ผู้เขียน หัวข้อ: ฟ้าสางทางความลับสุดยอด :ท่านพุทธทาสภิกขุ  (อ่าน 1717 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



ฟ้าสางทางความลับสุดยอด
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ
คัดจากหนังสือ อสีติสังวัจฉรายุศมานุสรณ์ 
ในหัวข้อ ฟ้าสางทางความลับสุดยอด
พิมพ์โดย ธรรมทานมูลนิธิ และ สนพ. สุขภาพใจ

พิมพ์ครั้งที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๐

    ชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ตามประสงค์ โดยกฏอิทัปปัจจยตา
    ดังนั้น ชีวิตจึงเป็นสิ่งที่เราเติมธรรมะลงไปได้ตามที่เราต้องการ
    โดยการปฏิบัติธรรม. (๑)

    ถ้ามีการศึกษาที่เห็นแจ้งจากภายใน (เป็นสันทิฏฐิโก) แล้ว
    ก็ไม่มีทางที่จะเป็นทาสทางสติปัญญาของใคร แม้แต่ของพระพุทธเจ้า:
    นี้เป็นหลักของพระพุทธศาสนา (ตามกาลามสูตรข้อสิบ)    (๒)

    ถ้าใช้หลักกาลามสูตรเป็นเครื่องตัดสินว่า
    เป็นสิ่งที่ควรรับถือเป็นหลักปฏิบัติแล้ว
    ก็ไม่ต้องคำนึงว่าเป็นคำสอนของใคร
    เป็นของเดิมแท้หรือเป็นของใหม่ ฯลฯ
    หรือว่ามีประวัติมาอย่างไร    (๓)


    การมีธรรมะแท้จริง ก็คือ
    สามารถดำรงตนอยู่เหนือปัญหา
    หรือความทุกข์ทั้งปวง;
    ไม่เกี่ยวกับปริญญาบัตร ฯลฯ พิธีรีตอง
    หรือ หลักปรัชญาชนิดฟิโลโซฟี่ใดๆ  (๔)


    เรามีวิธีทำให้ชีวิตเป็นของเย็น
    ทุกอิริยาบถตามที่เราประสงค์จะมี
    ไม่ว่าในรูปแบบใดๆ :
    เพื่อตนเอง - เพื่อสังคม - ตามธรรมชาติล้วนๆ   (๕)

    การศึกษา - ศาสนา - วัฒนธรรม - ประเพณี -
    การเมือง - การปกครอง - การเศรษฐกิจ - ศิลปะ ฯลฯ -
    วิทยาการใดๆ จะถือว่าถูกต้องได้
    เฉพาะเมื่อพิสูจน์การดับทุกข์ได้ในตัวมันเอง      (๖)

    การเรียน - การรู้ - การมีความรู้ - การปฏิบัติ -
    การใช้ความรู้ให้สำเร็จประโยชน์ เหล่านี้
    มิใช่สิ่งเดียวกัน; ระวังการมี การใช้ ให้ถูกต้อง   (๗)

    ชีวิตเย็นเป็นนิพพาน ในปัจจุบัน คือ
    ไม่มีกิเลส เกิดขึ้นแผดเผาให้เร่าร้อน ทุกเวลานาที ทุกอิริยาบถ,
    ในความรู้สึกอย่างสันทิฏฐิโก (คือรู้สึกอยู่ภายในใจ) (๘)

    มีชีวิตเย็นเป็นนิพพาน (นิพฺพุโต) ในปัจจุบันได้
    โดยที่ทุกอย่างถูกต้องแล้ว พร้อมแล้ว ไม่ว่าสำหรับจะตายหรือจะอยู่;
    เพราะไม่มีอะไรยึดถือไว้ว่า กู-ของกู     (๙)

    กิจกรรมทางเพศเป็นของร้อน และเป็นเรื่อง "บ้าวูบเดียว";
    แต่คนและสัตว์ (แม้ต้นไม้?) ก็ตกเป็นทาสของมันยิ่งกว่าสิ่งใด  (๑๐)

    อวัยวะสืบพันธุ์ มีไว้สำหรับผู้ต้องการสืบพันธุ์
    หรือผู้ต้องการรสอร่อยจากกามคุณ (กามอสฺสาท)
    อันเป็นค่าจ้างให้สัตว์สืบพันธุ์ ด้วยความยากลำบากและน่าเกลียด;
    แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้จะอยู่อย่างสงบ  (๑๑)

