ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"  (อ่าน 149420 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #230 เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 10:03:23 pm »
ภาษีและการบริหารการเงิน[ซีรีส์]
ตอน ใครควรลงทุนใน LTF และลงทุนอย่างไร ?
-http://money.sanook.com/342067/-

ช่วงปลายปีแบบนี้ มีข้อเสนอข้อแนะนำการบริหารเงินเพื่อประโยชน์ทางภาษีกันมากมาย เพราะ เปิดศักราชใหม่มา ผู้มีเงินได้ต้องทำหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อคำนวณภาษีตามหน้าที่กันแล้ว .. และ ข้อเสนอที่เป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนก็คือ ....การเสนอแนะให้ลงทุนระยะยาวเพื่อได้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะ การลงทุนใน กองทุน RMF และ LTF

การยกประเด็นการลงทุนในกองทุนแฝด RMF และ LTF เพื่อประโยชน์ทางภาษี ถูกยกแต่ประเด็นประโยชน์ทางภาษีจนบางครั้งละเลย ไปว่า แท้จริง กองทุน RMF และ LTF คือ การลงทุนประเภทหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์ของการลงทุน และเงื่อนไขที่ต้องเรียนรู้ทั้งในเรื่องความเสี่ยง และ รู้ว่า การลงทุนในกองทุนแฝดนี้ผลตอบแทนคือ อะไร...และใครควรลงทุนในกองทุนไหนอย่างไร

วันนี้เรามาเริ่มที่ กองทุน LTF หรือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ long-term equity fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่เกิดมาจากแนวคิดที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นจดทะเบียนในตลาดรอง เช่น SET และ MAI เพื่อช่วยให้ตลาดทุนไทยมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และยังช่วยสร้างวินัยในการออม ของผู้ลงทุนรายย่อยในระยะยาวมากยิ่งขึ้นด้วย

จากหลักการของการจัดตั้ง LTF ชัดเจนว่าเป็นการลงทุนในตราสารทุน หรือชัดเจนคือลงทุนในหุ้น ซึ่งมีระยะเวลาเป็นตัวกำหนดชัดเจนว่า อย่างน้อย 5 ปี ปฏิทิน เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาว ดังนั้นในการลงทุนผู้ลงทุนต้องเข้าใจว่าในการลงทุนกองทุนประเภทนี้ มีความเสี่ยงอยู่ด้วย และผลตอบแทนขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารของผู้จัดการกองทุนเป็นสำคัญ ว่าจะสามารถพิชิตตลาดได้มากน้อยเพียงใด

นักลงทุนต้องคำนึงว่าตลอด 5 ปีผลตอบแทนที่ควรได้ควรเป็นเท่าไรจึงคุ้มกับการลงทุน โดยเปรียบเทียบกับการลงทุนอื่นๆ หรือ หากมีฝีมือ ก็ลงทุนเองอาจได้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในกองทุนเล่านี้ก็ได้ เพราะ เมื่อลงทุนใน LTFแล้ว กรณีที่ผู้ลงทุนสั่งขายหรือสับเปลี่ยนระหว่างกองทุน LTF หน่วยลงทุนที่ซื้อก่อนจะถูกนำไปขายก่อน (First-In First-Out : FIFO) โดยผู้ลงทุนไม่สามารถกำหนดให้ บลจ.ขายหน่วยลงทุนก้อนอื่นที่ซื้อทีหลังได้ ตัวอย่างเช่น : ซื้อ LTF ในปี 2550 2551 2552 และ 2553 ต่อมาผู้ลงทุนต้องการขาย LTF บลจ.จะขายหน่วยลงทุนที่ซื้อในปี 2550 ก่อน และเรียงลำดับไปตามปีที่ซื้อก่อนเสมอ

สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้น เงินที่ซื้อหน่วยลงทุนใน LTF จะได้รับยกเว้น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งเงื่อนไขนี้มีการปรับปรุงจากเดิมที่ได้รับการยกเว้นในการลงทุน LTF สูงสุด 15 % ของเงินได้ในแต่ละปี
การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขนี้ทำให้ เงินที่ลงทุนใน LTF แล้วได้สิทธิเว้นภาษี 15 % จึงเป็นเงินได้หลักที่ไม่ได้รับสิทธิใดๆมาก่อน หรือง่ายๆคือ จากเงินเดือนเป็นหลัก ส่วนรายได้จากอื่นๆ เช่นเงินปั่นผลที่ได้สิทธิประโยชน์มาแล้วจะไม่สามารถนำมาเป็นฐานในการลงทุนได้อีก ส่วนกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

ดังนั้น เมื่อเงื่อนไขของสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ การลงทุนใน LTF คือฐานเงินเดือนเป็นหลัก แล้วเงินเดือนเท่าไรเป็นต้นไปจึงควรเริ่มต้นลงทุนใน LTF ...?

ลองมาดูตัวอย่างของมนุษย์เงินเดือน โดยกำหนดเงื่อนไขว่าเป็นคนโสด ที่สามารถหักค่าลดหย่อยส่วนตัว ได้เพียงอย่างเดียวไม่นำค่าลดหย่อยอย่างอื่นมาคำนวณร่วมเพื่อความเข้าใจง่ายๆ กัน
จากฐานของรายได้ที่ที่เสียภาษีตามเกณฑ์ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นั้น ซึ่งเป็นภาษีแบบขั้นบันได โดยรายได้ 150,000 แรกได้รับการยกเว้น ดังโครงสร้างภาษีข้างล่างนี้

"ดูที่รูป"

หากท่านเป็นผู้มีเงินเดือน 20,000 บาท การคำนวณจะเป็นดังนี้ คือ

รายได้พึงประเมินคือรายได้ทั้งปี เท่ากับ เงินเดือน 20,000 บาท x 12 เดือน = 240,000 บาท
เงินได้สุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน คือ 240,000 – 60,000 – 30,000 = 150,000 บาท
ตามตัวอย่างนี้ เงินได้สุทธิที่นำมาคำนวณภาษีคือ 150,000 บาท ซึ่งจากฐานรายได้นี้ เท่ากับผู้มีเงินได้ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากได้รับยกเว้น ภาษีตามโครงสร้างอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะลงทุนใน LTF เพื่อผลประโยชน์จากการลดหย่อยภาษี

อีกตัวอย่าง หากเป็นผู้ที่มีเงินเดือน 25,000 บาท
รายได้พึงประเมินคือรายได้ทั้งปีเท่ากับ 25,000 บาท x 12 เดือน = 300,000 บาท
เงินได้สุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเท่ากับ 300,000 – 60,000 – 30,000 = 210,000 บาท
ตามโครงสร้างรายได้ 150,000 บาทแรกได้รับยกเว้นดังนั้น
ภาษีที่ต้องเสีย คือ 210,000 – 150,000 = 60,000 ซึ่งตามโครงสร้างต้องเสียภาษี ในอัตรา 5 %เท่ากับ 60,000 x 0.05 = 3,000 บาท


และจากเงื่อนไขผลประโยชน์ที่จะได้รับสิทธิทางภาษีสูงสุด 15 % ของเงินได้พึงประเมินในการลงทุน LTF ดังนั้น ท่านสามารถคำนวณการลงทุนในLTF ดังนี้ คือ
เงินได้พึงประเมิน 300,000 x 0.15 = 45,000 บาท
นั่นคือสามารถซื้อกองทุน LTF ได้สูงสุด 45,000 บาท

นี้คือ ตัวอย่างของการลงทุนในกองทุนยอดฮิต ที่ช่วงปลายปี จะมีการโปรโมทให้กับมนุษย์เงินเดือนเข้ามาลงทุน โดยพยายามบอกถึงประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับ แต่ที่จริงแล้ว หากท่านจะลงทุนในกองทุน ก็ต้องคำนึงในหลายๆด้าน ต้องรู้จักว่ากองทุนนั้นคืออะไร มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง และผลประโยชน์ที่จะได้รับจริงๆคืออย่างไร
ไว้ครั้งหน้าเรามาดูการลงทุนในกองทุนยอดฮิตอีกตัวหนึ่งคือ RMF ว่ามีเงื่อนไขอย่างไรประกอบการตัดสินใจในการลงทุน เพื่อการบริหารเงินและภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

ขอบคุณแหล่งข้อมูล

-http://www.start-to-invest.com/-

-http://www.aommoney.com/taxbugnoms-

-http://www.fundfine.com/-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #231 เมื่อ: มกราคม 20, 2016, 09:48:20 pm »
คาถาพารวยด้วยแก้ว 3 ประการสำหรับมนุษย์เงินเดือน
-http://money.sanook.com/350671/-

