ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"  (อ่าน 149400 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 13 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #90 เมื่อ: กันยายน 28, 2013, 09:00:02 am »
คนกรุงกว่าครึ่งชำระบัตรเครดิตแค่ขั้นต่ำ
-http://money.sanook.com/163108/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3/-


เอแบคโพล เผย พฤติกรรมคนเมืองเกินครึ่งนิยมถือบัตรรูดปื๊ด 2 ใบขึ้นไป และมักใช้ควบคู่กับบัตรเงินสด

โดยเฉพาะกลุ่ม "เจนบี" และผู้ถือบัตรครึ่งหนึ่งเลือกชำระยอดใช้บัตรในอัตราขั้นต่ำเท่านั้น

(25ก.ย.56) น.ส.ปภาดา ชินวงศ์ ผู้จัดการโครงการศูนย์วิจัยเอแบค นวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ

เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง "พฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตของคนเมือง" ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,205 ตัวอย่าง

พบว่าตัวอย่างเกินครึ่งหรือร้อยละ 52.5 ระบุจัดสรรรายรับ รายจ่ายแต่ละเดือนไปกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ขณะที่ร้อยละ 29.9 ใช้เงินเดือนชำระหนี้สิน และร้อยละ 17.6 เก็บเป็นเงินออม
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงการใช้บัตรเครดิต พบกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 69.4 มีการถือบัตรเครดิต 2 ใบขึ้นไป และตัวอย่างร้อยละ 88.2 มักใช้บัตรเครดิตควบคู่กับบัตรสินเชื่อเงินสด

โดยกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 25-33 ปี หรือ Generation Y เป็นกลุ่มที่ใช้บัตรเครดิตสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยคิดเป็นร้อยละ 46.7 และกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 40-60 ปี หรือ Generation B เป็นกลุ่มที่มีการใช้บัตรเครดิตควบคู่กับสินเชื่อเงินสดสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ

โดยคิดเป็นร้อยละ 52.9 ส่วนการชำระหนี้บัตรเครดิต พบว่าผู้ถือบัตรครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 50.4 เลือกชำระยอดบัตรเครดิตในอัตราขั้นต่ำเท่านั้น
 
น.ส.ปภาดา กล่าวว่า ปัจจุบันคนเมืองมีความนิยมใช้บัตรเครดิตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Generation Y โดยมักจะใช้บัตรเครดิตควบคู่กับบัตรสินเชื่อเงินสด ซึ่งปัจจุบันธนาคาร และสถาบันการเงิน

มักร่วมกับบริษัทผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ในการจัดส่งเสริมการขายขึ้น สำหรับลูกค้าที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต มากกว่าการใช้เงินสด ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาระหนี้สินได้


http://money.sanook.com/163108/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3/

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #91 เมื่อ: กันยายน 29, 2013, 10:14:40 am »
เงินเฟ้อ คืออะไร!!
-http://club.sanook.com/8732/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-

วันนี้จะขอพูดเรื่องที่ฟังเผินๆ เหมือนจะดูยากสักนิดนึงค่ะ แต่จริงๆ แล้วจะบอกเลยว่ามันไม่ได้ยากเลย และก็ไม่เกินความสามารถของประชาชนคนธรรมดา พ่อบ้าน แม่บ้าน แน่นอนค่ะ และก็คิดว่าคำศัพท์บริหารพื้นฐานเหล่านี้ ก็มีความจำเป็นสำหรับเราๆ ที่ต้องรู้จักความหมายกันไว้บ้างก็ดี เวลาเค้าพูดกันจะได้เข้าใจกันเพิ่มมากขึ้น และก็จะได้ไม่งงกันค่ะ

หลายคน คงเคยได้ยิน “ภาวะเงินเฟ้อ-ภาวะเงินฝืด“ อยู่บ่อยครั้งใช่ไหมคะ แต่หลายคนคงยังไม่ทราบความหมายว่า “เงินเฟ้อ” คืออะไร ซึ่งในวันนี้เรามีความหมายของ “เงินเฟ้อ” มาบอกกันค่ะ

เงินเฟ้อ คือ

ภาวะเงินเฟ้อ (inflation)  คือ ภาวะการณ์ที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่เพียงเล็กน้อยเป็นปกติก็จะสร้างสิ่งจูงใจแก่ผู้ประกอบการ แต่หากเพิ่มขึ้นมากและผันผวนก็จะสร้างความไม่แน่นอนและก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการครองชีพของประชาชน และการขาดเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

ในประเทศไทยเงินเฟ้อวัดจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคา ผู้บริโภค ซึ่งเป็นดัชนีที่จัดทำโดยกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของราคาสินค้าและบริการต่างๆ ที่ผู้บริโภคซื้อหาเป็นประจำ โดยน้ำหนักของสินค้าและบริการแต่ละรายการกำหนดจาก รูปแบบการใช้จ่ายของครัวเรือนซึ่งได้จากการสำรวจ

ตามหลักทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ การเกิดภาวะเงินเฟ้อมาจาก 2 ปัจจัยหลัก

ปัจจัยแรก คือ แรงดึงทางด้านอุปสงค์ เกิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจมีความต้องการปริมาณสินค้าและบริการมากกว่าที่มี อยู่ในขณะนั้นๆจึงดึงให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของความต้องการสินค้าและบริการอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเงิน การดำเนินนโยบายการคลังของภาครัฐบาล การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ในต่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน

ปัจจัยที่สอง เกิดจากด้านต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทำให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าขึ้น สาเหตุที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

อาทิ การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน การเกิดวิกฤตการณ์ทางธรรมชาติ การเพิ่มกำไรของผู้ประกอบการ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้านำเข้า ซึ่งอาจเพิ่มไปตามภาวะ ตลาดโลก หรือผลของอัตราแลกเปลี่ยน

ซึ่งถ้าสรุปง่ายๆ เป็นภาษาธรรมดาๆ ก็จะมีความหมายประมาณว่า  “เวลาจะที่เราจะจับจ่ายใช้สอยหรือซื้ออะไร อาจได้ของที่แพงขึ้น แต่ค่าเงินที่มีอยู่นั้นมีมูลค่าน้อยลงค่ะ ซึ่งอาจจะซื้อของได้น้อยลง หรือต้องจ่ายเงินซื้อเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ได้ของปริมาณที่เราต้องการเท่าเดิม”  ซึ่งภาวะเงินเฟ้อนี้อาจทำให้เราต้องประหยัดมากขึ้น จากที่ข้าวของมีราคาแพงขึ้นนั่นเองค่ะ

