ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"  (อ่าน 149391 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2012, 06:08:19 am »
คาดมัดประกัน-กองภาษี หักลดหย่อนวงเงินเดียว
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138534-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
13 พฤศจิกายน 2555 14:44 น.



  บิ๊ก บลจ.มั่นใจคลังไม่เลิกลดหย่อนภาษีกองทุนรวม แต่อาจปรับเกณฑ์จับมัดกอง LTF-RMF และประกันชีวิตลดหย่อนภาษีวงเงินเดียวกัน 7 แสนบาทแทน ยอมรับเจาะตลาดยากกว่าธุรกิจประกัน แต่เชื่อคนที่เคยลงทุนแล้วจะเข้าใจความสำคัญแน่นอน พร้อมเล็งส่งเสริมเต็มที่ หวังปี 59 คนไทยเข้าใจการลงทุนระยะยาวมากขึ้น
       
        นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า จากการที่กระทรวงการคลังจะทบทวนสิทธิการลดหย่อนภาษีกองทุน LTF-RMF นั้น ทางกระทรวงการคลังจะมีการต่ออายุไปอย่างแน่นอน เพราะกองทุน LTF และ RMF เป็นการส่งเสริมการออม หากยกเลิกจะส่งผลต่อเม็ดเงินที่จะไปลงทุนในตลาดหุ้นอย่างแน่นอน แต่มองว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องมาตรการการลดหย่อนภาษีในรายการต่างๆ เช่น ประกัน หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อกระตุ้นระบบการออมเงินของคนให้มากขึ้น
       
       โดยรูปแบบที่พูดถึงกันแต่ยังไม่ได้สรุป คืออาจจะให้มีการรวมกลุ่มการลงทุนที่ลดหย่อนภาษีให้เพดานลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 700,000 บาท ซึ่งให้สัดส่วนเพดานการลดหย่อนภาษีของแต่ละธุรกิจไปตามความความสามารถในการกระตุ้นการออมกับประชาชน
       
       อย่างไรก็ตาม มองว่าแต่ละธุรกิจยังมีความแตกต่างกัน เช่น เรื่องค่าฟี หรือการหาลูกค้า แต่เชื่อว่ากองทุนรวมยังมีความสำคัญต่อการออมของคนในประเทศ รวมไปถึงเม็ดเงินในการลงทุนในตลาดหุ้นและการระดมทุน ซึ่งทาง บลจ.ทำงานกันอย่างเต็มที่ในเรื่องการกระตุ้นให้คนออมเงินและการลงทุนเพื่อใช้ในยามเกษียณอายุ
       
       นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง กล่าวว่า ข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อการผลักดันกองทุน LTF และ RMF นั้น ส่วนตัวแล้วมองว่าอุตสาหกรรมควรนำไปพิจารณาว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้ามองลึกลงไปธุรกิจประกันมีบุคลากรจำนวนมาก และมีสินค้าประกันเป็นหลัก การเจาะตลาดจึงทำได้ง่ายกว่า
       
       นอกจานี้ โครงสร้างเอื้อให้จ่ายผลตอบแทนผู้ขายโดยขึ้นกับจำนวนที่ขายได้ ต่างจากผู้ขายในส่วนของธนาคารซึ่งมีสินค้าขายจำนวนมากมายหลายด้าน การเจาะตลาดผ่านธนาคารโดยให้เน้นกองทุนจึงอาจจะยากกว่าบ้าง
       
       ส่วนกองทุน RMF เป็นกองทุนที่รัฐให้เกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องลงทุนทุกปีเพื่ออนาคตในยามเกษียณของผู้ลงทุน การให้ลดหย่อนภาษีได้ก็เพราะแนวคิดที่ว่าหากคนจำนวนหนึ่งสามารถออมเพื่อตนเองจนมีเพียงพอในยามเกษียณก็จะช่วยลดภาระของรัฐในการต้องใช้งบประมาณจำนวนหนึ่งมาดูแลเขาถึงให้ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งตรงนี้มองว่าไม่ควรเอามาปนกันกับเรื่อง LTF เพราะมันเกิดมาด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
       
       “สุดท้ายคือ เรื่องที่ธุรกิจประกันมาเบียดเรื่องภาษีของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปได้โดยให้คิดเป็นเม็ดเงินลดหย่อนภาษีรวมได้นั้น มองว่าเป็นวิจารณญาณของสรรพากรและคลังจึงไม่มีความเห็นใด แต่ไม่ได้มองว่าเป็นผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนแต่ประการใด เพราะหากเราเจาะตลาดไม่ได้ดีเท่าประกันชีวิตประชาชนก็ยังได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีผ่านการทำประกันชีวิต ส่วนคนที่ลงทุนในกองทุนแล้วเชื่อว่าน้อยรายจะไม่ลงทุนต่อ”
       
       นางวรวรรณกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม บลจ.ยังมีเวลาอีก 4 ปีกว่าจะถึงปี 2559 อย่าไปมองว่ามันจะเป็น LTF Cliff เหมือนเป็น Fiscal Cliff และควรเน้นการทำให้ผู้ลงทุนเข้าใจประโยชน์ของการลงทุนยาวๆ ในหุ้น ไม่ควรเน้นการไปขอให้รัฐช่วยเรื่องภาษีแต่เพียงอย่างเดียว เพราะหากไม่มีภาษีช่วยแล้วผู้ลงทุนจะไม่ลงทุนในกองทุนหุ้นอีกต่อไป มันก็แปลว่าการที่รัฐเอาภาษีมาช่วยนั้นเป็นการเสียเปล่า
       
       นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ที่ผ่านมากองทุน LTF-RMF ได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษี ต้องยอมรับว่าได้สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้สร้างเสถียรภาพที่ดีให้ตลาดหุ้นไทยด้วย โดยก่อนหน้านี้หลาย บลจ.เข้าใจว่านโยบายสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะหมดอายุในปี 2559 ซึ่งหากกระทรวงการคลังอนุมัติโครงการต่อก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หากไม่ได้รับการอนุมัติก็อาจจะส่งผลกระทบทำให้เม็ดเงินลงทุนใหม่จากนักลงทุนใหม่ๆ เข้ามาลงทุนน้อยลง
       
       อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้าใจการลงทุนและนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุน LTF-RMF นั้นได้เห็นประโยชน์จากการลงทุนระยะยาว ซึ่งกองทุนรวมหุ้นระยะยาวส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่ดี ส่งผลให้กองทุน LTF และกองทุนหุ้นอื่นๆ ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันกองทุน LTF มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับกองทุนหุ้น
       
       “เรามองว่าน่าเสียดายมากถ้าหากโครงการสิทธิทางภาษีของกองทุน LTF-RMF ไม่ได้รับการต่ออายุ อาจจะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ เข้ามาลงทุนน้อยลง จริงๆ แล้วเม็ดเงินจากกองทุนนั้นสร้างความเสถียรภาพที่ดีให้ตลาดหุ้นไทยด้วย”


http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138534

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 09:45:33 pm »
.
เคล็ดลับการเลือกลงทุนในกองทุนประเภทกองทุน LTF/RMF
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 พฤศจิกายน 2555 06:59 น.
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000139730-

  Design your life by Mutual Fund
       
       ชาคริต พืชพันธ์
       ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
       บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
       
       ปัจจุบันกองทุนรวมที่เป็นทางเลือกในการลงทุนมีหลากหลายประเภทด้วยกัน โดยมีความแตกต่างทั้งในเรื่อง นโยบายการลงทุน ผลตอบแทน และระดับความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนเพื่อประหยัดภาษี และเป็นการออมระยะยาวแล้ว กองทุนประเภท RMF/LTF เป็นทางเลือกที่ควรให้ความสนใจ แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงเคล็ดลับในการลงทุน ท่านผู้อ่านควรทำความรู้จักกับกองทุน RMF และ LTF กันก่อน
       
       กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) เป็นกองทุนที่มีจุดประสงค์ที่ต้องการสนับสนุนการออมเพื่อใช้ในวัยเกษียณ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจ กองทุนนี้เปิดโอกาสให้ทั้งผู้มีรายได้ประจำ หรือผู้มีสวัสดิการอยู่แล้วแต่ต้องการสะสมเงินออมเพิ่มเติม รวมทั้งผู้ที่ไม่มีสวัสดิการ เช่น ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระได้มีโอกาสสะสมเงินเพื่อวัยเกษียณ ทั้งนี้ เงินลงทุนในส่วนนี้จะต้องไม่เกิน 15 % ของเงินได้ในแต่ละปีหรือไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้ว
       
       สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF) เป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ที่เน้นการลงทุนในตราสารทุนเป็นหลัก มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจเช่นเดียวกับ RMF แต่มีเงื่อนไขให้ผู้ถือหน่วย ต้องลงทุนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 ปี ปฏิทิน ซึ่งเงินลงทุนใน LTF ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่ลงทุนจริงแต่ไม่เกิน 15 % ของเงินได้ในแต่ละปีและต้องไม่เกิน 500,000 บาท
       
       เคล็ดลับในการลงทุนใน LTF/RMF
       
       1)ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน
       
       นักลงทุนควรศึกษาผลตอบแทนย้อนหลังอย่างน้อย 3 ปี เพื่อสะท้อนความสามารถของผู้จัดการกองทุน โดยสามารถศึกษาข้อมูลจากบริษัทที่บริหารจัดการกองทุน รวมทั้งจากบริษัทที่มีการรวบรวมข้อมูล เช่น บริษัท Morningstar (Morningstar Thailand: Fund Prices and Performance ) นอกจากศึกษาในด้านผลตอบแทนแล้ว นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงและการจัดเรตติ้งของกองทุนนั้นจากบริษัทจัดอันดับ เช่น Morningstar Risk Morning Star Rating เพื่อใช้เป็นข้อมูลก่อนการตัดสินใจการลงทุน
       
