ผู้เขียน หัวข้อ: ชัมบาลา : บทที่ ๑๕ เอาชนะนิสัยและความเคยชิน  (อ่าน 1763 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



บทที่ ๑๕ เอาชนะนิสัยและความเคยชิน

“กระบวนการที่จะปลดปล่อยตนเองออกจากความหยิ่งยโส

และถอนทำลายความเคยชินลง เป็นวิธีการที่ออกจะรุนแรง

แต่ทว่าจำเป็นยิ่ง หากปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้คนในโลก”


......ความหยิ่งยโสนั้นเกิดแต่การขาดความอ่อนโยน ดังที่เราได้พูดกันมาแล้ว ทว่าเหนือขึ้นไปกว่านั้น การขาดความอ่อนโยนนั้นสืบเนื่องมาจากการตั้งมั่นอยู่บนนิสัยและความเคยชิน ดังนั้นนิสัยจึงเป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งของการปลุกดราละขึ้น โดยการติดยึดอยู่กับความเคยชิน ก็เท่ากับเราได้แยกขาดตัวเองออกจากโลกของนักรบ นิสัยนั้นเป็นเหมือนดังปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติ เมื่อเราตกใจเราก็กลัวจนตัวแข็งทื่อ และเมื่อเราถูกจู่โจมเราก็ปกป้องตนเอง ในระดับที่เข้มข้นยิ่งไปกว่านั้น เราใช้นิสัยเพื่อปกปิดสามัญสำตึกของเรา เมื่อเรารู้สึกว่าตนเป็นคนไม่เก่ง เราก็ใช้ปฏิกิริยาบางอย่างมาปะภาพพจน์ของเราไว้ เราสร้างข้อแก้ตัวขึ้นมาเป็นเกราะกำบังความไม่เก่งของเราไว้จากผู้อื่น พื้นฐานแห่งอารมณ์ตอบสนองของเรามักจะเป็นเพียงภาพสะท้อนของนิสัยเท่านั้น ดังเช่นความรู้สึกเหนื่อยล้าในจิตใจ ความวิตกกังวล ความอึดอัดรำคาญต่อบางสิ่งซึ่งเราไม่ชอบ และความปรารถนาต่างๆมากมาย เราใช้นิสัยห่อหุ้มตัวเองไว้และดันตัวเองขึ้นมา

.....ญี่ปุ่นมีคำเฉพาะที่น่าสนใจ คำว่า โทราโนโกะซึ่งแปลว่า ฎลูกเสือ" นี่เป็นถ้อยคำเสียดสี เมื่อคุณเรียกใครว่าเป็นโทราโนโกะนั่นหมายถึงว่าเขาเป็นเพียงเสือกระดาษ เป็นคนซึ่งดูเหมือนกล้าหาญทว่าแท้ที่จริงขี้ขลาด นั่นคือคำอธิบายของการยึดติดอยู่กับนิสัยและความเคยชิน คุณอาจพยายามนิดหน่อยที่จะเปิดเผยความขลาดของตนออกมา "ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนที่ปราศจากความกลัวโดยสิ้นเชิง" ทว่าแม้แต่คำสารภาพนั้นก็ยังคงเป็นการแสดงออกถึงโทราโนโกะ เป็นลูกเสือตัวอ้วนๆ ซึ่งกลัวเงาของตัวเอง กลัวที่จะกระโดโลดเต้น กลัวที่จะเล่นกับลูกเสือตัวอื่น

......คำธิเบตที่ใช้เรียสัตว์นี้ก็คือคำว่า ทูโดร ทู แปลว่า "ค่อม" และโดร แปลว่า "เดิน" ทูโดรคือสัตว์สี่เท้าซึ่งเดินหลังค่อม ประสาทสัมผัสที่ไวที่สุดของมันก็คือจมูก ซึ่งมันใช้ดมคลำทางอยู่ในโลก นั่นคือคำบรรยายที่ชัดเจนยิ่งของนิสัยและความเคยชินซึ่งเป็นการสำแดงออกแห่งสัญชาตญาณของสัตว์ ความเคยชินนี้ไม่เคยอนุญาตให้คุณมองไกลเกินกว่าสามก้าวข้างหน้าเลจ คุณก้มลงมองพื้นตลอดเวลา ไม่เคยเลยที่จะมองดูฟ้าใส หรือยอดดอย คุณพลาดที่จะแย้มยิ้มหรือชื่นบานกับภาพของหมอกที่ลอยคลุ้งขึ้นเหนือภูเขาน้ำแข็ง ที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่สูงเกินกว่าระดับไหล่ของคุณก็แลดูน่าเคอะเขินไปหมด ไม่เคยมีศักดิ์ศรีและความงามสง่าอุบัติขึ้นในสภาวะนี้เลย

