมามาดูแล้วก็ตอบตกลง มันเป็นสภาพที่พอจะฟื้นฟูป่าขึ้นมาใหม่ได้ ก็เลยมาเมื่อปี 2537-2538 ผ่านไป 16 ปีแล้ว ก่อนหน้าที่หลวงตาจะละสังขาร ท่านก็มาเยี่ยมอยู่เรื่อยๆ" 

   "อาตมาก็ไปเยี่ยมท่านครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วก่อนที่ท่านจะละสังขาร ท่านถามว่า มีเสือมาอยู่กี่ตัว แล้วท่านก็เล่าเรื่องเณรที่เคยมาอยู่กับท่านที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร ให้ฟังว่าขณะที่เณรกำลังเดินจงกรมอยู่ ก็มีเสือเดินมาอยู่ที่ทางเดินจงกรม เณรกลัวเสือ จึงนั่งสมาธิกลางทางจงกรม แล้วหลับตา เสือก็คำรามฮึมๆ จนกระทั่งเสือเข้ามาดมรอบตัว แล้วคำรามอีก จากนั้นเสือก็กระโจนเข้าป่าไป เณรออกจากสมาธิกลางทางเดินจงกรม จึงเดินตามหาเสือ เพื่อที่จะขอบใจเสือที่ทำให้หายกลัวเสือ"

   "เห็นเลยว่า เมื่อจิตมันพ้นตัวกลัวภัย มันเอาตัวรอดของมันได้ จิตมันก็เลยรวมได้ พระธุดงค์สมัยก่อนๆ จึงเข้าไปในป่าช้า เข้าไปในป่าที่มีสัตว์ร้ายๆ จะได้ฝึกสมาธิกัน เราก็ฝึกกันแบบนี้ โดยการทรมานมัน มันก็จะพยายามเอาจิตให้รอด เมื่อจิตรอดแล้ว จิตมันจะรวมตัว เพื่อต่อสู้กับสิ่งภายนอกที่มารบกวน"

   "ที่เราแสวงหาจิต เพราะเรารู้ว่าเรามีจิต แต่เราไม่รู้หรอกว่าจิตเราอยู่ตรงไหน วิธีการปฏิบัติก็คือ รู้ตรงไหน จิตอยู่ตรงนั้น จึงต้องกำหนดผู้รู้ก่อน นั่นแหละจิตเป็นผู้รู้  เมื่อมีผู้รู้แล้ว ก็ต้องเอาตัวผู้รู้ให้รอดก่อน"

   "วิธีการให้ผู้รู้รอดก็คือมาพิจารณาที่ตาเห็นรูปก็สักว่าเห็น ดังนั้น เห็นอะไรอย่าให้ใหญ่กว่าตา ได้ยินอะไรอย่าให้ใหญ่กว่าหู ลิ้นรับรสเปรี้ยวหวาน มัน เค็ม ขม ลิ้นของเราจะไปถามคนอื่นเขาได้อย่างไร เมื่อทุกคนเข้าใจในสภาพของผู้รู้ ให้เข้าใจในทางเดินของสิ่งที่ถูกรู้ นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม"

   ธรรมะจากเสือ

   "ปัจจุบัน คนเราขาดที่พึ่ง
เสือก็ขาดที่พึ่ง สัตว์ต่างๆ ก็ขาดที่พึ่ง เราก็พยายามหาที่อยู่ให้มันให้ได้ 8,400 ไร่ เพื่อให้เป็นสวรรค์ของมัน จะได้อยู่อย่างอิสระ "

   พระครูปลัดสัมพิพัฒนวิริยาจารย์ (ภูสิต (จันทร์) ขันติธโร)  เจ้าอาวาสวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "วัดเสือ" อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เล่าถึงสถานการณ์โลกร้อน น้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ ไม่ต่างไปจากปัญหาน้ำท่วมที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ทั้งหมดล้วนมีเหตุปัจจัยสำคัญเกิดจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์

   "โดยเฉพาะเสือ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ห่วงโซ่อาหารของป่าที่อุดมสมบูรณ์กำลังหายไป เหลือป่าเป็นหย่อมๆ เพราะคนไปล้อมป่า

เสือจะไม่มีที่อยู่ เมื่อเสือไม่มีที่อยู่ พระป่าก็ไม่มีที่ธุดงค์ พระที่มีคุณธรรมก็น้อยลงทุกที การปลูกป่า หาที่อยู่ให้เสือ เพื่อเพิ่มโอโซนให้กับทุกชีวิต จึงมีความจำเป็น เพราะสภาพแวดล้อมที่เป็นป่าเขา เป็นสิ่งสำคัญในการที่พระ และผู้คนเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ก็จะได้สัมผัสกับความจริง"

   "จากนั้น อาตมาก็ต้องให้เวลากับชาวบ้านมากขึ้น ในการให้หลักจิตหลักใจกับเขา เพราะเมื่อมนุษย์มีหลักจิตใจ หรือศีลธรรมแล้ว สัตว์มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องหวาดระแวงมนุษย์"