       2)ช่วงเวลาในการตัดสินใจลงทุน
       
       - นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบซื้อกองทุน LTF/RMF ช่วงเดือนธันวาคม สาเหตุน่าจะมาจาก ไม่มีเวลาในการพิจารณา หรือรอโปรแกรมส่งเสริมการขายช่วงใกล้ๆสิ้นปี ส่งผลให้หุ้นมักขึ้นในช่วงนั้น โดยหากคำนวนผลตอบแทน SET index ตั้งแต่ปี 2543 เฉพาะในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.40% และจำนวนปีที่ SET ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนนี้มีถึง 9 ใน 12 ปี เพราะฉะนั้นกลยุทธ์ที่ดีอย่างน้อยนักลงทุนควรซื้อก่อนเดือนธันวาคม
       
       - ถ้าหากไม่มีเวลาติดตามมีวิธีที่จะลงทุนอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยม คือลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือที่เรียกว่า Dollar cost averaging หรือ DCA ด้วยการวางแผนการซื้อ LTF/RMF ในวงเงินเท่าๆ กันอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกๆ เดือนจนครบตามจำนวนเงินที่ต้องการซื้อในหนึ่งปี วิธีการเช่นนี้จะมีประโยชน์คือ นักลงทุนไม่ต้องสนใจสภาพตลาดหุ้นเป็นการลดความเสี่ยงในเรื่องของเวลาในการเข้าซื้อ
       
       - ทางเลือกสำหรับท่านที่มีเวลาติดตามข่าวสาร คือลงทุนเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลง นักลงทุนต้องมีหลักเกณฑ์ว่าตลาดหุ้นปรับตัวลงเท่าไรถึงจะซื้อ และซื้อในสัดส่วนเท่าไร วิธีนี้ต้องมีวินัยอย่างมาก เพราะช่วงเวลาที่ตลาดปรับตัวลงแรงๆ นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าเข้าซื้อ แต่นักลงทุนควรระลึกไว้เสมอการลงทุนใน LTF/RMF เป็นการลงทุนระยะยาว
       
       ข้อควรปฏิบัติและข้อควรระวังในการลงทุน
       
       - ควรจะมีการกำหนดวัตถุประสงค์ของการลงทุน และเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเหมาะกับความเสี่ยงในการลงทุนที่ผู้ลงทุนรับได้ นอกจากนั้นควรศึกษาผลงานของบริษัท คุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งการคิดค่าธรรมเนียมจัดการและค่าใช้จ่ายต่างๆให้ถี่ถ้วน
       
       - ควรจะศึกษาเงื่อนไขการขายคืนหน่วยลงทุนอย่างรอบคอบ ในกรณีที่ลงทุนเพื่อประหยัดภาษี
       
       - การลงทุนใน LTF มีกำหนดเรื่องการขายคืนหน่วยลงทุนได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง
       
       - การลงทุนใน RMF สามารถระงับการลงทุนได้ปีเว้นปี (นับตามปีปฏิทิน) ยกเว้นปีที่ไม่มีเงินได้ โดยในปีที่ลงทุนจะต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 3% ของเงินได้ หรือ 5000 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า นอกจากนั้นจะต้องไม่ได้รับเงินปันผลระหว่างการลงทุน และไม่กู้ยืมจากกองทุนที่ได้ลงทุนไว้
       
       - ควรจะมีการติดตามว่ากองทุนที่เลือกลงทุนนั้นมีการลงทุนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่
       
       - การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงและผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2012, 09:46:25 pm »
มนุษย์หุ้น 2.0:จงอย่าดูถูกความสามารถตนเอง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤศจิกายน 2555 18:06 น.
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141331-

คอลัมน์ มนุษย์หุ้น 2.0
       โดยชัยภัทร เนื่องคำมา
       cway-investment
       
       เมื่อเช้าผมตอบ email จากน้องนักลงทุนมือใหม่คนหนึ่งที่กำลังยอมแพ้กับการลงทุนในตลาดหุ้นเพราะช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ตลาดมีความผันผวน จนทำให้ขาดทุน พอร์ตลงทุนติดลบอย่างหนัก ผมสะดุดกับคำพูดของน้องที่ว่า "ตัวเขาเองโง่และห่วยเกินไปที่จะประสบความสำเร็จ" ส่วนตัวผมไม่เคยเชื่อว่าความโง่และความห่วย จะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราหรือเป็นคำสาปที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งต้องเผชิญ ตลอดไปชีวิต ผมคิดว่าตัวเราเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะประสบความสำเร็จได้เสมอถ้าใจเราต้องการ แต่เมื่อเลือกแล้วก็ต้องพยายามลงมือทำให้เต็มที่สุดความสามารถ
       
       สิ่งสำคัญที่สุดคือ ”วิธีคิด” ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการคิดที่ถูกต้อง เมื่อลองพิจารณาดูให้ดีจะพบว่าคนที่ล้มเหลว กับ คนที่ประสบความสำเร็จ จุดเริ่มต้นออกตัวก็เป็นจุดเดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือการกระทำ เพื่อให้ไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้นๆต่างหาก คนที่ล้มเหลว พอเจออุปสรรค์ เจอปัญหาก็ท้อ ก็ถอดใจ ยอมรับความล้มเหลวและหาข้ออ้างต่างๆมาปลอบใจตัวเอง สุดท้ายก็เข้าโหมดโทษตัวเอง ว่าห่วย ว่าโง่ โชคไม่ดี
       
       ในขณะที่ผู้ชนะหรือคนที่จะประสบความสำเร็จ เขาจะไม่มองว่าทำไม่ได้ ไม่โทษตัวเองว่าโง่ หรือไม่ดีพอ เมื่อเจออุปสรรค์เจอปัญหา เขาก็จะพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง จะแพ้สักกี่หน เขาก็สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาด และแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังในการต่อสู้ครั้งต่อไป หลายสิ่งที่เรามองเห็นและชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วเบื้องหลังความสำเร็จที่สวยหรูนั้น มีคราบน้ำตา หยาดเหงื่อ ถ้อยคำที่ดูถูก จำนวนไม่น้อย กว่าผู้ที่พวกเขา จะมายืนถึงจุดนี้ ผมมีตัวอย่างคนดัง ผู้ไม่ยอมแพ้ กว่าที่ประสบความสำเร็จระดับโลก มาให้เราศึกษากัน เธอคนนั้นคือ เจ เค โรว์ลิ่ง นักเขียนหญิงผู้โด่งดัง เจ้าของนิยายขายดี Harry Potter
       
       โจแอนน์ "โจ" โรว์ลิ่ง หรือ เจ เค โรว์ลิ่ง เธอเกิดในชนบทของอังกฤษ ครอบครัวนักอ่านพ่อเธอสะสมหนังสือ ทำให้เธอได้อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กและเริ่มแต่เรื่องสั้นเรื่องแรกตอน 5 ขวบ เธอจบ ปริญญาตรีทางด้านภาษาฝรั่งเศสและวรรณกรรมคลาสิกที่มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ และใช้ชีวิตทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ปกติในตำแหน่งเลขานุการ ในปี 1990 ขณะที่เธออยู่บนรถไฟระหว่างสถานีแมนเชสเตอร์ และคิงส์ครอสในลอนดอน เธอก็มีไอเดียเรื่องเด็กกำพร้า ผู้ค้นพบว่าตัวเองเป็นพ่อมด เธอเริ่มเขียนมาไปเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่จบ จากนั้น เจ.เค.ย้ายไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศโปรตุเกส ณ ที่นั้นเธอได้แต่งงานกับนักหนังสือพิมพ์ชาวโปรตุเกสและมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อเจสสิก้า ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกทางกันและเจ.เค.ก็ย้ายไปอยู่สกอตแลนด์พร้อมกับเจสสิก้า ลูกสาว

เธอตกงาน อยู่ด้วยเงินสงเคราะห์ของรัฐบาล เช็คสังคมสงเคราะห์มูลค่า 70 ปอนด์ต่ออาทิตย์ อาศัยอยู่ในแฟลตเล็กย่านคนจน ทำให้เธอต้องพาลูกมาเลี้ยงอยู่ที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้กับชีวิต เธอใช้เวลาว่างที่มีปรับปรุงเนื้อหางานเขียน ทำหนังสือ Harry Potter เล่มแรกของเธอจนเสร็จ ในปี ปี 1995 (5 ปีหลังจากเริ่มคิด) หนังสือเรื่อง Harry Potter ก็เสร็จในชื่อ Harry Potter and Philosopher’s stone โดยเธอเสนอหนังสือเล่มนี้ให้กับสำนักพิมพ์ในอังกฤษถึง 12 แห่งและถูกปฏิเสธจนหมด แต่เธอก็ไม่ท้อยังเดินหน้า หาโอกาสของเธอต่อไปจนสำนักพิมพ์แห่งที่ 13 ชื่อ Bloomsbury ก็รับต้นฉบับเธอไปตีพิมพ์ให้ เพราะลูกสาวของผู้บริหารอ่านหนังสือ Harry Potter ที่เธอแต่งและชอบ

       คอลัมน์ มนุษย์หุ้น 2.0
       โดยชัยภัทร เนื่องคำมา
       cway-investment
       
       เมื่อเช้าผมตอบ email จากน้องนักลงทุนมือใหม่คนหนึ่งที่กำลังยอมแพ้กับการลงทุนในตลาดหุ้นเพราะช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ตลาดมีความผันผวน จนทำให้ขาดทุน พอร์ตลงทุนติดลบอย่างหนัก ผมสะดุดกับคำพูดของน้องที่ว่า "ตัวเขาเองโง่และห่วยเกินไปที่จะประสบความสำเร็จ" ส่วนตัวผมไม่เคยเชื่อว่าความโง่และความห่วย จะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราหรือเป็นคำสาปที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งต้องเผชิญ ตลอดไปชีวิต ผมคิดว่าตัวเราเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะประสบความสำเร็จได้เสมอถ้าใจเราต้องการ แต่เมื่อเลือกแล้วก็ต้องพยายามลงมือทำให้เต็มที่สุดความสามารถ
       