-http://money.sanook.com/350671/-

สนับสนุนเนื้อหา

Tar Kawin AomMoney Guru

IDOL DCA ให้ความรู้การลงทุนด้วยภาษาง่ายๆ

เขียนบทความนี้กันต้นปีเลยแล้วกันนะครับ พอดีเห็นช่วงนี้มีคนชอบแชร์์เรื่องเกี่ยวกับ ดวงชะตาของราศีไหนจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็มีคนแซวไว้อยู่เหมือนกันว่าต้องเป็นราศีที่ทำมาหากิน ฮาๆ พอเห็นคนชอบดวง สูตรลับ ผมเองก็เลยอยากจะมอบคาถาพารวยในแบบฉบับของผมบ้างนะครับ จะได้ร่ำรวยกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

คาถาพารวยของผมก็ง่ายๆเลย เพียงแค่เราท่องว่า

“เพิ่มตัง จ่ายยั้ง ออมจัง”

มาดูความหมายของแต่ละคำกันเลยดีกว่า

เพิ่มตัง = เพิ่มรายได้

วิธีการเพิ่มตังสำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นก็มีหลายวิธีนะครับ อย่างแรกสุดเลยก็คือ การได้ขึ้นเงินเดือนจากที่ทำงาน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว ก็ตั้งใจทำงาน สร้างสรรค์ผลงานให้กับเจ้านายเห็น รับรองว่าถ้าเจ้านายไม่ขึ้นเงินเดือนให้ แต่ผลงานเราเตะตาเจ้านายในบริษัทอื่น รับรองว่าคุณจะเกิดการถูกแย่งตัวกันเลยทีเดียวนะครับ บางทีก็จะมี Head Hunter โทรมาคุยเลยว่า อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ ไปลองสัมภาษณ์กับที่นั่นที่นี่ไหม?

วิธีการที่ผมเคยทำก็คือเราต้องทำให้คนรู้จักเรามากให้มากขึ้น โดยเฉพาะทางสื่อ Online เช่น Facebook, LinkedIn, ฺBlog ทำ Profile ความเชี่ยวชาญของเราและคอยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราถนัด พอข้อมูลข้อเราไปเตะตาใครที่เขาต้องการอยู่ เขาจะติดตามเราพร้อมสืบประวัติและอ่านข้อมูลเรา เพื่อนำไปพิจารณาการ Offer งานใหม่ๆครับ

หรือถ้าหากใครมีความคิดดีๆในการสร้างธุรกิจของตัวเองหลังเลิกงาน หรือในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยนะครับ บางคนชอบขายของ Online สมัยก่อนผมเลยทำพวกงาน ล่ามภาษาอังกฤษ สอนพิเศษเด็กๆ วันหนึ่งๆได้เงินมาเพิ่ม 2,000 – 3,000 บาทเลย ทำไปทำงานรายได้ส่วนนี้พอๆกับงานประจำเลย (เรียกได้ว่าทำแบบจนลืมนัดกับแฟนกันทีเดียว)

จ่ายยั้ง = คิดและวางแผนก่อนใช้เงิน

ถ้าวิธีการแรกรู้สึกลำบ๊ากลำบากในการหาเงินเพิ่ม ลองมาประหยัดกันแทนดูไหมครับ ผมเคยอ่านคำพูดของเบนจามิน แฟรงคลิน (คนที่คิดสายล่อฟ้านั่นแหล่ะครับ) พูดถึงเรื่องการออมเงินว่า ถ้าเราประหยัด 1 เพนนี ก็จะมีเงินเพิ่ม 1 เพนนี นะเธอว์!!! ซึ่งมันก็เป็นจริงนะครับ การประหยัดตังบางทีมันง่ายกว่าการหาตังซะอีก

ถามว่าประหยัดอย่างไร วิธีง่ายๆเลยก็คือลองสำรวจตัวเองว่าวันๆใช้จ่ายอะไรบ้าง ลองทำบันทึกรายรับรายจ่ายไว้ก็ได่นะครับ แล้วพอเราไล่เรียงออกมาแล้วเราจะเห็น รายจ่ายอยู่ 2 แบบที่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ

รายจ่ายที่ไร้สาระในชีวิตที่ตัดค่าใช้จ่ายได้: คือผมเข้าใจนะครับว่าคนเราต้องใช้เงินไปกับความสุข แต่ถ้าเรามีความสุขจนเป็นหนี้ อันนี้จะกลายเป็นความทุกข์ได้ ลองดูนะครับว่ารายจ่ายไร้สาระมันเกิดขึ้นในตัวเราบ้างหรือเปล่า อย่างตัวผมเองมีอยู่ช่วงๆหนึ่งเคยบ้ากินไอติมทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น หมดค่าไอติมไปเยอะมาก แถมอ้วนอีกต่างหาก เลยใช้วิธี กินอันที่มันถูกลง กับ กินให้มันถี่น้อยลงเป็น 3 วันครั้ง

รายจ่ายที่จำเป็นแต่เราหาวิธีประหยัดได้: เชื่อไหมว่าบางครั้งรายจ่ายที่จำเป็นก็ประหยัดได้นะ เพียงแค่เราหาวิถีประหยัดมันให้เจอ เมื่อก่อนผมเคยต้องนั่งรถเมล์ไปสถานี BTS และจ่ายค่า BTS ไปทำงาน แต่อยู่ๆผมก็เจอวิธีที่ประหยัดได้มากกว่าเดิม คือแถวๆบ้านผมจะมีคนไปที่ทำงานด้วยกัน 4-5 คน ก็เลยหารค่ารถไปด้วยกัน นัดกันมาเจอแล้วโบกแทคซี่ไปด้วยกัน ถึงเร็วกว่าเดิมค่ารถต่อคนถูกกว่าเดิมด้วยครับ พวกนี้มันขึ้นอยู่กับการวางแผนนะ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นใครว่ามันจะลดไม่ได้ล่ะ!!

ออมจัง = ออมเงินเยอะๆและหาทางต่อยอดเงินออม

แน่นอนครับว่า เงินออมนั้นมาจากความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและรายจ่าย หากเรามีรายรับเยอะกว่ารายจ่ายเมื่อไหร่ เงินออมย่อมเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะเซ็งกับดอกเบี้ยเงินฝาก ใช่ไหมครับ ออมอย่างเดียวสมัยนี้มันอาจจะไม่ได้สร้างความมั่งคั่งมากเท่ากับสมัยก่อน การเปลี่ยนเงินออมไปเป็นเงินที่ป้องกันความเสี่ยงและการลงทุนก็เป็นสิ่งที่สามารถทำเพิ่มได้

การป้องกันความเสี่ยงเป็นเบื้องต้นเลยที่เราน่าจะทำนะ เช่น การซื้อประกันไว้ เพราะถ้าเราเก็บเงินออมไปเรื่อยๆ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ต้องจ่ายเงินทีเป็นหมื่นเป็นแสน บางทีกลายเป็นความมั่งคั่งหายไป การทำประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ

นอกจากนี้แล้วเราก็ควรจัดพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติมตามความเสี่ยงของเรา ด้วยการนำเงินออมไปลงทุนใน หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ ฯลฯ เพื่อให้เงินงอกเงยมากกว่าเดิม แต่การลงทุนมีความเสี่ยงเหมือนกันนะ หุ้นมีขึ้นก็มีลง ลงทุนไปก็อาจจะขาดทุนได้ การศึกษาและบริหารความเสี่ยงก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะหนีไม่ได้ เมื่อเราสร้างเงินออมให้งอกเงยแล้วก็จะรวยขึ้นได้มากเช่นกันครับ

เพิ่มรายได้ – ลดรายจ่ายไม่จำเป็น – ต่อยอดผลตอบแทนเงินออม

ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตของเราดูนะครับว่าจะต้องทำอย่างไร และก็ขอให้ทุกคนร่ำรวยๆ นะครับ

ขอบคุณบทความดีๆจาก -www.aommoney.com-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #232 เมื่อ: มกราคม 20, 2016, 09:52:38 pm »
เงินทอง เก็บไว้ได้ ไม่เสีย
หากใช้จ่ายไม่ยั้ง ชีวิตจะพบกับความลำบาก

เมื่อเก็บเงินได้  มีเงินออม
ต้องศึกษาหาความรู้เรื่องเงินๆทองๆ และรู้จักการลงทุน
เพื่อเพิ่มเงินออมให้มากขึ้น
ที่สำคัญ ต้องให้เงินทำงานแทนเราตลอด 24 ชั่วโมง

เราจะสบายในตอนที่เราอายุมาก  ไม่ลำบากทั้งกายและทั้งใจ




คาถาพารวยด้วยแก้ว 3 ประการสำหรับมนุษย์เงินเดือน
-http://money.sanook.com/350671/-

