ผู้เขียน หัวข้อ: แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง  (อ่าน 5299 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
« เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 06:41:49 pm »
แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
PI: Ἱ?ը?á?٫Р?ѹ˅??ҧ

๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม



๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม

๕. ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๔๐ ขุม



๖. ล้อมรอบตาปนมหานรก ๔๐ ขุม



๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๔๐ ขุม



๘ . ล้อมรอบอเวจีมหานรก ๔๐ ขุม


รวมเป็น ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม เฉพาะในที่นี้ จักขอกล่าวถึงชื่อแห่งยมโลกนรกเพียง ๑๐ ขุม
ซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอกของมหานรกขุมที่ ๑ คือ สัญชีวมหารก แต่เพียงทิศเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ยมโลกนรกที่ล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอกของมหานรกขุมอื่น ๆ ก็ดี ยมโลกนรกเหล่านี้ทั้งหมด
ต่างก็มีชื่อและมีวิธีการลงโทษเหมือน ๆ กันกับยมโลกนรกทั้งหลายที่จะกล่าวต่อไปนี้

http://pi.eng.src.ku.ac.th/mod/forum/discuss.php?d=853&parent=4777
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 19, 2015, 10:45:47 pm โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 06:42:47 pm »
โลหะกุมภี ๑.

กุมภีแปลว่าหม้อ หรือแปลมีหม้อโลหะใหญ่ ตามศัพท์หนังสือท่านเขียนว่าหม้อทองแดง
หรือมีหม้อทองแดงใหญ่โตมหึมา ใหญ่เท่า ๆ กับสัตว์ที่จะลงนรกขุมนี้ ถ้ามีสัตว์ที่จะลงนรกมาก
หม้อก็ใหญ่มาก มีสัตว์ลงนรกน้อย หม้อใหญ่ก็น้อยหดลง ดีเหมือนกัน นรกตามใจคน
นรกไม่ขัดใจนคน พอมีคนมากก็ขยายออกไปให้ใหญ่มีคนน้อยก็ขยายให้น้อยได้
ในหม้อทองแดงนี้มีน้ำทองแดง น้ำเป็นน้ำโลหะที่ถูกเคี่ยวจนเดือดพล่าน

ท่านเคยเห็นคนที่เขาหล่อพระพุทธรูปหรือหล่อหล่อมโลหะไหม? เขาจะเคี่ยวทองเหลือหรือทองแดงหรือว่าโลหะ
เคี่ยวไปจนเป็นน้ำ แล้วก็เทลงไปในเบ้าหลอม สภาพของน้ำทองแดงก็เป็นอย่างนั้น
แต่ว่ามีความร้อนแรงยิ่งกว่าน้ำทองแดงหรือทองเหลืองที่เราเห็นกัน มันแรงมากกว่าเรียกว่ามีความร้อนจัด
และมีความรัดตัวมากกว่า เพราะเป็นน้ำทองแดงของนรก บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มีโทษปาณาติบาตเหลือเป็นเศษของกรรม
เศษนะ นายนิริยบาลก็เอาหอกมาเสียบแล้วก็โยนลงเทลงหม้อทองแดง

หม้อทองแดงเป็นน้ำเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ถูกความร้อนจากเหล็ก ถูกความร้อนจากไฟ
เผาผลาญอยู่อย่างนั้น ขึ้นปากหม้อแล้วก็จมลงไปก้นหม้อ จมลงไปก้นหม้อแล้วก็ไหลขึ้นมาปากหม้อ
วนเวียนกันอยู่แบบนี้ไม่มีเวลาจำกัด จนกว่าจะหมดเศษกรรมเรื่องปาณาติบาต มนุษยเราชอบพูดกันนักว่า
สัตว์ทั้งหลายเกิดมาก็เป็นอาหารของคน สัตว์ทุกตนรักชีวิตของตัวเวลาที่เราจะเข้าไปจับ
หรือเวลาที่เราจะไปฆ่ามันจะดิ้นรนเพื่อหาอิสรภาพ ไม่ต้องการให้ใครมาฆ่าหรือทำร้ายมัน

ถ้าบุคคลผู้นั้นไม่ได้เจตนาหรือจงใจ เช่นบังเอิญเราเดินไปเหยีบบ้าง หรือเวลายุงมันมากัดเรา ๆ
รำคาญก็เอามือไปลูบไปแตะเพื่อให้ยุงมันหนีไป แต่บังเอิญเจ้ายุงมันตระกระกินมากไปบินไปไม่ไหว
ตัวมันอ่อน ไปถูกเข้าตายโดยบังเอิญ เราไม่มีเจตนาฆ่าให้มันตาย อันนี้ไม่มีโทษต้องลงยมโลกยนรก
ลงโลกหะกุมภี ทั้งนี้เพราะว่าเราไม่ได้มีเจตนา

เป็นอันว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นจะลงนรกได้ต้องมีเจตนา ถ้าท่านอยากลงนรกขุมนี้ ก็เชิญฆ่าสัตว์ด้วยเจตนา
ถ้าไม่อยากจะมาก็ให้มีเมตตาปราณีเข้าไว้ ทรงพรหมวิหาร ๔ มีเมตตาในพรหมวิหาร ๔ หรือทรงวิหาร ๔ ทั้งหมด
นรกยมโลกียนรกขุมนี้ ท่านไม่ได้บอกอายุไว้ ไม่บอกว่าตกกี่วันกี่ปีกี่เดือน แต่ว่านานเหลือเกิน
อย่าลืมนะ พอลงไป ๑ ขุม อย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้าตรัสไป ๒ - ๓ องค์ ก็ยังไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย
----------------------------------------------------------------------


สิมพลีนรก ๒.

สิมพลีนรก นรกต้นงิ้ว เป็นต้นงิ้วยักษ์มีพิษมาก และเป็นต้นงิ้วที่ไม่มีใบมีแต่กิ่งกับหนาม ปุ่มเล็ก ๆ นิดเดียวอยู่รอบของต้น
หนามงิ้วยาว ๑๖ องคุลีนรก ( ไม่ใช่องคุลีมนุษย์เรา) ยาวมาก ใหญ่มาก มีสภาพเป็นสปริงมันเกาะอยู่กับต้นธรรม
มีความคมเป็นกรด เวลามีคนมีบาปขึ้นไป มันมีอาการพุ้งตัวแทงให้ทะลุหลังขึ้นไปได้ มันไม่นอนนิ่ง ๆ
มันเด้งได้เหมือนสปริงที่เราทำเก้าอี้ พอเวลานั่งก็ยบลงไป เวลาลุกก็ฟูขึ้นมา ดูคล้าย ๆ กับมันมีชีวิต
แต่จริงๆ แล้วมันไม่มีชีวิต แต่มันรู้ว่าคนที่มีความชั่วขึ้นไป ไปกระทบตัวมัน ๆ ก็จะพุ่งแทงทันที
เลือดของคนมีบาปแดงฉานลงมา นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับลงโทษ พวกคนชั่วใจชั่วเจ้าชู้ไม่เลือก
ไม่รู้จักว่าผัว เมียใคร ลูกใคร ข้าทาสหญิงชายของใคร

เรื่องนี้ไม่ได้บังคับแต่เฉพาะว่า ผัวใครเมียใครหรอก แม้แต่ลูกของเขา ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปรกครอง
คือบิดามารดา แม้ว่าเจ้าตัวเขาจะยินยอมก็ตามที ไม่ได้ต้องลงโทษ ต้องมานรกขุมนี้
ข้าทาสหญิงชายของบุคคลอื่นหรือบุคคลที่อยู่ในปกครอง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปรกครองแล้วไปร่วมรักกันเข้า
ท่านกล่าวว่ามีโทษตกนรกขุมนี้

เอาละมาดูว่าที่นรกขุมนี้มีอะไรบ้างทำอย่างไรกับสัตว์นรกนี้บ้าง โคนต้นงิ้วจะมีนายนิริยบาลถือหอกใหญ่โตมาก
มีความคม แล้วก็มีสุนัขคอยยื้อและกัดสัตว์ใจบาป และบนยอดงิ้วก็มีแร้งมีกาตัวใหญ่ ๆ ปากเป็นเหล็กคอยรออาหารอยู่
ต้นงิ้วในนรกขุมนี้ดูสะพรั่งไปหมด และไม่มีต้นไหนเลยที่จะว่างเว้นจากสัตว์นรกเลย มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไต่ไปบนต้นกันยั้วเยี้ยไปหมด
คนที่ยังไม่ขึ้น นายนิริยบาลก็เอาหอกเสียบเข้าให้ สัตว์นรกเหล่านั้นต้องตระเกียกกระกายขึ้นไป
ถ้าไม่ไต่ที่สูงขึ้นไปก็จะถูกหอกแทงซ้ำดันขึ้นไป หนามก็บาดเลือดก็โทรมบรรดาหนามทั้งหลายก็พุ่งหน้าพุ่งหลังพุ่งข้างตัว
ดูเลือดฉานไปหมด ร้องครวญครางกันเป็นตับเสียงระงมไปหมด