       สิ่งสำคัญที่สุดคือ ”วิธีคิด” ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการคิดที่ถูกต้อง เมื่อลองพิจารณาดูให้ดีจะพบว่าคนที่ล้มเหลว กับ คนที่ประสบความสำเร็จ จุดเริ่มต้นออกตัวก็เป็นจุดเดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือการกระทำ เพื่อให้ไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้นๆต่างหาก คนที่ล้มเหลว พอเจออุปสรรค์ เจอปัญหาก็ท้อ ก็ถอดใจ ยอมรับความล้มเหลวและหาข้ออ้างต่างๆมาปลอบใจตัวเอง สุดท้ายก็เข้าโหมดโทษตัวเอง ว่าห่วย ว่าโง่ โชคไม่ดี
       
       ในขณะที่ผู้ชนะหรือคนที่จะประสบความสำเร็จ เขาจะไม่มองว่าทำไม่ได้ ไม่โทษตัวเองว่าโง่ หรือไม่ดีพอ เมื่อเจออุปสรรค์เจอปัญหา เขาก็จะพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง จะแพ้สักกี่หน เขาก็สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาด และแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังในการต่อสู้ครั้งต่อไป หลายสิ่งที่เรามองเห็นและชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วเบื้องหลังความสำเร็จที่สวยหรูนั้น มีคราบน้ำตา หยาดเหงื่อ ถ้อยคำที่ดูถูก จำนวนไม่น้อย กว่าผู้ที่พวกเขา จะมายืนถึงจุดนี้ ผมมีตัวอย่างคนดัง ผู้ไม่ยอมแพ้ กว่าที่ประสบความสำเร็จระดับโลก มาให้เราศึกษากัน เธอคนนั้นคือ เจ เค โรว์ลิ่ง นักเขียนหญิงผู้โด่งดัง เจ้าของนิยายขายดี Harry Potter
       
       โจแอนน์ "โจ" โรว์ลิ่ง หรือ เจ เค โรว์ลิ่ง เธอเกิดในชนบทของอังกฤษ ครอบครัวนักอ่านพ่อเธอสะสมหนังสือ ทำให้เธอได้อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กและเริ่มแต่เรื่องสั้นเรื่องแรกตอน 5 ขวบ เธอจบ ปริญญาตรีทางด้านภาษาฝรั่งเศสและวรรณกรรมคลาสิกที่มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ และใช้ชีวิตทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ปกติในตำแหน่งเลขานุการ ในปี 1990 ขณะที่เธออยู่บนรถไฟระหว่างสถานีแมนเชสเตอร์ และคิงส์ครอสในลอนดอน เธอก็มีไอเดียเรื่องเด็กกำพร้า ผู้ค้นพบว่าตัวเองเป็นพ่อมด เธอเริ่มเขียนมาไปเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่จบ จากนั้น เจ.เค.ย้ายไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศโปรตุเกส ณ ที่นั้นเธอได้แต่งงานกับนักหนังสือพิมพ์ชาวโปรตุเกสและมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อเจสสิก้า ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกทางกันและเจ.เค.ก็ย้ายไปอยู่สกอตแลนด์พร้อมกับเจสสิก้า ลูกสาว

 
 
 
 
       เธอตกงาน อยู่ด้วยเงินสงเคราะห์ของรัฐบาล เช็คสังคมสงเคราะห์มูลค่า 70 ปอนด์ต่ออาทิตย์ อาศัยอยู่ในแฟลตเล็กย่านคนจน ทำให้เธอต้องพาลูกมาเลี้ยงอยู่ที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้กับชีวิต เธอใช้เวลาว่างที่มีปรับปรุงเนื้อหางานเขียน ทำหนังสือ Harry Potter เล่มแรกของเธอจนเสร็จ ในปี ปี 1995 (5 ปีหลังจากเริ่มคิด) หนังสือเรื่อง Harry Potter ก็เสร็จในชื่อ Harry Potter and Philosopher’s stone โดยเธอเสนอหนังสือเล่มนี้ให้กับสำนักพิมพ์ในอังกฤษถึง 12 แห่งและถูกปฏิเสธจนหมด แต่เธอก็ไม่ท้อยังเดินหน้า หาโอกาสของเธอต่อไปจนสำนักพิมพ์แห่งที่ 13 ชื่อ Bloomsbury ก็รับต้นฉบับเธอไปตีพิมพ์ให้ เพราะลูกสาวของผู้บริหารอ่านหนังสือ Harry Potter ที่เธอแต่งและชอบ

 
 
 
 
       Harry Potter and Philosopher’s stone เล่มแรกของเธอได้ตีพิมพ์ในปี 1997 แต่เหมือนว่าชีวิตเล่นตลก หนังสือเล่มแรกของเธอขายได้เพียง 1000 เล่มและ 500 เล่มถูกซื้อเพื่อเก็บเข้าห้องสมุดเยาวชนในอังกฤษ หนังสือเธอไม่ติดตลาดผู้อ่าน จนสำนักพิมพ์แนะนำให้เธอกลับไปทำงานประจำ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก ถ้าเธอยอมแพ้ ทุกอย่างก็คงจบลงมีตรงนั้น แต่ เจ เค โรว์ลิ่ง เธอเลือกที่จะมุ่งมั่นเดินทางต่อ โดยมองไปที่ตลาดอเมริกา เธอให้ตัวแทนของเธอ ส่งลิขสิทธิ์หนังสือเข้าประมูล เพื่อจัดตีพิมพ์ขายในสหรัฐอเมริกา โดยเธอตั้งค่าลิขสิทธิ์เล่มแรกที่ราคาต่ำ เพื่อให้ได้รับโอกาสนี้

 และแล้ว Harry Potter and the Sorcerer’s stone ได้ออกวางจำหน่ายในอเมริกาปี 1998 และกลายเป็นหนังสือขายดี ฮิตติดตลาด จนกระแส Harry Potter โด่งดังไปทั่วอเมริกา และทั่วโลก ปัจจุบันเธอมีผลงานหนังสือ Harry Potter แล้วถึง 7 ภาคโดย Harry Potter and the Deathly Hollow ก็สามารถขายได้ในอเมริกาและอังกฤษรวมกัน 11 ล้านเล่มในวันแรกเพียงวันเดียวและหนังสือเธอยังถูกแปลไปเป็นภาษาต่างๆอีก 23 ภาษาเพื่ออกจำหน่ายทั่วโลก นอกจากนี้ Harry Potter ยังถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ในฮอล์ลิวู๊ด นำมาทำเป็นภาพยนต์ที่โด่งดังทั่วโลก
       
       วันนี้ เจ เค โรว์ลิ่ง วัย 47 ปี จากหญิงม่ายยากจนตกงานเธอกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของโลก เธอได้รับรางวัลและเครื่องราชต่างๆมากมาย มีทรัพย์สินมากถึง $1 billion เธอมีบ้านหลังใหญ่ในย่านเศรษฐีของอังกฤษ และแต่งงานมีครอบครัวใหม่ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จและมีอิทธิพลติดหนึ่งในสิบของโลกในปัจจุบัน กว่าจะเดินทางมาถึงตรงนี้เธอผ่านอุปสรรค์มากมาย ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเดิน เธอก็คงจะเป็นได้แค่ผู้หญิงม่ายลูกหนึ่งตกงานธรรมดาคนหนึ่งในย่านคนจน เธอมีทุกวันนี้ได้เพราะความพยายาม การไม่ยอมแพ้ ต่ออุปสรรค์ที่เข้ามา

  ชีวิตคนเราไม่มีคำว่าง่ายหรอกครับ ยิ่งถ้าต้นทุนชีวิตเราไม่สูง ไม่ได้เกิดมารวย หรือมีนามสกุลใหญ่โต เป็นเพียงคนเดินดินธรรมดา ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องพยายาม ให้ถึงที่สุด ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ฉลาด เรียนรู้ช้า ก็ยิ่งต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่นๆเป็นสองเท่า
   

   
       การลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นกัน หลายคนเข้ามาด้วยความหวังที่อยากจะรวย แต่คนจำนวนไม่น้อยต้องกลับออกไปแบบมือเปล่าหรือติดลบ เพราะตลาดหุ้นนั้นเปรียบดั่งสนามรบ ไม่มีคำว่าง่าย ไม่มีคำว่าหมูและเป็นที่ที่หาเงินยากที่สุด การจะทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนให้ได้ในอัตราที่สูง จากตลาดหุ้นนั้น เราต้องจำเป็นต้องศึกษาองค์ความรู้ กลยุทธการลงทุนต่างๆอย่างหนัก
       
       นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ตัวเราได้รับ ใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์ จนพัฒนากระบวนการลงทุนที่ถูกที่เหมาะสมกับตัวเอง สิ่งสำคัญคือ เมื่ออย่าคิดดูถูกตัวเราเอง อย่านำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ จิตใจที่ไม่ยอมแพ้และความพยายามอย่าสุดกำลังนั้นคือกุญแจสำคัญ ที่จะพาเราไปสู่เป้าหมายครับ
       
       อ้างอิงแหล่งข้อมูล
       
       -http://www.therichest.org/entertainment/j-k-rowling-net-worth/-
       -http://www.biographyonline.net/writers/j_k_rowling.html-
       -http://en.wikipedia.org/wiki/J._K._Rowling-
       รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2012, 09:22:06 am »
ออมเร่งทรัพย์รับปีใหม่
-http://www.dailynews.co.th/article/55/171111-
วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม 2555 เวลา 00:00 น.