-http://money.sanook.com/350671/-

สนับสนุนเนื้อหา

Tar Kawin AomMoney Guru

IDOL DCA ให้ความรู้การลงทุนด้วยภาษาง่ายๆ

เขียนบทความนี้กันต้นปีเลยแล้วกันนะครับ พอดีเห็นช่วงนี้มีคนชอบแชร์์เรื่องเกี่ยวกับ ดวงชะตาของราศีไหนจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็มีคนแซวไว้อยู่เหมือนกันว่าต้องเป็นราศีที่ทำมาหากิน ฮาๆ พอเห็นคนชอบดวง สูตรลับ ผมเองก็เลยอยากจะมอบคาถาพารวยในแบบฉบับของผมบ้างนะครับ จะได้ร่ำรวยกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

คาถาพารวยของผมก็ง่ายๆเลย เพียงแค่เราท่องว่า

“เพิ่มตัง จ่ายยั้ง ออมจัง”

มาดูความหมายของแต่ละคำกันเลยดีกว่า

เพิ่มตัง = เพิ่มรายได้

วิธีการเพิ่มตังสำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นก็มีหลายวิธีนะครับ อย่างแรกสุดเลยก็คือ การได้ขึ้นเงินเดือนจากที่ทำงาน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว ก็ตั้งใจทำงาน สร้างสรรค์ผลงานให้กับเจ้านายเห็น รับรองว่าถ้าเจ้านายไม่ขึ้นเงินเดือนให้ แต่ผลงานเราเตะตาเจ้านายในบริษัทอื่น รับรองว่าคุณจะเกิดการถูกแย่งตัวกันเลยทีเดียวนะครับ บางทีก็จะมี Head Hunter โทรมาคุยเลยว่า อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ ไปลองสัมภาษณ์กับที่นั่นที่นี่ไหม?

วิธีการที่ผมเคยทำก็คือเราต้องทำให้คนรู้จักเรามากให้มากขึ้น โดยเฉพาะทางสื่อ Online เช่น Facebook, LinkedIn, ฺBlog ทำ Profile ความเชี่ยวชาญของเราและคอยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราถนัด พอข้อมูลข้อเราไปเตะตาใครที่เขาต้องการอยู่ เขาจะติดตามเราพร้อมสืบประวัติและอ่านข้อมูลเรา เพื่อนำไปพิจารณาการ Offer งานใหม่ๆครับ

หรือถ้าหากใครมีความคิดดีๆในการสร้างธุรกิจของตัวเองหลังเลิกงาน หรือในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยนะครับ บางคนชอบขายของ Online สมัยก่อนผมเลยทำพวกงาน ล่ามภาษาอังกฤษ สอนพิเศษเด็กๆ วันหนึ่งๆได้เงินมาเพิ่ม 2,000 – 3,000 บาทเลย ทำไปทำงานรายได้ส่วนนี้พอๆกับงานประจำเลย (เรียกได้ว่าทำแบบจนลืมนัดกับแฟนกันทีเดียว)

จ่ายยั้ง = คิดและวางแผนก่อนใช้เงิน

ถ้าวิธีการแรกรู้สึกลำบ๊ากลำบากในการหาเงินเพิ่ม ลองมาประหยัดกันแทนดูไหมครับ ผมเคยอ่านคำพูดของเบนจามิน แฟรงคลิน (คนที่คิดสายล่อฟ้านั่นแหล่ะครับ) พูดถึงเรื่องการออมเงินว่า ถ้าเราประหยัด 1 เพนนี ก็จะมีเงินเพิ่ม 1 เพนนี นะเธอว์!!! ซึ่งมันก็เป็นจริงนะครับ การประหยัดตังบางทีมันง่ายกว่าการหาตังซะอีก

ถามว่าประหยัดอย่างไร วิธีง่ายๆเลยก็คือลองสำรวจตัวเองว่าวันๆใช้จ่ายอะไรบ้าง ลองทำบันทึกรายรับรายจ่ายไว้ก็ได่นะครับ แล้วพอเราไล่เรียงออกมาแล้วเราจะเห็น รายจ่ายอยู่ 2 แบบที่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ

รายจ่ายที่ไร้สาระในชีวิตที่ตัดค่าใช้จ่ายได้: คือผมเข้าใจนะครับว่าคนเราต้องใช้เงินไปกับความสุข แต่ถ้าเรามีความสุขจนเป็นหนี้ อันนี้จะกลายเป็นความทุกข์ได้ ลองดูนะครับว่ารายจ่ายไร้สาระมันเกิดขึ้นในตัวเราบ้างหรือเปล่า อย่างตัวผมเองมีอยู่ช่วงๆหนึ่งเคยบ้ากินไอติมทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น หมดค่าไอติมไปเยอะมาก แถมอ้วนอีกต่างหาก เลยใช้วิธี กินอันที่มันถูกลง กับ กินให้มันถี่น้อยลงเป็น 3 วันครั้ง

รายจ่ายที่จำเป็นแต่เราหาวิธีประหยัดได้: เชื่อไหมว่าบางครั้งรายจ่ายที่จำเป็นก็ประหยัดได้นะ เพียงแค่เราหาวิถีประหยัดมันให้เจอ เมื่อก่อนผมเคยต้องนั่งรถเมล์ไปสถานี BTS และจ่ายค่า BTS ไปทำงาน แต่อยู่ๆผมก็เจอวิธีที่ประหยัดได้มากกว่าเดิม คือแถวๆบ้านผมจะมีคนไปที่ทำงานด้วยกัน 4-5 คน ก็เลยหารค่ารถไปด้วยกัน นัดกันมาเจอแล้วโบกแทคซี่ไปด้วยกัน ถึงเร็วกว่าเดิมค่ารถต่อคนถูกกว่าเดิมด้วยครับ พวกนี้มันขึ้นอยู่กับการวางแผนนะ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นใครว่ามันจะลดไม่ได้ล่ะ!!

ออมจัง = ออมเงินเยอะๆและหาทางต่อยอดเงินออม

แน่นอนครับว่า เงินออมนั้นมาจากความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและรายจ่าย หากเรามีรายรับเยอะกว่ารายจ่ายเมื่อไหร่ เงินออมย่อมเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะเซ็งกับดอกเบี้ยเงินฝาก ใช่ไหมครับ ออมอย่างเดียวสมัยนี้มันอาจจะไม่ได้สร้างความมั่งคั่งมากเท่ากับสมัยก่อน การเปลี่ยนเงินออมไปเป็นเงินที่ป้องกันความเสี่ยงและการลงทุนก็เป็นสิ่งที่สามารถทำเพิ่มได้

การป้องกันความเสี่ยงเป็นเบื้องต้นเลยที่เราน่าจะทำนะ เช่น การซื้อประกันไว้ เพราะถ้าเราเก็บเงินออมไปเรื่อยๆ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ต้องจ่ายเงินทีเป็นหมื่นเป็นแสน บางทีกลายเป็นความมั่งคั่งหายไป การทำประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ

นอกจากนี้แล้วเราก็ควรจัดพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติมตามความเสี่ยงของเรา ด้วยการนำเงินออมไปลงทุนใน หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ ฯลฯ เพื่อให้เงินงอกเงยมากกว่าเดิม แต่การลงทุนมีความเสี่ยงเหมือนกันนะ หุ้นมีขึ้นก็มีลง ลงทุนไปก็อาจจะขาดทุนได้ การศึกษาและบริหารความเสี่ยงก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะหนีไม่ได้ เมื่อเราสร้างเงินออมให้งอกเงยแล้วก็จะรวยขึ้นได้มากเช่นกันครับ

เพิ่มรายได้ – ลดรายจ่ายไม่จำเป็น – ต่อยอดผลตอบแทนเงินออม

ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตของเราดูนะครับว่าจะต้องทำอย่างไร และก็ขอให้ทุกคนร่ำรวยๆ นะครับ

ขอบคุณบทความดีๆจาก -www.aommoney.com-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #233 เมื่อ: มกราคม 20, 2016, 10:44:50 pm »
“RMF-LTF-ประกันชีวิตแบบบำนาญ” ประโยชน์ที่ได้มากกว่าการลดหย่อนภาษี
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000006542

โดย MGR Online    
20 มกราคม 2559 15:09 น.