เมื่อสัตว์เหล่านั้นไต่ขึ้นไปจนถึงยอดก็ถูกแร้งกาปากเหล็กจิกกินเนื้อบ้าง ตีด้วยปีกบ้าง ข่วนด้วยเล็บบ้าง
อดรนทนไม่ไหวไต่ลงมาข้างล้าง นายนิริยบาลก็เอาหอกยันเข้าไว้ และสุนัขใหญ่ก็กระโจนเข้ากัดอีก
กินเนื้อแทะถึงกระดูก เมื่อกระดูกล่อนไม่มีเนื้อแล้วก็มีเนื้อเต็มร่างขึ้นมา นายนิริยบาลก็เอาหอกยันให้ไต่ขึ้นไปใหม่
วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นกรรม

ท่านทั้งหลายผู้หญิงหรือผู้ชาย อย่าคิดว่าไปยุ่งกับคนอื่นแล้วไม่มีโทษ ถ้าเมียเขาหรือสามีเขาไม่อนุมัติแล้ว
อย่าเชียว มาแน่ นรกต้นงิ้วนี่มาแน่ แล้วเวลากลับก็ไม่มีเวลากลับที่แน่นอน...
----------------------------------------------------------------------


อสินขนรก ๓.

อสินขนรก นรกขุมนี้มีสัตว์คอยกัดกินอยู่ตลอกเวลา ตามบาลีท่านกล่าวว่ามีสุนัขตัวใหญ่คล้าย ๆ ช้างคอยกัดกินสัตว์นรก
สำหรับโทษของนรกขุมนี้ท่านกล่าวว่าเป็นโทษอทินนาทาน ความจริงโทษอทินนาทานก็ดี
โทษปาณาติบาตก็ดีก่อนที่จะมานรกขุมนี้ ต้องไปเสวยนรกขุมใหญ่เสียก่อนไม่ขุมใดก็ขุมหนึ่ง เพราะเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐
สำหรับกาเมสุเมจฉาจารนี่ ก็คิดว่าเหมือนกันต้องไปลงนรกขุมใหญ่ก่อนแล้วมายุมโลกีนรก มันเนื่องด้วยกรรมบถ ๑๐ เหมือนกัน
คือ กรรมบถ ๑๐ ก็มี ปาณษ อทินนา กาเม ๓ อย่างนี้มีอยู่ในกายกรรม ฉะนั้นท่านที่ระเมิดกรรมประเภทนี้ต้องไปนรกขุมใหญ่ขุมหนึ่ง
หรือว่าสองขุมสามขุม แล้วผ่านนรกบริวาร จึงมาไล่เบี้ยเฉพาะในยมโลกีนรกนี่อีกใหม่ นรกขุมนี้ไม่มีอะไรวิจิตรพิสดารอะไร
จะมีนายนิริยบาลคอยควบคุมอยู่ และสุนัขตัวใหญ่ คล้าย ๆ ช้าง คอยไล่กัดตลอดเวลา ครั้นสัตว์นรกเหล่านั้นวิ่งหนีสุนัขก็จะไปเจอ
กับนายนิริยบาลเอาหอกเสียบแทงบ้าง ใช้ค้อนทบบ้าง สุนัขก็กัดกินสัตว์นรก กินจนเหลือแต่กระดูก พอเหลือถึงกระดูกก็เจ็บแสบนัก
ขึ้นชื่อว่าความตายไม่มี สัตว์นรกไม่มีการตาย แม้ชั่วครึ่งวินาทีก็ไม่ตาย ความรู้สึกตัวนี่ไม่มีสำหรับสัตว์นรก
ถ้ายิ่งถึงกระดูกสัตว์แทะกระดูกก็ยิ่งเจ็บหนัก พอมันของกระดูกหมดแล้วก็ปรากฏว่ามีเนื้อหนังขึ้นมาตามเดิมลุกขึ้นวิ่งหนีสัตว์
นายนิริยบาลก็ไล่ทุบไล่แทงอีก บรรดาสัตว์ทั้งหลายก็ไล่ต้อนกัดกินอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
ทั้งนี้ก็เพราะโทษของการชอบขโมยทรัพย์สินของชาวบ้าน คดโกงเขาบ้าง จี้ ปล้น เรียกว่าหาทรัพย์สินมาได้โดยไม่ชอบธรรม ฯลฯ
----------------------------------------------------------------------

ตามโพทนะนรก๔.
นรกขุมนี้มีหม้อเหล็กแดงแล้วก็เคี่ยวน้ำทองแดงไว้เต็ม คอยรอสัตว์ใจบาปหยาบช้าทั้งหลาย
นรกขุมพิเศษขุมนี้สำหรับสัตว์ที่ดื่มสุราและเมรัย เรียกว่าของที่ทำให้ใจของเรานี้ฟั่นเฟือนด้วยอำนาจการเสพติด
จะเป็นสุราเมรัยที่เป็นน้ำ หรือเป็น กัญชา เฮโรอิน อะไรก็ตาม ที่ทำให้มีความมึนเมาสติสัมปชัญญะเคลื่อน
นี่นายนิริยบาลท่านไม่ถือ ท่านได้ต้อนรับด้วยการเลี้ยงดูปูเสือด้วยน้ำกระทองแดงอยู่แล้ว นรกขุมนี้มีไฟแดงฉาน
พื้นข้างล้างเป็นพื้นเหล็กเเดง ไฟเผาจนแดงโชน บริเวรนั้นจะมีหม้อทองแดงที่เคี่ยวน้ำทองแดง
ไว้เกลื่อนกลาดไปหมด พอดีกับปริมาณของคนที่ลงมาในนรกขุมนี้ เรียกว่าจะขาดจะเกินนั้นไม่มี
ลงมาเท่าไรหม้อทองแดงเกิดเท่านั้น นายนิริยบาลจะจับสัตว์นรกเหล่านั้นให้นอนนบแผ่นเหล็กที่มีไฟเผ่โชน เห็นพรือยัง
บังคับให้นอน ถ้าไม่นอนก็ขวานบ้าง หอกบ้าง ค้อนบ้าง ทุบลงไป แทงลงไป ฟันลงไป ต้องนอน
ถ้นดินรนขัดขืนจะมีคนจับหัวจับท้ายจับหัวกดห้ามดิ้น ลองคิดดูว่าไฟก็เผา เหล็กก็แดงโชนเป็นเปลวเพลิงแล้วไหม้ทั้งกายอยู่แล้ว
แล้วนี่มานอนลงไปอย่างนั้นมันจะแสบปวดร้อนแค่เพียงใด สัตว์นรกทุกตัวทุกตนดิ้นร้องกระวนกระวาย น่าสงสาร
เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายนอนลงแล้ว เขาก็เอาหม้อที่มีน้ำทองแดงเคี่ยวไว้ดีแล้วมีกระแสเปลวเพลิงขึ้นมาพรึ่บ ๆๆ เต็มหม้อ
เอาคีมงัดปากให้สัตว์นรกเหล่านั้นอ้าปาก เมื่ออ้าปากแล้วก็กรอกด้วยน้ำทองแดง น้ำทองแดงเข้าปาก ปากพัง ไหลไปถึงคอ
คอพัง ไหลไปถึงอก อกพัง ไหลไปถึงท้อง ท้องพังหมด ร่างกายสลายหมด แต่สัตว์ทั้งหลายไม่ตาย
เมื่อร่างกายสลายตัวไปแล้วก็กลับเป็นตัวเป็นตนเหมือนเดิม ปับเดียว เป็นคนบริบูรณ์ไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ ตามเดิม
แล้วก็ถูกนายนิริยบาลกรอกอยู่อย่างนนั้น จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ถ้าจะถามว่าเวลากฏของกรรมเป็นกี่วัน กี่เดือน
กี่ปีของเมืองนรกก็ตอบไม่ได้เพราะเขาไม่ได้บอกไว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 19, 2015, 11:21:48 pm โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 06:43:45 pm »
อาโยฬะนรก ๕.