“ยังไม่รวย อยู่อย่างคนรวย ไม่มีวันรวย ยังไม่จน อยู่อย่างคนจน ไม่มีวันจน” นี่คืออมตะวาจาที่จริงเสียยิ่งกว่าจริง การสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะอยู่ที่ใจของเรา เข็มทิศลงทุนเสาร์นี้ ขอเสนอการออมแบบเร่งทรัพย์ รับปีใหม่ 3 แบบ...ง่ายที่จะจำ ทำก็ง่าย

1. ออมทุกทีที่มีเหรียญ อย่าดูถูกกระปุกออมสินว่าเป็นเรื่องของเด็ก เชื่อหรือไม่ว่าผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยรอดตายเพราะเงินในกระปุกออมสิน ขอแนะนำว่าปีใหม่นี้ตั้งใจหยอดเหรียญที่เหลือจากค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ลงในกระปุกออมสิน เหรียญสิบบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสองบาท หรือหนึ่งบาท เพราะถ้าหยอดกระปุกได้วันละ 50 บาท เมื่อครบสิ้นปีก็มีเงินเกือบ 20,000 บาท แค่ 5 ปี ก็มีเงินแสน...ใครจะรู้

2. ออมก่อนใช้...โดยแนะนำให้ตัดใจ “ออมก่อนใช้ อย่าใช้ก่อนออม” เงินเดือนออกปุ๊บ ตัด 10% ของเงินเดือนมาเป็นเงินออมโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเงินเดือน 15,000 บาท ตัดใจออมก่อนใช้ 1,500 บาท เข้าบัญชีเงินฝากประจำ หรือถ้าเป็นสมาชิก กบข. ก็แนะนำให้ใช้บริการออมเพิ่มกับ กบข. ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินทั่วไป ครบสิ้นปีก็มีเงินเกือบ  20,000 บาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) ผ่านไป 5 ปี มีเงินเกือบแสนหากรวมกับเงินในกระปุกออมสินก็มีเงินเกือบสองแสนเข้าไปแล้ว

3. ออมอย่างคนมีแผน สำหรับบางคนที่มีเงินออมอยู่แล้ว ออมมาตั้งนานกว่าจะได้ขนาดนี้ ก็เลยไม่อยากจะไปเสี่ยงอะไร ฝากกินดอกเบี้ยน้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ปลอดภัยกว่า ขอบอกว่า “คุณคิดผิด” เพราะ 10 ปีผ่านไปคุณอาจสบายใจที่เห็นเงินของคุณเท่าเดิม แต่ราคาสินค้าพุ่งพรวดแซงหน้าไปแล้ว ใครจะเชื่อว่า 10 ปีก่อน ก๋วยเตี๋ยวชามละ 20 บาทก็หรูแล้ว แต่วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามเดิมนั้นราคา 35 บาท ขอแนะนำสูตรลับในการสร้างเงินออมให้เพิ่มขึ้น 100% ด้วยเลข 72 ยกตัวอย่าง ต้องการให้เงินออม 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านบาท ในเวลา 10 ปี ต้องทำอย่างไร ให้ใช้ เลข 72 ตั้ง หารด้วย 10 ปี ผลลัพธ์ที่ได้คือ 7.2 นั่นคือตัวเลขของผลตอบแทนจากการลงทุน 7.2% ที่คุณต้องทำให้ได้ 10 ปีติดต่อกัน และในทางกลับกัน หากต้องการให้เงินออมเพิ่มขึ้น 100% ด้วยการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 7.2% ถามว่าต้องใช้เวลากี่ปี ให้ใช้ เลข 72 ตั้ง หารด้วยผลตอบแทน 7.2 ผลลัพธ์ที่ได้คือ 10 นั่นคือจำนวนปีที่เงินออมจะเพิ่มขึ้น 100%

สิ่งที่ต้องรู้แจ้งก่อนการลงทุน คือ ความเสี่ยงและผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนประเภทต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนจะลงทุนอย่างคนมีแผน มีดังนี้

1. พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปี ประมาณ 4.5–4.7%

ข้อดี ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนมั่นคง

ข้อควรระวัง สภาพคล่องต่ำ ผลตอบแทนระยะยาวอาจไม่ชนะอัตราเงินเฟ้อ

2. หุ้น ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปี ประมาณ 15%

ข้อดี ผลตอบแทนระยะยาวสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ

ข้อควรระวัง ความผันผวนของราคาในระยะสั้น และในบางปีมีโอกาสขาดทุน

ออมอย่างคนมีแผนต้องขยันมากกว่าการออมทุกประเภท ต้องดูทิศทางลมของภาวะเศรษฐกิจ เช่น ถ้าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ควรออมเป็นเงินสดไว้ก่อน ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำให้เน้นลงทุนในพันธบัตร ช่วงภาวะเงินเฟ้อให้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นให้ลงทุนในหุ้นอย่างกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และถ้าเศรษฐกิจรุ่งก็ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น

เลือกออมแบบไหนก็ได้ หรือทั้ง 3 แบบ ที่เหมาะกับความคาดหวัง และการดำรงชีวิต อย่าลืมพกคาถา “ออมเร่งทรัพย์” ติดใจไว้ตลอดเวลา-ออมก่อนใช้ คิดก่อนจ่าย ไม่สร้างหนี้เพิ่ม รับรองว่าปีใหม่นี้ต้องเป็นปีดีแน่นอน.


---------------------------------------

มาย้ำครับ

“ยังไม่รวย อยู่อย่างคนรวย ไม่มีวันรวย
ยังไม่จน อยู่อย่างคนจน ไม่มีวันจน”


.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2012, 08:42:53 pm »
ข้อคิดในการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9550000149151-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
10 ธันวาคม 2555 18:49 น.

คอลัมน์ Design
       
       บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ฟิลลิป จำกัด
       www.phillipasset.co.th
       โทร. 02-6353033
       
       เป็นที่ทราบกันดีว่าการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF นั้น นอกจากจะเป็นการออมเงินเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในอนาคตและในยามเกษียณแล้ว นักลงทุนยังสามารถนำเงินลงทุนในกองทุนดังกล่าวไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จึงถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและเหมาะสมต่อนักลงทุนเป็นอย่างยิ่ง แต่ท่านนักลงทุนควรที่จะตระหนักถึงข้อคิดในการลงทุนในกองทุนดังกล่าวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเหมาะสมกับตัวนักลงทุน โดยสิ่งที่นักลงทุนควรจะต้องคำนึงก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนคือ
       
       1. การลงทุนในกองทุน LTF จะเป็นการลงทุนที่สามารถไถ่ถอนได้โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายในระยะเวลาแค่ 5 ปีปฏิทิน แต่ต้องอย่าลืมว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนในตราสารทุนเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะต้องรับทราบและยอมรับในความผันผวนของราคาของตราสารทุนนั้นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าที่ลงทุน ในขณะที่การลงทุนในกองทุน RMF แม้ว่าจะเป็นการลงทุนในระยะที่ยาวกว่าการลงทุนในกองทุน LTF แต่จะเป็นการลงทุนที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในตราสารทุกประเภท ดังนั้นนักลงทุนสามารถที่จะกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการลงทุนในกองทุน LTF
       
       2. การลงทุนในกองทุน RMF เป็นการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการออมเผื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายยามเกษียณมากกว่าการลงทุนในกองทุน LTF เพราะนักลงทุนสามารถที่จะไถ่ถอนเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางภาษีสูงสุดก็ต่อเมื่อการลงทุนดังกล่าวจะต้องเป็นการลงทุนที่มีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี และนักลงทุนจะต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งดูโดยทั่วไปแล้วนักลงทุนจะคิดว่าเป็นการลงทุนที่นานเกินไป แต่ต้องอย่าลืมว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนที่ไว้ใช้ในยามเกษียณจริงๆ ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะเริ่มไถ่ถอนในยามเกษียณ ในระหว่างระยะเวลาก่อนที่นักลงทุนจะสามารถไถ่ถอนได้ ถ้านักลงทุนไม่สามารถที่จะลงทุนในกองทุน RMF ได้ นักลงทุนก็ยังสามารถที่จะเว้นการลงทุนได้เพียงแต่จะต้องเว้นได้ไม่เกิน 1 ปีปฏิทิน หรือนักลงทุนสามารถเลือกที่จะลงทุนในจำนวนที่น้อยที่สุดตามที่กฎหมายระบุไว้ จึงถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นพอสมควร ไม่ทำให้เกิดภาระที่มากเกินไปต่อนักลงทุน
       
       3. ถ้านักลงทุนต้องการที่จะลงทุนในกองทุนทั้งสองประเภทในปีปฏิทินเดียวกัน นักลงทุนควรที่จะกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม กล่าวคือ นักลงทุนควรที่จะลงทุนในกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ และ/หรือกองทุนที่ลงทุนในทองคำ มากกว่าที่จะลงทุนในกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนตราสารทุนหรือกองทุนแบบผสม เพื่อเป็นการป้องกันการกระจุกตัวในการลงทุนในตราสารทุนที่มีสัดส่วนมากจนเกินไป เพราะต้องอย่าลืมว่าการลงทุนในกองทุน LTF นั้นเป็นการลงทุนในตราสารทุนเท่านั้น
       
       4. นักลงทุนไม่ควรที่จะลงทุนในกองทุนทั้งสองประเภทแต่เฉพาะในช่วงปลายปีเท่านั้น ควรที่จะกระจายระยะเวลาในการลงทุน โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของแต่ละปีตราสารทุนจะมีการปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นนักลงทุนอาจเสียโอกาสที่จะทำกำไรได้ นักลงทุนควรที่จะเลือกลงทุนในไตรมาสที่เห็นว่าตราสารทุนมีราคาที่เหมาะสม หรือเลือกลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน กล่าวคือ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอเท่าๆ กันในทุกๆ เดือน
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: ธันวาคม 13, 2012, 10:20:58 pm »
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ( 9 ธ.ค.2555 )  ผมไปทานอาหารเย็นกับพี่ท่านนึง  พี่ท่านนี้ได้ให้ผมช่วยดูการซื้อกองทุน RMF

วันนี้ผมก็เลยซื้อกองทุน RMF ในกองที่ลงทุนในทองคำ 

ราคาทองคำวันนี้  ค่อนข้างต่ำในความเห็นผมครับ

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2012, 09:50:43 am »
ทองคำ....ปีมะเส็งยังขึ้นต่อ ภาพรวมผันผวน-เงินเฟ้อหนุนราคา
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
29 ธันวาคม 2555 08:45 น.