    เรื่องเพศหรือเกี่ยวกับเพศ
    ธรรมชาติสร้างมาสำหรับมนุษย์ - สัตว์ - พฤกษชาติ ไม่สูญพันธุ์ ;
    ไม่ใช่ของขวัญที่ใครจะเรียกร้อง
    ไม่ใช่ของควรบูชาในฐานะสิ่งสูงสุด ว่าเป็นกามเทพ เป็นต้น   (๑๒)

    กามารมณ์เป็นค่าจ้างทางเพศ เพื่อการสืบพันธ์
    อันสกปรกเหน็ดเหนื่อยและน่าเกลียดจากธรรมชาติ,
    มิใช่ของขวัญ หรือ หรรษทานจากเทพเจ้าแต่ประการใด
    เลิกบูชากันเสียเถิด   (๑๓)

    กามกิจก็เป็นหน้าที่ที่เป็นธรรมะอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน;
    แต่ต้องประพฤติกันอย่างถูกต้องและพอดี สำหรับอริยชนที่ครองเรือน (๑๔)

    การสมรสด้วยจิตหรือทางวิญญาณ (เช่น ทิฏฐิตรงกัน) นั้น
    เป็น "พรหมสมรส" ยังบริสุทธิ์ สะอาดดี ไม่ก่อให้เกิดทุกข์หรือปัญหาใดๆ ;
    ส่วนการสมรสทางกาย หรือเนื้อหนัง นั้น
    สกปรก น่าเกลียด เหน็ดเหนื่อยเกินไป
    จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นการสมรส    (๑๕)

    กามที่เกี่ยวกับเพศ เป็นได้ทั้งเทพเจ้าและปีศาจ
    ทั้งนี้แล้วแต่ผู้ประกอบกิจนั้น มีธรรมะผิดถูกมากน้อยเพียงไร   (๑๖)

    พวกที่ถือพระเจ้า ถือว่าอะไรๆ ก็แล้วแต่พระเจ้าบันดาล
    ส่วนชาวพุทธถือว่าแล้วแต่การกระทำผิดหรือถูก ต่อกฏอิทัปปัจจยตา;
    ดังนั้นควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "พระเจ้า" กันเสียใหม่ให้ถูกต้อง
    คือมีทั้งที่มีความรู้สึกอย่างบุคคล และไม่มีความรู้สึกอย่างบุคคล
    อย่างไหนจะเป็นที่พึ่งได้และยุติธรรม ไม่รับสินบน   (๑๗)

    พระเจ้าคือสิ่งสูงสุดนั้น ไม่ดี-ไม่ชั่ว แต่อยู่เหนือดีเหนือชั่ว
    จึงสามารถให้เกิดความหมาย ว่าดี ว่าชั่ว
    ให้แก่ความรู้สึกของมนุษย์ได้ทุกอย่าง จนงงไปเอง   (๑๘)

    พระเจ้า คือ กฏ สำหรับบังคับสิ่งที่เกิดจากกฏให้ต้องเป็นไปตามกฏ
    โดยเด็ดขาด และเที่ยงธรรม;
    ดังนั้น พระเจ้าจึงอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงได้จริง   (๑๙)


    พระเจ้าเป็นที่รวมแห่งความจริง
    มิใช่แห่งความดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังหละหลวม และเป็นมายาอยู่มาก

    จนต้องเป็นคู่กันกับความชั่ว;
    ถ้าพระเจ้าเป็นความดี ก็จะกลายเป็นคู่กันกับซาตานหรือมารร้ายไปเสียฯ (๒๐)

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด




ฟ้าสางทางความลับสุดยอด (๒)

     ความจริงเป็นสิ่งเดียวไม่มีคู่ (เอกํ หิ สจฺจํ นทุตียมตฺถิ) ;
    แม้จะมีความไม่จริง (ตามที่ใครบัญญัติขึ้น)
    มันก็เป็นความจริงของความไม่จริง  (๒๑)

    พระเจ้าที่เป็นทั้งผู้บันดาลให้เกิด
    และปลดเปลื้องความทุกข์ได้แท้จริง นั้นคือ กฏอิทัปปัจจยตา;
    จงรู้จักท่านและกระทำต่อท่านให้ถูกต้องเถิด  (๒๒)