นรกขุมนี้มีก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาด พื้นก็เป็นเหล็กเผาจนแดงเหมือนกัน มีไฟเผ่ตลอดเวลา
ในบริเวรของพื้นที่เป็นเหล็กเผาจนแดงโชน ก็มีก้อนเหล็กกลม ๆ คล้าย ๆ ลูกกระสุนปืนใหญ่โบราณ
วางแดงอยู่เกลือนไปหมด และก็มีไฟเผาสุกอยู่เหมือนกัน นรกขุมนี้มีไว้เป็นที่ลงโทษสัตว์นรกคือ นักบุญ????
คือนักบุญประเภทที่มีการเรี่ยไรบอกบุญ เขามีไว้เฉพาะนะ เมื่อลักขโมยเขาก็มี ว่าไว้เรื่องหนึ่ง
ที่นี่มาว่าถึงนักบุญที่มีการเรี่ยไร มีการบอกบุญ จะเป็นพระเป็นเณรเป็นเถรเป็นชีเป็นฆราวาสเป็นทายกทายักอะไรก็ตาม
มีการลงโทษเหมือนกัน เวลาบอกบุญเวลาเรี่ยไรเขามาแล้ว

บอกว่าจะสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างถนน สร้างส้วม สร้างกุฏิ สร้างหอสวดมนต์ อะไรก็ตาม เป็นเรื่องของบุญก้แล้วกัน
เมื่อบอกมาแล้ว เวลาได้มาแล้วไม่ยักเอาไปทำหมด บางทีก็กันเสียหมดเลย หรือไม่ก็ถึงแค่ครึ้ง ตัวเองเสียครึ้งหนึ่งอย่างนี้
หรือว่าบางรายบอกเรี่ยไรเขามาได้แล้ว แต่เอามาแบ่งสรรปันส่วนกันก่อน ว่านี่ค่าจ้างของฉัน นี่ค่าอาหาร นี่เป็นค่าเครื่องดืม
นี่เป็นค่าเหล้า เมื่อเราเรี่ยไรให้แก่วัด เราก็ต้องกินของวัด แต่ความจริงจะกินแค่อาหารอีกทั้งบุหรี กาแฟตามความจำเป็น
อันนี้ก็เห็นว่าไม่น่าเป็นอะไร แต่ทว่าจะต้องตกลงกันไว้กับเจ้าอาวาสเสียก่อน หรือบรรดาคณะสงฆ์เสียก่อน
แต่ว่าถ้าจำเป็นไปถึงสุราเมรัยละก็ อันนี้ไม่เป็นเรื่องแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะอภัยกันได้ ระวังกฏของกรรมเขาจะลงโทษเอาเข้าให้นะ

นรกขุมนี้ปรากฏว่าก้อนทองแดงหรือเหล็กแดงที่เผาโชนมีเปลวไฟไปด้วยกฏของกรรมบังคับอยู
่ แทนที่สัตว์นรกเหล่านั้นจะเห็นเป็นก้อนเหล็ก สัตว์เหล่านั้นก็จะเห็นว่าเป็นชิ้นเนื้ออันโอชะ เกิดความหิวความกระหายอย่างหนัก
วิ่งเข้าไป แย่งกันกิน เพราะเห็นว่าเป็นก้อนเนื้ออย่างดีมีกลิ่นหอม พอวิ่งเข้าไปถึงก็แย่งกันเอาก้อนเหล็กแดงเข้าใส่ปาก
เคี่ยวกินก้อนเหล็กแดงไม่ใช่สีแดง มันแดงเพราะความสุกของไฟ พื้นที่วิ่งลงไปก็มีไฟตลอดเวลา
คือบริเวรที่วิ่งลงไปนั้นเดินไปอยู่นั้นนะ มีไฟทั้ง ๔ ทิศตลอดเวลาพุ่งเข้าหากัน พื้นข้างล้างก็เป็นแผ่นเหล็กแดงโชนก้อนเหล็ก
ที่กินเข้าไปก็เป็นก้อนเหล็กที่เผาแดงโช
น เมื่อกินก้อนเหล็กแดงเข้าไปพอถึงปาก ปากพัง ถึงคอ คอพัง ถึงอก อกพัง ถึงท้อง ท้องพัง ล้มลงถึงแก่ความตาย
แต่ความจริงไม่ตาย มีความรู้สึกแต่กระดิกกระเดี้ยไม่ไหว เมื่อกระดิกกระเดี้ยไม่ไหว ก็ปรากฏว่ามีการทรงกายตามเดิม

เมื่อมีการทรงกายตามเดิมก็ลุกขึ้นมีความหิวจัด กฏของกรรมมันบังคับให้หิว เรื่องของความจำว่าไอ้อาหารก้อนนี้มันเป็นก้อนเหล็ก
ที่เผาไฟจนแดงนั้น ไม่มีความจำเลย เพราะเป็นกฏของกรรมบังคับ เกิดความหิวขึ้นมาอีก ถูกไฟเผาทั้ง ๔ ทิศ ข้างล้างก็เป็น
พื้นเหล็กที่เผาจนแดงโชนร้อน แต่ความหิวบัวคับให้วิ่งเข้าไปหาก้อนเหล็กแดงใหม่ กินเข้าไปแบบนั้น ทำอยู่อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา
จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม ท่านที่เป็นนักเรี่ยไรจงระวังให้ดีอย่าได้มาที่นี่ก็แล้วกัน
----------------------------------------------------------------------


ปิสสกปัพพตะนรก ๖

สำหรับนรกขุมที่ ๖ แห่งนมโลกียนรกนี้ มีชื่อว่าปิสสกปัพพตะนรก นรกขุมนี้แปลว่าภูเขา
บริเวรของนรกขุมนี้ทั้งหมดมีกำแพง ๔ ด้านกั้น  เป็นบริเวรใหญ่มาก แล้วจากกำแพง ๔ ด้านนั้น
ก็มีไฟพุ่งเข้ามาส่วนกลาง พุ่งเข้ามาทั้ง ๔ ทิศแล้วในบริเวรกำแพงนั้น
มีบรรดาสัตว์นรกกลาดเกลื่อน นรกขุมนี้ดูแล้วมีคนมากจริง ๆ มากไม่น้อยหน้าขุมอื่น ๆเลย
กลาดเกลื่อนไปหมด
นอกจากมีกำแพงกั้นแล้วก็มีภูเขาเหล็กใหญ่มหึมาไม่ใช่ภูเขาหิน แล้วไม่ขรุขระเหมือนหินธรรมดาบนภูเขา
เรียกว่าเหล็กก้อนใหญ่คล้ายภูเขา เท่า ๆ ภูเขาเป็นเหล็กก้อนใหญ่เท่า ๆ ภูเขา
แล้วเหล็กนี่ก็ถูกเผาจนแดงโชน
มีอยู่ ๔ ทิศด้วยกันประสานกัน กลิ้งเข้ากลิ้งออก กลิ้งออกแล้วกลิ้งเข้าอยู่ตลอดเวลา

แล้วบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็พากันถูกบดขยี้ไปด้วยภูเขาเหล็กทั้ง ๔ ทิศ
จะวิ่งหนีไปทางไหนนะไม่มีโอกาส แสงไฟที่พวยพุ่งเข้ามาก็มีความแรงมาก ถูกเข้าที่ไหนพังที่นั้น
พอพังแล้วเป็นเนื้อเต็มตามเดิม เรียกว่าการหมดไปสูญไปตายไปไม่มีสำหรับสัตว์นรก เป็นแดนทรมาน
เรียกว่าจะมีความสุขสักหายใจเข้าครึ้งท้องไม่ เรียกว่าหายใจเข้าไม่ต้องเต็มท้อง
ไม่ต้องถึงที่สุดของลมหายใจ ดึงลมหายใจเข้าไปสักนิดหนึ่งจัดว่าเป็นความสุข
เวลานั้นไม่มี ถูกไฟเผา ถูกภูเขาบดขยี้ตลอดเวลา
กาลเวลาสำหรับในนรกขุมนี้ก็ไม่ทราบชัดเหมือนกันว่าเวลาเท่าไร
ท่านบอกว่าจะต้องเสวยผลไปจนกว่าจะหมดกฏของกรรม ระยะของกรรมชั่วนี้เขาให้เวลาเท่าไหร่ไม่ทราบ
นรกขุมมีไว้ลงโทษ พวกช้อราชบังหลวง พวกทุจริตหาประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่คำนึงว่าถูกหรือผิด
พวกชอบรีด พวกคดโกง สำหรับคนพวกนี้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ชอบไปรีดเขา
เมื่อตายไปแล้วจึงต้องให้นรกรีดให้บ้าง ทับบดขยี้ให้แบนราบแล้วก็ยังมีไฟเผาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาอีกด้วย

...ถ้าท่านไม่กลัวก็เชิญนะ.....