   พระอาจารย์ภูสิตเห็นว่า ตอนนี้โลกกำลังขาดผู้พาดำเนิน โลกกำลังขาดผู้นำ โลกกำลังขาดหลักธรรมที่แท้จริง โลกกำลังขาดผู้รู้ที่แท้จริง 

   "ฉะนั้นเมื่อเราพอจะมีผู้รู้อยู่บ้าง พอจะประกาศให้ใครต่อใครได้รู้บ้างว่า ผู้รู้ สภาพเป็นอย่างนี้นะ ถ้ารู้ข้างนอกมากๆ เข้ามันยึด กิเลสเข้ามาใส่ตัว ดังนั้น ผู้รู้ที่แท้จริงต้องเป็นผู้รู้ภายใน เมื่อรู้ภายในมันจะปล่อยภายนอก เมื่อปล่อยภายนอกมันจะเป็นอิสระ เมื่อเป็นอิสระมันจะไม่มีขอบเขต นั่นแหละ นิพพานก็อยู่ตรงนั้น นิพพานไม่มีขอบเขต นิพพานคือความเป็นอิสระ  บรมสุขก็อยู่ตรงนั้น ความสุขมันเกิดขึ้นเพราะเป็นอิสระ"

   การรู้โดยวิปัสสนาปัญญาเช่นนี้ เป็นการรู้ตามความเป็นจริง คือ รู้ว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ก็จะไม่ไปยึดติดสิ่งใด จิตก็เป็นอิสระ การรู้เช่นนี้จะทำให้มนุษย์ลดความโลภ โกรธ หลง ลงได้ เพราะเห็นว่า สรรพสิ่งล้วนอิงอาศัยกัน ธรรมชาติที่ถูกทำลายไปก็จะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา ถ้าไม่เข้าไปทำลายเขา

   ท่านกล่าวว่า สึนามิจะเกิดอีก เป็นหลักของธรรมชาติ หลักของพุทธศาสนาคือ ถ้าเราไม่เห็นใจเขา จะให้เขามาเห็นใจเราอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าเราเอาเปรียบธรรมชาติอย่างเดียว ธรรมชาติก็ลงโทษ ตั้งแต่จำความได้ มนุษย์มีแต่เอาเปรียบธรรมชาติ ไม่เคยให้อะไรกับธรรมชาติเลย

   "ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนมาให้อะไรกับธรรมชาติบ้าง แล้วธรรมชาติจะสงบลง ธรรมชาติก็จะกลับมาเป็นผู้ให้เหมือนเดิม"
    ท่านจึงมาอยู่กับเสือ เรียนจากเสือ ท่านเล่าว่า
เสือ เป็นสัตว์ที่อยู่ในภพที่มีคุณธรรมพอสมควร เพราะเสือเขายึดปัจจุบันธรรมจริงๆ เขาไม่สะสม หิวเขาออกล่าเหยื่อ พอเขาอิ่ม เขาก็นอนพักผ่อน นี่คือปัจจุบันธรรม

   "เพราะฉะนั้น ใครที่เลี้ยงดูเสือ อยู่กับเสือ ก็ต้องอยู่กับปัจจุบันธรรมเหมือนกัน เผลอไม่ได้ ประมาทไม่ได้ เผลอปุ๊บเขาตบเอาทันที เพื่อสั่งสอน เพราะเสือ นิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าได้เปรียบแล้ว สัญชาติเสือคนโบราณบอกว่า เมื่อได้ทีแล้วจะไม่ยอมเสียโอกาส  น็อคได้ ต้องน็อค ทำอะไรได้ต้องทำ กินได้ ต้องกิน ฆ่าได้ฆ่าเลย เขาจะไม่ยอมละโอกาส จะไม่ยอมเสียโอกาสไป และจะยึดถือเพียงแค่ปัจจุบันธรรมเท่านั้น ที่สำคัญคือ เราต้องฝึกเรื่องปัจจุบันธรรมให้ได้อย่างเสือ"

   จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มีเสือมาขออยู่กับท่านไม่น้อย จากเสือตัวแรกที่ถูกคนจับไปสตัฟฟ์ทั้งเป็น แล้วมันหลุดมาได้ เพราะมีคนช่วยชีวิตมันไว้และนำมันมาขายให้ท่าน ท่านก็รับซื้อไว้ จนมันเติบโตสร้างครอบครัวที่นี่ มีลูกมีหลานมากมาย 

   ปัจจุบันมีเสือที่เกิดในวัดเสือ 88 ตัวแล้ว ทั้งหมดทั้งสิ้นที่ท่านทำก็คือ เพื่อคืนป่าให้กับเสือ คืนลมหายใจให้กับสรรพชีวิต เท่านั้นเอง

