ผู้เขียน หัวข้อ: 'สมิทธ' เตือน5 จว. ภาคใต้ ระวัง 'สึนามิ' !  (อ่าน 2619 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
'สมิทธ' เตือน5 จว. ภาคใต้ ระวัง 'สึนามิ' !
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    
31 ธันวาคม 2554 06:40 น.

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ภัยธรรมชาติอีกลักษณะหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือภัยที่เกิดจาก 'คลื่นขนาดใหญ่ ' ที่สร้างความเสียหายให้แก่บ้านเรือนและอาคารร้านค้าที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล ไม่ว่าจะเป็น 'สึนามิ' ซึ่งเป็นปรากฏการณ์คลื่นยักษ์ที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกใต้ทะเล หรือ 'สตอร์ม เซิร์จ' ปรากฏการณ์คลื่นพายุหมุนที่มีความสูงหลายเมตร อันเกิดจากความแรงของลมพายุที่ทำให้น้ำทะเลยกตัวสูงขึ้น เนื่องเพราะเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งก็ได้สร้างความสูญเสียต่อทรัพย์สิน และคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนไม่น้อยทีเดียว
       
       สำหรับในปี 2555 นี้ แนวโน้มการเกิดสึนามิ และสตอร์ม เซิร์จ ในประเทศไทยจะเป็นเช่นไร 'สมิทธ ธรรมสโรช' ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ นักวิชาการคนแรกที่ออกมาเตือนว่าประเทศไทยกำลังจะเผชิญกับมหันตภัยสีนามิ ก่อนที่จะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิขึ้นเมื่อปลายปี 47 จะไขข้อข้องใจให้ทราบ
       
       ในส่วนของการเกิดสึนามินั้น สมิทธ ระบุว่า จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่าปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวเร่งให้เกิดสึนามิก็คือ การที่โลกมีแนวโน้มจะล้ม หรือเกิดการกลับขั้ว อันเนื่องจากน้ำมือมนุษย์ เนื่องจากมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 2 แห่งในจุดที่ก่อให้เกิดปัญหา นั่นคือ การสร้างเขื่อน 3 ขา ที่ขั้วโลกเหนือ ซึ่งเป็นบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตร เพื่อเก็บกักน้ำปริมาณมหาศาลเอาไว้ แห่งที่สองคือเขื่อนอัสวาน ในประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นเขื่อนกั้นน้ำขนาดใหญ่กลางทะเลทราย ซึ่งการทำงานของเขื่อนทั้งสองแห่งดังกล่าวส่งผลให้ขั้วโลกเหนือมีแรงเหวี่ยงผิดปกติ และมีการการยกตัวของเปลือกโลกใต้ทะเล ส่งผลให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง ที่เรียกว่า 'สึนามิ '
       
       สำหรับการเกิดสึนามิในประเทศไทยนั้น มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเอื้ออำนวย โดยจากการสืบค้นข้อมูลที่ชาวเนเธอร์แลนด์ได้บันทึกไว้พบว่า ประเทศไทยเคยเกิดสึนามิ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ส.ค.2426 หรือประมาณ 128 ปีที่ผ่านมา โดยมีคลื่นสูงถึง 35 เมตร มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ขณะที่ผู้คนที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เสียชีวิตถึง36,000 คน จากนั้นก็เกิดสึนามิขึ้นเป็นครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งสถิติเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีโอกาสเกิดสึนามิขึ้นได้อีก โดยจังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยง มีโอกาสที่จะเกิดสึนามิในระยะเวลาอันใกล้นี้ ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต สตูล และนราธิวาส
       
       “ ผมกล้าพูดได้ว่าต้องเกิดสึนามิขึ้นอีกในอนาคต เมื่อมันสะสมพลังงานมากพอที่จะยกเปลือกโลกบริเวณใต้มหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่าพระองค์เป็นห่วงมาก ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องเร่งหาข้อมูลโดยด่วน ซึ่งล่าสุดจากการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นและชาวไอแลนด์เหนือ พบว่าในอนาคตจะเกิดสึนามิในทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย 4 จุด ซึ่งผมก็วิเคราะห์ต่อว่า สึนามิที่จะส่งผลกระทบถึงประเทศไทยมี 2 จุดคือ หากเกิดสึนามิในจุดที่ 1 ซึ่งอยู่บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทย คลื่นจะเข้ามาตั้งแต่ระนอง พังงา ภูเก็ต ถึงสตูล และจุดที่ 4 ซึ่งเกิดบริเวณฟิลิปปินส์และเวียดนาม ซึ่งอยู่ใกล้แถบภาคใต้ ฝั่งตะวันออกของไทย จะเกิดคลื่นที่ส่งผลกระทบต่อนราธิวาสไล่ขึ้นมาถึงก้นอ่าวไทย” นายสมิทธ ระบุ
       