----------------------------------------------------------------------

ธุสะนรก ๗

ธสะนรกขุมนี้ เป็นแม่ใหญ่ น้ำใสแจ๋ว สะอาดสะอ้านดูแล้วรื่นรมย์เหลือเกิน น่าโดดเล่น
บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่ลงนรกต่าง ๆ มาแล้ว ถูกไฟเผาผลาญมีความร้อน นับเวลาไม่ได้
ก็รู้สึกทุรนทุรายต้องการน้ำ คือความกระหายน้ำ ต้องการจะอาบน้ำให้สบายตัวสบายกาย
เมื่อเดินทางมาใกล้ถึงนรกขุมนี้แล้ว มองเห็นน้ำใสสะอาดมีความเย็นสดชื่นตา
ต่างก็วิ่งรี่เข้าไปหาแม่น้ำเพราะความหิวน้ำ เพราะความร้อนบังคับ

เมื่อถึงแม่น้ำแล้วก็วิ่งกรู ต่างก็กระโดดลงไปหวังจะดื่มกินไปพร้อม ๆ กันกับเล่นน้ำให้ชุ่มชื่นใจ แต่ที่ไหนได้
พอโดดลงไปแล้วก็ปรากฏว่าน้ำในนั้นแห้งหมด ไม่เหลือ ไม่ปรากฏมีซากของน้ำแม้สักนิดเดียว กลายเป็นแกลบ
น้ำเป็นแกลบหิน แกลบเหล็ก แล้วแกลบนั้นก็กลายเป็นไฟกรดลุกโพลง แกลบแดงโชนเป็นเหล็กแดง
ไฟเผาผลาญ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างก็วิ่งกันพลุกพล่าน

ถ้าวิ่งขึ้นมาบนของแม่น้ำ ก็ถูกนายนิริยบาลยันลงไปด้วยหอกบ้าง ตีลงไปด้วยค้อนบ้าง
ให้ลงไปบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้นก็มีแต่ทุกขเวทนา วิ่งไปวิ่งมา วิ่งมาวิ่งไป
แกลบก็เป็นแกลบเหล็กเผาไฟแดงโชนอย่างนี้ได้รับทุกข์ทรมานน่าสลดใจยิ่ง

นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับคนประเภท ชอบคดโกงหลอกลวงชาวบ้าน จะเป็นกรณีใด ๆ ก็ตาม
เมื่อลงไปสู่นรกขุมใหญ่แล้ว ก็มาผ่านนรกขุมนี้อีก ๑ ขุมเป็นอันว่ายมโลกียนรกนี่
เป็นเศษส่วนหรือเป็นนรกบริวารของนรกขุมใหญ่ เป็นเศษส่วนหนึ่งของนรกขุมใหญ่
หมายความว่ามาเก็บกรรมตามกฏของกรรม นรกขุมใหญ่นะ รวมกฏของกรรม ละเมิดกรรมบถ ๑๐
ร้ายแรงน้อยกว่านรกขุมที่ ๑ ร้ายแรงมากอีกนิดก็นรกขุมที่ ๒ แต่ต้องผ่านบริวาร ร้ายแรงมากก็ลงอเวจี
แต่ทว่ามายมโลกียนรกนี่ มาไล่เบี้ยกฏของกรรมเป็นอย่าง ๆ

ใครทำแบบไหนก็ต้องลงนรกขุมนั้น ๆ โดยเฉพาะ ไม่ใช่ลงโทษรวม เป็นอันว่านรกขุมใหญ่เป็นนรกเป๊ะเจี๊ยะเฉย ๆ
เผาผลาญเฉย ๆ ลงโทษเฉย ๆ ไม่ได้ให้สิทธิออกมาเลย ออกมาแล้วก็มาถูกเก็บขุมนี้อีก
บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายที่มาอยู่นรกขุมนี้ทุกคนเป็นคนไม่ซื่อ ความไม่ซื่อตรงด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม ผ่านนรกขุมใหญ่แล้วก็มาขุมนี้...
----------------------------------------------------------------------

สีตโลสิตะนรก ๘

สีตโลสิตะนรก ชื่อแปลก ในนี้เขาบอกว่ามีน้ำเย็นเฉียบ มาพบนรกน้ำอีกแล้ว นี่ก็แปลกเหมือนกัน นรกน้ำติด ๆ
กัน ๒ ขุมน้ำเย็นเฉียบ ที่นี่สัตว์นรกทั้งหลายต่างก็ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความเย็นของน้ำเป็นสำคัญ
นรกขุมนี้เขามีไว้สำหรับคนที่ขาดเมตตา เมื่อตอนที่เขาเหล่านั้นสมัยเมื่อเป็นมนุษย์นั้น เป็นคนที่ไม่มีเมตตาปรานีใคร
เจอะเป็ดเจอะไก่ เจอะหมู เจอะหมาก็เหวี่ยงลงไปใต้ถุนบ้านบ้าง เหวี่ยงจากที่สูงไปที่ต่ำบ้าง เหวี่ยงลงน้ำบ้าง
เหวี่ยงลงเหวบ้าง หาความเมตตาปรานีไม่ได้

พบสัตว์ที่กินได้หรือไม่ได้ก็ทุบก็ตีเข่นก็ฆ่า เพื่อความสนุกบรรเทิงใจบ้าง ฯลฯ
แต่ว่านรกขุมนี้ไม่ใช่ถึงขั้นฆ่า โยน ไร้ความเมตตา หรือว่าทรมานสัตว์เล่น ไม่ถึงกับฆ่าให้ตาย
นี่ความจริงเขาควรจะไปรวมไว้ในโลหะกุมภี โลหะกุมภีนี่เขาฆ่าสัตว์ให้ตาย แต่ว่านรกขุมนี้
ไม่ได้ทำให้สัตว์ให้ถึงตาย เพียงแต่ไร้ความปรานี ลงโทษสัตว์เล่น เช่นทุบตีบ้าง คือขาดเหตุผล
อย่างคนเราเลี้ยงสุนัขเลี้ยงแมวถ้าปฏิบัติตนไม่ดี ข่มแหงตะกละตะกราม เราตีเพื่อความหวังดี
นี่ท่านไม่ว่าไม่นำมานรกขุมนี้เพราะทำด้วยความอำนาจของเมตตา หากว่าทำไปด้วยอำนาจการขาดเมตตาละก็เอาแน่
นรกขุมนี้ท่านไม่ปล่อย ให้ลอยนวน

วิธีลงโทษของนรกขุมนี้ เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายเห็นน้ำเย็นต่างก็โดดลงไป น้ำเย็นนี่เย็นจริง ๆ มันเย็นยะเยือก
เย็นจับจิตจับใจแล้วกลายเป็นน้ำกรด กัดบาดตัวสัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้น นรกขุมนี้ไม่มีความร้อนมีแต่ความหนาว
เมื่อถูกความแสบของน้ำกรดแล้วก็มีความหนาวเยือกเย็นเข้ามาทับท้วมหัวใจ ทนไม่ไหวต่างก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาบนฝั่ง
นายนิริยบาลก็ใช้หอกแทงสวนไปบ้าง ใช้ค้อนทุบให้ลงไป ห้ามขึ้นเอาค้อนตีให้หล่นลงไป ห้ามขึ้น
แม่น้ำนี้ไม่ยักเป็นแกลบไม่แห่ง มีน้ำ แต่ว่าเป็นน้ำกรดเย็นยะเยือก..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 20, 2015, 08:27:31 am โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 06:44:49 pm »
สุนขะนรก ๙.

สุนขะนรก นรกขุมนี้ไม่ใช่นรกลงโทษหมา แต่หมาลงโทษสัตว์นรกที่นี่ เป็นนรกหมาที่หมาทีอำนาจมาก
มีหมาแยะ หมาที่นี่ตัวใหญ่มาก มีหน้าที่คอยกัดกินสัตว์นรกที่ลงมาในนรกขุมนี้ พื้นก็เป็นเหล็กเผาแดง
มีกำแพงทั้ง ๔ ก็มีไฟพวยพุ่ง จะมีสัตว์นรกเหล่านั้นวิ่งอยู่ในบิเวรของไฟ แล้วก็มีสัตว์ใหญ่ ๆ คือสุนัขอยู่เยอะแยะ
ไล่กัดกินสัตว์นรกเหล่านั้นอย่างไม่มีความปรานี กินเนื้อหมดก็แทะกระดูกเหมือนนรกทุกขุม
เมื่อเนื้อหมดเหลือแต่กระดูกแทะจนหมดมันก็ไม่ตายเนื้อก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก แล้วก็วิ่งหนีหมา
ไฟหรือก็เผา วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าสิ้นกฏของกรรม

นรกขุมนี้เขามีไว้เพื่อลงโทษ พวกคนที่ปากคอเลอะร้าย ด่าไม่เลือก พ่อแม่ก็ด่า ชาวบ้านและพระเณรเถรชีด่าไม่เลือก
นินทราว่าร้ายกล่าวโทษโจษความไม่ดีของบุคคลผู้ทำความดี ใครเขาไม่ได้เลวตามที่ตนว่า
ไอ้ตนเองก็นึกว่าเขาเลวตามตน คนที่จะเห็นว่าบุคคลอื่นเลว ตนต้องเลวตามนั้น เพราะตามธรรมดาคนเรากินอาหาร
ถ้าเราชอบเปรี้ยว ก็นึกว่าชาวบ้านเขาชอบเปรี้ยว ถ้าเราชอบเค็มก็นึกว่าชาวบ้านชอบเค็ม
มักจะปรุงอาหารตามอัธยาศัยของตัว นี่ฉันใด คนประเภทนี้จึงได้มาลงในนรกขุมนี้ไงละ...

