ตอน ๕ ภิกษุควรหัวเราะหรือไม่ปัญหา ได้ทราบมาว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่มีการหัวเราะมีแต่ยิ้มแย้มเท่านั้น พระภิกษุควรจะหัวเราะหรือไม่ ?
พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การขับร้องคือ การร้องไห้ในวินัยของพระอริยเจ้า การฟ้อนรำคือ ความเป็นบ้าในวินัยของพระอริยเจ้า การหัวเราะจนเห็นฟันพร่ำเพรื่อ คือความเป็นเด็กในวินัยของพระอริยเจ้า เพราะเหตุนั้นแหละ จงละเสียโดยเด็ดขาดในการขับร้องฟ้อนรำ เมื่อท่านทั้งหลายเบิกบานในธรรม ก็ควรแต่เพียงยิ้มแย้ม"
โรณสูตร ฤกษ์ยามในพระพุทธศาสนาปัญหาทางพระพุทธศาสนามีการสอนให้ถือฤกษ์ถือยามในการทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือไม่ ?
พุทธดำรัสตอบ"...สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี
... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเที่ยงเวลาเที่ยงก็เป็นเวลาที่ดีของสัตว์เหล่านั้น
สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น..."
สุปุพพัณหสูตร พระพุทธศาสนาก็ส่งเสริมทรัพย์ปัญหา มีบางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนาสอนจะให้คนออกจากโลกท่าเดียว ไม่ส่งเสริมการมีโภคทรัพย์ จริงหรือไม่ ?
พุทธดำรัสตอบ "...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลสองตาเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ มีนัยน์ตาเป็นเหตุได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ ทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น ทั้งมีนัยน์ตาเป็นเครื่องรู้ธรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล รู้ธรรมที่มีโทษและไม่โทษ รู้ธรรมที่เลวและประณีต รู้ธรรมที่มีส่วนเปรียบด้วยธรรมฝ่ายดำและฝ่ายขาว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าคนสองตา..."
อันธสูตร ความรักทำให้ตาบอดปัญหา มีคำพังเพยกล่าวไว้ว่า ความรักทำให้คนตาบอด ดังนี้ ทางพระพุทธศาสนายอมรับคำกล่าวนี้ว่า เป็นความจริงหรือไม่เพียงใด ?
พระอานนท์ตอบ "...บุคคลผู้กำหนัด อันความกำหนัดครอบงำรึงรัดจิตใจไว้ ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตน ตามความเป็นจริง ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น ตามความเป็นจริง ย่อมไม่รู้แม้ซึ่งประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นทั้งสองฝ่ายตามความเป็นจริง...
ความกำหนัดแล ทำให้เป็นคนมืด ทำให้เป็นคนไร้จักษุ ทำให้ไม่รู้อะไร ทำให้ปัญญาดับ เป็นไปในฝ่ายความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน...ฯ"
ฉันนสูตร ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ?ปัญหา ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ? ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริงหรือไม่ ?
พุทธดำรัสตอบ "อริยสาวกนั้น มีจิตหาเวรมิได้อย่างนี้ มีจิตหาความเบียดเบียนมิได้อย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองแล้วอย่างนี้ มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ เธอย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการในชาตินี้
"ความอุ่นใจที่หนึ่งว่า ถ้าโลกเบื้องหน้ามีอยู่ ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่ ข้อนี้ย่อมเป็นฐานะซึ่งจะเป็นไปได้ คือเบื้องหน้าแต่กายแตกตายไปแล้ว เราจะได้เข้าไปถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่หนึ่ง
"ความอุ่นใจที่สองว่า ถ้าโลกเบื้องหน้าไม่มี ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี เราก็จะรักษาตนเป็นคนไม่มีเวร ไม่มีความลำบาก ไม่มีทุกข์ มีแต่สุขในชาตินี้ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สอง
"ความอุ่นใจที่สามว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าเป็นอันทำแล้ว (และจะนำผลคือทุกข์มาให้เรา) เราไม่ได้คิดบาปให้แก่ใคร ๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเรา ผู้ไม่ได้ทำบาป ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สาม
"ความอุ่นใจที่สี่ว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปไม่ชื่อว่าเป็นอันทำแล้ว (และจะไม่นำผลคือทุกข์มาให้เรา) เราก็ได้พิจารณาเห็นตนเป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้ง ๒ ส่วน ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สี่
"อริยสาวกมีจิตหาเวรมิได้ -หาความเบียดเบียนมิได้ -มีจิตไม่เศร้าหมอง -มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ -ย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการนี้แล ในชาตินี้ ฯ"
เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร) ทำอย่างไรจะได้พบกันอีกในชาติหน้า ?ปัญหา ถ้าสามีภรรยารักกันมาก ๆ ในชาตินี้ และปรารถนาจะพบกันอีก ได้เป็นสามีภรรยากันอีกในชาติหน้า จะมีทางเป็นไปได้ไหม ? และควรจะปฏิบัติอย่างไร ?