......คุณอาจเคยได้รับคำแนะนำสั่งสอนถึงเรื่องความสง่าและศักดิ์ศรี ได้รับคำสอนในการที่จะตั้งตัวตรงแแหงนมองดวงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ แต่ถ้าหากว่าคุณยังคงไม่อาจเอาชนะนิสัยความเคยชินของตนได้ คุณก็ยังคงเป็นทูโดร ซึ่งค้อมหลังลงคลานสี่ขาดังเดิม เมื่อคุณกระทำการตามความเคยชินคุณจะไม่มองดูซ้ายหรือขวา คุณพลาดโอกาสที่จะแลเห็นถึงความสดใสของสีสันนานา พลาดโอกาสที่จะชื่นชมในสายลมเฉื่อยฉ่ำซึ่งพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา คุณปรารถนาจะปิดหน้าต่างเสียทันที เพราะเหตุว่าอากาศสดชื่นนั้นเป็นสิ่งน่ารำคาญ

......เมื่อคนแบบทูโดรซึ่งเต็มไปด้วยนิสัยและความเคยชินต่างๆมองดูนักรบ เขาอาจรุ้สึกว่าภาวะการดำรงอยู่ของนักรบนั้นน่าเบื่อหน่ายรำคาญยิ่ง ทำไมนักรบจึงต้องยึดตัวตรง มีสง่าและตื่นตัวดังนั้นด้วย จำเป็นนักหรือที่จะต้องทำดังนั้น พวกทูโดร-คนหลังค่อมสี่ขาซึ่งปราศจากหัวและไหล่อาจรู้สึกเวทนานักรบ ด้วยเหตุว่านักรบนั้นจะต้องยึนอยู่ด้วยขาสองข้างตั้งศีรษะและไหล่ให้ตรง เป็นไปได้ที่คนใจอ่อนเช่นนี้อาจมอบเก้าอี้ให้เป็นของขวัญแก่นักรบ เพราะคิดว่าเก้าอี้อาจทำให้นักรบมีความสุข เพื่อว่านักรบจะได้ไม่ต้องตั้งหัวและไหล่ให้ตรง อย่างน้อยที่สุดก็อาจนั่งงอก่อและเอาเท้าพาดโต๊ะกาแฟได้บ้าง

.....แต่ทว่านักรบนั้นไม่เคยต้องการเวลาพักผ่อน พยายามที่จะผ่อนคลายโดยการเอนกายคุดคู้ตามสบาย หรือปล่อยตัวตามนิสัยและความเคยชิน การทำดังนั้นรังแต่จะเป็นการหลบหนีความจริงเท่านั้น เมื่ออยู่ที่ทำงานคุณเป็นนายจ้างใจดี มีอารมณ์ขัน แต่วินาทีแรกที่คุณกลับถึงบ้านคุณก็ลืมทุกอย่างสิ้น คุณเปิดโทรทัศน์ดู ตบตีภรรยา ไล่ตะเพิดลูกๆ ให้กลับเข้าห้อง บอกว่าต้องการความสงบ แต่น่าสงสัยว่าความสงบแบบไหนซึ่งคนเช่นนี้ต้องการ ดูเหมือนว่าเขาต้องการความเจ็บปวดและชีวิตที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นเสียมากกว่า เหตุนี้เองคุณจึงไม่อาจเป็นนักรบ ณ ที่ทำงาน และเป็นทูโดรที่บ้านได้พร้อมๆ กัน

......กระบวนการในการปลดปล่อยตัวเองออกจากความหยิ่งยโสและถอนทำลายความเคยชินลง เป็นวิธีการที่ออกจะรุนแรง แต่ว่าจำเป็นยิ่งหากปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้คนในโลก คุณจำต้องมีความภาคภูมิในตนเอง และยิดกายอย่างสง่าผ่าเผย คุณต้องถือตนเองเป็นดั่งนักรบที่แท้จริงและสัตย์ซื่อ นายอูถั่นแห่งพม่าผู้เป็นเลขาธิการสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เป็นตัวอย่างของการเป็นนักรบและการช่วยเหลือผู้อื่นโดยปราศจากความหยิ่งยโส เขาเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอย่างดียิ่ง ทั้งได้อบรมบ่มเพราะตนเองด้วยการปฏิบัติสมาธิ เขาได้ปฏิบัติภารกิจของสหประชาชาติอย่างสมเกียรติ เต็มไปด้วยความนุ่มนวลและอ่อนโยน ดังนั้นเองผู้คนจึงรู้สึกเคารพยำเกรงและรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจของเขา ผู้คนพากันยกย่องในสิ่งที่เขาพูดและในการตัดสินใจของเขา เขาเป็นรัฐบุรุษยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งแห่งศตวรรษ และเป็นแบบฉบับอันเยี่ยมยอดของคนผู้ซึ่งได้เอาชนะนิสัยและความเคยชินของตน

......นิสัยและความเคยชินนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายและมีผลในแง่ทำลายล้างมันสกัดกั้นคุณไว้มิให้แลเห็นถึงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ เมื่อคุณกระทำการตามความเคยชินอยู่ตลอดเวลา คุณก็ไม่อาจเงยหน้าหรือยืดไหล่ขึ้นได้เลย คุณกลับจมอยู่ตรงนั้น ก้มลงต่ำแลดูโน่นดูนี่ คุณมัวใส่ใจอยู่กับแมลงวันที่เกาะอยู่บนขอบถ้วยยิ่งกว่าที่จะใส่ใจและดูอาทิตย์อุทัยไขแสง คุณลิมที่จะเงยขึ้นและเปิดสายตาให้กว้างไกล ลืมที่จะแลดูดวงอาทิตย์ยิ่งใหญ่ซึ่งๆ หน้า คุณหลอมตัวเองลงเชื่อมโยงเข้ากับภพกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์ คุณไม่ปรารถนาที่จะเข้ามีส่วนในความปิติยินดี ไม่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมรับความเจ็บปวดที่จะเข้ามีส่วนในความปิติยินดี ไม่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมรับความเจ็บปวดหรือความยากลำบาก เพื่อที่จะแลเห็นถึงดวงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ๋

......เมื่อคุณยังเด็มีอายุสามขวบ คุณไม่เคยหลีกหนีความจริงเลย เพราะคุณกระตือรือร้นใคร่จะรู้ว่าสิ่งต่างๆเป็นไปอย่างไร คุณมักจะถามพ่อแม่ด้วยคำถามต่างๆนานา "แม่ฮะ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ พ่อฮะทำไมเราถึงทำอย่างนี้" แต่ความสงสัยใคร่รู้อันไร้เดีายงสาได้ถูกหลงลืมไปแล้ว ได้สูญสิ้นไปแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นที่คุณจะต้องจุดมันขึ้นมาใหม่ การเข้าอยู่อาศัยในรังดักแด้ของพฤติกรรมแบบทูโดร เกิดขึ้นภายหลังจากกระบวนการสงสัยใคร่รู้แต่แรกเริ่มนั้น ครั้งหนึ่งเคยมีความสงสัยใคร่รู้อย่างใหญ่หลวง ครั้นต่อมารุณคิดว่า คุณถูกกระทำอย่างโหดร้ายจากโลก ดังนั้นคุณจึงกระโดดเข้าไปอยู่ในรังดักแด้และตั้งใจที่จะหลับ

......การยืดไหล่ยกหัวตั้งตรงบางครั้งอาจทำให้คุณรู้สึกปวดหลังเกร็งคอ แต่การแผ่ขยายตนเองออก การยกระดับตนเองขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น เรามิได้กำลังพูดกันถึงเรื่องปรัชญา ทว่ากำลังพูดกันถึงว่าเราจะเป็นมนุษย์ผู้เจริญได้อย่างไร โดยไม่จำเป็นต้องหาสิ่งเพลิดเพลินมากล่อมตนเอง การแสดงหาความเพลิดเพลินอย่างฉับพลันกลายเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน "ต่อไปฉันจะทำอย่างไรดี ฉันจะช่วยไม่ให้ตนเองรู้สึกเบื่อได้อย่างไร ฉันไม่อยากจะเห็นเจ้าโลกอันกระจ่างแจ้งนั่นเลย" ขณะเมื่อเรากำลังเย็บผ้าอยู่ เราก็คิดว่า "จะมีวิธีอื่นไหมที่จะเย็บผ้านี้ มีทางไหมที่จะช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางสายนี้" เส้นทางซึ่งเรากำลังเดินอยู่นับว่ายากลำบา ทว่าไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้

......โดยการหยุดรำงับความเคยชินลงเสีย เราก็จะชื่นชมในโลกที่แท้จริงได้ ณ ที่นั้น เราอาจชื่นชมในโลกอันมหัศจรรย์และกระจ่างสดสวยซึ่งรายล้อมอยู่รอบๆ ตัว เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกเศร้าเสียใจหรือเคอะเขิน ถ้าเราไม่ยอมปฏิเสธความเคยชินของเรา เราจะไม่มีทางชื่นชมในโลกได้อย่างเต็มที่ แต่ครั้งหนึ่งที่เราเอาชนะนิสัยและความเคยชินของตน หลักการของดราละอันหนักแน่น อำนาจวิเศษนั้นย่อมลงมาสู่เรา และเราจะกลายเป็นปัจเจกชนผู้เป็นนายแห่งโลกของตน

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...