----------------------------------------------------------------------

ยันตปาสาณนรก ๑๐

ยันตปาสาณนรก นรกขุมนี้มีภูเขา ๒ ลูก แน่ะมาเจอภูเขาเข้าอีก ๒ ลูกกระทบกัน พอกระทบกันมันหมุนคล้าย ๆ
กับที่หีบอ้อย เครื่องหีบอ้อยที่เขาบีบน้ำนะ มีสะภาพคล้ายกัน หรือที่รีดปลาหมึก ใครเคยเห็นไหม?
ไปดูตามซอกซอยจะเห็นบรรดารถเข็นที่เขามาขายปลาหมึกปิ้งแขวนปลาหมึกเป็นราวหลายชั้นนั
้นแหละไปขอเขาดู แต่ว่าอย่าไปเทียบว่าคงเท่ากับภูเขานี้ มันเทียบกันไม่ได้ ภูเขาในนรกนี้ใหญ่โตมโหราญ
เขามีไว้สำหรับลงโทษสัตว์นรก นรกขุมนี้มีไฟเหมือนกัน แหละก็เป็นเหล็กด้วย ไม่ใช่ภูเขาหิน
ไม่ค่อยมีแง่มีช่องหรอก มันเรียบ ๆ บดเสียติดกัน

นายนิริยบาลก็ไล่ให้บรรดาสัตว์นรกเหล่านั้นให้เข้าไประหว่างภูเขาที่บีบเบียดกันหมุน
กระทบกันอยู่ตลอดเวลา บรรดาสัตว์นรกทั้งหลายฝืนใจเขาไม่ได้นะ จะไปดื้อไปด้านน่ะไม่ได้หรอก
หอกที่มือค้อนใหญ่ที่มือ ทั้งแทงทั้งทุบ มีความเจ็บปวดมากก็เลยต้องวิ่งหนีเข้าไปในซอกภูเขา
ภูเขาก็หมุนกระทบกันบีบเหมือนกับบีบน้ำอ้อยหรือรีดปลาหมึกย่าง ให้แบนแต๊ดแต๋ ทำอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา
แล้วแทนที่จะตายร่างกายก็คงเดิม แล้วก็ถูกไฟเผาอีก ก็ต้องวิ่งเข้ามาทางนี้ให้ภูเขามันบี้มันบดให้อีก
จนกว่าจะสิ้นกฏของกรรม

นรกขุมนี้เขามีไว้เพื่อลงโทษคนใจร้าย ขาดความเมตตาปรานีต่อคู่ครอง เห็นไหมละ ใครล่ะที่ว่า
ผัวฉันเมียฉันมันเป็นสิทธิ์ของฉันจะทำอะไรก็ได้ จะทุบจะตีจะด่าว่าก็ได้ เห็นไหมล่ะ เลยต้องมาลงนรกในขุมนี้
พวกที่ชอบด่าผัว ตีเมียชอบสาปแช่งชักหักกระดูก ด่าด้วยอำนาจความโกรธไร้เหตุผล ไม่ใช่ด่าด้วยความปรานี
การด่าการว่าน่ะมี ๒ อย่าง ด่าด้วยเจตนาดี กับด่าด้วยเจตนาร้าย ว่าด้วยเจตนาร้ายก็ดี หรือเขาเรียกว่าติเพื่อก่อ
ด่าด้วยความหวังดี ตักเตือนด้วยดีแล้วไม่ฟังก็ต้องด่าต้องว่า เพื่อให้กระทบใจแรง เพราะมีนิสัยหยาบ

คนเราเกิดมาในโลกนี้มีนิสัย ๒ อย่าง ถ้าคนมีนิสัยละก็ให้เหตุผล เขาชอบรับฟัง เมื่อเข้าใจในเหตุผลก็ปฏิบัติตามโดยง่าย
แต่ว่าคนที่มีนิสัยหยาบไม่ยังงั้น ไปพูดดี ๆ พูดเพราะ ๆ ให้เหตุผลแก แกไม่ฟัง ดันเข้าใจว่าเขาเกรงกลัวอำนาจแก
ในที่สุดก็ต้องด่า ต้องตีกันแกจึงจะทำ มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าที่เขาพูดไว้ในที่นี้ก็หมายความว่าไม่ได้ด่าได้ตีด้วยความหวังร้าย
ขาดเหตุผล แต่เขาพูดสำหรับคนที่ถือว่าตนมีอำนาจบาทใหญ่ยิ่งกว่าผัวหรือเมีย
อันนี้แหละนรกนี้เขาต้องการบุคคลอย่างนี้ท่านละอยู่ในบุคลลประเภทไหน..



โลกกันตนรก นรกน้ำกรด เย็นสบาย
โลกกันตนรก
นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ นอกจากจะมีมหานรก อุสสุทนรก และยมโลกนรกดังกล่าวมาแล้ว
ยังมีนรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่งซึ่งมีนามว่า โลกันตนรก อันว่าโลกันตนรกนี้เป็นขุมยิ่งใหญ่
แปลกประหลาดกว่าบรรดาขุมนรกทั้งหลายเพราะอยู่ภายนอกจักรวาล สถานที่ตั้งของโลกันตนรกนี้อยู่ในจักรวาล ๓ โลก
ถ้าจะเปรียบให้เห็นเป็นมโนภาพก็เหมือนกับเอาดอกปทุมชาติ ๓ ดอกมาตั้งชิดติดกัน
ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลางจักรวาล ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น

ตรงช่องว่างเว้นอยู่ในระหว่าง ๓ โลกจักรวาลนั้นเอง เป็นสถานที่ตั้งแห่งนรกขุมพิเศษนี้
เพราะฉะนั้น นรกขุมพิเศษนี้จึงมีชื่อว่า โลกันตนรก = นรกขุมนี้พิเศษอันอยู่สุดโลกจักรวาล

ก็ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดมนเป็นยิ่งนัก แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง
เป็นสถานที่อันมืดมนนอนธการ สามารถที่จักห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ
เปรียบปานเช่นกับคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น

สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันนรกนี้ ย่อมมีสภาพแปลกประหลาดพิลึก คือ มีสรีระร่างกายโตใหญ่เป็นยิ่งนัก
ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหลือประมาณ ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว
โดยเอาหัวปักลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์ เปรียบปานดังค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ในมนุษย์โลกที่เราเห็นนี้ฉะนั้น
ครั้นเขาได้ประสบการณ์อันแสนจะทรมานด้วยความมืดมากเช่นนี้ เขาก็ได้เแต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า

อโห ! กรรม ...อโห กรรม....ทำไมตูจึงเป็นอย่างนี้ และ ทำไมตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่จักมีแต่เพียงตูเพียงผู้เดียวกระมังหนา

เขาไม่ได้อยู่แต่เพียงผู้เดียวดอก มีอยู่มากมายที่สัตว์บุคคลทั้งหลายตายแล้วไปเกิดที่มันมืดแสนมืด
มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกโลกันตนรกด้วยกัน และมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเอง
ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกโลกันตนรกไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ
ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องตีนมือแห่งกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าตนมีชะตาผ่องแผ่วโชคดีเจออาหาร
ซึ่งปรารถนาอยากจะกินมานาน จึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มิกิริยาขวนขวายไขว่คว้าฉวยจับกันและกัน
โดยต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหาร
ต่างก็ปล้ำฟัดกันเพื่อจะจับกินเป็นภักษาหารอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือและเท้าที่ใช้
เกาะเชิงชายภูเขาจักรวาลนั้นเลยกันดำดิ่งนรกพลั
ดตกลงไปเบื้องล้าง โดยลักษณะการมีหัวปักดินลงมาและมีตีนชีฟ้า ลอยละลิ้วลงมาอย่างน่าหวาดเสียว

สถานที่เบื้องล่างที่เขาพากันพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่เป็นพื้นที่ธรรมดาโดยที่แท้เป็
นทะเลนำกรดอันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจยิ่งนักครั้นเขากอดคอกันพลัดตกลมา
พอถึงพื้นน้ำกรดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวใจตัวตนร่างกายของเขาก็เปื่อยพังแหลกลาญลงอย่างไม่มีชิ้นดี
ทั้งนี้ก็เพราะว่าถูกน้ำกรดนรกอันมีความเย็นอย่างร้ายกาจนั้นกัดเอาร่างกายอันใหญ่โต
และเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าชังของเขา ถึงความเหลวแหลกละลายเพราะฤทธิ์น้ำกรดไปอย่างรวดเร็ว
ประดุจดังก้อนอุจจาระที่ตกไปในน้ำ

ครั้นแล้วด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดมหัศจรรย์กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างเก่า
ให้รู้สึกหนาวเย็นและเจ็บปวดอย่างลึกเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาล
ด้วยความลำบากยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม

ครั้นตะกายไปพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะตะครุบกันกินด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นภักษาหาร
แล้วก็กอดคอพากันพลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นจนถึงแก่ความตาย และแล้วก็กลับเป็นขึ้นมามาตามเดิมอีก
พวกเขาเฝ้าเวียนตายเวียนเกิดด้วยความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่เช่นนี้ไม่มีวันสิ้
นสุด โน่นแหละชั่วพุทธันดรหนึ่งนั้นแล จึงจะพ้นทุกข์โทษไปจากขุมนรกโลกันต์นี้

ปรากฏมีปัญหาสอดแทรกเข้ามาว่า ได้เคยก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่าจึงต้องมาเป็นสัตว์นรกเหมือนนกค้างคาว
เกาะเชิงเขาจักรวาล ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์ในโลกนตนรกนี้?