    พระเจ้าที่แท้จริง เป็นหัวใจของศาสนาทุกๆ ศาสนา
    นั่นคือ "กฏ" หรือ ภาวะของความถูกต้องตามธรรมชาติ
    เพื่อความรอดของมนุษย์";
    พุทธศาสนายิ่งมีกฏหรือภาวะนั้นที่เป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา  (๒๓)

    ถ้าอยากพบ "พระเจ้าที่แท้จริง" อย่าตั้งปัญหาอย่างอื่นใดขึ้นมา
    นอกจากปัญหาว่า อะไรที่สร้าง - ควบคุม - ทำลายโลก -
    ใหญ่ยิ่ง - รู้สิ่งทั้งปวง - มีในที่ทั้งปวง,
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุควิทยาศาสตร์แห่งปัจจุบันนี้  (๒๔)

    คำสอนของผู้รู้แท้จริง แม้เป็นเวลา ๒-๓ พันปีมาแล้ว
    แต่ก็ยังใช้ได้อยู่เหมือนคำพูดใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ นั้นคือ
    คำสอนของพระพุทธองค์แก่ชาวกาลาม
    ที่เรียกว่า กาลามสูตร (ดังต่อไปนี้)   (๒๕)

    อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า
    "ฟังตามๆ กันมา";
    เพราะมันผิดมาตั้งแต่ต้นก็ได้,
    เพราะเปลี่ยนไปตลอดเวลาที่ฟังตามๆ กันมา ก็ได้   (๒๖)

    อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า
    "ทำตามสืบๆ กันมา";
    เพราะมันผิดมาตั้งแต่ต้น
    หรือ เปลี่ยนไปๆ ตลอดเวลาที่ทำตามๆ กันมา ก็ได้  (๒๗)

    อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า
    "กำลังเล่าลืออยู่อย่างกระฉ่อน";
    เพราะการเล่าลือเป็นการกระทำของ
    พวกที่ไม่มีสติปัญญา, มีแต่โมหะ ก็ได้  (๒๘)

    อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า
    "มีที่อ้างอิงในปิฎก(ตำรา)";
    เพราะปิฎกหรือตำราทั้งหลายเกิดขึ้นและเปลี่ยนไป
    ตามปัจจัยที่แวดล้อมหรือตามกฏอิทัปปัจจยตา ก็ยังได้  (๒๙)

    อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า
    "ถูกต้องตามหลักทางตรรกะ";
    เพราะตรรกะเป็นเพียงความคิดชั้นผิวเปลือก,
    ใช้เหตุผลและเดินตามเหตุผลชั้นผิวเปลือก   (๓๐)

    อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า
    "ถูกต้องตามหลักทางนยายะ";
    เพราะนยายะ เป็นการคาดคะเน
    ที่เดินไปตามเหตุผลเฉพาะหน้าในการคาดคะเน นั่นเอง  (๓๑)

    อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า
    "ถูกต้องตามสามัญสำนึก";
    เพราะสามัญสำนึกเดินตามความเคยชินของความรู้สึกชั้นผิวเปลือก  (๓๒)

    อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า
    "ทนต่อการเพ่งด้วยทิฏฐิของตน";
    เพราะทิฏฐิของเขาผิดได้ โดยเขาไม่รู้สึกตัว   (๓๓)

    อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า
    "ผู้พูดอยู่ในฐานะควรเชื่อ";
    เพราะเป็นเหตุให้ไม่คิดใช้สติปัญญาของตนเอง ในการพิจารณา  (๓๔)

    อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า
    "สมณะผู้พูดเป็นครูของเรา";
    เพราะเป็นเหตุให้ไม่คิดใช้สติปัญญาของตนเองในการศึกษา  (๓๕)

    ในกรณีเหล่านี้ เขาจะต้องใช้ยถาภูตสัมมัปปัญญา
    หาวี่แววว่า สิ่งที่กล่าวนั้น มีทางจะดับทุกข์ได้อย่างไร;
    ถ้ามีเหตุผลเช่นนั้น ก็ลองปฏิบัติดู
    ได้ผลแล้ว จึงจะเชื่อและปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป
    กว่าจะถึงที่สุดแห่งความดับทุกข์
  (๓๖)

    กฏของธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดมีกาย -ใจ
    อย่างที่สัตว์ทั้งหลายกำลังมี และให้ใจคิดไปตามผัสสะจากสิ่งแวดล้อม
    จนมีการบัญญัติเรื่องทิฏฐิ เรื่องกรรม เรื่องสุขทุกข์ เรื่องดีชั่ว เป็นต้น  (๓๗)

    ก ข ก กา แห่งการดับทุกข์ คือ
    การรู้ความลับของอายตนิกธรรม ๕ หมวด คือ
    อายตนะภายในหก อายตนะภายนอกหก วิญญาณหก ผัสสะหก เวทนาหก
    ตามที่เป็นจริงอย่างไร ในชีวิตประจำวัน
    เป็นเรื่องที่ต้องหามาศึกษาให้รู้อย่างละเอียด  (๓๘)

    การเกิดทางร่างกายจากท้องแม่ นั้นไม่สำคัญยังไม่เป็นปัญหา,
    จนกว่าจะมีการเกิดทางจิตใจ คือเกิด ตัวกู-ของกู
    จึงจะเป็นการเกิดที่สมบูรณ์คือ
    มีปัญหาและมีที่ตั้งแห่งปัญหา กล่าวคือ ความทุกข์  (๓๙)


    ถ้าพ้นจากการเกิดแห่งตัวกูเสียได้
    ย่อมพ้นจากปัญหาและความทุกข์ทั้งปวงได้
    และจะพ้นจากปัญหาแห่งการเกิดทางกายทั้งหมด ได้เองด้วย  (๔๐)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 28, 2012, 10:43:35 am โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด



ฟ้าสางทางความลับสุดยอด (๓)

     การได้เกิดมามีชีวิต ยังไม่ควรจัดว่าบุญหรือบาป แต่ยังเป็นกลางๆ อยู่; แล้วแต่ว่าเราจะจัดให้เป็นอย่างไร คือเป็นบุญเป็นบาป หรือให้พ้นบุญพ้นบาปไปเสียเลยก็ได้   (๔๑)

    มนุษย์ที่ไม่เข้าถึง หรือไม่รู้ความลับสุดยอดของมนุษย์ จะเป็นมนุษย์ไปได้อย่างไร; มนุษย์คือผู้ที่อาจจะมีจิตใจสูง อยู่เหนือปัญหาหรือความทุกข์พอสมควรแก่ความเป็นมนุษย์ หรือเหนือปัญหาและความทุกข์โดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นยอดของมนุษย์  (๔๒)

    มนุษย์ไม่ควรบูชาอะไร นอกจากความถูกต้องของความเป็นมนุษย์เอง คือความมีจิตอยู่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ซึ่งความหมายนี้มีความหมายรวมถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ อยู่ด้วย ในฐานะเป็นภาวะที่ถูกต้องถึงที่สุด  (๔๓)


    ถือศาสนาไหนอย่างไร แล้วความทุกข์ไม่มีแก่ท่าน ศาสนานั้นแหละถูกต้องเหมาะสมแก่ท่านอย่างแท้จริง พุทธศาสนารวมอยู่ในศาสนาชนิดนี้ กลัวแต่ว่าท่านจะไม่รู้จักตัวความทุกข์เสียเอง  (๔๔)

    เมื่ออบรมจิตถึงที่สุดแล้ว จิตจะบังคับกายและตัวมันเองได้ในทุกกรณี สำหรับจะไม่มีความทุกข์ในทุกกรณีอีกเช่นกัน; ขอให้เราศึกษาธรรมชาติ หรือธรรมสัจจะข้อนี้กันเถิด  (๔๕)

    ความรู้สึกอันเป็นทุกข์ทรมาน กับลักษณะแห่งความทุกข์ทรมาน มิใช่เป็นสิ่งเดียวกัน; คนอาจจะมีทุกขลักษณะโดยที่จิตไม่มีทุกขเวทนา   (๔๖)

    คนโบราณที่รู้ธรรมะกล่าวว่า "ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ (ไม่น่ารัก)" นั้น มีความจริงว่า ถ้าไปยึดถือเอาด้วยอุปาทานแล้ว ทั้งความชั่วและความดี มันจะกัดผู้นั้นโดยเท่ากัน จงรู้จักมันกันในลักษณะเช่นนี้เถิดทั้งความชั่วและความดี  (๔๗)