คอลัมน์ บัวหลวง Money Tips
       โดย พนิต ปัญญาบดีกุล CFP®
       กองทุนบัวหลวง
       
       Retirement Mutual Fund (RMF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เกิดขึ้นมาในปี 2544 แต่ในช่วงแรกยังไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร และความเข้าใจในเรื่องของการลงทุนก็ยังอยู่ในวงจำกัดเช่นกัน หลังจากนั้นประมาณ 3 ปี Long-Term Equity Fund (LTF) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ก็ถือกำเนิดตามมา เมื่อพูดถึง RMF และ LTF ผู้ลงทุนทราบดีว่าเป็นกองทุนที่ช่วยในการลดหย่อนหรือประหยัดภาษี
       
       ดังนั้นจึงขอทบทวนรายละเอียดของทั้ง 2 กองทุน และประโยชน์ที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากการลงทุนใน RMF และ LTF ที่สำคัญมากกว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว
       
       กองทุน RMF เป็นกองทุนที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนและสร้างวินัยให้คนเก็บออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ หรือในวัยที่พ้นจากการทำงานและไม่มีรายได้ประจำแล้ว ดังนั้นจึงเป็นกองทุนที่มีผลต่อเนื่องในระยะยาว ไม่มีการจ่ายปันผลใดๆ คืน ต้องลงทุนต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปี (เว้นได้ 1 ปี แต่ห้ามเกิน 2 ปี) และห้ามขายคืนก่อนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ มีนโยบายการลงทุนหลากหลายประเภท เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกและจัดสรรการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ และสามารถโอนย้ายระหว่างกองทุนทั้งในบริษัทหลักทรัพย์จัดการเดียวกันหรือต่างกันได้ เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนของตนเองเมื่อเวลาผ่านไป
       
       กองทุน LTF เป็นกองทุนที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นจดทะเบียนในตลาดรอง เช่น SET mai ทำให้ตลาดทุนมีการพัฒนาและมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ดังกล่าวอาจจะไกลตัวเราที่เป็นประชาชนทั่วไป ดังนั้นอยากให้มองจุดประสงค์ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ กองทุนนี้ช่วยให้คนไทยรู้จักการลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในระยะยาว ทำให้เกิดการเรียนรู้และไม่กลัวการลงทุนมากเหมือนในอดีต
       
       ด้วยจุดประสงค์ดังกล่าวทำให้ LTF มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นจดทะเบียน จะมีการจ่ายปันผลหรือไม่ก็ได้ และผู้ลงทุนต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทินในแต่ละก้อนที่ลงทุน (นับปีที่ลงทุนและปีที่ขายคืนด้วย) จากเดิม LTF มีอายุประมาณ 10 ปี นับตั้งแต่ปีแรกที่ตั้งขึ้น และกำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2559 แต่ล่าสุด ครม.ได้มีมติต่ออายุสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปอีก 3 ปี จนสิ้นสุดปี 2562 รวมทั้งเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการถือหน่วยลงทุนจากไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน เป็นไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน ตามรายละเอียดเงื่อนไของสรรพากร
       
       มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวม RMF และกองทุนรวม LTF ปี 2545-2558 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง



  ประกันชีวิตบำนาญแบบลดหย่อนภาษีได้ เป็นอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ในปี 2554 สรรพากรได้ส่งเสริมการออมระยะยาวให้กับคนไทยเพื่อความมั่นคงในการดำรงชีพหลังเกษียณอายุจากการทำงาน และช่วยให้มีเงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญนี้จึงมีกำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ไม่มีการจ่ายปันผลประโยชน์เงินคืนอื่นใดก่อนที่จะรับเงินบำนาญ (ยกเว้นกรณีเสียชีวิต) โดยที่จะสามารถรับเงินบำนาญตั้งแต่อายุ 55 ปีขึ้นไปจนถึงอายุไม่ต่ำกว่า 85 ปี และต้องกำหนดการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ เช่น รายปี รายเดือน เป็นต้น
       
       มากกว่าประโยชน์ทางภาษี ถึงแม้ว่าเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเป็นสิ่งจูงใจให้หลายๆ ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินดังกล่าว แต่จากจุดประสงค์หลักและประโยชน์ของทั้ง RMF LTF และประกันชีวิตแบบบำนาญ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า อยากจะให้พิจารณาข้อมูลจากฝ่ายวิจัยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในเรื่องสาเหตุของความกังวลใจในการใช้ชีวิตหลังเกษียณของคนไทย จะเห็นได้ว่าร้อยละ 51 จะมีเงินออมไม่เพียงพอหลังเกษียณ และไม่สามารถพึ่งพาลูกหลานได้ถึงร้อยละ 32
       
       สัดส่วนของจำนวนคน จำแนกตามสาเหตุของความกังวลใจในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ



นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาถึงการออมเงินของผู้สูงอายุในปี 2550 จากผลการสำรวจพบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 31.3 ไม่มีเงินออมเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตหลังเกษียณ และผู้สูงอายุส่วนใหญ่ (ร้อยละ 53) มีมูลค่าการออมไม่เกิน 2 แสนบาท เท่ากับว่าถ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 20 ปี ก็จะมีเงินใช้ไม่เกินเดือนละ 830 บาท หรือวันละ 28 บาทเท่านั้น ขณะที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 15 ที่มีมูลค่าการออมตั้งแต่ 700,000 บาทขึ้นไป
       
       อย่างไรก็ตาม การเก็บออมเงินระยะยาวใน RMF LTF และประกันชีวิตแบบบำนาญ ก็เป็นเพียงพื้นฐานส่วนหนึ่งเท่านั้น การที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงิน และเป้าหมายชีวิตที่ตั้งไว้ ควรให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเงินแบบรอบด้านด้วย


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #234 เมื่อ: มกราคม 25, 2016, 10:40:41 pm »
หุ้นตก หลบลงกองทุน REIT ดีมั้ย
-http://money.sanook.com/352167/-

-http://www.settrade.com/login.jsp?txtBrokerId=IPO-
สนับสนุนเนื้อหา

ผู้เขียน : นฤมล บุญสนอง CFP®
รองกรรมการผู้จัดการ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด และ วิทยากรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย



ช่วงเวลาที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนมาก ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องไปลงทุนอสังหริมทรัพย์ เพื่อเก็บค่าเช่า แต่มีปัญหาคือ เงินน้อย ทำเลดีๆไม่มี ยุ่งยาก ไม่มีเวลาดูแลเรื่องการซ่อมบำรุง และ เก็บค่าเช่า ขายต่อยาก ปัญหาร้อยแปดอย่าง นี่คือเหตุผลที่ต้องมารู้จัก กอง REIT กัน

REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์” เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากเหมือนกับการลงทุนโดยตรง และ มีข้อจำกัดน้อยกว่าการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เป็นกองทรัพย์สินที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มีลักษณะเป็นกองทรัสต์ ไม่ใช่นิติบุคคลเหมือนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือ


1. สินทรัพย์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต้องไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ถือกรรมสิทธิ์โดยทรัสตี (Trustee)
2. ทรัสตี (Trustee) มีอำนาจดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ รวมทั้งดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager)
3.ผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager) ทำหน้าที่บริหารอสังหาริมทรัพย์ประเภทนั้น ๆ เช่น ดูแลทรัพย์สินให้พร้อมเช่า จัดหาผู้เช่า จัดเก็บค่าเช่า เป็นต้น
4. REIT สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลายประเภท และจะออกไปลงทุนในต่างประเทศก็ได้
5. REIT สามารถกู้มาลงทุนได้ไม่เกิน 35% ของ สินทรัพย์รวม และถ้ามีการจัดอันดับว่า REIT นั้นมีคุณภาพผ่านระดับ Investment Grade ขึ้นไป ก็สามารถกู้ได้ถึง 60% ซึ่งประเด็นนี้ ทำให้ REIT มีโอกาสในการขยายธุรกิจสูงกว่า กองทุน Property Fund ที่กู้ได้แค่ 10% เท่านั้น REIT จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


การลงทุนใน REIT เหมาะกับใคร?
REIT รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากค่าเช่า หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว REIT จะต้องจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างน้อย 90% ของกำไรสุทธิ พูดสั้นๆได้รับค่าเช่าเต็ม หักค่าคนดูแลนิดหน่อย ค่าเช่ามักไม่ค่อยมีความผันผวน ทำให้ REIT ไม่เหมาะกับนักลงทุนประเภทเก็งกำไร แต่จะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง ถ้าเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยงของ REIT เรียงจากน้อยไปมาก คือ หุ้นกู้, REIT, หุ้น นั่นเอง