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9550000157832-



 ทิศทางทองคำปีมะเส็ง คนในวงการเชื่อมีความผันผวนสูงแต่อยู่ในช่วงขาขึ้น ย้ำการแก้ปัญหาหน้าผาการคลังสหรัฐฯ เป็นตัวชี้วัดต่อแนวโน้มของราคาช่วงไตรมาส 1 ส่วนระยะยาวเชื่อปัจจัยจากฟากเอเชียจะหนุนราคาทองปรับตัวเพิ่ม โดยเฉพาะเงินเฟ้อที่ทั่วโลกหนีไม่พ้น คาดทั้งปีลุ้นสูงสุดเท่าเป้าหมายเดิม 1,800 เหรียญ/ออนซ์
       
           นายสัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวถึงทิศทางราคาทองคำในปี 2556 ว่า นักลงทุนควรพิจารณาในเรื่องปัจจัยที่มีผลกระทบกับราคาทองคำเป็นลำดับแรก นั่นคือ สถานการณ์การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะเป็นเช่นไร ปัญหาหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) จะเป็นเช่นไร จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีหรือไม่ ส่วนตัวมองว่า ถ้าเศรษบกิจของสหรัฐฯ ชะงักจากปัญหาดังกล่าว จะส่งผลให้ทองคำกลับมาเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่น่าสนใจอีกครั้ง
       
           ส่วนในช่วงปลายปี 2555 ที่ราคาทองคำปรับตัวลดลงนั้น ประเมินว่า เป็นการโยกย้ายสินทรัพย์การลงทุนจากทองคำไปเป็นหุ้นเพื่อทำกำไรระยะสั้นมากกว่า ไม่ใช่เกิดจากความน่ากังวลว่าราคาทองคำมาสู่แนวโน้มปรับตัวลงอย่างถาวร เพราะหากดูปริมาณการเข้าลงทุนทองคำของกองทุนขนาดใหญ่อย่าง SPDR และธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศ ยังพบว่า มีความต้องการเข้าสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง
       
           “ปี 2555 ทั้งปีราคาทองคำวิ่งอยู่ที่ 1,520-1,800 เหรียญ/ออนซ์ หรือประมาณ 22,400-26,000 บาท ภาพรวมเรายังเชื่อว่าราคาทองยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น แต่ถ้าหากหลุดแนวรับที่ 22,500 บาท เราก็เชื่อว่านั่นจะเป็นขาลงของทองคำอย่างแท้จริง”
       
           สำหรับราคาเป้าหมายของทองคำในปี 2556 นายสัญญา กล่าวว่า ยังคงเป็นสถิติเดิมที่ราคาทองคำเคยปรับตัวขึ้นไปถึง นั่นคือ 1,800 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งปัจจัยที่จะช่วยผลักดันให้ราคาทองคำไปถึงจุดดังกล่าวได้ มากจากปริมาณเงินในระบบ เพราะที่ผ่านมา มาตรการอัดฉีดเม็ดเงินของสหรัฐฯ ในรอบนี้ เน้นเพิ่มสภาพคล่อง และไม่ต้องการให้เงินปัญหาเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นแรง จึงใช้วิธีแบบทยอยอัดฉีด อย่างไรก็ตาม การการอัดฉีดเม็ดเข้าย่อมทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว และย่อมมีผลต่ออัตราเงินเฟ้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น
       
       หน้าผาการคลังมีผลต่อทองคำQ1
           นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยถึงทิศทางราคาทองคำว่า ภาพรวมในปีที่ผ่านมา ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวรุนแรงเหมือนเช่นปีก่อนๆ โดยการปรับตัวขึ้นที่ชัดเจนในรอบปี 2555 นั้น เกิดขึ้นในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการใช้มาตรการ QE3 ซึ่งทำให้ราคาในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ระดับ 26,000 บาท แต่ก็เป็นการปรับขึ้นมาไม่มากเท่าใด เนื่องจากนักลงทุนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์วิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยูโรโซน ที่เริ่มจากกรีซ และเริ่มส่อเค้าลุกลามไปถึงประเทศอื่นๆ ได้แก่ สเปน และอิตาลี อีกทั้งที่ผ่านมา ราคาทองคำก็ถูกกดดันจากการเทขายทำกำไรของบรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ด้วย
       
           ทั้งนี้ ในปี 2556 ประเมินว่า ราคาทองคำยังไม่อยู่ในทิศทางขาลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน และมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของประเทศขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ กลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ปัญหาเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และจีน
       
           “ไตรมาส 1 นักลงทุนต้องติดตามปัญหาหน้าผาทางการคลังของสหรัฐฯ ว่าจะออกมาในทิศทางใด ประธานาธิบดีโอบามาจะจัดการกับเรื่องนี้ได้หรือเปล่า เพราะจะมีผลต่อตลาดหุ้น และทองคำ รวมถึงมาตรการขึ้นภาษีคนรวย และการตัดงบประมาณภาครัฐ ทำให้กรอบการเคลื่อนไหวของราคาอยู่ที่ประมาณ 1,600-1,800 เหรียญ/ออนซ์”
       
           สำหรับภาพรวมการซื้อขายทองคำในประเทศ นายพิชญา กล่าวว่า แม้ราคาทองคำไม่อยู่ในระดับที่สูงมากนัก แต่ปริมาณการซื้อขายทองคำก็ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เช่น ช่วงปลายปีเป็นช่วงที่หลายคนนิยมจัดงานแต่งงาน แต่ความต้องการในทองรูปพรรณกลับไม่ได้มีเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับปริมาณการซื้อทองคำแท่ง แม้ราคาจะอยู่ในช่วงทรงตัวก็ยังไม่พบปริมาณการซื้อสะสม หรือเพื่อลงทุนในจำนวนที่มาก
         ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมทองคำในประเทศ ยังต้องเผชิญหน้ากับพวกมิจฉาชีพ นั่นคือ ทองคำปลอม ที่มีกลวิธีโกงในรูปแบบต่างๆ เช่น นำทองคำน้ำหนักมาตรฐานมาผสมปนกับทองคำปลอมในบางส่วนเพื่อตบตาร้านค้าทองคำ ซึ่งเท่าที่จับกุม และดำเนินคดีพบว่า ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจากช่างทำทองที่ทุจริตต่อวิชาชีพของตนเองนำทองปลอมมาต่อตัวเรือนร่วมกับทองคำมาตรฐานเพื่อใช้ตบตา
       ส่วนการเปิดเสรีทางการค้าอย่างเต็มตัวในอนาคต ประเมินว่า ผู้ประกอบการไทยจะมีคู่แข่งขันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากทางมาเลเซีย และอินโดนีเซียที่ใช้เครื่องจักรในการผลิต ทำให้มีปริมาณทองคำในจำนวนที่มาก และราคาที่ต่ำกว่า แม้ไทยยังได้เปรียบในน้ำหนักมาตรฐาน แต่ภาครัฐควรให้ความสำคัญต่อเรื่องภาษีในการจัดเก็บเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยดำเนินธุรกิจของตนเองได้



ปัจจัยฝั่งเอเชียเป็นผลบวกต่อราคาทอง
       
           ด้านฝ่ายวิจัย บริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด (AFC Research) ได้จัดทำบทวิเคราะห์ประเมินภาพรวมการลงทุนทองคำ ปี 2556 ว่า 1.เอเชียโดยรวมน่าจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ ซึ่งจากภาพเศรษฐกิจ และการเงินที่ย่ำแย่ของญี่ปุ่น ทำให้มีการคาดหวังในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงผ่อนคลายของเอเชีย ที่มีแนวโน้มที่จะนำมาซึ่งปริมาณเม็ดเงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบ อันเป็นผลบวกต่อการคาดหวังราคาทองคำได้อย่างดี  และล่าสุด การประกาศรายงานประชุมของธนาคารกลางแห่งญี่ปุ่นที่ได้คงอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดที่ไม่เกิน 0.10% และได้ขยายวงเงินอัดฉีด หรือผ่อนคลายเชิงปริมาณจาก 66 ล้านล้านเยนเป็น 76 ล้านล้านเยน และน่าจะมีแนวโน้มเช่นนี้ต่อไปในปี 2556 ขณะที่ ด้านจีน เศรษฐกิจโดยรวมได้เริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง
       
           นอกจากนี้ ปัจจัยทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงผู้นำในประเทศที่สำคัญในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ จีนยุคใหม่ ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า น่าจะส่งเสริมและสนับสนุนให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะผลบวกต่อสกุลเงินในเอเชีย และทองคำในปี 2556
       
           2.ยุโรปยังน่าเป็นห่วง และกดดันราคาทองคำ โดยประเทศในกลุ่มยุโรปโดยรวม  มีแนวโน้มที่จะสร้างความกดดันต่อราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยเรื่องของแนวทางการจัดการหนี้สินภาคยุโรปในระดับมหภาค เพราะจากภาพของการประชุม Eurogroup หรือ Ecofin ที่ผ่านมาในรอบปี 2555 โดยรวมได้สะท้อนภาพของการพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งได้ปรากฏออกมาในแผนงานในการช่วยเหลือกรีซ สเปน และอีกหลายประเทศ ประกอบกับแรงกดดันจากการต่อต้านนโยบายการเงินแบบรัดกุมของประเทศกลุ่มยูโร ได้สร้างความผันผวนเชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุนโดยรวม และราคาทองคำ    ทำให้ฝ่ายวิจัย คาดว่า  ปัญหาหนี้สาธารณะ สถานการณ์การเมืองในกลุ่มยุโรปโดยรวมยังคงมีอยู่ และดูเหมือนจะค่อยๆ คลายปัญหาออกมาเรื่อยๆ จนถึงปลายปี 2555 และปี 2556
       