    ทารกและปุถุชนรู้จักทำอะไรๆ ก็แต่เพื่อตนหรืออย่างมากก็เพื่อโลก; แต่สัตบุรุษหรืออริยชน รู้จักทำอะไรๆ ก็เพื่อธรรม คือหน้าที่อันถูกต้องของมนุษย์  (๔๘)

    ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกระดับจะต้องทำเพื่อความรอด ทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต ทั้งของตนเองและของผู้อื่น ซึ่งเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน  (๔๙)

    เมื่อกล่าวโดยพิสดาร คำว่า "ธรรมะ" มี ๔ ความหมาย คือตัวธรรมชาติ - ตัวกฏธรรมชาติ - หน้าที่ตามกฏธรรมชาติ - และผลจากหน้าที่นั้นๆ  (๕๐)

    ในคนเราคนหนึ่งๆ กายและใจเป็นตัวธรรมชาติ กฏที่บังคับชีวิตหรือกายใจอยู่ เรียกว่า กฏของธรรมชาติ หน้าที่ที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของกายและใจ เรียกว่า หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ผลเป็นสุขหรือทุกข์ก็ตามที่เกิดขึ้น เรียกว่า ผลเกิดจากหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ   (๕๑)

    ธรรมะสามารถช่วยได้ในทุกกรณีอย่างแท้จริง; หากแต่บัดนี้เรายังไม่รู้จักธรรมะและมีธรรมะ อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ โดยนำมาใช้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและทันแก่เวลา  (๕๒)

    เราต้องเตรียมตัวไว้อย่างสำคัญที่สุดสักอย่างหนึ่ง คือเมื่อบางสิ่งหรือแม้ทุกสิ่งไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ แล้วเราก็ยังไม่เป็นทุกข์อยู่นั่นเอง  (๕๓)


    พวกเราในยุคนี้ ไม่ได้ค้นคว้าพิสูจน์ทดลองธรรมะเหมือนที่เรากระทำต่อวิชาวิทยาศาสตร์ - ประวัติศาสตร์ - เศรษฐกิจ - ฯลฯ ที่เรากำลังหลงใหลกันนัก; ดังนั้น จึงยังไม่มีธรรมะมาช่วยเรา  (๕๔)

    เรารู้ธรรมะไม่ได้ เพราะไม่รู้แม้แต่ปัญหาในชีวิตของตัวเอง ที่กำลังมีอยู่ ว่ามีอยู่อย่างไร จึงได้แต่ลูบคลำธรรมะในลักษณะที่เป็นสีลัพพตปรามาส หรือไสยศาสตร์ ไปเสียหมด  (๕๕)

    คนมีปัญญาแหลมคมอย่างยอดนักวิทยาศาสตร์ ก็มิได้ใช้ความแหลมคมของมัน ส่องเข้าไปที่ตัวปัญหาอันแท้จริงของชีวิต มัวจัดการกันแต่ปัญหาเปลือก อันมีผลทางวัตถุ ร่ำไป  (๕๖)

    อาจารย์สอนธรรมะ แม้ในขั้นวิปัสสนา ก็ยังสอนเพื่อลาภสักการสิโลกะของตนเองเป็นเบื้องหน้า แล้วจะไม่ให้โมหะครอบงำทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ได้อย่างไร  (๕๗)

    คนมาเรียนธรรมะวิปัสสนา หวังจะได้อัสสาทะ(รสอร่อย) แก่กิเลสของเขา ตามรูปแบบนั้นๆ ยิ่งขึ้นไป จึงไม่พบวิธีที่จะลิดรอนกำลังของกิเลสเอาเสียเลย  (๕๘)

    ผู้ที่เรียนโดยมาก ไม่ได้เรียน ด้วยจิตใจทั้งหมด เพราะยังแบ่งจิตใจไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อลองภูมิอาจารย์ หรือ แย่งตำแหน่งอาจารย์ ก็ยังมี ดังนั้น จึงเรียนได้น้อย รับเอาไปน้อย  (๕๙)

    แม้จะเป็นคนบรมโง่สักเท่าไร เขาก็ยังคิดว่า เขายังมีอะไรที่ดีกว่าอาจารย์ อยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ; ดังนั้น จึงมองข้ามความรู้ของอาจารย์เสียบางอย่าง หรือมากอย่างก็ยังมี  (๖๐)