เห็นไหมคะว่าจริงๆแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวและยากเกินไป ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับเราทุกคนที่จะต้องเรียนรู้ไว้  แล้ววันหลังเราจะมาบอกความหมายของ “เงินฝืด” กันต่อในโอกาสหน้ากันค่ะ อย่าลืมมาติดตามกันต่อนะคะ

http://club.sanook.com/8732/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%AD-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #92 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2013, 11:29:12 am »
เงินฝืด คืออะไร!!
-http://club.sanook.com/8735/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B7%E0%B8%94-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-

กลับมาอีกครั้งค่ะ หลังจากครั้งที่แล้วเราพูดถึงเรื่อง “เงินเฟ้อ”  ว่า “เงินเฟ้อ” นั้น คืออะไร ซึ่งครั้งที่แล้วเราได้สรุปความหมายของ “เงินเฟ้อ” ไว้ว่า  “การที่สินค้านั้นมีราคาเพิ่มขึ้นหรือแพงขึ้น แต่มูลค่าเงินที่เรามีอยู่นั้นเท่าเดิมหรือลดลงค่ะ” นั่นก็หมายถึงว่า เราจะซื้อของแพงขึ้นนั่นเองค่ะ ซึ่งวันนี้เราก็จะเรียนรู้ความหมายของคำว่า “เงินฝืด” กันต่อค่ะ ว่าเงินฝืดคืออะไร แล้วมีความหมายว่าอะไรกันต่อค่ะ

เงินฝืด คืออะไร

ภาวะเงินฝืด หรือเงินฝืด (Deflation) เป็นภาวะที่ระดับราคาสินค้าและบริการทั่วไปลดต่ำลงเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากอุปสงค์รวมมีน้อยเกินไป ไม่เพียงพอที่จะซื้อสินค้าและบริการทำให้ผู้ผลิตต้องลดราคาสินค้าเพื่อที่จะทำให้ขายได้ และลดการผลิตลงเพราะว่าถ้าผลิตออกมาเท่าเดิมก็ขายได้น้อย ผลที่ตามมาจะก่อให้เกิดผลเลวร้ายต่อเศรษฐกิจเพราะการจ้างงานจะลดลงตามไปด้วย ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อมาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะเงินฝืด อำนาจซื้อของบุคคลทั่วไปจะสูงขึ้นด้วย

เงินฝืด เป็นภาวะตรงข้ามกับ ภาวะเงินเฟ้อ มีปัจจัยการเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น การเพิ่มขึ้นของอุปทาน การหดตัวของอุปสงค์ การลดลงของต้นทุนจากปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยน หรือมาตรการปรับลดภาษี และการที่ปริมาณเงินหมุนเวียนมีไม่เพียงพอต่อขนาดของระบบเศรษฐกิจ เป็นต้น

http://club.sanook.com/8735/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B7%E0%B8%94-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #93 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2013, 04:31:34 pm »
สูตรคำนวณราคาทองไทย และที่มา
« เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2008, 01:24:26 pm »

-http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/275-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2/-


หลายท่านสงสัยที่มาของสูตรคำนวณราคาทองคำที่ใช้กัน จริงๆก็เคยตอบไปแล้ว แต่ก็หล่นๆไปตามกาลเวลา วันนี้ลอกกลับมาปรับปรุงให้อ่านกันใหม่ และปักหมุดไว้เลย เผื่อท่านที่มาทีหลังจะได้ไม่ต้องไปหาขุดขึ้นมาอีก

ราคาทองไทยเป็นทองชนิด 96.5% เปอร์เซนต์ และประกาศที่น้ำหนัก 1บาท ครับ
ส่วนของ Newyork เป็นการประกาศทองชนิด 99.99% ที่น้ำหนัก 1 ออนซ์
การคำนวณจะใช้สูตรนี้ครับ

ราคาทองไทย = (( Spot Gold + Premium ) x 32.148 x THB x .965 )/65.6
โดย Premium เป็นค่าธรรมเนียมอะไรนี่แหละครับ เท่ากับ 1 เหรียญ ( บางทีก็ 2 เหรียญ)

อย่างตัวอย่างสดๆ (22.5.51 13.13 น.) ที่ ThaiGoldRealTime goldspot 932.7 USD/THB 31.95 คำนวณได้ 14107 บาท

ลองเข้าสูตรเป็น
ราคาทองไทย = (( 932.7 +1 ) x 32.148 x 31.95 x .965 )/65.6
ราคาทองไทย = 14107.68 บาท สมาคมประกาศ 14100-14000 (ขึ้นสดๆเลย หุหุ)

ปล. รวบสูตรข้างบนง่ายๆเข้าก็เอา 32.148x .965 /65.6 มารวมกันได้เป็น 0.4729 หรือ 0.473
ได้สูตรนี้ครับ
ราคาทองไทย = ( Spot Gold + 1 ) x THB x 0.473 ก็ได้เช่นกันครับ

ส่วนตัวเลข ตัวเลข 32.148 และ 65.6 มาจากไหน
เพราะว่าปกติ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม
และ 15.244 กรัม ( 1 บาททองคำ ) เท่ากับ 0.49 ออนซ์

solve ออกมาได้ว่า

SpotGold ของฝรั่งเป็นราคาทอง 9999 และเป็น USD ต่อออนซ์ครับ

ราคา ทอง9999 ต่อ กก = (SpotGold +Premium) x นน ทอง9999เป็นออนซ์ ต่อ กก
นน ทอง9999เป็นออนซ์ ต่อ กก = 32.1508 ออนซ์

แปลงไปเป็นทองชนิด 100% ก่อนครับ ดังนี้

นน ทอง100% เป็นออนซ์ ต่อ กก = 32.1508x0.9999
= 32.14758
= 32.148 .......... ที่มาของเลขที่สงสัยครับ

ราคาทอง100% ต่อ กก = (SpotGold + Premium) x นน ทอง100% เป็นออนซ์ ต่อ กก
= (SpotGold + Premium) x 32.148 ..................................(1)