ข้อดีของการลงทุนใน REIT คือ ?
1) สามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ชอ บ โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ
2) ไม่ต้องเหนื่อย
3) กระจายความเสี่ยง เช่น เงิน1.0 ล้านบาท ถ้าเลือก 4 กองทุน จะได้ ทำเลที่ต่าง เป็นการกระจายความเสี่ยง เป็นต้น
4) REIT สามารถซื้อขายกันได้ในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ซื้อง่ายขายคล่อง
5) ผลตอบแทนที่อยู่ในระดับดี จากข้อมูล SET SMART ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 6-7% ต่อปี


ลองยกตัวอย่าง REIT :
AMATAR เป็น REIT ที่ลงทุนในกรรมสิทธิ และสิทธิการเช่า อสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร (ชลบุรี) และนิคมอุตสาหรรมอมตะซิตี้ (ระยอง) เพื่อเก็บค่าเช่าแล้วนำมาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้ผู้ลงทุน


IMPACT GROWTH โครงการอิมเพคเมืองทองธานี แจ้งวัฒนะ


LHSC(LH Shopping Centers Leasehold REIT) โครงการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21

นักลงทุนที่รัก ต้องประเมินตนเองว่ารับความเสี่ยงได้ระดับใด และทําความเข้าใจลักษณะของ REIT ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน นะคะ เน้นย้ำต้องดูที่ทำเล ทำเล และ ทำเล ก่อนตัดสินใจ ชัยชนะจะเป็นของท่านโชคเฮงรับทรัพย์

ผู้เขียน : นฤมล บุญสนอง CFP®
รองกรรมการผู้จัดการ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด และ วิทยากรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #235 เมื่อ: มกราคม 31, 2016, 08:54:08 pm »
มนุษย์เงินเดือนรวยได้ แน่ แค่ 8 ข้อ !
-http://money.sanook.com/354439/-

-https://moneyhub.in.th/-
สนับสนุนเนื้อหา

ใครว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่มีวันรวย เราขอค้านเลยค่ะ มนุษย์เงินเดือนรวยได้ แน่นอน เพราะคนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นแม้ว่าจะมีเงินเดือนที่คงที่และไม่มากนัก แต่หากรู้จักเก็บออมและบริหารการใช้จ่ายเงินให้ดี ก็สามารถที่จะก้าวนำตัวเองไปสู่ความร่ำรวยได้เหมือนกัน ซึ่งวันนี้เราก็มีเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยบริหารเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนให้รวยได้มาฝากกันค่ะ


1. ออมสัก 10-30% ทุกเดือน
เมื่อเงินเดือนออก เราจะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินออม โดยออมแค่ 10-30% พอค่ะ เช่น ได้เงินเดือน 10,000 บาท ก็อาจจะแบ่งออมไว้สัก 1000-3000 บาทนั่นเอง แค่นี้ก็จะทำให้มีเงินออมเหลือใช้ในแต่ละเดือนแล้วล่ะ โดยการออมเงินนั้นเราอาจจะออมใส่กระปุกออมสินไว้หรือฝากธนาคารก็ได้ แต่ถ้าให้ดีฝากธนาคารจะดีกว่า เพราะจะทำให้เรามีวินัยในการเก็บเงินมากขึ้นและไม่เผลอนำเงินออกมาใช้จนหมดนั่นเอง


2. ทำบัญชีรายรับ รายจ่าย
บัญชีรายรับ รายจ่ายก็นับว่าสำคัญมากเลยล่ะ เพราะการจดบัญชีรายรับรายจ่ายไว้จะทำให้เรารู้ว่าในแต่ละวันเราจ่ายอะไรไปบ้างและจำเป็นมากแค่ไหน อีกทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าในขณะนี้เราใช้จ่ายเงินไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว เพื่อจะได้ไม่เผลอเพิ่มรายจ่ายไปมากกว่านี้นั่นเอง เรียกได้ว่ารายรับรายจ่ายเป็นเครื่องมือที่ลดความฟุ่มเฟือยได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ


3. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
อยากรวยต้องรู้จักตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนนะคะ โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าเดือนนี้จะต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ หรืออีก 5 เดือนจะต้องเก็บเงินได้เท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้เรามีกำลังใจที่อยากจะไปให้ถึงจุดหมายให้ได้มากที่สุดเลยล่ะ นอกจากนี้เราอาจจะใช้การตั้งเป้าหมายด้วยสิ่งจูงใจบางอย่าง เช่นจะต้องเก็บเงินให้ได้เท่านั้นเพื่อซื้อโทรศัพท์ เพื่อไปเที่ยวหรือเพื่อะไรก็ตามที่คุณอยากได้ ก็จะช่วยเป็นแรงกระตุ้นในการเก็บออมเงินได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ


4. เลือกการลงทุนสักอย่างที่เหมาะกับคุณ
ใช่ว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่สามารถทำกำไรด้วยการลงทุนได้นะ เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนเมื่อมีเงินพอที่จะลงทุนโดยไม่เดือดร้อนได้แล้วและจะต้องเลือกลักษณะการลงทุนให้เหมาะกับตัวเองที่สุดนั่นเอง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนอะไรสักอย่าง คุณควรเก็บออมเงินให้ได้สักก้อนก่อนแล้วค่อยใช้เงินที่เหลือจากการเก็บออมมาลงทุนนั่นเอง

5. ทำประกันสังคมไว้สิ
หลายคนอาจจะมองว่าการทำประกันสังคมจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนของประกัน แต่หากคิดในทิศทางที่ตรงข้ามกันจะพบว่ามันมีประโยชน์กว่าที่คุณคิดมากเลยล่ะ ลองคิดดูสิว่าหากเราเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลก็จะต้องใช้เงินมากอยู่เหมือนกันอีกทั้งยังขาดรายได้อีกด้วย แต่หากทำประกันสังคมไว้ล่ะก็ ถึงแม้ว่าเราจะเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลแต่ก็ยังได้เงินคืนจำนวนหนึ่งเลยล่ะ


นอกจากนี้ผู้หญิงเรายังสามารถใช้สิทธิประกันสังคมในการคลอดบุตรได้อีกด้วยนะ เห็นไหมว่าไม่ว่าจะเข้าโรงพยาบาลหรือคลอดบุตรก็ยังมีเงินให้ใช้ และไม่รบกวนเงินเก็บจนเกินไปอีกด้วย ดังนั้นมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ มาทำประกันสังคมกันดีกว่าค่ะ


6. ชำระบัตรเครดิตให้ตรงเวลา
แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นมนุษย์เงินเดือนแต่หลายคนก็คงมีบัตรเครดิตไว้ครอบครองกันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกสบายในการใช้จ่ายเงินของแต่ละคนนั่นเอง แต่หากใช้บัตรเครดิตแล้วล่ะก็จะต้องจ่ายชำระค่าบัตรเครดิตให้ตรงเวลาด้วยนะคะ เพราะหากปล่อยให้พ้นเวลาชำระไปล่ะก็ ดอกเบี้ยจะบานขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยล่ะ คงไม่มีใครที่อยากจะเพิ่มภาระหนี้ให้กับตัวเองหรอกจริงไหมคะ


7. ช้อปปิ้งให้น้อยลง
สำหรับใครที่ติดนิสัยเงินเดือนออกทีไรก็ต้องไปช้อปปิ้งทุกที ต้องเปลี่ยนนิสัยของตัวเองกันหน่อยแล้วนะคะ เพราะการช้อปปิ้งนี่ล่ะที่เป็นสาเหตุหลักของความยากจนเลย ดังนั้นหากไม่จำเป็นก็ลดลดการช้อปลงหน่อยก็ดีเหมือนกันเนอะ จะได้มีเงินเหลือเก็บและก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้นั่นเองค่ะ


8. พยายามลดค่าใช้จ่ายลง
เงินเดือนออกทีไรก็ไม่เคยพอกับค่าใช้จ่ายสักที แถมบางครั้งยังไม่มีเงินเหลือใช้อีกด้วย นั่นอาจเป็นเพราะค่าใช้จ่ายที่มากเกินไปในแต่ละเดือน เพราะฉะนั้นหากคุณอยากรวยล่ะก็ จะต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เช่นการช้อปปิ้งบ่อยเกินไปหรือการกินข้าวนอกบ้าน เพราะมันจะทำให้สิ้นเปลืองเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เลยล่ะ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไปบ้างก็ดีนะคะ


อยากรวยไม่ใช่เรื่องยาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนก็ตาม เพียงแค่เราปรับการใช้จ่ายเงินใหม่และขยันเก็บออมให้มากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายอะไรที่ไม่จำเป็นก็เลี่ยงซะ
แค่นี้ก็จะมีเงินเก็บได้ไม่ยากแล้วล่ะ แถมยังก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้อย่างง่ายดายขึ้นอีกด้วยนะ ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนลองทำตามวิธีของเราดูนะคะแล้วคุณก็จะก้าวไปสู่จุดหมายได้อย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเลยล่ะ