           3.ผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 กับบทบาทที่ท้าท้าย จากการที่ นายโอบามา ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ในการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ได้ส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาต่อหลายๆ โครงการ และมาตรการที่ดำเนินการอยู่ แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ก็น่าจะเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี จากผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดไม่เกินร้อยละ 0.25 และการสร้างความคาดหวังในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการเข้าซื้อพันธบัตรในวงเงินถึง 45,000 ล้านเหรียญต่อเดือนจนกว่าระดับของอัตราการว่างงานนอกภาคการเกษตรจะลดลงเหลือที่ระดับไม่เกินร้อยละ 6.5 และอัตราเงินเฟ้อไม่เกินร้อยละ 2.5 ได้สร้างความผันผวนเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุน แต่อาจเป็นปัจจัยเชิงลบต่อราคาทองคำได้จากการที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตามความมั่นใจในเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
       
           นอกจากนี้ ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ และนาย Boehner โดยเนื้อหาหลักๆ ได้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มภาษีผู้มีรายได้ $1 ล้านต่อปี แทนที่ข้อเสนอของนายโอบามาที่ $4 แสนต่อปี เพื่อเป็นการกดดันนายโอบามาให้มีการลดค่าใช้จ่ายมากขึ้น นับเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำอย่างมีนัยสำคัญ
       
           ฝ่ายวิจัยมองว่า ต้องจับตาดูถึงสัญญาณแห่งการฟื้นตัว โดยสังเกตจากตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญหลายตัว เพราะมองว่า จากความต่อเนื่องของการพยายามหามาตรการต่างๆ มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มขึ้นมีแนวโน้มจะทำให้สหรัฐฯ เริ่มกลับมาฟื้นตัว และอาจส่งผลลบต่อราคาทองคำได้


http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9550000157832
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: มกราคม 21, 2013, 06:13:41 am »
ข้อมูลควรรู้ เกี่ยวกับ เครดิตบูโร
-http://hilight.kapook.com/view/80943-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "เครดิตบูโร" (Credit Bureau) ในยามที่เราจะทำธุรกรรมด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องการขอสินเชื่อ บางคนบอกว่า "ติดเครดิตบูโร" บ้างก็บอกว่า "ติด Black List" แล้ว 2 อย่างนี้ คืออะไร ใช่อันเดียวกันหรือไม่ ในวันนี้ กระปุกดอทคอม จึงนำข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับ เครดิตบูโร ที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ถือบัตรเครดิตอยู่ รวมไปถึงผู้ที่ต้องการจะมีบัตรเครดิตในวันข้างหน้า มาฝากกันค่ะ เรามาทำความรู้จักกับธุรกิจข้อมูลเครดิต หรือ Credit Bureau กันเลย...

เครดิตบูโร คืออะไร

            เครดิตบูโร นั้นมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของบุคคลจากสถาบันการเงินหลาย ๆ แห่ง เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ให้บริการสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต โดยเมื่อลูกค้าให้ความยินยอมให้สถาบันการเงินตรวจสอบข้อมูลการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของตนในขณะที่ยื่นขอสินเชื่อแล้วนั้น สถาบันการเงินก็สามารถจะเรียกดูข้อมูลดังกล่าวจาก เครดิตบูโร เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้

รายงานข้อมูลเครดิตเก็บข้อมูลใดไว้บ้าง

            เครดิตบูโรจะเก็บรวบรวมเฉพาะข้อมูลของการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิต ซึ่งข้อมูลนี้จะประกอบไปด้วย ข้อมูลส่วนที่บ่งชี้ตัวบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวประชาชน และอีกส่วนหนึ่งเป็นประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิต รวมเรียกว่า "รายงานข้อมูลเครดิต" รายงานข้อมูลเครดิตจะมีการบันทึกและจัดเก็บวงเงินยอดหนี้คงค้าง รวมถึงประวัติการผิดนัดชำระในแต่ละสิ้นเดือนย้อนหลังไม่เกิน 36 เดือน ด้วยเหตุนี้แล้ว การชำระสินเชื่อทุกครั้งให้ตรงเวลาจึงเป็นการรักษาเครดิตที่ดีที่สุด

ใครมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาดูรายงานข้อมูลเครดิต

            นอกจากสถาบันการเงินที่ผู้ขอสินเชื่อได้ให้ความยินยอม จะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อได้แล้ว ผู้ขอสินเชื่อเองก็ยังมีสิทธิ์ที่จะมาขอดูรายงานข้อมูลเครดิตของตนได้ด้วยวิธีง่าย ๆ โดยการยื่นคำขอได้ที่ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภค บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และบริษัทยังได้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น โดยให้ยื่นคำขอผ่านธนาคารนครหลวงไทยทุกแห่งทั่วประเทศก็ได้ มีค่าธรรมเนียม 100 บาท ทั้งนี้ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติมีหน้าที่เก็บรักษารายงานดังกล่าวเป็นความลับ และไม่สามารถเปิดเผยให้แก่ผู้อื่นใด เว้นแต่ที่กฎหมายกำหนดไว้

การตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง

            ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 มาตรา 25 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าของข้อมูลให้เจ้าของข้อมูล มีสิทธิที่จะตรวจสอบข้อมูลของตน โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด มีความยินดีที่ให้ท่านตรวจสอบข้อมูล ดังนี้

ณ ที่ทำการบริษัท  (ศูนย์บริการตรวจสอบเครดิตบูโร) มีขั้นตอนดังนี้

1. เจ้าของข้อมูลมาติดต่อด้วยตนเอง แสดงเอกสารหลักฐาน ดังนี้

กรณีบุคคลธรรมดา

            บัตรประจำตัวประชาชน หรือหนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าวตัวจริงนำมาแสดง

 
กรณีนิติบุคคล

            สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม่เกิน 3 เดือน และลงนามรับรองความถูกต้องโดยกรรมดารผู้มีอำนาจ

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของกรรมการผู้มีอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงนำมาแสดง

            ตราประทับของนิติบุคคล (ถ้ามี) เพื่อใช้ประกอบการยื่นขอคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิต


2. เจ้าของข้อมูลมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาดำเนินการแทน แสดงเอกสารหลักฐาน ดังนี้

กรณีบุคคลธรรมดา

            หนังสือมอบอำนาจบุคคลธรรมดา กรอกรายละเอียดและลงนามให้สมบูรณ์ครบถ้วน

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงมาแสดง

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงมาแสดง

 
กรณีนิติบุคคล

            หนังสือมอบอำนาจนิติบุคคล กรอกรายละเอียดและลงนามให้สมบูรณ์ครบถ้วน

            สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม้เกิน 3 เดือน และลงนามรับรองความถูกต้องโดยกรรมการผู้มีอำนาจประทับตราของนิติบุคคล (ถ้ามี)

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม และลงนามรับรองความถูกต้องพร้อมตัวจริงนำมาแสดง

            สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาหนังสือเดินทางของผู้รับมอบอำนาจ และลงนามรับรองความถูกต้อง พร้อมตัวจริงนำมาแสดง

            ยื่นเอกสารในข้อ 1 และชำระค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบข้อมูลเครติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัท

            เจ้าของข้อมูลสามารถขอรับรายงานภายในวันยื่นคำขอ หรือยื่นความจำนงให้จัดส่งรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน (กรณีให้จัดส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ฉบับละ 20 บาท)

 
สถานที่ตรวจสอบข้อมูลเครดิต ศูนย์บริการตรวจสอบบูโร 3 แห่ง ดังนี้

1. ส่วนบริหารเจ้าของข้อมูล บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด

    อาคาร 2 ชั้น 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (สำนักงานใหญ่)
    เลขที่ 63 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
    โทรศัพท์ : (66) 02-643-1250
    โทรสาร : (66) 02-612-5895
    เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00 น. - 16.30 น.


2. สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง (ด้านในสถานี)

    เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00 น. - 18.00 น.
    (*ตรวจสอบเครดิตบูโรเฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น)


3. ห้างเจเวนิว (นวนคร) ติดโรงพยาบาลนวนคร

    เปิดทำการทุกวัน เวลา 10.00 น. - 19.00 น. หยุดนักขัตฤกษ์
    (*ตรวจสอบเครดิตบูโรเฉพาะบุคคลธรรมดาเท่านั้น)


การตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเองผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการตรวจสอบเครดิตบูโร

            เคาน์เตอร์ธนาคาร ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทุกสาขาทั่วประเทศ

            ทำรายการผ่านตู้ ATM ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ (ต้องมีบัตรเอทีเอ็ม)

            ทำรายการผ่านระบบธนาคารบนโทรศัพท์มือถือของธนาคารกรุงไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ต้องมีบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตของธนาคารนั้น ๆ

            ทำรายการผ่านธนาคารออนไลน์ ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ต้องมีบัญชีธนาคาร (ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดา)

            กรณีทำรายการผ่านเครื่อง ATM สามารถทำรายการขอข้อมูลได้ทันที โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลหรือแบบฟอร์มคำขอ ส่วนในกรณียื่นผ่านสาขา ลูกค้าสามารถเลือกการรับข้อมูลเครดิตได้หลายแบบ ทั้งแบบปีละ 1 ครั้ง 2 ครั้ง 4 ครั้ง หรือ 6 ครั้ง โดยยื่นความจำนงเพียงครั้งเดียว ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายอย่างมากให้กับลูกค้าและประชาชน จากนั้นศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะส่งข้อมูลเครดิตบูโรให้ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ภายใน 7 วัน คิดค่าบริการ 150 บาท ต่อ 1 รายการ


การติดแบล็กลิสต์ (Black List) หรือ การติดเครดิตบูโร

            ท่านคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ไม่ได้รับสินเชื่อเพราะติดแบล็กลิสต์จากเครดิตบูโร แต่ความจริงแล้ว เครดิตบูโรไม่มีสิทธิ์ในการจัดแบล็กลิสต์ผู้ขอสินเชื่อ เพราะเครดิตบูโรจะทำหน้าที่รวบรวมประวัติการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตของสินเชื่อทุกบัญชีจากสถาบันการเงินตามข้อเท็จจริง ซึ่งสถาบันการเงินใช้ข้อมูลเครดิตเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อเพราะการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ให้สินเชื่อนั้นยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีก เช่น รายได้ของผู้สมัครสินเชื่อ หลักประกัน บุคคลผู้ค้ำประกัน เป็นต้น ในทางกลับกัน หากผู้ขอสินเชื่อมีประวัติการชำระสินเชื่อตรงเวลา ข้อมูลเครดิตก็จะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 
จะขอสินเชื่อแต่ติดเครดิตบูโรจะทําอย่างไร