   "หลวงตาท่านบอกว่า เวลาสู้กับกิเลส ถ้าชนะกิเลสต้องเอาให้อยู่ ถ้าเลี้ยงกิเลสไว้ เดี๋ยวเราก็ต้องพลาดท่ามันจนได้ สัญชาติเสือเหมือนกัน ถ้าข่มใครได้ ต้องเอาให้อยู่ มีอะไรต้องเอาออกมาใช้ให้หมด ถ้าเขาสู้เราไม่ได้ เขาก็ยอมเราตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกับ เราก็อย่าประมาท ถ้าประมาทเขาก็เอาเราเหมือนกัน"

   ความไม่ประมาท

   ถามว่า พระอาจารย์ภูสิตทำอย่างไรจึงอยู่กับเสืออย่างไม่ประมาท ท่านเล่าย้อนไปในช่วงที่หลวงตาได้ขัดเกลาอัตตาของพระอาจารย์จนหมดเขี้ยวเล็บ ก่อนที่จะให้ออกธุดงค์เดี่ยว

   "ครั้งหนึ่ง หลวงตาไปต่างวัด แล้วท่านกลับมา เราต้องต้มน้ำร้อนถวายท่าน ตอนนั้นเดือนธันวาคม ท่านยืนอยู่ที่ระเบียงกุฏิกำลังเอาจีวรท่านตากบนลานลูกกรง พอเราเข้าไป ก็มีกระรอกกระแตมาเต็มพื้นที่ลาน หน้ากุฏิ มันร้องกั๊กๆๆ  หลวงตาท่านก็พูดว่า ไง เราไม่อยู่ จันทร์มันเอาอะไรให้กินบ้างหรือเปล่า"

   "เราก็นึกในใจ โอโห นี่มันฟ้องหลวงตา ก็มานึก ใครไม่ทำสมาธิ ใครไม่ปฏิบัติ ทำไมท่านจะไม่รู้ล่ะ แค่กระแต สี่ห้าร้อยตัวมาฟ้องเต็มไปหมด เราก็เหงื่อแตก กลับไปต้มน้ำร้อน เอาข้าวสุกไปหว่านให้กระแตกระรอก เรารับใช้ท่านตั้งแต่ล้างส้วม กระทั่งใส่ปลอกหมอนให้ท่าน วันนั้นพอกระเป๋าน้ำร้อนจะไปใส่ไว้ในที่นอน ตอนนั้นใจก็แวบนึกว่า เอ พระที่มีคุณธรรมท่านรู้ภาษาสัตว์ได้อย่างไร"

   "หลวงตาท่านก็เดินเข้าไป แล้วก็หยิบกระเป๋าน้ำร้อนขว้างหน้าเราเลย ถ้าไม่หลบก็โดนศีรษะ  ขณะนั้น เราโมโหเลยนะ คิดในใจว่า ไอ้เรามันก็นักเรียนนอก จบ MBA มาจากประเทศอังกฤษ ที่มายอมอยู่อย่างนี้เพราะเราเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด มารับใช้ท่านขนาดนี้ ท่านยังเอากระเป๋าน้ำร้อนมาขว้างเรา พอนึกอย่างนี้ก็โมโหเต็มที่"

   หลังอารมณ์สงบกลับคืนมา พระอาจารย์ภูสิตเดินไปดูท่าทีว่าหลวงตาจะพูดอะไรบ้างหรือเปล่า คิดอยู่ในใจว่า ถ้าท่านไม่พูดอะไร กะว่าออกไปจะไม่นับถือใครเลย

   "ขนาดอยู่กับหลวงตา ท่านยังทำเราขนาดนี้ ก็ขัดกุฏิต่อ พอสักเดี๋ยวท่านก็พูดว่า ...เราน่ะ ไม่มีวาสนาหรอก สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีกระเป๋าน้ำร้อนอย่างนี้ใช้หรอก พระพุทธเจ้าระลึกชาติได้ ไม่มีกำหนด พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านก็ระลึกได้เท่านั้น พระอัครสาวก ท่านระลึกชาติได้สี่แสนอสงไขยมหากัป พระโสดาบัน ก็ระลึกชาติได้เป็นพันๆ ชาติ แล้ว พวกฤๅษีที่ไม่ได้ปฏิบัติอย่างศาสนาพุทธเรา ระลึกชาติได้ไม่เกิน 7 ชาติ”

   พระอาจารย์ภูสิตเล่าต่อมาว่า เราเป็นพระปฏิบัติระลึกชาติได้ไม่เกิน 7 ชาติก็อายฤๅษีต่างๆ แล้ว"
   "7 ชาติ ไม่มีบ้างเลยหรือ ที่จะไม่เคยเป็นหมู เป็นหมา เป็นกา เป็นไก่ มาก่อน แล้วทำไมเราจะไม่สามารถเข้าภาษาสัตว์ต่างๆ ได้ล่ะ"

http://bit.ly/pxU5D1
 
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...