พุทธดำรัสตอบ "...ดูก่อนคฤหบดีและคฤหปตานี ถ้าภรรยาและสามีทั้งสองหวังจะพบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ (ชาติหน้า) ไซร้ทั้งสองคนนั้นแลพึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามีทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันและกัน ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ..."
สมชีวสูตร องค์แห่งการตรัสรู้ปัญหา ภิกษุที่จะได้ตรัสรู้หรือบรรลุอรหัตตผลนั้น ควรจะประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง ?
พุทธดำรัสตอบ "๑.ดูก่อนโพธิราชกุมาร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธาเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า... พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ... เป็นผู้จำแนกธรรม
๒. เธอเป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคเบาบาง ประกอบด้วยไฟธาตุสำหรับย่อยอาหารสม่ำเสมอ ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เป็นปานกลาง ควรแก่ความเพียร
๓. เธอเป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมายาเปิดเผยตนตามความเป็นจริง ในพระศาสดาหรือในเพื่อนพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญูชนทั้งหลาย
๔. เธอเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม เป็นผู้มีกำลังมีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย
๕. เธอเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาอันเห็นความเกิดและดับ เป็นอริยะ สามารถชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ"
โพธิราชกุมารสูตร กำหนดเวลาตรัสรู้ปัญหา เมื่อภิกษุประกอบด้วยคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว จะได้บรรลุอรหัตตผลในเวลาช้านานเท่าไร ?
พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนราชกุมาร... ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์แห่งภิกษุผู้มีความเพียร ๕ ประการนี้แล เมื่อได้ตถาคตเป็นผู้แนะนำ พึงทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า... ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน (ภายในเวลา) เจ็ดปี... หกปี... ห้าปี... สี่ปี... สามปี... สองปี... หนึ่งปี... เจ็ดเดือน... หกเดือน... ห้าเดือน... สี่เดือน... สามเดือน... สองเดือน... หนึ่งเดือน... ครึ่งเดือน... เจ็ดคืนเจ็ดวัน... หกคืนหกวัน... ห้าคืนห้าวัน... สี่คืนสี่วัน... สามคืนสามวัน... สองคืนสองวัน... หนึ่งคืนหนึ่งวัน...
ดูก่อนราชกุมาร หนึ่งคืนหนึ่งวันจงยกไว้ ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์แห่งภิกษุผู้มีความเพียรห้าประการนี้ เมื่อได้ตถาคตเป็นผู้แนะนำ ตถาคตสั่งสอนในเวลาเย็น จักบรรลุคุณวิเศษในเวลาเช้า ตถาคตสั่งสอนในเวลาเช้า จักบรรลุคุณวิเศษได้ในเวลาเย็น..."
โพธิราชกุมารสูตร มหาสมุทรในพุทธศาสนาปัญหา คำว่า 'มหาสมุทร' ตามความหมายของคนธรรมดา และตามความหมายทางพุทธศาสนาหมายถึงอะไร
พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ย่อมกล่าวว่า 'มหาสมุทร' มหาสมุทรนั้นไม่ชื่อว่าเป็นมหาสมุทรในวินัยของพระอริยเจ้า มหาสมุทรนั้นเป็นเพียงแอ่งน้ำใหญ่เป็นห้วงน้ำใหญ่...
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ...หู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ เป็นมหาสมุทรของบุรุษ
กำลังของตา...หู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ นั้นเกิดจากรูป...กลิ่น...รส...โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์
บุคคลใดย่อมอดกลั้นกำลังอันเกิดจากรูป...เสียง...กลิ่น...รส...โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์นั้นได้ บุคคลนี้เรียกว่าเป็นพราหมณ์ สามารถข้ามมหาสมุทร คือ ตา...หู...จมูก...ลิ้น...กาย...ใจ ซึ่งมีทั้งคลื่น มีทั้งน้ำวน มีทั้งสัตว์ร้าย มีทั้งผีเสื้อ น้ำ แล้วขึ้นฝั่งยืนอยู่บนบกได้...อยู่จนพรหมจรรย์ ถึงที่สุดแห่งโลกข้ามถึงฝั่งแล้ว"
สมุทรสูตรที่ ๑ พระพุทธเจ้ายังมีอายตนะ แต่ไม่ติดในอายตนะปัญหา พระโกฏฐิกะถามพระสารีบุตรว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ต่างเป็นเครื่องเกาะเกี่ยวผูกมัดซึ่งกันและกันหรืออย่างไร ?