แปลง นน. จากออนซ์เป็นทองไทย 1 บาท

หา นน ทอง100% ของทอง 1 บาทไทย
ทอง965 1 บาท = 15.244g หรือ 0.015244 กก หรือ 1/65.6 กก
ทอง100%1 บาท = 0.965/65.6 กก ............................................................(2)
= 0.01471 กก
ราคาทองไทย 96.5% 1บาท ได้จาก (1) x THB x (2) ก็คือสูตรนี้

= (SpotGold + Premium) x 32.148 x THB x 0.965/65.6
หรือก็คือสูตรที่ใช้กัน = (( Spot Gold + Premium ) x 32.148 x THB x .965 )/65.6
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #94 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2013, 06:07:54 am »
ลูกหนี้บัตรเครดิตอ่วม ข้าวของแพง รายได้ไม่พอจ่าย แห่รีไฟแนนซ์เพียบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 ตุลาคม 2556 23:51 น.
-http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000125684-

ลูกหนี้บัตรเครดิตอ่วม ข้าวของแพง รายได้ไม่พอจ่าย แห่รีไฟแนนซ์เพิ่ม แก้ปัญหาเงินขาดมือ
       
       นายประชา ชัยสุวรรณ ประธานชมรมติดตามหนี้ที่เป็นธรรม และกรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโซลูชั่น เวย์ เปิดเผยว่า มีลูกค้ามาใช้บริการปรับโครงสร้างหนี้ (รีไฟแนนซ์) เพิ่มกว่า 100% จากเดิมที่เคยปล่อยกู้เฉลี่ยเดือนละ 10 ล้านบาท ก็เพิ่มเป็นเดือนละ 20 ล้านบาท ซึ่งโดยเฉลี่ยลูกค้าแต่ละรายจะกู้เงินประมาณ 2-3 แสนบาท
       
       ทั้งนี้ บริษัทจึงปรับเป้าการปล่อยสินเชื่อในปีนี้เป็น 200 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะปล่อยได้ 120 ล้านบาท
       
       “ยอมรับว่าการติดตามหนี้ในช่วงนี้ยากลำบากมาก ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่แพงมากกว่าปัญหาจากน้ำท่วม ทำให้ลูกค้าเงินขาดมือ” นายประชา กล่าว
       
       สำหรับลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาขอรีไฟแนนซ์ จะเป็นลูกค้าที่บริษัทซื้อหนี้จากสถาบันการเงินมาบริหาร รวมทั้งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีประวัติการค้างชำระหนี้อยู่แล้ว จึงไม่สามารถไปกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ รวมทั้งอยู่ระหว่างการฟ้องร้องดำเนินคดี


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #95 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2013, 06:05:31 am »
5 วิธีทำให้รวยเร็ว

-http://money.sanook.com/164779/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7/-

ความฝันหนึ่งของคนที่ทำงานประจำคืออยากมีเงินเก็บเยอะๆ อย่างน้อยควรจะมีเงินเก็บสัก 10 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อจะได้อยู่อย่างสบายๆหลังเกษียณอายุ แล้วจะมีวิธีอะไรที่ทำให้หาเงินได้ 10 ล้านบาทโดยไม่ได้ทำผิดกฎหมาย วันนี้เราจึงมี 5 วิธีทำให้รวยเร็วมาฝาก

1. เป็นเจ้าของกิจการ ใครๆก็รู้ว่าการเป็นเจ้าของกิจการ ย่อมต้องมีรายได้ดีกว่าทำงานประจำอยู่แล้ว แต่ความยากมันอยู่ตรงที่จะทำธุรกิจอะไร และทำอย่างไรให้ธุรกิจนั้นอยู่รอดและมีกำไรนี่สิเรื่องใหญ่ ซึ่งเรามีคำแนะนำคือ

  - สำรวจดูว่ามีงานอดิเรกหรือความชำนาญอะไรเป็นพิเศษ เช่น ทำขนม ทำอาหาร ความเก่งในสิ่งพวกนี้อาจนำมาสู่การดำเนินธุรกิจขนาดย่อมๆก็ได้
  - มองดูรอบๆ ตัว เช่นในชุมชน มีบริการอะไรบ้างที่คนในชุมชนต้องการ เช่น มีเด็กเล็กๆ ที่พ่อแม่อยากจะได้พี่เลี้ยงมาดูแล เรื่องเหล่านี้สามารถนำมาทำเป็นธุรกิจได้ 
  - คำนวณดูว่าถ้าต้องเริ่มทำธุรกิจต้องใช้เงินสักเท่าไหร่
  - ทำธุรกิจต้องคิดด้วยว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้คนอื่นทราบ อาจจะเป็นการโฆษณา ประชาสัมพันธ์

2. เป็นผู้บริหารระดับสูง วิธีนี้อาจจะต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะประสบการณ์ และต้องพบกับการแข่งขันที่สูงมาก เพราะคนทำงานประจำก็เหมือนกับพีระมิด ที่ตรงยอดจะเล็กแต่ฐานใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ คุณสามารถทำได้ถ้ามีความพยายามในการพัฒนาตัวเอง ทั้งเรื่องความรู้ บุคลิกภาพ ความเป็นผู้นำ หาความถนัดของตัวเองให้เจอ คุณก็มีโอกาสที่จะได้รับเงินเดือนสูงๆ ซึ่งผู้บริหารที่มีฝีมือจริง สามารถสร้างผลงานจนได้รับความไว้ใจจากผู้ถือหุ้น จนขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์สองของบริษัทสามารถทำรายได้ปีละ 5-10 ล้านบาทได้อย่างสบาย

3. เป็นนักขายตรง เมื่อเอ่ยถึงขายตรง หลายคนอาจเบือนหน้าหนี แต่ความจริงแล้วการขายตรง เช่นประกันชีวิต สามารถสร้างคนที่ไม่มีอะไร ให้ขึ้นมามีทุกอย่างได้จริง และเป็นงานที่ต้องใช้ความสามารถสูงมาก งานขายตรงอย่างประกันชีวิต เครื่องสำอางหรือยาชูกำลังสารพัด มักได้ค่านายหน้าประมาณ 30% ส่วนผู้บริหารทีมงานจะได้ค่าบริหารประมาณ 30% ของค่านายหน้าของลูกทีมอีกที ซึ่งจะตกประมาณ 10%ของยอดขายสินค้ารวม ถ้าทีมงานสร้างยอดขายต่อปีได้ถึง 100 ล้านบาท ผู้บริหารทีมงานก็จะมีรายได้ถึง 10 ล้านบาทต่อปีทีเดียว

4. เป็นนักวิชาชีพผู้ประสบความสำเร็จ วิชาชีพเฉพาะทางก็สามารถสร้างความร่ำรวยได้เช่นกัน เช่นแพทย์เฉพาะทาง ,ทนายความ ,สถาปนิก, ศิลปิน อาชีพเหล่านี้ถ้ามีผลงานโดดเด่นและมีฝีมือจริง รายได้จะสูงมาก 

5. เป็นนักลงทุน ข้อนี้สามารถทำได้แม้จะเป็นพนักงานประจำ แต่ต้องฉลาดในการเลือกลงทุน ตอนนี้มีหลายคนที่ทำงานประจำไปด้วย แต่ลงทุนในหุ้นไปด้วย ซึ่งสามารถสร้างรายได้เสริมที่ดี แต่การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงหมด ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทใดต้องศึกษาให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นจากที่จะได้เงินงอกเงยขึ้นมา เงินนั้นอาจจะหายวับไปกับตาก็ได้ 

ทั้งหมดเป็นไอเดียที่จะทำให้คนทั่วไปขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจ และความมุ่งมั่น ซึ่งจะเป็นหลักสำคัญผลักดันให้เราไปถึงจุดหมายที่เราต้องการได้

http://money.sanook.com/164779/5-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%A7/
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #96 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2013, 09:43:01 pm »
กว่าจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาท ประสบการณ์ที่บอกเล่าจากคนล้มแล้วลุก
-http://hilight.kapook.com/view/92400-


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณ Aoyoyoo_mame สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

            เงินทองเป็นของหายาก เราทุกคนล้วนได้ยินคำเหล่านี้อยู่เป็นประจำ แต่อาจจะไม่เคยเข้าใจความหมายนั้นจริง ๆ สักที เพราะเมื่อเงินผ่านมือเข้ามาทีไรก็มักจะปล่อยให้มันผ่านออกไปแบบง่ายดาย จนเมื่อรู้ตัวอีกครั้งก็กลับกลายเป็นว่าใช้เงินเกินตัวไปซะแล้ว คุณ Aoyoyoo_mame สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็คืออีกหนึ่งคนที่กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นคนมีหนี้สินติดตัวถึงหลักแสน และนั่นทำให้เขาตระหนักได้ว่า "คนเรากว่าจะรู้คุณค่าของเงินหนึ่งบาท ก็คือตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั่นแหละ" ลองไปดูประสบการณ์เรื่องนี้จากคำบอกเล่าของเขากันค่ะ...


คนเรามันจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาทก็ตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั้นแหละครับ

            วันนี้เหนื่อยกับงานครับ เลยนั่งนิ่ง ๆ ที่ออฟฟิศ เปิดเว็บอ่านกระทู้เก่า ๆ ในเว็บหูฟังที่เคยบ้าอยู่เป็นปี ๆ อ่านแล้วก็มีสายจากเพื่อนคนหนึ่งเข้ามา โทรมาขอยืมเงินซึ่งก็บอกไปตามความจริงว่ามี..แต่ให้ไม่ได้ เพราะของเก่ายังไม่ได้คืนเลย ก็จบไป

            แต่หลังจากนั้นมานั่งนึกถึงตัวเองเมื่อสักสิบปีผ่านมาแล้วครับ ผมเองเคยเป็น "คนล้มเหลว" มาก่อน แต่ก่อนก็ผ่านมันมาได้ ก็เลยอยากจะแชร์ ให้หลาย ๆ ท่านได้อ่านกันครับ ลองอ่านเล่น ๆ ผ่าน ๆ ตาดูละกันครับ

            คนเรามันจะรู้ค่าของเงินหนึ่งบาทก็ตอนที่เรามีเงินอยู่ห้าบาทนั้นแหละครับ ผมเป็นคนประเภทที่ทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลังมาก่อน สมัยหาเงินเองได้ ก็เที่ยวไปเรื่อย กินเหล้า ติดเด็กคาราโอเกะ (ของเขาดีจริง ๆ) สมัครบัตรเครดิตเป็นว่าเล่น ยิ่งมียิ่งรูด พอถึงวันหนึ่ง มันเหมือนคนเพิ่งตื่น เพิ่งได้สติ ทำไมกรูมีหนี้ตั้งสองแสนกว่าบาทวะ ไปทำอะไรมาบ้างวะเนี่ย แทบไม่เป็นผู้เป็นคน

            โดนเค้าทวงทั้งทางโทรศัพท์ มาหาที่บริษัท โอย สารพัดจะอาย ไหนจะโดนเพื่อนรักกันโกงเงินที่กู้มาจะทำธุรกิจไปอีก จำได้ไหมสมัยก่อนมีการหิ้ว nokia 8210 มาจากฮ่องกง ราคาแบบแจ่มมาก ผมโดนเพื่อนโกงไปอีกแสน สรุปเบ็ดเสร็จ เป็นหนี้เกือบสามแสน ตอนนั้นกินเงินเดือนหมื่นสี่ ประมาณนี้ เครียดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

            คิดฆ่าตัวตายหนีปัญหาตั้งหลายครั้ง ผมเก็บตัวอยู่คนเดียวเกือบปี ทนไม่ไหว ไปสารภาพกับพ่อแม่ผม ท่านไม่ได้ว่าอะไรผมเลย แค่บอกว่า "คนเราไม่มีทางที่มันจะสำเร็จไปได้ทุกอย่าง มีเรื่องให้เจ็บบ้างก็ดีแล้ว จะได้เป็นบทเรียน พ่อกับแม่ไม่มีเงินก้อนจะช่วยใช้หนี้ให้หรอก แต่พ่อกับแม่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้ในทุก ๆ ครั้งที่ลูกล้มลงอีก"

            ผมก็ได้สติว่าไม่มีเวลาให้เรามานั่งเศร้าสนิมสร้อยอีกแล้ว ผูกเองก็ต้องแก้เอง ผมก็เลยมานั่งวางแผนเลยว่ามีเงินเข้าเท่าไหร่ รายจ่ายอันไหนต้องจ่ายก่อนหลังอย่างไร ใช้เงินทุกอย่างให้มีประโยชน์ที่สุด อย่าไปหนีคนทวงหนี้ โทรไปหามันแทนบอกว่า มาช่วยกรูคิดหน่อยว่าจะใช้หนี้กันยังไง เมื่อก่อนเคยแต่หลบ ไม่เคยจ่าย ตอนนี้มาเลย จะให้เดือนละพันจนกว่าจะหมด เอาไหม

            เอาทำสัญญากัน อันไหนประนอมหนี้ได้ ก็ว่ากันไป รายจ่ายส่วนตัวที่เคยใช้ก็ตัดออกให้หมด ค่าเหล้า ค่าบุหรี่ ค่าโทรศัพท์หาแฟน (เลิกไปซะหากเขาไม่เข้าใจเรา) ค่าเสื้อผ้า ค่าภาษีสังคมต่าง ๆ ตอนนั้นผมก็เป็น engineer อยู่ คนนับถือก็เยอะ แต่ผมก็ต้องบอกไปตรง ๆ ว่า อย่าให้ซองผมเลย ผมไม่มีตังค์ใส่ ขอไปช่วยลงแรงแทนแล้วกัน

            อายก็อาย แต่ก็ต้องทำ ลูกน้องมาขอยืมตังค์ ร้อยนึงยังไม่มีให้มันเลยครับ เอาข้าวมากินเองทุกวัน ให้แม่ทอดไข่ แกง เกิง อะไรก็แค่กินได้ อายไหมที่ต้องมานั่งกินข้าวอยู่คนเดียว อายครับ แต่ก็ต้องทำ จากที่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างออกมาขึ้นรถเมล์ไปทำงาน ก็ปั่นจักรยานเอา ประหยัดวันละยี่สิบ เดือนหนึ่งก็หกร้อยนะเอ้า

            เดินผ่านร้านลูกชิ้นของโปรด ไม้ละห้าบาท ยังซื้อกินไม่ได้เลย เพราะในกระเป๋าเอามาเฉพาะค่ารถเมล์ สามบาทห้าสิบเท่านั้น ผมมีเงินเหรียญห้าสิบสตางค์ เหรียญสลึงอยู่ ก็เอามาใช้ซะ ตอนจ่ายค่ารถเมล์แรก ๆ ก็อาย แต่ก็ต้องทำ

            ผมบังคับตัวเองไม่ให้มีรายจ่ายที่ไม่จำเป็นอยู่อย่างนี้ สองปีครับ หนี้ผมเหลือห้าหมื่นกว่าบาท พอดีถูกหวยไปได้งานใหม่ เงินเดือนเยอะกว่าเดิมสองเท่า ทีนี้ทุกอย่างก็สบายขึ้นครับ สองเดือนต่อมาหนี้ก็หมด คิดในใจก็บอกตัวเองว่า เราจะไม่ให้มันเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว หลังจากนั้นมาเงินทุกสตางค์ที่ผมมีผมก็ใช้อย่างรู้คุณค่ามาตลอด บัตรเครดิตยังใช้อยู่ แต่จ่ายเต็มทุกครั้ง ไม่ปล่อยให้มันได้ดอกเบี้ยเราอีก

            จนทุกวันนี้ผมบอกกับตัวเองว่า หากไม่ได้มีโอกาสผ่านเรื่องราวร้าย ๆ ในอดีต ผมก็คงไม่รู้ค่าของเงิน เหมือนในปัจจุบันนี้หรอกครับ ผมภูมิใจในตัวเองมาก ไม่ได้ภูมิใจที่ใช้หนี้หมด แต่ภูมิใจที่ทำให้พ่อกับแม่ ปลื้มใจที่เราเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตัวเองได้สำเร็จ ผมก็เก็บเรื่องนี้เป็น masterpiece ไว้คอยสอนน้อง สอนหลาน พร้อมกับเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า จะใช้เงินอย่างไรมันขึ้นอยู่กับเรา ชีวิตเราเราจะเลือกซ้ายหรือขวามันก็อยู่ที่เรา เลือกทางเดินให้เหมาะสมกับตัวเองดีที่สุด

            แต่หากเป็นปัจจุบันนี้ อยากได้อะไรก็คงจะต้องเก็บเงินก่อน ไม่ซื้อเสื้อผ้าสักสองเดือน ไม่ซื้ออย่างอื่นที่เราอยากได้ หรือไปหางานพิเศษทำ มีหลายคนในนี้ที่เก็บตังค์จากการทำงาน KFC ไปซื้อหูฟังที่อยากได้ ทำอย่างนั้นท้องเราก็ไม่ต้องหิว แถมยังภูมิใจที่ได้มาด้วยความพยายามอีกต่างหาก ผมขอโทษหากทำให้กระทู้มันหดหู่ไปด้วยเรื่องความหลังของผม แค่อยากจะเอาประสบการณ์มาให้ท่านอื่น ๆ ได้เป็นบทเรียน หากท่านใดไม่เห็นด้วยกับมุมมองของผม ก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ...

            "ไม่มีทางที่วันของเรามันจะมืดไปตลอดหรอก สักวันมันต้องสดใสแค่เราอดทนรอแค่นั้นเอง"


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #97 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2013, 09:30:52 pm »
5 เรื่องที่คนรวยคิดไม่เหมือนกับคนทั่วไป

-http://money.sanook.com/166896/5-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%9B/-

มาดูกันว่า 5 เรื่องที่คนรวยคิดไม่เหมือนกับคนทั่วไป นั้นมีอะไรกันบ้าง

1. คนทั่วไปเน้นการออม คนรวยเน้นสร้างรายได้ - ในปี 2012 คนอเมริกันโดยเฉลี่ยมีรายได้ปีละ $38,000 ถ้าออมได้ 10% สิ้นปีเราก็จะมีเงินเหลือ $3,800 แต่เราจะไม่รวยขึ้นจริง ๆ จัง ๆ ขึ้นมาจากการทำแบบนั้น (เราต้องหารายได้ให้มากขึ้น) ... ความจริงแล้วคนรวยก็ออม แต่เขาเน้นที่การสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นก่อน ซึ่งสัดส่วนของเงินออมจะสูงขึ้นมาก (โดยเฉพาะถ้าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่น้อยลง)

2. คนทั่วไปมองการเริ่มธุรกิจส่วนตัวว่าเป็นความเสี่ยง แต่คนรวย (และคนที่มีโอกาสรวย) จะมองเป็นเส้นทางสู่ฐานะที่มั่งคั่ง - คนทั่วไปมองเงินมองด้วยสมการเส้นตรง เช่น สมมติทำงานได้ชั่วโมงละ $X ถ้ายอมทำงานเยอะขึ้น ก็จะได้เงินมากขึ้น แม้แต่ผู้ที่มีการศึกษาดี ก็คิดว่าการเรียน MBA จะช่วยให้ได้เงินมากขึ้น (ก็จริง แต่ก็เป็นการมองแบบเส้นตรงเช่นกัน คือให้เวลากับการเรียน เพื่อสุดท้ายจะเอาวุฒิไปต่อรองรายได้ให้มากขึ้น) ... ส่วนคนรวยจะมองที่ไอเดีย โดยเฉพาะไอเดียที่จะช่วยแก้ปัญหา (และตอบโจทย์ความต้องการ) ของผู้คนได้ และทำเงินจากเรื่องเหล่านี้ ... แต่ถึงกระนั้น คนรวยก็ไม่ได้กระโดดเข้าใส่ไอเดียอย่างไม่ลืมหูลืมหา เขาจะศึกษาความเสี่ยงอย่างดีก่อนที่จะลงมือทำ

3. คนทั่วไปมองเงินทองด้วยอารมณ์ แต่คนรวยจะมองด้วยเหตุผล - คนทั่วไปมักจะกลัวที่จะขาดทุน/เสียเงิน เมื่อจะทำอะไรใหม่ ๆ แต่คนรวย (และที่มีโอกาสรวย) จะมองเงินว่าเป็นเครื่องมือที่นำมาซึ่งทางเลือกและโอกาส

4. คนทั่วไปตั้งเป้าหมายอย่างเลื่อนลอย แถมยังผัดวันประกันพรุ่ง ส่วนคนรวยจะตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและยืดมั่นจริงจังกับเส้นตาย - คนทั่วไปอาจลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างแบบสะเปะสะปะ แต่คนรวยจะจดจ่อจริงจังอยู่กับธุรกิจเพียงอย่างเดียวที่กำลังปลุกปั้นอยู่ในตอนนั้น และทำทุก ๆ ทาง (ขอให้เป็นทางที่ชอบธรรม) เพื่อให้สำเร็จตามเวลาที่ตั้งใจไว้ (ถ้าทำงานแรกไม่สำเร็จซะที ยอมผัดไปเรื่อย ๆ ก็จะปิดโอกาสในการเริ่มทำงานต่อ ๆ)

5. คนทั่วไปใช้ชีวิตเกินฐานะที่แท้จริง แต่คนรวยใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะ - ถึงจะมีคนรวยมาก ๆ บางราย ที่แสดงการใช้ชีวิตอย่างสุดหรู (To be fair, อาจจะต่ำกว่าฐานะจริง ๆ ของเขาก็ได้ เช่น มีเงินพันล้านเหรียญ แต่ยังนั่งเฟิร์สคลาส ซึ่งก็หรูแล้วสำหรับคนทั่วไป ส่วนอีกคนมีร้อยล้านเหรียญ ก็มี private แล้ว) ... แต่คนรวยโดยทั่วไป ใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะที่แท้จริง ... คนรวยส่วนใหญ่ (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด - เพราะเราจะเห็นแต่ชีวิตของคนรวยบางส่วนที่เขาแสดงให้เห็นต่อสาธารณะ ส่วนคนรวยที่รวยเงียบ ๆ เราก็จะไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ไม่ใช่ไม่มีอยู่) จะไม่ไหลไปตามกระแสวูบวาบ พวกเขาต้องการอิสระทางการเงิน และจะไม่เป็นทาสของสิ่งต่าง ๆ

เนื้อหานี้แปลมาจากบทความ "5 Ways Rich People Think Differently From the Rest of Us" ของ Michele Lerner ซึ่งเป็นการสรุปจากหนังสือ "How Rich People Think" ของ Steve Siebold

Credit : Thailand investment forum


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #98 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2013, 06:10:39 pm »
สังเกตก่อนใช้...ตู้เอทีเอ็มปลอดภัย ไร้เครื่องสกิมเมอร์ฉกข้อมูล
-http://hilight.kapook.com/view/93328-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

            บ่อยครั้งที่เราได้ยินข่าวมิจฉาชีพลอบติดตั้งเครื่องสกิมเมอร์ในตู้เอทีเอ็ม เพื่อขโมยข้อมูลในบัตรเอทีเอ็มของผู้ใช้งานแล้วกดเงินออกไปใช้เอง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องสูญเงินไปฟรี ๆ อย่างน่าเจ็บใจ แต่ถ้าเราลองสังเกตดูตู้เอทีเอ็มที่เราจะเข้าไปใช้ทำธุรกรรมสักนิด ก็อาจพอช่วยป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของกลุ่มโจรไฮเทคเป็นรายต่อไปได้ แน่นอนว่ากระปุกดอทคอมมีคำแนะนำมาฝากกันด้วย


ก่อนอื่นมารู้จักเครื่องที่มีชื่อว่า "สกิมเมอร์" (Skimmer) กันก่อน

            สกิมเมอร์ เป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ชิ้นเล็ก ๆ ที่คนร้ายสร้างขึ้นด้วยการนำแถบแม่เหล็กวงจรถอดรหัส และวงจรหน่วยความจำมาประกอบเข้าด้วยกัน สามารถพกพาได้ และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ จากนั้นนำไปติดตั้งไว้ที่ช่องรูดบัตรของตู้เอทีเอ็ม

            เมื่อมีคนนำบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเครดิตมารูด หรือสอดบัตรเข้าช่องเสียบบัตร แล้วกดรหัส ตัวแถบแม่เหล็กของสกิมเมอร์ก็จะบันทึกข้อมูลแล้วส่งไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ หรืออาจส่งข้อมูลต่อไปถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ของมิจฉาชีพเลยก็ได้ จากนั้นหน้าจอเอทีเอ็มอาจแสดงข้อความว่า "ขออภัย เครื่องไม่สามารถทำรายการได้" หรือ "ท่านทำรายการเรียบร้อยแล้ว กรุณารับเงิน" ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องอ่านบัตรปลอมที่ใช้

            เมื่อมิจฉาชีพขโมยข้อมูลจากบัตรเอทีเอ็มและรหัสผ่านไปแล้ว ก็จะนำข้อมูลนั้นไปสร้างบัตรปลอมที่มีข้อมูลในแถบแม่เหล็กเหมือนกับบัตรจริง ซึ่งสามารถนำไปกดเงิน หรือรูดซื้อสินค้าได้เหมือนบัตรจริงทุกประการ ทั้งนี้ คนร้ายบางคนอาจไม่นำข้อมูลไปทำบัตรปลอม แต่นำข้อมูลไปขายต่อในอินเทอร์เน็ตอีกทอดก็มี


แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าตู้เอทีเอ็มตู้ไหนปลอดภัย ไร้สกิมเมอร์?

            เนื่องจากมิจฉาชีพมักซ่อนเครื่องสกิมเมอร์ไว้อย่างแนบเนียนมาก ดังนั้น การตรวจสอบอาจทำได้ไม่ง่ายนัก แต่อย่างน้อยก็มีแนวทางที่จะช่วยให้เราสังเกตเบื้องต้น เพื่อดูว่าตู้เอทีเอ็มนั้นเสี่ยงต่อการใช้งานหรือไม่ นั่นก็คือ

            ตรวจดูสิ่งผิดปกติรอบตู้เอทีเอ็มก่อนใช้งาน เพื่อดูว่ามีกล้องตัวเล็กซุกซ่อนอยู่หรือไม่ โดยมิจฉาชีพอาจติดกล่องใส่ใบปลิวไว้บริเวณเครื่อง เพื่อใช้ซ่อนกล้อง ถ้าพบเห็นกล่องใส่ใบปลิวแปลก ๆ ไม่ควรใช้เครื่องดังกล่าว และควรแจ้งให้ธนาคารทราบทันที

            ตรวจสอบบริเวณที่สอดบัตร หรือตรงแป้นกดตัวเลขว่ามีอุปกรณ์แปลกปลอมติดอยู่หรือไม่ หากสังเกตเห็นอุปกรณ์แปลกปลอม ให้รีบแจ้งให้ธนาคารทราบ

            ลองขยับหรือโยกอุปกรณ์ต่าง ๆ ของตู้เอทีเอ็มดู เพราะหากมีตัวสกิมเมอร์ติดอยู่ การโยกอาจจะทำให้ตัวสกิมเมอร์หลุดออกมาได้ เนื่องจากปกติแล้ว คนร้ายจะไม่ติดตั้งเครื่องนี้ไว้อย่างแน่นหนาเท่าใดนัก เพราะต้องถอดเครื่องสกิมเมอร์ไปใช้ติดตั้งตู้อื่น ๆ ด้วย

            หากเครื่องเอทีเอ็มเกิดขัดข้อง และบัตรติดอยู่ในเครื่อง ให้รีบแจ้งธนาคารเพื่ออายัดบัตรทันที เพราะการที่เครื่องขัดข้องอาจเป็นเล่ห์กลของคนร้ายที่ใช้เศษไม้ หรือไม้จิ้มฟันใส่เข้าไปในช่องอ่านบัตร เพื่อให้บัตรของผู้ใช้บริการติดอยู่ที่เครื่อง แล้วจะทำทีเข้ามาช่วยเหลือกดรหัสให้

            หากใส่บัตรไปในเครื่องแล้วไม่มีไฟกะพริบรอบช่องเสียบบัตร ควรเปลี่ยนไปใช้ตู้อื่น เพราะตู้นั้นอาจมีการติดตัวสกิมเมอร์ไว้ดูดข้อมูล


            นอกจากนี้ เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ลองมาดูวิธีการใช้เครื่องเอทีเอ็มอย่างปลอดภัยกัน โดยเราควรจะต้อง...

            ตรวจสอบบริเวณเครื่องเอทีเอ็มที่จะเข้าไปใช้ว่ามีบุคคลต้องสงสัยอยู่หรือไม่ หากพบ ให้เปลี่ยนไปใช้เครื่องอื่น

            ใช้มือบังแป้นกดรหัสส่วนตัวขณะทำรายการ เพื่อไม่ให้ใครที่อยู่ข้าง ๆ หรือกล้องที่มิจฉาชีพแอบติดตั้งไว้มองเห็นรหัสส่วนตัวของเรา

            ใช้ลำตัวบังหน้าจอ ยืนประชิดกับตัวเครื่อง ขณะทำรายการ เพื่อไม่ให้คนที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังมองเห็น
 
            พยายามใช้เครื่องเอทีเอ็มเครื่องที่เคยใช้เป็นประจำ เพราะหากเกิดความผิดปกติขึ้นเราจะสังเกตเห็นทันที

            พยายามเลือกใช้เครื่องเอทีเอ็มที่ตั้งอยู่ในที่ปลอดภัย มีคนพลุกพล่าน ในที่มีแสงสว่าง ไม่ใช่ที่เปลี่ยว เช่น ในสาขาของธนาคาร หรือตามร้านค้าที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพราะสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านจะทำให้คนร้ายยากที่จะนำกล้องมาติดตั้งเพื่อแอบดูรหัสส่วนตัว

            หากพบความผิดปกติของเครื่อง ให้กดปุ่ม "ยกเลิก" เพื่อยุติการทำธุรกรรมนั้นทันที แล้วเปลี่ยนไปใช้เครื่องอื่น

            หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องเอทีเอ็มที่มีข้อความ หรือป้ายที่แจ้งเตือนว่า ข้อความแนะนำการใช้เครื่องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อความถูกติดเหนือช่องรับบัตร เนื่องจากธนาคารไม่มีนโยบายที่จะติดข้อความหรือป้ายประกาศใด ๆ บนเครื่อง โดยเฉพาะกรณีที่มีการดัดแปลงเครื่อง

            เก็บสลิปข้อมูลการใช้บัตรเอทีเอ็มทุกครั้ง เพื่อไว้ใช้เปรียบเทียบกับรายการเดินบัญชีประจำเดือนของคุณ

            ไม่ควรรีบร้อนทำธุรกรรม ควรเก็บบัตรและธนบัตรเข้ากระเป๋าเงิน หรือกระเป๋าถือให้เรียบร้อยก่อนเดินออกจากบริเวณเครื่อง

            หลีกเลี่ยงการใช้รหัสบัตรเอทีเอ็มที่เดาง่าย เช่น เลขตอง เลขสวย เลขที่เรียงกัน รวมทั้งเลขที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัว เช่น เลขวันเกิด ทะเบียนรถ อายุ ฯลฯ ควรตั้งรหัสให้เดายาก โดยทั้ง 4 หลัก ไม่ควรจะเป็นเลขซ้ำกัน เพื่อให้การสุ่มหมายเลขรหัสบัตรทำได้ยากขึ้น

            ควรเปลี่ยนรหัสบัตรเอทีเอ็มเป็นประจำ และให้รีบเปลี่ยนรหัสบัตรทันทีเมื่อมีบุคคลอื่นทราบรหัสบัตรของคุณ เพราะคุณไม่ควรให้ใครรู้รหัสเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือตำรวจ

            ควรจำกัดวงเงินการถอนในแต่ละวันไว้ โดยแจ้งไปยังธนาคาร เพื่อที่หากมิจฉาชีพได้นำบัตร หรือรหัสของคุณไปกด จะยังคงรักษาเงินไว้ได้บางส่วน

            ลองจดจำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ จะได้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพในยุคไอที !


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
เดลินิวส์
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=193379-

, ธนาคารกรุงเทพ
-http://www.bangkokbank.com/BangkokBankThai/WebServices/YourSecurityFirst/Howyouprotectyourself/Pages/HowtosafeguardyoursecuritywhenusingATM.aspx-

, ธนาคารกสิกรไทย
-http://www.kasikornbank.com/TH/ServicesChannel/SearchServiceChannel/ElectronicMachines/Pages/KATM.aspx-

-------------------------------------------------------------------------

แนะนำวิธีสังเกตตู้เอทีเอ็มที่ต้องสงสัยว่าจะมีเครื่องสกิมเมอร์ติดตั้งอยู่ เพื่อเฝ้าระวังภัยก่อนเงินของเราจะเกิดการสูญหาย
วันศุกร์ 8 พฤศจิกายน 2556 เวลา 11:24 น.
-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=193379-














เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ภายหลังจากมีคนร้ายชาวต่างชาติติดตั้งเครื่องสกิมเมอร์ในตู้เอทีเอ็ม ก่อนลักข้อมูลบัตรไปกดเงินจนเสียหายไปเป็นเงินหลายแสน แต่ยังมีหลายคนที่ไม่รู้จักเจ้าเครื่องดังกล่าวว่ามีวิธีการทำงานอย่างไร จึงเสนอข้อมูลไว้ให้เป็นประโยชน์ รวมทั้งวิธีสังเกตุสิ่งผิดปกติก่อนจะเสียบบัตรที่ตู้เอทีเอ็ม

วิธีสังเกตในการใช้บริการตู้เอทีเอ็ม คือก่อนใช้บริการทุกครั้ง ควรตรวจสิ่งดูผิดปกติ เช่น มีกล่องประชาสัมพันธ์ กล่องใส่ใบปลิว ติดที่หน้าตู้ ซึ่งเป็นการโฆษณาอื่นที่ไม่ใช่ของธนาคารหรือไม่ เพราะอาจจะมีกล้องตัวเล็กถูกซุกซ่อนไว้แอบถ่ายอยู่ จากนั้นก็ลองขยับหรือโยกอุปกรณ์ของตู้ได้ ถ้าไม่เป็นมาตรฐานของธนาคารมันจะหลุดออกมา เนื่องจากปกติมิจฉาชีพจะไม่ติดตั้งให้แน่นแบบถาวร เนื่องจากต้องถอดเครื่องสกิมเมอร์ไปที่ตู้อื่นด้วย

แต่ผู้มาใช้บริการบางรายอาจจะมาทำธุรกรรมที่ตู้ด้วยความเร่งรีบจนลืมระมัดระวัง ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดที่พอจะช่วยสังเกตุถึงความผิดปกติได้คือ ตู้เอทีเอ็มของทุกธนาคาร ก่อนที่จะเสียบบัตรจะต้องมีไฟกะพริบล้อมรอบช่องเสียบบัตรทุกครั้ง ดังนั้นถ้าไม่มีไฟกะพริบปรากฏให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจมีเครื่องดูดข้อมูล จึงควรเปลี่ยนไปใช้ตู้อื่น เพื่อความปลอดภัย

สำหรับ เครื่องสกิมเมอร์ (skimmer เครื่องดูดหรือกวาดข้อมูล) นั้น เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่คนร้ายสร้างขึ้น โดยนำเครื่องอ่านแถบแม่เหล็ก วงจรถอดรหัส และวงจรหน่วยความจำมาประกอบเข้าด้วยกัน สกิมเมอร์มีหลายขนาดตั้งแต่เท่ากับกล่องใส่รองเท้าไปจนถึงขนาดเท่าซองบุหรี่ที่คนร้ายซ่อนไว้ในอุ้งมือได้ ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จึงสามารถพกพาได้สะดวก เมื่อนำบัตรเครดิต (หรือบัตรเดบิตเช่นบัตร ATM) มารูด สกิมเมอร์จะอ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็กและนำไปเก็บไว้ในหน่วยความจำ สกิมเมอร์ที่มีหน่วยความจำน้อยจะเก็บข้อมูลบัตรเครดิตได้ 50 ใบ ส่วนสกิมเมอร์ที่มีหน่วยความจำมากอาจเก็บข้อมูลได้หลายหมื่นใบ และเมื่อลักลอบดูดข้อมูลจากบัตรเครดิตไปแล้ว คนร้ายก็จะนำไปสร้างบัตรปลอมซึ่งมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกเรียกว่า “บัตรสี” เป็นบัตรเครดิตปลอมที่มีสี มีลวดลาย และมีตัวพิมพ์นูนเหมือนของจริงทุกอย่าง รวมทั้งมีข้อมูลในแถบแม่เหล็กอย่างถูกต้องอีกด้วย บัตรแบบนี้สามารถนำไปใช้ได้ทุกแห่งเช่นเดียวกับบัตรจริง บัตรปลอมอีกแบบเรียกว่า “บัตรขาว” เป็นบัตรพลาสติกสีขาวมีเพียงแถบแม่เหล็กเก็บข้อมูล ซึ่งเพียงพอที่จะนำไปใช้ในหลายๆ แหล่ง เช่นนำไปกดเงินสดจากตู้ ATM หรือนำไปใช้กับร้านค้าที่ทุจริต คนร้ายบางคนไม่ทำบัตรปลอม แต่นำข้อมูลบัตรของเราไปขายในอินเตอร์เน็ตก็มี
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #99 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2013, 04:34:53 pm »
โครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบใหม่ เริ่มใช้ ปี 2557








คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)