Advertorial

สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub

------------------------------------------


3 สุดยอด วิธีออมเงิน จากหลักพันกลายเป็นหลักล้าน!
-http://money.sanook.com/354395/-

-https://moneyhub.in.th/-
สนับสนุนเนื้อหา

ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็พบกับผู้คนที่รู้จักการวางแผนการใช้เงิน การลงทุนเพื่อการต่อยอดของการออมกันมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนรอบข้าง หรือว่าจะเป็นเหล่าคนดัง ดารานักร้อง หรือแม้แต่กระทั่งนักการเมืองนั่นเอง


จะสังเกตได้เลยว่าเขาได้นำเงินเก็บมาเพื่อทำการต่อยอด เพิ่มมูลค่า หรือทำการออมเพื่อใช้จ่ายในอนาคตนั่นเอง ทั้งนี้เป็นเพราะว่าสาเหตุต้นมาจากระบบเศรษฐกิจที่ไม่แน่ไม่นอน หรือว่าจะเป็นการออมเพื่อเป็นการลงทุน หรือทำกิจการเพื่อที่จะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อที่อนาคตวันข้างหน้าจะได้มีเงินทุนสำรองเพื่อที่จะใช้จ่ายกันนั่นเอง
จะดีแค่ไหนหากเรามีเงินใช้จ่ายแบบสบายๆ มีเงินในบัญชีเยอะแยะ วิธีออมเงิน จากหลักพันให้เป็นหลักล้านทำอย่างไร และเป็นไปได้จริงหรือไม่ที่เงินหลักพันจะกลายเป็นหลักล้านด้วยวิธีการเพียงแค่ 3 วิธี


ทุกข้อสงสัย การออมเงินเป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้เรามีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและเป็นหลักประกันในการใช้จ่ายในอนาคต และยังเป็นวิธีที่จะทำให้เงินของเรางอกเงย ได้อีกด้วย จากการที่เรานำเงินไปฝากกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง แต่ลองคิดดูว่ากว่าที่เงินเราจะงอกเงยได้ถึงจุดที่เรียกได้ว่า มั่งคั่ง ก็ต้องใช้เวลานาน หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยกับการหวังผลตอบแทนจากการฝากเงิน ถ้าเราไม่ได้มีเงินได้มากขนาดตัวเลขถึงหลักล้านขึ้นไป


แล้วเราจะมี วิธีออมเงิน อย่างไรให้ได้รับผลประโยชน์สูงที่สุด ในกรณีเรามีเงินอยู่ในมือเพียงแค่หลักพันบาท เกี่ยวกับการออมเงินจากหลักพันสู่หลักล้าน งั้นเราไปพบกับ 3 วิธีการออมเงินจากหลักพันให้เป็นหลักล้านกันเลย


ออมเงินก่อนใช้
ไม่ว่าคุณจะมีรายได้เท่าใด สิ่งแรกที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่ง เพราะหากใช้เงินแล้วค่อยออม รับรองว่าส่วนใหญ่จะใช้จนหมด ไม่เหลือออมแน่นอน ฉะนั้นเมื่อได้เงินเดือนควรเก็บเป็นเงินออมเสียก่อน เหลือเท่าไรค่อยใช้เท่านั้น แบ่งเก็บแบ่งไว้ใช้ให้ชัดเจน


ออม 1 ใน 4 ของเงินได้
สิ่งที่ต้องทำคือควรออมเงินอย่างน้อย 1 ใน 4 ของเงินเดือน หากทำงานไปสักระยะเงินเดือนสูงขึ้น สัดส่วนการออมก็ต้องสูงขึ้นตามด้วย นอกจากการออมเงินด้วยการฝากธนาคารคุณอาจออมเงินในรูปแบบของการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดทำเลดีที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท


ออมพร้อมการลงทุน
การซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ที่มีความเสี่ยงต่ำ สำหรับข้อดี จะได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากเงินธนาคาร และไม่ต้องเสียภาษี แต่จะมีข้อเสีย ดังนี้หากต้องการใช้เงิน ไม่สามารถถอนเงินได้ทันที จะต้องขายหน่วยลงทุนก่อนได้เงินในวันรุ่งขึ้น และกำหนดจำนวนเงินชั้นต่ำในการซื้อกองทุน เงินที่ได้รับคือ ราคา NAV (มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุนของวันนั้น)
การฝากบัญชี ข้อดีคือฝาก-ถอนเมื่อใดก็ได้ ไม่มีชั้นต่ำในการฝากเงิน ข้อเสียคือดอกเบี้ยไม่สูง และต้องเสียภาษี 15 เปอร์เซ็นต์ในกรณีที่ได้รับดอกเบี้ยมากกว่าปีละ 20,000 บาท ที่มาของดอกผลจากการลงทุน... ปีละ 3-3.5%


เลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แบบไม่ปันผล มีความเสี่ยง 20 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง หุ้นกู้ ปีละ 5-7% เลือกกองทุนในกองทุนอลังหาริมทรัพย์ ซึ่งมี 2 รูปแบบ คือ


• แบบ Lease Hold ลงทุนแบบเซ้งระยะยาว 30 ปี ผลตอบแทนระยะแรกสูง แต่ราคาจะตกลงเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ครบกำหนดขาย
• แบบ Free Hold ลงทุนแบบซื้อขาด ผลตอบแทนระยะแรกไม่ค่อยสูง แต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ครบกำหนดขาย เพราะราคาที่ดินปรับขึ้นทุกป ปีละ 18-20%


เลือกลงทุนในกองทุนตราสารทุน (กองทุนหุ้น) มีความเสี่ยง 60-70 เปอร์เซ็นต์ แต่ให้ผลตอบแทนสูง"ยิ่งออมเร็ว ยิ่งรวยเร็ว ยิ่งสบายเร็ว"


นอกจากรู้วิธีการออมเงินแล้วควรมีวินัยในการออมเป็นระบบทำให้เราเห็นภาพของเม็ดเงินในอนาคตได้ชัดเจนมากขึ้น


ยิ่งถ้าเราสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ และให้ความสำคัญเฉพาะรายจ่ายที่จำเป็นและตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ก็จะยิ่งทำให้เรามีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนมากขึ้นและขยับเข้าใกล้คำว่า มั่งคั่ง ได้เร็วขึ้นนะคะ


ควรรู้จักการประหยัดอดออมเพราะจะทำให้เรารู้ค่าของเงินมากขึ้น ถ้าเราเพิ่มทางเลือกในการออมให้หลากหลายเพื่อให้เงินของเรางอกเงยเป็นหลายแสนหลายล้าน ลองนำไปปรับใช้กับการออมในชีวิตประจำวัน แล้วจะรู้ว่าการมีเงินล้านไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดอีกต่อไป


การออมเงิน หรือการเก็บเงินเพื่ออนาคตวันข้างหน้านี้จะสามารถทำให้เรามีความมั่นใจ และความมั่นคงทางระบบการเงินเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะหากคุณได้ใช้เงินอย่างสิ้นเปลือง ดำเนินชีวิตอยู่บนความหวาดระแวง หรือไม่มีความมั่นคงทางการเงินเสียแล้ว ชีวิตคุณจะเกิดความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเพียงเท่านั้น และบอกได้เลยว่าเมื่อถึงเวลา หรือเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นจริงๆคุณจะเกิดความเครียดจนเดินไม่ถูกเลยนั่นเอง ดังนั้นเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่คุณได้ริเริ่มทำการออมวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่สายเอาเสียเลยนั่นเองค่ะ

Advertorial

สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ tanawatwt

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 1
  • พลังกัลยาณมิตร 0
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #236 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2016, 12:32:46 am »
แจกเว็บไซต์อัพเดทดอกเบี้ยเงินฝากประจำ เป็นตารางเปรียบเทียบทุกธนาคารครับ


มีบอกทั้งดอกเบี้ย ระยะเวลาฝาก เงื่อนไขต่างๆเลยครับ สะดวกมาก ^^



iMOney.in.th

ออฟไลน์ sonchai

  • เกล็ดเมล็ด
  • *
  • กระทู้: 4
  • พลังกัลยาณมิตร 0
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #237 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2016, 01:04:31 am »
จริงๆมองว่าเงินทองต่อให้มีเยอะแค่ไหน ถ้าคุณไม่รู้จักใช้ซักวันก็จะหมดไป



บ้านภูเก็ต

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #238 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2016, 10:54:35 pm »
ถ้าแต่งบัญชี  คนที่ดูเป็น ดูยังไงก็รู้