ผีนรกเหล่าโลกันต์นี้ ได้เคยประกอบอกุศลกรรมอันร้ายกาจและหยาบช้าลามกนัก คือ
เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ได้เคยทำการประทุษร้ายทรมานบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตน
เพราะเหตุที่เป็นคนปราศจากกตัญญูกตเวทีมีตามืดบอดมองไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง
เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีเตะถีบและด่าทอเอาตามอัธยาศัย อีกประการหนึ่งนั้นไซร้ได้เคยประกอบกรรมอันชั่วหนักไว้
คือ ประทุษร้ายพิฆาตท่านผู้ทรงศีลทรงธรรมไม่นำพาต่อบาปบุญคุณโทษคล้ายกับเป็นคนวิกลจริตเ
ป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นมนุษย์มีรูปทรงสุดสง่าดีกว่าหมูหมาเป็ดไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากมายนัก

แม้มีใจรักในการทำบาป จึงก้มหน้าทำแต่บาปทุก ๆ วัน เช่นกระทำปาณาติบาตหรือทินนาทาน
ก็ทำมันทุกวันไป ครั้นแตกกายทำลายขันธ์แล้ว อำนาจอกุศลกรรมอันหนักและแกร่งกล้าเช่นนั้น
จึงพลันให้วิบากชักนำให้ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีสภาพมืดบอดนอนธการอยู่เป็นนิตย์
ต่อเมื่อใดองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติในโลกเรานี้แล้ว

เมื่อนั้นโลกันตนรกนี้ จึงมีโอกาศปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นนิดหนึ่งชั่วฟ้าแลบ
หรือชั่วระยะมาตรว่าสักลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ตามที่พรรณนามานี้แล้ว คือสภาพแห่งนรก โลกันตนิรยภูมิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 19, 2015, 11:25:43 pm โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 06:45:51 pm »
สรุปทิ้งท้าย

บรรดาขุมนรกทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายก็คงจะเห็นได้แล้วว่ามีอยู่มากมานหลายขุม
เมื่อมีมากมายหลายขุมอยู่ ก็เป็นการยากลำบากแก่การที่จักจำได้ง่าย ๆ ฉะนั้น ในที่นี้เพื่อความเข้าสะดวกแก่การจดจำ
จึงจักขอเวลานำเอาจำนวนนรกทั้งหมดมากล่าว ซ้ำไว้อีกสักครั้งหนึ่ง ดังนี้

๑. มหานรก ๘ ขุม

๒. อุสสุทนรก ๑๒๘ ขุม

๓ ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม

๔. โลกันตนรก ๑ ขุม

รวมเป็นนรกทั้งสิ้น ๔๕๗ ขุม เหล่าสัตว์ที่ไปอุบัติเกิดเป็นสัตว์นรก ในขุมนรกเหล่านี้ทั้งหมด
ย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างแสนจะเป็นทุกข์ทรมาน โดยได้รับการลงโทษอย่างสาหัสสากรรจ์อยู่ตลอดเวลา
แต่การที่ว่าจักเป็นเวลานานเท่าไรจึงจะพ้นจากทุกขโทษในนรกเหล่านี้นั้น เป็นการไม่แน่นอน
ทั้งนี้ก็เพราะว่าขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่เหล่าสัตว์นรกเจ้ากรรมเหล่านั้นได้ทำไว้เป็นประมาณหมายความว่า
ถ้าทำบาปกรรมไว้มาก ก็ต้องตกนรกอยู่นานและตกอยู่หลายขุม เช่น พอไปตกมหานรกและได้รับทุกขโทษอย่างหนักแล้ว
หากบาปกรรมยังไม่สิ้นก็ต้องไปตกอุสสุทนรก เสวยทุกขโทษอยู่ในอุสสุทนรกนั้นพอสมควรแก่กาลแล้ว
หากกรรมยังไม่สิ้น ก็ต้องไปตกยมโลกนรกและเสวยกรรมต่อไปอีก เสวยทุกขโทษเรื่อยไปเช่นนี้
จนกว่าจะสิ้นบาปกรรมบางทีตกนรกที่เป็นบริวารก่อนแล้วจึงไปตกนรกขุมใหญ่ก็มี บางทีตกนรกขุมใหญ่ก่อนแล้ว
จึงไปตกนรกขุมที่เป็นบริวารก็มี ทั้งนี้สุดแต่ว่ากรรมใดจะมีกำลังให้ผลก่อน และบางทีหากทำบาปไว้มากมายหลายประการ
ต้องตกนรกดะเรื่อยไปผ่านมหานรกทั้ง ๘ ขุม และนรกที่เป็นบริวารมากมายหลายขุมก็มี

แต่บางทีหากทำบาปไว้น้อย เพียงมาตกนรกได้ไม่นาน กุศลกรรมที่ตนเคยทำไว้บันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลขึ้นมาได้
ก็จะตายจากความเป็นสัตว์นรกไปเกิดในภูมิอื่นต่อไปตามยถากรรม
จะอย่างไรก็ตามขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้รับทราบหลักไหญ่ไว้ในที่นี้ง่าย ๆ ว่า
การที่สัตว์ทั้งหลายจักต้องมาตกนรกหมกไหม้อยู่ในขุมนรกทั้งหลายเหล่านี้
ก็เพราะเหตุที่ตนเป็นคนล่วงอกุศลกรรมบถ ประกอบอกุศลกรรมบถไว้มิอย่างใดอย่างหนึ่ง
เมื่อถึงคราวดับขันธ์สิ้นชีวิตแล้ว จึงถูกอกุศลกรรมชักนำให้มาเกิดเป็นสัตว์นรกและเสวยวิบากเป็นทุกข์อยู่ในนรกนี้

