ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์ (ในเมื่อไม่จำเป็น) ."ชุมนุมข้อคิดอิสระ" โดย
ท่านพุทธทาสภิกขุ เพราะว่า เป็นการทำเพื่อยึดเอาประโยชน์
ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม เป็นการก้าวหน้าของ
สัมมาปฏิบัติอันหนึ่ง ซึ่งได้ผลมากแต่ลงทุน
ทางฝ่ายวัตถุน้อยที่สุด ไปมากอยู่ทางฝ่ายใจ ซึ่งจะแยกอธิบายดังนี้
ฝ่ายธรรมเช่น :
ข้อที่ 1. เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวาย เพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบ ๆ เคียง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อย ๆ ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวาย ศรัทธาญาติโยมที่มีใจเป็นกลางเคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมาก ๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผัก แต่เป็นเพราะรู้ว่าสัตว์ถูกฆ่าตาย เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรา มีอีกหลายคน ที่ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อทดลองทำไปได้ ๒ - ๓ ครั้ง กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี
ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อ มีความแตกต่างกันอย่างไร จะกล่าวในข้อหลัง
เฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า
"คนกินเนื้อสัตว์ เพราะแพ้รสตัณหา กินเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย"ข้อที่ 2. เป็นการฝึกในส่วน " สัจธรรม " คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตนเอง สัจจะในการกินผักนั้น เป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์ ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง "ดวงธรรมแห่งสัจจะ" ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้น การฝึกกินผัก อาหารพืชผัก
จึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยอดเยี่ยม กว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่น ๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึก ทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุก ๆ วัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรม ต้องฝึกทุกวัน จึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้
การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึงเหมาะมาก อย่าลืม พระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า " สัจจะเป็นคู่กับกาสาวพัสตร์ "
ข้อที่ 3 . เป็นการฝึกในส่่วน "ทมะ" ธรรม "ทมะ" คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ
คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหาอันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อ ง่าย ๆ เช่น ข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูง ๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้ง ๆ จากชาวบ้านริมทะเลขึ้นไปกินทั้ง ๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวัน ๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าว ฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้ง ๆ และขึ้นรา ที่พวกเขาอุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็นไหน ๆ ดังนั้น...
ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวัน การข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์เช่นกัน โปรดทราบ! ว่ามันเป็นการยากยิ่งที่
คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ และผักปนกันมา จงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิด การเลี้ยงพระในงานต่าง ๆ ข้าพเจ้าเคยเห็น เคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เรียกเอาแต่อาหารเนื้อ ส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก แม้กระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อ คงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ควรรู้ไว้ด้วยว่า บรรดาพ่อครัวแม่ครัว และเจ้าภาพ เขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อ ชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิต ทั้งหลายร่วมมือกัน "เบ่งอิทธิพล"
ข้อที่ 4 . เป็นการฝึกในส่วน สันโดษ สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวช ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่า ข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลยเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และ ถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษและถ่อมตน ดังนั้น... การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่าย ๆ จะแก้ได้หมด "สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต"
ข้อที่ 5 . เป็นการฝึกในส่วน จาคะ จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบหรือความพ้นทุกข์ นักกินผักที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไป กว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิต ความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่น ๆ
ข้อที่ 6 . เป็นที่ฝึกในส่วน " ปัญญา " ปัญญา คือ
ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษ ของการยึดมั่น
และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อ เพราะเนื้อทำให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาต่อเติม
ปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่ไปนิพพานได้เพราะกินผัก แต่เป็นการกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุก ๆ วัน แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่า ฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผัก ความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลว หรือไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผักเพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉยๆ
พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี ! เพราะฉะนั้น
ฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่
ข่มตัณหาได้ และมีความบริสุทธิ์
จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ ผลดีในฝ่ายโลก อาหารผักมีคุณประโยชน์ ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์หรือไม่ ? เรื่องนี้ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่า อาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรง โรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้
ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก