ผู้เขียน หัวข้อ: “มะเร็งเม็ดเลือดขาว” รักษาหายขาด...หากตรวจพบเร็ว  (อ่าน 2133 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
“มะเร็งเม็ดเลือดขาว” รักษาหายขาด...หากตรวจพบเร็ว
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2555 เวลา 00:00 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/224/104152-



โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย เป็นโรคที่หลายคนรู้จักและเชื่อว่าเป็นโรคมะเร็งร้ายแรง รวมทั้งอยู่ค่อนข้างไกลตัว แต่ความจริงแล้วโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวนี้เป็น 1 ใน 10 อันดับแรกของมะเร็งที่พบบ่อย และปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นโรคนี้มากขึ้น โดยสามารถเกิดได้ทุกเพศ ทุกวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยชรา ดังนั้นหากใครที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงควรพบแพทย์เพื่อตรวจพบได้เร็วและรักษาให้หายขาด...

ศ.นพ.สุรพล อิสรไกรศีล ผู้อำนวยการศูนย์โลหิตวิทยากรุงเทพ โรงพยาบาลวัฒโนสถ ให้ความรู้ว่า ในระบบเลือดของเรานั้นมีเม็ดเลือด 3 ชนิด คือ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ซึ่งเม็ดเลือดแดงจะทำหน้าที่นำออกซิเจนจากอากาศที่เราหายใจที่ปอดไปเลี้ยงเซลล์ เนื้อเหยื่อ และอวัยวะต่างๆ ส่วนเม็ดเลือดขาวทำหน้าที่เหมือนทหารที่คอยต่อสู้ป้องกันและทำลายเชื้อโรค และเกล็ดเลือดมีหน้าที่ทำให้เลือดหยุดเวลามีเลือดออก เม็ดเลือดมีคุณสมบัติ 2 อย่าง ได้แก่ มีจำนวนที่พอดีไม่มากหรือน้อยไปและต้องโตเป็นหนุ่มเป็นสาวที่จะทำงานได้

หากพูดถึงมะเร็งระบบเลือดมี 3 โรคใหญ่ๆ ได้แก่ 1.มะเร็งเม็ดเลือดขาว 2.มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และ 3.มะเร็งไขกระดูกหรือเอ็มเอ็ม ถ้ารวมมะเร็ง 3 ตัวนี้จะพบคนไข้มาเป็นอันดับ 1 มากกว่ามะเร็งเต้านมและมะเร็งปอด ซึ่งมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia) เกิดจากความผิดปกติของตัวอ่อนเม็ดเลือดขาว โดยมีการเพิ่มจำนวนอย่างไม่มีขีดจำกัด ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก มะเร็งเม็ดเลือดขาว แบ่งเป็น 2 ชนิด คือชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง ซึ่งชนิดเฉียบพลัน คือเม็ดเลือดขาวตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเป็นตัวแก่ได้ จนไปรบกวนการสร้างเม็ดเลือดปกติในไขกระดูก ทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดง เกล็ดเลือด และเม็ดเลือดขาวปกติน้อยลง เมื่อเม็ดเลือดแดงน้อยลงก็ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ส่วนเม็ดเลือดขาวเมื่อน้อยลงก็เกิดการติดเชื้อ และเกล็ดเลือดมีน้อยก็ทำให้เลือดออกง่าย สำหรับชนิดเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีจำนวนเม็ดเลือดขาวในเลือดสูง และเพิ่มจำนวนขึ้นมากทำให้ไปอยู่ที่ต่อมน้ำเหลือง ทำให้มีต่อมน้ำเหลืองโตหรือมีม้ามโต

สาเหตุของการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวไม่มีใครทราบ แต่ชนิดเฉียบพลันมีการศึกษาว่าเกิดจากการได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ด้วยการเปรียบเทียบคนไข้กับคนปกติพบว่ามีความต่างกัน เช่น ในกลุ่มที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะอยู่ใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง ใช้โทรศัพท์มือถือนานๆ บ่อยๆ ซึ่งไม่สามารถอธิบายว่าเป็นสาเหตุโดยตรง แต่ว่ามีความเกี่ยวพันธ์กัน สำหรับชนิดเรื้อรัง โดยเฉพาะชนิดที่เรียกว่า ซีเอ็มแอล (CML) เป็นที่ทราบกันดีว่าเกิดจากกัมตรังสี เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นขณะมีสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการทิ้งระเบิดปรมาณู หลังจากนั้นผู้ที่อยู่ในเมืองฮิโรชิมา นางาซากิ เป็นโรค มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังซีเอ็มแอลกันมาก

โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวจัดเป็นโรคร้ายแรงหากรักษาไม่ทันท่วงทีหรือรักษาไม่ถูกต้องอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติซึ่งอาการชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรังจะแตกต่าง เช่น ถ้าเป็นชนิดเฉียบพลันจะเกิดเร็ว ได้แก่ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีด อ่อนเพลียง่าย มีเลือดออกง่าย เพราะมีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ เช่น มีเลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัวหรือมีประจำเดือนมากผิดปกติในผู้หญิง  ติดเชื้อง่าย มีไข้ เพราะมีจำนวนเม็ดเลือดขาวน้อยลงไม่สามารถทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคได้ ส่วนชนิดเรื้อรังจะเกิดช้าและไม่ค่อยมีอาการ แต่หากไปตรวจเลือดจะพบว่าเม็ดเลือดขาวมีจำนวนมาก หรือบางคนอาจจะมาพบแพทย์ด้วยการคลำเจอก้อนที่ท้องด้านซ้ายหรือบางคนกินข้าวอิ่มเร็วเพราะม้ามโตไปเบียดกระเพาะ หรือบางคนมีต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ หรือตับ ม้าม โต เพราะเม็ดเลือดขาวปกติไปสะสมอยู่

อย่างไรก็ตามโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวสามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการแพทย์ในปัจจุบัน โดยมีแนวทางในการรักษา 3 วิธีคือ การให้ยาเคมีบำบัด ใช้รักษาสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน โดยให้ยาเคมีบำบัดเป็นชุด ประมาณ 1-2 ชุด จนโรคสงบแล้ว จึงให้ยาอีกชุดเพื่อป้องกันไม่ให้โรคกลับมาใหม่ ซึ่งการให้ยาเข้าเคมีบำบัดเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งได้เกือบหมด แต่จะให้หายไปหมดนั้นคงไม่ได้ เพราะอาจจะไปทำลายสเต็มเซลล์ในไขกระดูกของเราด้วย ฉะนั้นโดยทั่วไปถ้ามีเซลล์มะเร็งเหลือซักประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ถือว่าเกือบหมดแล้ว ต่อไปวิธีที่ 2 การปลูกถ่ายไขกระดูก ถือเป็นวิธีรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการนำไขกระดูกของพี่น้องพ่อแม่เดียวกันที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันมาให้จะทำให้มะเร็งหายขาด และการให้ยาในกลุ่ม Tyrosine Kinase Inhibitor ซึ่งวิธีที่ 3 นี้ใช้สำหรับรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง

โดยเฉพาะชนิดซีเอ็มแอล ปัจจุบันมียาผลิตขึ้นมาใหม่ เป็นยารับประทานที่ได้ผลดีมาก โดยในโรคที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง พบว่าการที่มีการสร้างเม็ดเลือดขาวที่เพิ่มจำนวนขึ้น เป็นผลจากการที่มีความผิดปกติของโคโมโซมหนึ่งทำให้มีการสร้างโปรตีนที่ผิดปกติตัวหนึ่งทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว จึงมีการผลิตยาที่ไปยับยั้งการสร้างโปรตีนตัวนี้ ทำให้การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวแตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง เพราะปกติผู้ที่เป็นโรคนี้หลังจากวินิจฉัยแล้วพบว่าภายใน 3-5 ปีก็จะเสียชีวิต แต่ปัจจุบันแทบจะไม่เสียชีวิตเลยและสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นปกติ

การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวให้ได้ผลดีนั้นจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยโรคที่แน่นอนเพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างทันท่วงที รวมทั้งทักษะและความชำนาญของทีมแพทย์ ความพร้อมของสถานที่และเครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งที่ศูนย์โลหิตวิทยากรุงเทพ โรงพยาบาลวัฒโนสถ ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ที่สำคัญมีศูนย์ปลูกถ่ายไขกระดูกที่สามารถรักษาผู้ป่วยด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูกโดยไม่ต้องส่งต่อไปที่อื่น มีการเตรียมเลือดและส่วนประกอบของเลือดที่ปลอดภัยสูงสุด

ดังนั้นหากใครที่สงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือไม่ ลองสังเกตอาการดูว่ามีอาการอย่างที่ระบุไว้ข้างต้นหรือไม่อย่างไร เพื่อนำไปสู่การตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่รวดเร็ว เพราะหากเราตรวจพบเร็วก็จะได้รับการรักษาที่ถูกต้องและหายขาดจากโรคร้ายนี้.

ทีมวาไรตี้

.........................................................................

เคล็ดลับสุขภาพดี - “ฉีดโบท็อกซ์” สวยปลอดภัย ต้องใส่ใจคุณภาพ

ปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) และฟิลเลอร์ (Filler) เพราะเป็นทางเลือกให้หนุ่มๆ สาวๆ ยุคใหม่ได้ใช้เพื่อเสริมบุคลิกภาพ ปรับแต่งความสวยหล่อได้โดยไม่ต้องผ่านมีดหมอ แต่อย่างไรก็ตาม การฉีดโบท็อกซ์ควรเลือกทำในสถานพยาบาลที่มีคุณภาพมาตรฐานเพื่อได้ความสวยงามมาอย่างปลอดภัยทั้งนี้นายแพทย์จักกฤษณ์ อัครเศรณี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เศรณีคลินิก ให้ความรู้ว่า BOTOX หรือ โบท็อกซ์ เป็นชื่อย่อทางการค้าของสาร Botulinum Toxic A ที่เกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดคลายตัวชั่วคราว ดังนั้นจึงมีการนำโบท็อกซ์มาใช้กันอย่างแพร่หลายในเรื่องของความงาม เพื่อลดรอยเหี่ยวย่นของผิวหนังในบริเวณที่มีปัญหา เช่น หน้าผาก, ระหว่างคิ้ว และมุมปาก เพื่อช่วยให้ริ้วรอยที่มีนั้นเรียบเนียนขึ้นและผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ สำหรับการฉีดเพื่อปรับแก้ไขรูปหน้าปรับแต่งรูปหน้าให้เรียวสวยนั้นก็สามารถทำได้หลายกรณี เช่น การปรับรูปหน้าให้เรียว มุมปากยกขึ้น ปีกจมูกเล็กลง อีกทั้งยังสามารถฉีดเพื่อควบคุมต่อมเหงื่อใต้วงแขนเพื่อควบคุมการผลิตเหงื่อให้น้อยลงและลดการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ใต้วงแขนด้วย ระยะเห็นผลจะอยู่ที่ประมาณ 3-7 วันหลังการฉีด และจะอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือน โดยที่สามารถฉีดซ้ำได้เมื่อกล้ามเนื้อกลับสู่สภาพเดิม แต่อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ในบางรายอย่าง เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ คันบริเวณที่ฉีด

ส่วน ฟิลเลอร์ (Filler) คือการฉีดสารเติมเต็มในบริเวณที่คนไข้ต้องการ โดยเป็นสารสังเคราะห์ ที่เรียกว่า Hyaluronic Acid (HA) ซึ่ง HA ซึ่งเป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่มีอยู่ในผิวหนังของเรา จึงไม่ใช่สารแปลกปลอมที่จะเป็นอันตราย โดยมักนิยมฉีดในจุดต่างๆ เพื่อรักษาหรือความงาม เช่น การเติมร่องรอยจากแผลเป็น รอยหลุมสิว หรือในแง่ความสวยงาม เช่น การแก้ไขรูปหน้า การฉีดยกกระชับหน้าย้อนวัย การเติมร่องแก้ม เติมร่องลึกใต้ตา หรือแม้แต่กระทั่งการฉีดเสริมจมูก เพื่อทำให้จมูกดูเป็นสันสวยงามเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการฉีดเสริมจมูกนั้นจะเหมาะมากกับผู้ที่ไม่ต้องการทำศัลยกรรม ไม่ต้องการเจ็บตัวมาก หรือแม้แต่ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ไซนัสก็สามารถฉีดได้ ซึ่งข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ คือ ใช้เวลาไม่นาน หลังทำเสร็จ สามารถกลับมาทำงาน ใช้ชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องพักฟื้น ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการทำศัลยกรรมและต้องการสวยดูดีแบบเป็นธรรมชาติ

นอกจากจะฉีดฟิลเลอร์เพื่อสร้างความสวยงามแล้วยังสามารถช่วยแก้ไขรูปจมูกที่มีปัญหาจากการทำศัลยกรรมได้ด้วย เช่น ทำสันจมูกใหม่ ในกรณีที่แท่งซิลิโคนเบี้ยว แก้ไขปัญหาปลายจมูกเชิด ด้วยการฉีดปลายหยดน้ำ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน โดยระยะเวลาที่สารฟิลเลอร์จะคงอยู่สภาพนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัวยา โดยทั่วไปจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปีต่อการฉีด 1 ครั้ง แต่การฉีดทั้งโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ อาจก่อให้เกิดโทษได้ ดังนั้นก่อนการฉีดควรศึกษาข้อมูลของคุณภาพมาตรฐานสารที่ฉีดด้วย เพื่อป้องกันของปลอมหรือของเลียนแบบที่จะก่อให้เกิดผลข้างเคียงกับผิวหน้าของเราและควรปรึกษาแพทย์และฉีดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

ความสวยเป็นสิ่งที่เราสามารถเลือกได้ แต่ต้องยอมเสียเวลาในการศึกษาหาข้อมูลและตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานนั้นๆ เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพนะคะ

.........................................................................

สรรหามาบอก

-คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับมูลนิธิฮีโมฟิเลียแห่งประเทศไทย จัดงานสัมมนาพบปะสังสรรค์ผู้ป่วยฮีโมฟิเลียและโรคเลือดออกง่ายพันธุกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 14 ในหัวข้อ “ลดช่องว่าง การรักษา เพิ่มคุณค่าให้ชีวิต” “Close the Gap” ในวันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2555 เวลา 08.30-14.30 น. ณ ห้องประชุมตรีเพ็ชร ชั้น 15 อาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ โรงพยาบาลศิริราช จึงขอเชิญญาติและผู้ป่วยที่สนใจเข้าร่วมงาน สอบถามโทร.0-2419-4419

-โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ร่วมกับ บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานสัมมนา เรื่อง “กรดไหลย้อน (GERD) ในชีวิตประจำวัน ตอน ความเครียด กับอาการแสบร้อนกลางอก” ในวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม 2555 เวลา 13.30 –15.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 17 อาคาร Lifestyle Building โรงพยาบาลเทพธารินทร์  ท่านที่สนใจเข้าร่วมงานติดต่อได้ที่โทร.0-2322-3222 (ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น)

-โรงพยาบาลนครธน ขอเชิญร่วมฟังบรรยายให้ความรู้ ในหัวข้อ “การดูแลผู้ป่วยเบาหวานโดยแพทย์ทางเลือก เรียนรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน” โดย นพ.ศิต เธียรฐิต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก ในวันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2555 เวลา 14.30-16.00 น. ณ ไทยเมดิคอลสปา ชั้น 12 โรงพยาบาลนครธน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่โทร.0-2450-9999

-โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ร่วมกับ วัดบวรนิเวศวิหาร จัดผ้าป่าสามัคคี เพื่อนำรายได้สมทบทุนดูแลพระภิกษุสงฆ์ สามเณรอาพาธ และผู้ป่วยสามัญของโรงพยาบาล พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์ โดยมีกำหนดทอดผ้าป่าในวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2555 เวลา 13.30 น. ณ ตึกภปร.ชั้นล่าง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จึงขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคีได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2555 บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2256-4505, 0-2256-4382

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)