            มีหลายท่านที่ต้องการจะขอกู้เงิน ไม่ว่าจะนำไปซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือจะขอกู้เงินไปทำอะไรก็ตาม แต่ต้องมาประสบปัญหาติดแบ็กลิสต์เครดิตบูโร เพราะทุกธนาคาร ทุกสถาบันการเงิน ต้องมีหน้าที่คอยส่งข้อมูลเครดิตของเราให้กับ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ดังนั้นถ้าหากเรามีประวัติการชำระหนี้ไม่ดี ศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ก็จะทราบข้อมูลของเราทั้งหมด ทำให้ขอสินเชื่อไม่ผ่าน ซื่งถ้าหากประวัติของเราเสีย หรือติด Black List โดยที่เราไม่ได้เป็นผู้ก่อ แต่เกิดจากความผิดพลาดของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ที่ไม่ตรวจสอบรายงานก่อนทำการส่งข้อมูลเครดิตให้ดีก่อน เช่น

            กรณีที่ลูกหนี้ชำระหนี้หมดแล้ว แต่การปฏิบัติการส่งข้อมูลเครดิตผิดพลาด

            กรณีถูกปลอมเอกสารเพื่อขอสินเชื่อ

            กรณีถูกปลอมเอกสารในการสมัครบัตรเครดิต

            กรณีถูกขโมยข้อมูลของบัตรเครดิต

            ทั้งนี้ ถ้าเกิดปัญหาดังกล่าว ก็ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายป้องกันทุจริตของธนาคารหรือสถาบันการเงิน ที่จะต้องประสานงานเพื่อยับยั้งการส่งข้อมูลเครดิตที่ไม่ถูกต้อง หรือที่เรียกกันในวงการธนาคารว่า Dispute Transaction คือ มีการตั้งยอดมูลหนี้ที่เกิดจากการทุจริต เพื่อการตรวจสอบจนกว่าจะตรวจสอบเสร็จสิ้น ตามธรรมเนียมปฏิบัติจะไม่มีการคิดดอกเบี้ย และไม่นำยอดดังกล่าวมาลดจำนวนวงเงินเครดิตลูกค้า

            อย่างไรก็ตาม ถ้าหากท่านตรวจสอบแล้วเห็นว่าท่านไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการส่งข้อมูลเครดิตของธนาคารหรือสถาบันการเงิน เราสามารถโต้แย้งได้โดยตรงและสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้บริโภคคนใดขอฟ้องร้องดำเนินคดีกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน เพราะคนไทยชอบคิดไปเองว่าเค้าใหญ่กว่าเราสู้ไม่ได้หรอก นั่นเป็นเหตุผลที่คนไทยมักอยู่ในมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนที่ต่ำมาก เพราะทุกคนไม่รู้สิทธิ์ของตนเอง หรือรู้สิทธิ์ของตัวเองดีแต่ไม่กล้าดำเนินการใด ๆ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20110714/400265/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2.html-

, บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด -https://www.ncb.co.th/Default.htm-

, consumerthai.org -http://www.consumerthai.org/debt/index.php?option=com_fireboard&func=view&catid=2&id=7893-

.



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2013, 09:37:04 am »
ถาม-ตอบ ให้หายสงสัย เรื่อง..กองทุนเงินทดแทน
-http://hilight.kapook.com/view/81843-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


          ในชีวิตคนเราที่ต้องทำงานในแต่ละวันนั้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันในขณะที่ทำงานได้เสมอ และจุดนี้เองที่รัฐบาลได้เล็งเห็น จึงนำไปสู่การจัดตั้ง "กองทุนเงินทดแทน" (workmen's compensation fund) เพื่อเป็นทุนให้มีการจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างเจ็บป่วย หรือประสบอันตราย อันเนื่องจากการทำงาน และวันนี้ กระปุกดอทคอม ขอพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงรายละเอียดเรื่อง กองทุนเงินทดแทน ที่คนทำงานอย่างเราควรรู้ไว้นะคะ

กองทุนเงินทดแทน คืออะไร (workmen's compensation fund)

          กองทุนเงินทดแทน เป็นกองทุนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 เพื่อเป็นทุนในการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย หรือถึงแก่ความตาย หรือสูญเสียเนื่องจากการทำงานให้นายจ้าง

ใครเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบ และผู้ได้รับประโยชน์

          นายจ้างเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทนเพียงฝ่ายเดียว เพียงปีละ 1 ครั้ง มีลักษณะเหมือนเบี้ยประกัน และเมื่อลูกจ้างทำงานให้แก่นายจ้างเล้วเกิดประสบอันตราย ลูกจ้างก็จะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทน ซึ่งประกอบด้วยค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนรายเดือน ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน และค่าทำศพ

เงินสมทบ คืออะไร

          เงินสมทบ คือเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุนเงินทดแทน ซึ่งสำนักงานประกันสังคมจะทำการเรียกเก็บจากนายจ้างเป็นรายปี โดยแจ้งจำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้ทราบตามใบแจ้งเงินสมทบ เงินสมทบนี้จะคิดจากค่าจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างทั้งปีรวมกัน คูณกับอัตราเงินสมทบของประเภทกิจการนั้นซึ่งนายจ้างแต่ละประเภทจะจ่ายในอัตราเงินสมทบหลักที่ไม่เท่ากัน ระหว่างอัตรา 0.2 เปอร์เซ็นต์ - 1.0 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเสี่ยงภัยตามลักษณะงานของกิจการของนายจ้าง นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบตามอัตราหลัก 4 ปี ติดต่อกันและในปีที่ 5 เป็นต้นไป จะมีการคำนวฯอัตราส่วนการสูญเสียเพิ่มลด -เพิ่ม อัตราเงินสมทบให้นายจ้าง

ขอบข่ายความคุ้มครอง

          ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 บังคับใช้กับสถานประกอบการธุรกิจเอกชนทุกประเภท ที่แสวงหากำไรทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ทั่วราชอาณาจักร ยกเว้น

             1. ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น

             2. รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์

             3. นายจ้าง ซึ่งประกอบธุรกิจโรงเรียนเอกชน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เฉพาะในส่วนที่เกี่ยว กับครู หรือครูใหญ่

             4. นายจ้างซึ่งดำเนินกิจการ ที่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ

             5. นายจ้างอื่น ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

นายจ้างในกิจการใดบ้าง มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบ

          นายจ้างในทุกประเภทกิจการและทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป มีหน้าที่จ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน และนายจ้างผู้ใดมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบกองทุนแล้วยังคงมีหน้าที่จ่ายเงินสมทบต่อไป แม้ว่าภายหลังจะมีลูกจ้างไม่ถึง 10 คนก็ตาม

กำหนดเวลายื่นแบบขึ้นทะเบียน

          นายจ้างจะต้องมีหน้าที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียนกองทุนเงินทดแทนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างครบ 10 คน
สถานที่ยื่นแบบขึ้นทะเบียน

          กำหนดให้นายจ้างยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ ณ ท้องที่ ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ในเขตกรุงเทพมหานคร ยื่นได้ที่ สำนักงานประกันสังคมพื้นที่ 1 (ดินแดง) เขตพื้นที่ 2 (เขตบางขุนเทียน) เขตพื้นที่ 3 (รามอินทรา) เขตพื้นที่ 4 (คลองเตย) เขตพื้นที่ 5 (ประชาชื่น) เขตพื้นที่ 6 (ธนบุรี) และเขตพื้นที่ 7 (พระนคร) ในเขตต่างจังหวัด ยื่นแบบขึ้นทะเบียนได้ที่สำนักงานประกันสังคมจังหวัด

เอกสารอะไรบ้างที่ต้องนำมาในวันยื่นแบบ

          เอกสารที่นายจ้างจะต้องนำมาในวันยื่นแบบขึ้นทะเบียน ได้แก่

               - แบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง (แบบ สปส.1-01) ใช้ชุดเดียวกับการขึ้นทะเบียนกองทุนประกันสังคม

               - สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล หรือสำเนาใบทะเบียนพาณิชย์

               - สำเนาใบทะเบียนภาษีมุลค่าเพิ่ม (แบบ ภพ.20) หรือสำเนาใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (แบบ รง.4)

               - แผนผังแสดงที่ตั้งของสำนักงาน หรือโรงงานของนายจ้าง

เมื่อนายจ้างยื่นแบบขึ้นทะเบียนแล้ว จะได้รับอะไรเป็นหลักฐาน

               - เลขที่บัญชี ซึ่งจะเป็นเลขเดียวกับกองทุนประกันสังคม เพื่อใช้อ้างอิงในการติดต่อ

               - ใบแจ้งเงินสมทบ เพื่อแจ้งให้นายจ้างทราบถึงจำนวนเงินสมทบที่จะต้องจ่ายเข้ากองทุน พร้อมทั้งกำหนดวันที่ซึ่งนายจ้างจะต้องนำเงินมาจ่าย

นายจ้างจะต้องจ่าย เงินสมทบประจำปีเมื่อใด

          กองทุนเงินทดแทนจะเรียกเก็บเงินสมทบจากนายจ้างเป็นรายปี (ปีละ 1 ครั้ง) โดยในปีแรก นายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีลูกจ้างครบ 10 คน สำหรับปีต่อ ๆ ไป จ่ายภายในเดือน มกราคมของทุกปี เงินสมทบที่เรียกเก็บเมื่อต้นปีนั้น คิดมาจากจำนวนเงินค่าจ้างที่ได้ประมาณการไว้ล่วงหน้าซึ่งอาจไม่เท่ากับค่าจ้างจริงที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากในระหว่างปี นายจ้างอาจมีการเพิ่มหรือลดจำนวนลูกจ้างปรับอัตราค่าจ้างเป็นต้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปีจึงให้นายจ้างแจ้งจำนวนค่าจ้างรวมทั้งปี มายังสำนักงานอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้นำไปเปรียบเทียบกับเงินสมทบที่เก็บไว้เมื่อต้นปี หากเงินสมทบที่เก็บไว้เดิมน้อยกว่าก็จะเรียกเก็บเพิ่ม ภายใน 31 มีนาคม หากจำนวนเงินค่าจ้างรวมทั้งปีต่ำกว่าเดิมนายจ้างจะได้รับเงินสมทบส่วนที่จ่ายเกินไว้คืนไป