ดังนั้นจะขอยกเรื่องของท่านสุปติฏฐเทพบุตรตอนที่เป็นเทวดานี่พระพุทธเจ้าไปเทศน์พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์
เวลานั้นปรากฏว่าท่านจะต้องจุติพอดี มีอากาสจารีเทพบุตรเข้าไปเตือน
ท่านมองดูตัวของท่านว่าท่านตายจากเทวดาแล้วท่านจะไปไหน ความจริงเทวดาก็รู้สถานที่ไป
เพราะมีอารมณ์เป็นทิพย์ ก็ทราบชัดว่าเมื่อจุติจากเทวดาแล้วต้องไปเกิดในเอวจีมหานรก
สิ้นระยะเวลา ๑ กัปตามอายุของอเวจีมหานรก แล้วหลังจากนั้น ออกจากอเวจีมหานรกแล้วก็ผ่านบริวาร ๔ ขุม
เมื่อพ้นบริวาร ๔ ขุมแล้วต้องมาตกยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะท่านทำกรรมหนัก
เรียกว่ากรรมในยมโลกียนรกนี่มีกี่อย่างท่านทำหมดตั้งแต่ปาณาติบาตขึ้นมาเลย ถึงจิตโหดร้าย
การประทุษร้ายต่อคู่ครอง นี่เรียกว่าหนักมาก เมื่อพ้นจากยมโลกียนรก ๑๐ ขุมแล้ว ต้องมาเป็นเปรตตามลำดับ ๑๒ จำพวก
พ้นจากเปรต ๑๒ จำพวก แล้วก็มาเป็นอสุรกาย เมื่อพ้นจากความเป็นอสุรกายแล้ว
หลังจากนั้นก็มาสู่ความเป็นสัตว์เดียรัจฉาน คือเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ
เมื่อพ้นจากภาวะสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เกิดเป็นคน เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ
เป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ เป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ จึงจะมาเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
นี่ท่านรู้กฎของกรรมของท่าน เมื่อท่านรู้แล้วท่านก็ตกใจ บอกให้อากาสจารีเทพบุตรช่วย
ท่านอากาสจารีบอกว่า เราก็เป็นเทวดาเหมือนกัน จะช่วยท่านยังไง คนที่จะช่วยได้ก็เห็นจะมีพระอินทร์องค์เดียว
ก็เลยพากันไปหาพระอินทร์ พระอินทร์ก็บอกว่าฉันเป็นเทวดาเหมือนท่านช่วยไม่ได้ ท่านที่จะช่วยได้ก็คือพระพุทธเจ้า
เวลานี้กำลังมาแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปด้วยกัน ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า
ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน พระพุทธเจ้าอาจช่วยได้ต่างก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
พระอินทร์ก็กราบทูลเรื่องราวของสุปติฏฐิตเทพบุตรให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้า
ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาทราบว่า สุปติฏฐิตเทพบุตรคนนี้ สมัยที่เป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก
คือแกเกิดมาพอแกทำงานได้ตั้งแต่เล็ก แกก็มีปาณาติบาตเป็นเครื่องอาศัย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา
วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ทำบาปเป็นอาจิณกรรม เรียกว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม แล้ว
นอกจากนั้น กรรมอะไรล่ะที่เขาว่ามันไม่ดี อทินนาทานลักขโมยเขา ถ้ามีโอกาสก็เอาเหมือนกัน
เอาไม่น้อย เอาพอกำลังที่จะเอาไปได้ เรียกว่ามาก กาเมสุมิฉาจาร ชอบจริงๆ ผู้หญิงสาวๆ เด็กๆ เท่าไหร่ท่านสุปติฏฐิตชอบมาก
ปรนเปรอด้วยเงินด้วยทอง มุสาวาทรึ? เป็นปกติ การดื่มสุราเมรัยเป็นเกมกีฬา ตานี้มาว่ากัน
ถ้าว่าใครเขามาบอกบุญบอกทาน ใครเขามาบอกว่าวัดโน้นเขาจะสร้างนั่น
วัดนี้เขาจะสร้างนี่ ไปทำบุญตรุษ ไปทำบุญสงกรานต์ แกเห็นแล้วแกล้งทำไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน
ดีไม่ดีพระเจ้าเทศน์ ส่งเสียงกลบ ทำลายพระธรรมเสียอีก นี่เจตนาของสุปติฏฐิตเทพบุตรเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก
แล้วก็ทำลายคุณความดีที่บุคคลอื่นจะพึงได้จะพึงถึง ฉะนั้น สุปติฏฐิตเทพบุตรคนนี้
ถ้าเราไม่ช่วยเธอจุติจากความเป็นเทวดาแล้ว เธอจะต้องไปตกอเวจีมหานรก สิ้นเวลาระยะ ๑ กัป
พ้นจากอเวจีมหานรกแล้วต้องผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม นอกจากนั้นยมโลกียนรก ๑๐ ขุม เธอต้องผ่านทั้งหมด
เป็นกฎของกรรมอย่างหนัก จะต้องเป็นเปรต ๑๒ ระดับ เป็นอสุรกาย ต่อมาเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ
เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัข (แล้วเป็นสุนัขบ้าไม่ใช่สุนัขธรรมดา) ๕๐๐ ชาติ


ทีนี้พอมาเป็นคน เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ นี่เพราะกฎของกรรม ที่คนเขาบอกบุญแกได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน
เวลาพระเทศน์เวลาพระสวดแกล้งส่งเสียงกลบให้คนอื่นฟังไม่ชัดอย่างนี้ติดตามแกมา ต้องเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ
ต่อมาจากนั้นแกก็ต้องตาบอด ๕๐๐ ชาติ ท่านกล่าวว่าในตอนนี้ใครเขามาบอกบุญบอกทาน
แกเห็นแล้วแกแกล้งทำเป็นไม่เห็นเลยกลายเป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ แล้วก็มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ
ก็เพราะดื่มสุราเมรัยหลังจากนั้นมาเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ เพราะโทษของปาณาติบาตที่
ทำไว้มาสนับสนุนเป็นเศษของกรรมจึงจะหมด องค์สมเด็จพระสามิสรพระสุคต ได้ทรงทราบก็มีความสงสาร
ก็พิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าถ้าตถาคตจะเทศน์พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์
เทวดาองค์นี้จะมีผลเป็นประการใดบ้าง เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว
องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า
ถ้าเราเทศน์พระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์นี้ไม่มีประโยชน์แก่เทวดาองค์นี้เลย
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ากรรมหนัก จริตไม่พอกับพระอภิธรรม คือมีอารมณ์หยาบมาก
ถ้าเทศน์จบเธอไม่ได้อะไร ไม่ได้พระโสดาบัน เธอจะต้องไปจุติในอเวจีมหานรก เป็นบุคคลผู้น่าสงสาร
นี่น้ำใจของพระพิชิตมารเป็นอย่างนี้ แล้วต่อไปองค์พระธรรมสามิสรก็คิดต่อไปว่า จะเทศน์อะไรดี
ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อเธอฟังแล้วจะตรงกับอัธยาศัย
พอเทศน์จบเธอจะได้พระโสดาบัน แล้วหลังจากนั้นอบายภูมิตามที่กล่าวมา ความทุกข์ทั้งหมด
โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะถูกปิด คือไม่มีโอกาสจะลงโทษเธอได้เพราะว่าพระโสดาบันนั้นเกิดเป็นเทวดาแล้วก็เกิดแค่มนุษย์
ถ้ายังไม่ไปนิพพานจุติลงมาเป็นมนุษย์แล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม
พระโสดาบันมีอารมณ์หยาบเกิดเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างกลางเกิดเป็นมนุษย์ ๓ ชาติ
พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างละเอียดเกิดเป็นมนุษย์ ๑ ชาติ ไปนิพพาน
ฉะนั้น โทษทัณฑ์ทั้งหลายที่จะต้องตกนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉานไม่มี แต่ทว่าที่มีขันธ์ ๕ เป็นคน
ต้องพบกับเศษของอกุศลในฐานะที่มีร่างกายเป็นเครื่องรับ คือมีขันธ์ ๕ เป็นเครื่องรับก็ยังดี
เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงทรงแสดงอุณหิสวิชัยสูตร
เทศน์อุณหิสวิชัยสูตรพอจบ ท่านสุปติฏฐิตเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นเทวดาต่อไป...

นรก สำนวนของ พระธรรมธีรราชมหามุนี
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)
จาก --ภูมิวิลาสินี--
โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี
http://pi.eng.src.ku.ac.th/mod/forum/discuss.php?d=853&parent=4777
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 19, 2015, 11:29:17 pm โดย sithiphong »
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 06:47:35 pm »
พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)

19975.พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)



ประวัติและปฏิปทา
พระธรรมธีรราชมหามุนี
(โชดก ญาณสิทฺธิ)

วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม.


๏ ชาติภูมิ

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) มีนามเดิมว่า “หนูค้าย นามโสม” ภายหลังท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารีมหาเถระ) แห่งวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ ได้เปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า “โชดก” เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๑ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเมีย ณ บ้านหนองหลุบ ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

โยมบิดาชื่อ “นายเหล้า นามโสม” โยมมารดาชื่อ “นางน้อย นามโสม” มีพี่น้องร่วมตระกูลทั้งหมดรวม ๑๐ คน เป็นพี่สาว ๘ คน และน้องชาย ๑ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๙ คุณปู่ของท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นขุน ชื่อขุนวงษ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านติดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย มีฐานะความเป็นอยู่ดี ส่วนโยมบิดาของท่านเป็นชาวนา แต่มีความรู้พิเศษเป็นหมอชาวบ้าน-ช่างไม้-ช่างเหล็ก ประจำหมู่บ้าน


๏ การศึกษาเบื้องต้น

พ.ศ. ๒๔๗๒ จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนบ้านหนองหลุบ ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี


๏ การบรรพชาและอุปสมบท

วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่ออายุ ๑๕ ปี ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดโพธิ์กลาง ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมีพระครูเลิ่ง เจ้าอาวาสวัดโพธิ์กลาง เป็นพระอุปัชฌาย์ และย้ายไปเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดกลาง ในตัวเมืองขอนแก่น สอบนักธรรมตรีได้จากวัดนี้ และย้ายไปอยู่วัดยอดแก้ว ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เพื่อเรียนนักธรรมชั้นโทและบาลีมูลกัจจายน์ และสอบนักธรรมชั้นโทได้

พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ โดยครั้งแรกได้อยู่ที่วัดเทพธิดาราม แขวงสำราญราษฏร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ สอบ ป.ธ. ๓, ป.ธ. ๔ และนักธรรมชั้นเอกได้ในสำนักนี้


สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารีมหาเถระ)


พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้ย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ โดยขุนวจีสุนทรรักษ์เป็นผู้นำมาฝาก ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารีมหาเถระ) ขณะดำรงสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ “พระพิมลธรรม” ได้เมตตารับไว้ให้พำนักอยู่คณะ ๑ วัดมหาธาตุฯ