แต่ถ้าเป็นการเดินบัญชีจากข้อเท็จจริง นั่นเป็นสิ่งที่ดี


------------------------------------

เทคนิคการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement) ให้ดูดี
-http://money.sanook.com/363379/-


-https://moneyhub.in.th/-
สนับสนุนเนื้อหา

รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารดูจะเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นขึ้นมาทันที เมื่อเจ้าของบัญชีต้องการทำธุรกรรมทางการเงินบางอย่าง ที่เด่นชัดก็คือการขอสินเชื่อกู้ยืมเงินจากธนาคาร การสมัครเปิดบัญชีกับบริษัทโบรกเกอร์เพื่อซื้อ-ขายหุ้น ที่จำเป็นต้องมีการพิจารณาการเดินบัญชีเพราะว่าผู้ให้บริการต้องการความมั่นใจว่า ผู้จะกู้นั้นมีความสามารถหรือมีความน่าจะสามารถในการชำระหนี้ได้ ผู้ที่ต้องการวางแผนไปยังอนาคตจึงควรรู้ถึงความสำคัญของการเดินบัญชีธนาคารซึ่งคงไม่สามารถปรับแต่งกันได้ในระยะสั้น ถ้าขาดความเข้าใจหรือแก่นแท้ของการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement)

รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร มีความสำคัญอย่างไร

การเดินบัญชีธนาคารเป็นเหมือนบันทึกการเดินทางของกระแสเงินสดของเจ้าของบัญชีธนาคารนั้น มีการบันทึกวันเดือนปีของธุรกรรมทางการเงิน รายการจำนวนเงินฝาก ถอนและโอน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วและไม่สามารถตกแต่งเปลี่ยนแปลงได้ ผู้ที่จะให้กู้เงิน เช่น ธนาคาร มีสิทธิ์ขอเอกสารการเดินบัญชีธนาคารจากผู้ที่ต้องการกู้เงิน เอกสารการเดินบัญชีธนาคารจึงมีความสำคัญในแง่ของหลักฐานที่ช่วยยืนยันสถานะทางการเงินของบุคคล


ทำไมธนาคารจึงต้องการพิจารณารายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร

ธนาคารหรือผู้ให้กู้เงินมีภาระความเสี่ยงหลังจากอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งสองทางคือเป็นหนี้ที่ดีและหนี้เสีย หนี้เสียคือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กับธนาคารและอาจจะไม่สามารถติดตามเงินต้นคืนมาได้ในระยะเวลาอันสั้น ธนาคารจึงต้องมีความรอบคอบและต้องการความมั่นใจก่อนการอนุมัติสินเชื่อให้กับธุรกิจหรือบุคคลธรรมดา ซึ่งรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเป็นสิ่งเดียวที่แสดงหลักฐานการหมุนเวียนเงินเข้าออกบัญชีของเจ้าของบัญชี โดยธนาคารเองก็มีหลักการวิเคราะห์รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร ทั้งจำนวนเงินที่ฝากเข้าและถอนออก ความสม่ำเสมอ พฤติกรรมการถอนเงิน ยอดเงินคงเหลือ และรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ

ทำไมบริษัทโบรกเกอร์ต้องการรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร

การเปิดบัญชีกับบริษัทโบรกเกอร์เพื่อจะทำการซื้อขายหลักทรัพย์ก็จำเป็นต้องใช้รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเช่นกัน ซึ่งก็มีหลักเกณฑ์พิจารณาที่เข้มงวดแตกต่างกัน ถ้าเป็นบัญชีแบบ Cash Balance หรือใช้ตามจำนวนเงินจริงที่มีการฝากไว้กับโบรกเกอร์ก็เข้มงวดน้อยกว่าบัญชีแบบ Credit Balance ที่มีการกู้ยืมเงินส่วนหนึ่งหรือยืมหุ้นจากโบรกเกอร์ โบรกเกอร์จะพิจารณา Bank Statement เพื่อดูศักยภาพของผู้ขอเปิดบัญชี ถ้ามีความเหมาะสมจึงจะอนุมัติการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ได้


รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่ดีควรเป็นอย่างไร

การเดินบัญชีธนาคารนั้นไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยมากธนาคารหรือบริษัท จะขอแบบย้อนหลัง 6 เดือน เพราะเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด และพิจารณาหลายเดือนติดต่อกัน เพื่อดูความสม่ำเสมอและรูปแบบหรือแพทเทิร์นในลักษณะซ้ำ ๆ กันเพื่อเปรียบเทียบ รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่ดีควรมีเงินฝากเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ เช่น บัญชีที่ใช้รับเงินเดือน เงินโอนจากค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ

นอกจากเงินฝากแล้ว การโอนเงินและถอนเงินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีการพิจารณา อย่างน้อยต้องถอนให้น้อยกว่าเงินที่เข้ามาในแต่ละเดือน จำนวนเงินและจำนวนครั้งที่ถอน จะถูกนำไปพิจารณาถึงพฤติกรรมการใช้เงิน ที่สำคัญควรมีเงินคงเหลือแต่ละเดือนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เช่น ปลายเดือนมกราคมเหลือเงินสะสม 25,000 บาท ต่อมาปลายเดือนกุมภาพันธ์เหลือเงินสะสม 27,000 บาท เดือนมีนาคมเหลือเงินสะสม 30,000 บาท ก็เข้าลักษณะว่าเป็นการใช้เงินที่น้อยกว่ารายจ่าย

บุคคลสามารถตกแต่งรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารได้หรือไม่

เนื่องจากรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเป็นสิ่งที่บันทึกธุรกรรมทางการเงินที่ผ่านไปแล้ว บุคคลจึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ ถ้ามีการปลอมแปลงเอกสารการเดินบัญชีธนาคารก็เป็นเรื่องที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่บุคคลสามารถสร้างการเดินบัญชีธนาคารในอนาคตได้ โดยการตั้งเป้าหมาย เช่น คาดว่าจะขอกู้เงินจากธนาคารเดือนมกราคมปีหน้า ก็ต้องเริ่มฝากเงิน-ถอนเงินอย่างเป็นระบบตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในปีนี้ โดยระมัดระวังการถอนเงินแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือโอนเงินเล่นข้ามบัญชีตัวเองเพื่อเติมเต็มหน่วยจุดทศนิยม เช่น 0.23 บาท ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้เป็นเรื่องผิดสังเกตที่ธนาคารจะดูอย่างละเอียด


ความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร

จริงอยู่ที่บุคคลสามารถสร้างรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารของตนเองได้ในรอบระยะเวลา 6 เดือนล่วงหน้าก่อนยื่นเรื่องขอกู้เงินธนาคาร เช่น การยืมเงินสดจากคนใกล้ชิดมาเข้าบัญชีและถอนออก ฝากเข้าหมุนเวียนกันไป แต่จะไม่มีประโยชน์เลยในระยะยาวเพราะว่ากำลังหลอกตัวเอง รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารควรจะมีความเป็นธรรมชาติมากที่สุดและเป็นไปตามพฤติกรรมของตนเองอย่างแท้จริง

การพยายามสร้างรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่สวยหรูเป็นเพียงเปลือกนอกและไม่เกิดประโยชน์ภายใน ควรจะปรับปรุงพฤติกรรมการใช้เงินที่แท้จริงของตนเองมากกว่า เช่น ทำงานที่มีรายได้สม่ำเสมอและวางแผนการใช้เงิน คุณควรจะรู้ว่าจะเหลือเงินเท่าใด ใช้จ่ายเงินเท่าใด เช่น รู้ว่าต้องใช้จ่ายเดือนละ 30,000 เมื่อเดือนนั้นมีเงินรายรับ 50,000 คุณก็อาจจะวางแผนการถอนเงิน 2-3 ครั้งต่อเดือน เช่น ครั้งละ 10,000 หรือ 15,000 บาท เป็นต้น

และลดการถอนเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สื่อให้เห็นว่าคุณขาดการวางแผนใช้จ่ายเงิน แต่ต้องไม่เป็นการออกแบบมากเกินไปจนดูขาดความเป็นธรรมชาติ

การใช้เงินอย่างมีแบบแผนทั้งการจัดการรายรับและวิธีการใช้จ่ายเงินของคุณตามไลฟ์สไตล์ของคุณเอง จะทำให้รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า โดยมีกรอบกว้าง ๆ กำหนดไว้ก็เพียงพอ เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การออกแบบ Bank Statement แต่เป็นการออกแบบวิธีการใช้จ่ายเงินของคุณเองต่างหาก ซึ่งถ้าทำได้ดีก็จะเป็นรากฐานของความสำเร็จทางการเงินในระยะยาวต่อไป