วิธีการจ่ายเงินสมทบ

          นายจ้างจะชำระเงินสมทบด้วยเงินสด เช็ค ดร๊าฟ หรือ ธนาณัติ หรือชำระผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด ทุกสาขา
เมื่อใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับการคุ้มครอง

          สิทธิจะเกิดขึ้นทันทีเมื่อนายจ้างมีลูกจ้างครบ 10 คน ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่จะต้องขึ้นทะเบียน ภายใน 30 วัน ตามกฎหมายกำหนด

ทำอย่างไรเมื่อลูกจ้างเจ็บป่วย หรือประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน

             1. นายจ้างต้องให้การรักษาพยาบาลแก่ลูกจ้างโดยทันที

             2. แจ้งให้เจ้าหน้าที่กองทุนเงินทดแทนทราบภายใน 15 วัน นับจากวันที่นายจ้างทราบการเจ็บป่วย หรือประสบอันตราย หรือสูญหาย ตามแบบ กท.16

             3. ลูกจ้างสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาล ในสถานพยาบาลใดก็ได้ โดยทดลองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อนแล้วนำใบเสร็จรับเงิน  ไปเบิกคืนภายใน 90 วัน หรือ

             4. ใช้แบบ กท.44  ส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษาพยาบาล หากสถานพยาบาลนั้นอยู่ในความตกลงกับกองทุนเงินทดแทน ทางสถานพยาบาลจะเรียกเก็บ ค่ารักษาพยาบาล จากกองทุนเงินทดแทนเอง

กรณีแพทย์ให้หยุดพักรักษาตัว จะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

          ได้รับค่ารักษาพยาบาล และค่าทดแทนจำนวน 60 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้างรายเดือน หากต้องหยุดพักรักษาตัวติดต่อกันเกิน 3 วัน ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1 ปี

กรณีสูญเสียอวัยวะจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

          ได้รับค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนจำนวน 60 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้างรายเดือนในการหยุดพักรักษาตัว และค่าทดแทน 60 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้างรายเดือน ในการสูญเสียอวัยวะ ไม่เกิน 10 ปี กรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู จะได้รับค่าฟื้นฟูค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูด้านการแพทย์ และอาชีพเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 20,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานไม่เกิน 20,000 บาท

กรณีทุพพลภาพจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

          ได้รับค่ารักษาพยาบาลและค่าทดแทน 60 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้างรายเดือนเป็นเวลาไม่เกิน 15 ปี

กรณีถึงแก่ความตาย หรือสูญหายจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

          ได้รับค่าทำศพเป็นเงิน 100 เท่า ของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวันและค่าทดแทน 60 เปอร์เซ็นต์ ของค่าจ้างรายเดือนเป็นเวลา 8 ปี

ค่าทดแทนจะได้รับเมื่อไรและอย่างไร

          ค่าทดแทน กรณีหยุดงาน สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ ตาย หรือสูญหาย จะได้รับในอัตราที่ต้องไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท และไม่เกิน 9,000 บาท ต่อเดือน

จะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้อย่างไร

          ให้นำใบเสร็จรับเงินมาเบิกคืนได้ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่จ่ายแต่ถ้าทำการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่ทำความตกลงกับกองทุน สถานพยาบาลนั้นจะเรียกเก็บเงินจากกองทุนโดยตรง

เมื่อมารับเงินใช้หลักฐานอะไรบ้าง

          บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้ ซึ่งมีรูปถ่ายด้วย หากไม่ได้มารับด้วยตนเองจะต้องมีใบมอบฉันทะพร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบมาแสดงด้วย

นายจ้างที่มีลูกจ้างต่ำกว่า 10 คน ต้องปฏิบัติตนอย่างไร

          ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ แต่เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายเนื่องจากการทำงาน ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่กองทุนเงินทดแทน เพื่อออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างตามสิทธิ เช่นเดียวกับที่กองทุนเงินทดแทนจ่าย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
siamhrm.com , srkhosp.com , md.kku.ac.th



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: มีนาคม 17, 2013, 09:05:43 am »
เทคนิคการซื้อขายที่ไม่ใช่กราฟ ......... บล.โกลเบล็ก
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 มีนาคม 2556 15:58 น.    
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000032047-

ปกตินักลงทุนและนักเก็งกำไรมักจะชอบไปฟังสัมมนาให้ความรู้เรื่องการ วิเคราะห์เรื่องกราฟที่เรียกว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค แต่น้อยแห่งนักที่จะสอนถึงแนวคิดการลงทุนการเก็งกำไรที่ดี หากจะได้ฟังก็มักจะต้องไปฟังผู้ที่เป็นนักเก็งกำไรหรือนักลงทุนที่มีการเทรด จริงมาก่อนแล้วยังประสบความสำเร็จ เพราะบุคคลเหล่านี้เรียกว่าผ่านสนามรบจริงมาแล้วเอาตัวรอดมาได้ จากที่เคยคุยกับเทรดเดอร์และนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะมีแนวคิดบางอย่างที่คล้ายๆกันซึ่งวันนี้จะขอเอามาสรุปให้ฟัง
       
       ทำการบ้านให้หนักเพื่อค้นพบตัวเอง
       ทหารบางคนรบเก่งในป่า บางคนเก่งในทะเลทราย บางคนเก่งในน้ำ นักลงทุนหรือนักเก็งกำไรก็เช่นกัน ต้องหาสินค้าหรือสินทรัพย์ที่เหมาะกับสไตล์ที่เราถนัดให้ได้ จะเป็นหุ้น ทองคำ ฟิวเจอร์ส ที่ดิน นาฬิกา พระ ฯลฯ อะไรก็ได้ที่เรารู้จริงรู้ดี ได้เปรียบ บางคนซื้อขายอินเตอร์เน็ทเก่ง แต่บางคนซื้อขายอินเตอร์เน็ทกลับคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนขาดทุนมากมายก็มี บางคนกลัวความเสี่ยง เจอราคาผันผวนนิดหน่อยก็อยู่ไม่เป็นสุข แต่บางคนกลับทำได้ดีเมื่อเจอราคาผันผวน เพราะฉะนั้นต้องมั่นใจว่า สิ่งที่เรากำลังไปลงทุน เรามีข้อได้เปรียบกว่าคนส่วนใหญ่ในตลาด และเราเหมาะกับการลงทุนประเภทนั้น เหมาะกับความเสี่ยงระดับนั้น
       พยายามขาดทุนให้น้อยที่สุด
           การลงทุนมีความเสี่ยง เรามักจะได้ยินคำนี้เสมอ แสดงว่าการลงทุนแทบจะทุกชนิดมีโอกาสขาดทุน แต่คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะพยายามลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนให้ได้มาก ที่สุด กระทำได้โดยหลายวิธีเช่น ศึกษาข้อมูลจนรู้ถึงแก่นแท้ในสินทรัพย์ตัวนั้นๆเมื่อและเลือกเข้าลงทุนเมื่อ โอกาสชนะมากกว่าแพ้มากๆ  ซึ่งจะยอมขาดทุนก็ต่อเมื่อสิ่งที่วิเคราะห์มาอย่างดีแล้วนั้นมันเปลี่ยนไป อย่างมีนัยยะเท่านั้น ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จมักจะให้ความสำคัญกับฝั่งกำไรโดย มองข้ามฝั่งขาดทุนไป
       ใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
           ราคาที่ผันผวนในตลาดมักจะทำให้คนที่เฝ้าติดตามนั้นเกิดอารมณ์ร่วม ซึ่งอารมณ์จะมีอยู่ 2 ชนิดคือ ความกลัว และความโลภ โดยความกลัวจะทำให้คนมองเห็นแต่คำว่า “ความเสี่ยง” ส่วนความโลภจะทำให้คนมองเห็นแต่คำว่า “กำไร” ทำให้หลายๆครั้งเวลาราคาสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งต่ำมากๆแต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ กล้าซื้อเพราะความกลัวครอบงำ ตรงกันข้ามกับเมื่อราคาสินทรัพย์ตัวเดียวกันแพงมากๆเกินความเหมาะสมแต่คน ส่วนใหญ่กลับกล้าซื้อเพราะความโลภมันบังตา
       ถ้าพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน แนวโน้มยังคงเดิม อย่าเดาว่ามันจะเปลี่ยน
           การทำนายอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่มีความไม่แน่นอนสูง เพราะฉะนั้นตราบใดที่ปัจจัยหลักหรือแนวโน้มของราคา วัฏจักรของราคา มันยังไม่เปลี่ยน ก็พยายามอย่าไปคิดว่ามันจะเปลี่ยน ก่อนจะเข้าไปลงทุนต้องตอบให้ได้ก่อนว่าเหตุผลในการซื้อคืออะไร เช่นเดียวกับการขายก่อนขายต้องตอบให้ได้ก่อนว่าทำไมถึงขาย เพราะเราเดาเอาเองหรือเปล่าว่ามันจะขึ้นหรือมันจะลง
           แนวคิดหลักๆที่ฟังดูเหมือนสิ่งง่ายๆเหล่านี้ทุกคนอาจเคย ได้ยิน แต่เฉพาะคนที่ทำได้เท่านั้นถึงจะเป็นผู้ประสบความสำเร็จ ลองทบทวนสิ่งที่ทำในอดีตว่าที่เราไม่ประสบความสำเร็จเพราะเรามองข้ามหลักคิด พื้นๆพวกนี้ไปหรือเปล่า
       
       สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช  ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก

http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000032047
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)