พระสารีบุตรตอบ "ดูก่อนท่านโกฏฐิกะ ตาเป็นเครื่องผูกมัดรูป และ รูปเป็นเครื่องผูกมัดตาหามิได้...หูเป็นเครื่องผูกมัดเสียงและเสียงเป็นเครื่องผูกมัดหูก็หามิได้...จมูกเป็นเครื่องผูกมัดกลิ่น และกลิ่นเป็นเครื่องผูกมัดจมูกหามิได้...ลิ้นเป็นเครื่องผูกมัดรส และรสเป็นเครื่องผูกมัดลิ้นก็หามิได้...กายเป็นเครื่องผูกมัดโผฏฐัพพะ และโผฏฐัพพะเป็นเครื่องผูกมัดกายก็หามิได้...ใจเป็นเครื่องผูกมัดธรรมารมณ์ และธรรมารมณ์เป็นเครื่องผูกมัดใจก็หามิได้...
ความพอใจรักใคร่ที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักษุและรูป...อาศัยหูและเสียง...อาศัยจมูกและกลิ่น...อาศัยลิ้นและรส...อาศัยกายและโผฏฐัพพะ...อาศัยใจและธรรมารมณ์นั้นต่างหาก เป็นเครื่องผูกมัดในจักษุและรูปเป็นต้นนั้น...
"ท่านผู้มีอายุ เปรียบเหมือนโคดำและโคขาวที่เขาผูกโยงไว้ด้วยเชือกหรือด้วยสายแอกเส้นเดียว ใครเล่าจะพึงพูดได้ว่า โคดำเป็นเครื่องผูกมัดโคขาว หรือโคขาวเป็นเครื่องผูกมัดโคดำ ที่แท้เชือกและสายแอกเส้นเดียวที่ใช้ผูกโยงโคทั้งสองนั้น และชื่อว่าเป็นเครื่องผูกมัดในโคทั้งสองนั้น...
"ท่านผู้มีอายุถ้าจักษุเป็นเครื่องผูกมัดรูปหรือรูปจักเป็นเครื่องผูกมัดจักษุ ฯลฯ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบไม่พึงมีปรากฏได้
"ดูก่อนท่านโกฏฐิกะ พระเนตรของพระผู้มีพระภาคมีอยู่แท้ พระองค์ก็ทรงเห็นรูปด้วยพระเนตร...ยังทรงฟังเสียงด้วยพระโสต...ยังทรงสูดกลิ่นด้วยพระนาสิก...ยังทรงลิ้มรสด้วยพระชิวหา...ยังทรงถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยพระกาย...ยังทรงรู้ธรรมารมณ์ด้วยพระมนัส แต่พระองค์ก็ไม่มีความพอใจรักใคร่ พระองค์ทรงมีจิตหลุดพ้นแล้ว..."
โกฏฐิกสูตร บาดาลในพุทธศาสนาปัญหา คนเชื่อกันว่าใต้มหาสมุทรมีบาดาล บาดาลในทางพุทธศาสนาหมายถึงอะไร ?
พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมพูดว่าในมหาสมุทรมีบาดาล...ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มี ไม่ปรากฏ...
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า 'บาดาล' นี้เป็นชื่อของทุกขเวทนาที่เป็นไปในสรีระแล ปุถุชนผู้ไม่ได้เรียนรู้ถูกทุกขเวทนา...ถูกต้องแล้ว ย่อมโศกเศร้า ลำบาก คร่ำครวญ ทุบอกร่ำร้อง ถึงความหลงเพ้อ ปุถุชนผู้ไม่ได้เรียนรู้นี้ เรากล่าวว่าไม่โผล่มาจากบาดาล ไม่ถึงแผ่นดินแข็ง...
"ส่วนอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้วถูกทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมไม่โศกเศร้า...อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้วนี้ เรากล่าวว่า โผล่พ้นจากบาดาลและบรรลุถึงฝั่งแผ่นดิน..."
ปาตาลสูตร สิ่งที่ทำได้ยากในพระพุทธศาสนาปัญหา อะไรคือสิ่งที่ทำได้ยากในพระพุทธศาสนา
พระสารีบุตรตอบปริพาชกชื่อชัมพุขาทกะ "ท่านผู้มีอายุ การบรรพชาเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในธรรมวินัยนี้"
ชัมพุขาทกะ "ท่านผู้มีอายุก็อะไรอันบุคคลผู้บวชแล้วกระทำได้โดยยาก"
พระสารีบุตร "ความยินดียิ่งในการบวช ท่านผู้มีอายุ"
ชัมพุขาทกะ "ท่านผู้มีอายุอะไรที่ผู้ยินดียิ่งแล้วกระทำได้โดยยาก"
พระสารีบุตร "ท่านผู้มีอายุ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม"
ชัมพุขาทกะ "ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ก็ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว จะพึงเป็นพระอรหันต์ได้ในเวลาช้านานเพียงไร"
พระสารีบุตร "ไม่นานนัก ผู้มีอายุ"
ชัมพุขาทกสังยุตต์