Advertorial

สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #239 เมื่อ: มีนาคม 15, 2016, 10:58:26 pm »
งบการเงินส่วนตัว วางแผนชีวิตของคุณวันนี้
-http://money.sanook.com/368057/-

การทำงบการใช้จ่ายอาจจะดูเป็นเรื่องปวดหัวสำหรับเราทุกคนนะคะ จะให้มานั่งแยกประเภทว่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ก็เยอะเกิน ไหนจะค่าเช่า ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เงินลงทุน ค่าการศึกษา ค่าเอ็นเตอร์เทน ค่าอาหาร ค่าโน่นนี่นั่นอีกเยอะไปหมด ไหนจะต้องมาแบ่งเป็นประเภทย่อยลงไปอีก สรุป คนทำงงเอง จริงมั้ยคะ

นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายแต่ละประเภท ก็ใช่ว่าจะเท่ากันทุกเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ยังไงก็ไม่เท่ากันทุกเดือน ค่าซื้อของเข้าบ้าน ค่าอาหาร ค่าของใช้ในบ้าน บางเดือนน้อย บางเดือนเยอะไม่เท่ากัน แล้วจะทำงบยังไง ว่าเดือนนึงเราต้องใช้เท่าไหร่ ต้องกันเงินไว้เท่าไหร่ถึงจะพอ แล้วแต่ละเดือนก็มีเรื่องให้คิดเยอะอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมานั่งทำงบประมาณรายเดือนอีกด้วย เรามาดูกันค่ะ ว่าการจัดทำงบประมาณนั้นมี่ความสำคัญอย่างไร

การจัดทำงบประมาณ หรือ budget คือ งบประมาณส่วนบุคคล คือ การวางแผนการประมาณรายได้ รายจ่ายล่วงหน้า เพื่อทำการจัดสรรเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยมีการกำหนดแหล่งที่มาของรายได้ วิธีการจัดหมวดหมู่ของรายจ่าย และมีการตรวจสอบควบคุมรายจ่ายโดยจัดสรรเป็นงบประมาณตามเหมาะสมได้

การทำงบประมาณการเงินส่วนบุคคล เพื่อวางแผนจัดสรรเงินที่เรามีอยู่อย่างจำกัดให้เป็นไปอย่างประสบความสำเร็จ ทำให้เราสามารถมีเงินใช้จ่าย มีเงินเก็บออม มีเงินลงทุนเพื่อความมั่นคงด้านการเงินในอนาคตของเรา และครอบครัวต่อไป

ทำงบการเงินส่วนบุคคล ใครว่าต้องเป็นเรื่องยุ่งยาก

วันนี้เรามาดูวิธีการจัดการงบการเงินส่วนตัว แบบที่ หนี้ก็จ่ายครบ เงินก็มีใช้ กันดีกว่าค่ะ วิธีคิดง่ายๆ คือการวางงบแบบ 50/30/10/10 เป็นวิธีการแบ่งเงินเดือนออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนก็จะมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เราสามารถนำเงินมาใช้จ่ายได้อย่างไม่ขาดมือนั่นเองค่ะ

วิธีการจัดการด้านการเงินแบบนี้ทั้งยืดหยุ่น และสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย แต่ช่วยทำให้คุณมีเป้าหมายด้านการเงินชัดเจน และไม่หลุดออกนอกวงโคจรค่ะ มาดูวิธีการกันเลยค่ะ

1. 50% เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
เราทุกคนต่างก็รอวันนั้นของเดือนจริงมั้ยคะ วันเงินเดือนออก การแบ่งเงินก้อนแรกง่ายๆ คือการนำยอดเงินเดือน หลังหักภาษี หลังหักเงินส่งกองทุนเลี้ยงชีพ (เพราะบางบริษัทมีบริการนี้ให้พนักงาน) มาหารสองค่ะ

ตัวอย่าง
เงินเดือน 20,000 หลังหักประกันสังคม 4% (20000*4/100=800) เหลือ 20000-800 = 19,200 บาท
ยกยอด 19,200 บาท แบ่งครึ่ง ได้แก่ 19200/2 = 9,600 บาท

พอได้อย่างนี้แล้ว ก็ให้นำเงินจำนวนนี้ที่เราแบ่งไว้สำหรับจ่ายค่าเช่า ค่าเดินทาง ค่าอาหารที่ใช้จ่ายรายเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ ที่เป็นรายจ่ายรายเดือนของเราทั้งหมดค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ สูตรการทำงบประมาณแบบนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามจำเป็นนะคะ เรามาดูส่วนต่อไปกันก่อนค่ะ

2. 30% เพื่อการปลดหนี้
สิ่งต่อมาที่จะต้องคิดหลังจากได้เงินเดือนอีกอย่างก็คือ ฉันจะต้องจ่ายหนี้ใครบ้าง ถูกมั้ยคะ เงินส่วนนี้เป็นเงินที่คุณจะนำมาจ่ายหนี้นั่นเองค่ะ

ตัวอย่าง
30% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*30/100 = 5,760 บาท

เงินจำนวนนี้เป็นส่วนที่เราจะต้องนำไปใช้จ่ายค่าหนี้บัตรเครดิต ค่าหวยป้าปากซอย ฯลฯ

3. 10% เพื่อการออม
จะลืมการเตรียมการเพื่ออนาคตของเราไม่ได้ค่ะ การวางแผนเผื่ออนาคตเป็นสิ่งสำคัญนะคะ ดังนั้นเราก็จำเป็นจะต้องมีเงินส่วนหนึ่งที่เรากันไว้เพื่อเป็นการออมเงินเพื่ออนาคตของเราด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเพื่อทริปต่างประเทศที่เราฝันไว้ เก็บเงินซื้อรถ เก็บเงินเพื่อออมหรือลงทุนกินดอกเบี้ยก็รวมอยู่ในส่วนนี้ค่ะ

โดยเราสามารถแบ่งย่อยเงินส่วนนี้ออกเป็นหลายๆ กระปุกได้ อาจจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งฝากบัญชีเพื่อการออม อีกส่วนอาจจะนำไปลงทุนแบบ DCA อีกส่วนอาจจะเก็บเพื่อทริปในฝันของเรา เป็นต้นค่ะ

ตัวอย่าง
10% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*10/100 = 1,920 บาท
แบ่งเป็น 3 ส่วนเพื่อแยกเก็บตามจุดประสงค์ 1,920/3 = 640 บาท

4. 10% เพื่อให้รางวัลตัวเอง
เงินก้อนนี้ตามชื่อเลยค่ะ เอาไว้ให้รางวัลตัวเอง งบไปกินจิ้มจุ่ม เก็บเงินซื้ออุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่ต้องการ ซื้อเสื้อผ้า ซื้อกระเป๋า ซื้อของให้ตัวเอง หรือค่ากินค่าเที่ยวก็อยู่ในจำนวนนี้ค่ะ ทำงานหนักมาทั้งเดือน จะไม่ให้รางวัลตัวเองหน่อย ก็เดี๋ยวจะหมดกำลังใจกันซะก่อนนะคะ

ตัวอย่าง
10% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*10/100 = 1,920 บาท

สิ่งสำคัญคือ ระบบการจัดสรรปันส่วนรายได้แบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องตายตัวค่ะ คุณสามารถจัดแบ่งปรับเปลี่ยนได้ตามที่คุณเห็นว่าเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ

หากคุณมีหนี้เยอะ แทนที่จะแบ่ง 30% เพื่อใช้หนี้ก็อาจจะแบ่งเยอะหน่อยเพื่อนำไปปลดหนี้ก็ได้เหมือนกัน เราอาจจะเปลี่ยนสูตรเป็น 50/40/5/5 แทนเพราะว่าเราต้องการจะใช้หนี้ให้หมดเร็วๆ ก็ได้เหมือนกันค่ะ

ตัวอย่าง
สูตร 50/40/5/5

แบ่งเงิน 50% เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
แบ่ง 40% สำหรับการใช้หนี้ เงิน
เก็บออมลงทุนอาจจะลดเหลือ 5%
แล้วส่วนให้รางวัลตัวเองลดเหลือ 5%

เห็นมั้ยคะว่าการใช้สูตรนี้ยืดหยุ่นแค่ไหน การทำงบการเงินเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรทำนะคะ แต่ว่ามันไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องยุ่งยากเสมอไปค่ะ ลองนำสูตรดังกล่าวไปปรับใช้งานดูกับชีวิตประจำวันได้เลยค่ะ

 
MASii
สนับสนุนข้อมูล
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)