       สำหรับการเกิด 'สตอร์ม เซิร์จ' หรือคลื่นพายุหมุน ในประเทศไทยนั้น ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ยืนยันว่า ยังคงมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ และจากสถิติที่ผ่านมาประเทศไทยก็เคยเกิดสตอร์ม เซิร์จ ครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง เช่น พายุหมุนที่แหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช เมื่อปี 2505 มีคนตายถึง 900 กว่าคน บ้านเรือนเสียหายอย่างหนัก , พายุเกย์ ซึ่ง เกิดที่ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เมื่อปี 2532 มีความเร็วลมจากศูนย์กลาง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีคนเสียชีวิตนับพันคน
       
       และล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.54 ได้เกิดสตอร์ม เซิร์จ ซึ่งเป็นคลื่นพายุหมุนที่มีความสูงถึง 5 เมตร ใน 4 จังหวัดของภาคใต้ ไดแก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร และประจวบฯ' ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่บ้านเรือนและร้านค้าจำนวนไม่น้อย
       
       “คลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.2554 เป็น สตอร์ม เซิร์จ (storm surge) ที่เกิดขึ้นจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดแรงเกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เกิดคลื่นสูงเกิน 5 เมตร ซึ่งคลื่นพายุลักษณะนี้สามารถเกิดขึ้นได้อีกเพราะช่วงนี้ลมมรสุมมีกำลังแรง โดยพื้นที่เฝ้าระวังคือตั้งแต่ชุมพรไปถึงสุราษฎร์ธานี รวมทั้งจังหวัดปัตตานี ทั้งนี้จากสถิติพบว่าสตอร์ม เซิร์จ มักจะเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ในช่วงเดือน ก.ย-ธ.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่พายุเคลื่อนตัวเข้าสู่ภาคใต้ และก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อาจจะเป็นปีหน้านี้ก็ได้
       
       ทั้งนี้ หากสตอร์ม เซิร์จ เกิดจากพายุที่มีความเร็ว30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความสูงของคลื่น ก็จะอยู่ที่ประมาณ 3-4 เมตร แต่ถ้าเกิดจากพายุที่มีความเร็ว 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความสูงของคลื่นก็จะสูงถึง 5-10 เมตรเลยทีเดียว ซึ่งจะส่งผลให้บ้านเรือนและร้านค้าที่อยู่ตามแนวชายฝั่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก เนื่องจากลักษณะชายหาดของไทยมีความลาดเอียงมาก ความตั้งของชายหาดไม่มี ดังนั้นพอคลื่นมา ความแรงของคลื่นก็จะทำลายอาคารบ้านเรือนที่อยู่ริมหาดเสียหาย”
       
       ทั้งนี้ ปัญหาสำคัญที่ทำให้ผลกระทบจากสึนามิและสตอร์ม เซิร์จ รุนแรงกว่าที่ควรจะเป็นก็คือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีการแจ้งเตือนให้ประชาชนรับทราบก่อนเกิดเหตุ
       
       " อย่างสตอร์ม เซิร์จ เที่เกิดเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.54 ที่ผ่านมานั้น เท่าที่รู้กรมอุตุฯ เขาได้แจ้งเตือนแล้ว มีการแจ้งเหตุล่วงหน้าเป็นวัน แต่ทางศูนย์เตือนภัยไม่ยอมนำคำเตือนของกรมอุตุฯไปเผยแพร่ ประชาชนที่อยู่ชายฝั่งทะเลก็ไม่รู้ จึงไม่ได้เตรียมอพยพหรือขนย้ายสิ่งของ ทั้งที่ในสมัยที่ผมเป็น ผ.อ.ศูนย์เตือนภัยฯลงทุนทำระบบเตือนภัยไปตั้งหลายร้อยล้านบาท มีหอเตือนภัยในจังหวัดต่างๆเป็นร้อยแห่ง แต่สัญญาณเตือนภัยไม่ดัง คนในพื้นที่ก็ไม่รู้ว่าเกิดเหตุคลื่นสูงถึง 4-5 เมตร บ้านเรือนที่อยู่ชายทะเลพังหมด และแม้สตอร์ม เซิร์จ จะไม่ใช่สึนามิ แต่สามารถสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นได้ไม่แตกต่างกัน โดยสตอร์ม เซิร์จ ในไทยมักเกิดจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังแรง และเกิดขึ้นได้เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น อีกทั้งขณะนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดสตอร์ม เซิร์จ เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นประชาชนที่มีบ้านเรือนอยู่ริมชายฝั่งจึงต้องเฝ้าระวังมากขึ้น” ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวตบท้าย


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000166603
.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)