๏ วุฒิการศึกษา

พ.ศ. ๒๔๗๗ สอบได้นักธรรมชั้นตรี ณ สำนักเรียนวัดโพธิ์กลาง ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

พ.ศ. ๒๔๗๘ สอบได้นักธรรมชั้นโท ณ สำนักเรียนวัดกลาง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ สอบได้นักธรรมชั้นเอก, ป.ธ. ๓-ป.ธ. ๔ ณ สำนักเรียนวัดเทพธิดาราม แขวงสำราญราษฏร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๙๔ สอบได้ ป.ธ. ๕-ป.ธ. ๙ ณ สำนักเรียนวัดมหาธาตุฯ ในสมัยสอบ ป.ธ. ๙ ได้เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๙๔ นับเป็นผู้สอบได้เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

พ.ศ. ๒๔๘๖-๒๔๙๒ ไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ จังหวัดขอนแก่น โดยครั้งแรกเปิดสอนพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกนักธรรม-บาลี ที่วัดสว่างวิทยา อำเภอเมือง ประมาณ ๑ ปี แล้วย้ายมาอยู่วัดศรีนวล ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น ปรากฏว่าได้ส่งเสริมการศึกษาในสำนักพระปริยัติธรรมแห่งนี้ให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีพระภิกษุสามเณรสอบนักธรรมและบาลีได้มากทุกปี ต่อมาท่านได้ลาออกจากตำแหน่งสาธารณูปการจังหวัด เพื่อกลับมาอยู่วัดมหาธาตุฯ สำนักเดิม




พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)



สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ)


๏ การปฏิบัติศาสนกิจ

พ.ศ. ๒๔๙๓ ย้ายกลับเข้ามาอยู่วัดมหาธาตุฯ ในสมัยท่านเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ “พระพิมลธรรม” เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้อยู่ที่คณะ ๕ และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ และประจำอยู่ที่คณะ ๕ ตลอดมาจนมรณภาพ


๏ งานด้านวิปัสสนาธุระ

พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ วัดมหาธาตุฯ ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ถึง ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ รวมเวลา ๗ เดือน ๑๙ วัน โดยพระภาวนาภิรามเถระ (สุข) วัดระฆังโฆสิตาราม เป็นอาจารย์สอน

พ.ศ. ๒๔๙๕ ไปดูงานการพระศาสนาที่ประเทศพม่า และได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ สำนักศาสนายิสสา เมืองแรงกูน ประเทศพม่า เมื่อสำเร็จการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ได้เดินทางกลับประเทศไทย พร้อมกับพระอาจารย์ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ๒ รูป ที่รัฐบาลไทยขอจากรัฐบาลพม่า เพื่อมาสอนวิปัสสนากรรมฐาน ประจำอยู่ในประเทศไทย พระวิปัสสนาจารย์ ๒ รูปนั้น คือ ท่านอาสภเถระ ปธานกัมมัฏฐานาจริยะ และท่านอินทวังสะ ธัมมาจริยะ กัมมัฏฐานาจริยะ

เมื่อท่านกลับมาประเทศไทยแล้ว ท่านได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานต่ออีก ๔ เดือน ในสมัยนั้น ท่านเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ในราชทินนามที่ “พระพิมลธรรม” ได้ประกาศตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานแห่งประเทศไทย ขึ้นที่วัดมหาธาตุฯ และได้แต่งตั้งท่านครั้งเป็นพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙ ให้เป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ เป็นรูปแรก ท่านจึงได้รับภาระหนักมาก เพราะเป็นกำลังสำคัญของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในการวางแผนขยายสำนักสาขาไปตั้งในที่ต่างๆ ทั่วประเทศ จัดทำหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน คัดเลือกพระวิปัสสนาจารย์ไปสอนประจำอยู่ตามสำนักสาขาที่ตั้งขึ้น และจัดไว้สอนประจำที่วัดมหาธาตุฯ พระวิปัสสนาจารย์ทั่วประเทศส่วนมากเป็นศิษย์ของท่าน

อนึ่ง ในครั้งนั้นท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้จัดตั้งกองการวิปัสสนาธุระขึ้นเป็นศูนย์วิปัสสนากรรมฐานที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ และได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้อำนวยการกองการวิปัสสนาธุระ ในความอำนวยการของท่านมีกิจการเจริญก้าวหน้ามาก มีผลงานปรากฏดังนี้

๑. จัดพิมพ์วิปัสสนาสาร ซึ่งเป็นวารสารราย ๒ เดือน (ออกปีละ ๖ เล่ม) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๘ และได้ออกติดต่อตลอดมาถึงบัดนี้ มีสมาชิกให้การอุดหนุนวารสารนี้มีมากพอสมควร

๒. จัดการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่คณะ ๕ โดยจัดสร้างห้องปฏิบัติขึ้นรับผู้ประสงค์จะเข้าปฏิบัติ หรือผู้มีปัญหาชีวิตเข้าปฏิบัติได้ทุกเวลา ทั้งประเภทอยู่ประจำและไม่ประจำ (คือมารับพระกรรมฐานจากอาจารย์ไปปฏิบัติที่บ้านแล้วมารับสอบอารมณ์ หรือมาปฏิบัติในเวลาว่าง แล้วกลับไปพักที่บ้าน)

๓. อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ และคณะศิษย์ของท่านได้ไปสอนวิปัสสนากรรมฐาน ในพระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ ตึกมหาธาตุวิทยาลัย ตึกธรรมวิจัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ทุกวันพระ และวันอาทิตย์

๔. ให้ความอุปถัมภ์สำนักวิปัสสนากรรมฐานอื่นที่เป็นสาขาอีกหลายสำนัก เช่น สำนักวิเวกอาคม อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักวิปัสสนาภูระงำ อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น และสำนักบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เป็นต้น






เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙)
ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระอุดมวิชาญาณเถร ได้เป็นพระอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐาน
แด่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (ปัจจุบันคือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)
ซึ่งได้เสด็จมาสมาทานพระกรรมฐาน ณ วัดมหาธาตุฯ เป็นเวลาถึง ๑ เดือน


พระธรรมธีรราชมหามุนี ได้อุทิศชีวิตอบรมและเผยแพร่วิปัสสนากรรมฐานติดต่อมาเป็นเวลายาวนานประมาณ ๔๐ ปี จึงมีศิษยานุศิษย์และมีผู้เคารพศรัทธาเลื่อมใสมาก ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ และบุคคลผู้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น มีทุกระดับชั้น ทุกฐานะอาชีพ เช่น ในช่วง พ.ศ. ๒๔๙๘ ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระอุดมวิชาญาณเถร ได้เป็นพระอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ (ปัจจุบันคือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ซึ่งได้เสด็จมาสมาทานพระกรรมฐาน เมื่อวันอังคารที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๘ เวลา ๑๙.๐๐ น. ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ วัดมหาธาตุฯ

ในโอกาสนั้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระพิมลธรรม” ได้ถวายศีล แล้วพระอุดมวิชาญาณเถรเป็นผู้ถวายพระกรรมฐาน และถวายสอบอารมณ์พระกรรมฐานด้วย เป็นประจำทุกวัน ณ พระมณฑปพระบรมธาตุ เวลา ๑๙.๐๐ น. รวมเวลาที่ทรงปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นเวลา ๑ เดือน และทรงได้รับผลจากการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นอย่างดี

นอกจากนั้น ได้เป็นอาจารย์ถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพระอาจารย์มีเกียรติคุณในด้านสมถกรรมฐาน (วิชาธรรมกาย) ที่มีชื่อเสียงมากในประเทศไทย โดยท่านไปถวายวิปัสสนากรรมฐานแด่หลวงพ่อสด จนฺทสโร ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ตลอดเวลา ๑ เดือนครบหลักสูตร และต่อมาหลวงพ่อวัดปากน้ำได้มาฟังเทศน์ลำดับญาณ ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ โดยพระอุดมวิชาญาณเถร ได้ถวายเทศน์ลำดับญาณ


พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร)


ปรากฏว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำได้ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างดี เพราะท่านได้นำสมถกรรมฐานมาต่อวิปัสสนากรรมฐาน พิจารณาไตรลักษณ์ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ หลวงพ่อได้มอบภาพของท่านไว้เป็นที่ระลึกแก่สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุฯ และได้เขียน บันทึกใต้ภาพยกย่องว่า “สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุฯ เป็นสำนักที่สอนวิปัสสนาถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฏฐานทุกประการ”


๏ หน้าที่การงานเกี่ยวกับการศึกษา

พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๕๓๐

- เป็นครูสอนปริยัติธรรมทั้งนักธรรม-บาลี ในมหาธาตุวิทยาลัย ได้เป็นครูสอนบาลีไวยากรณ์ชั้นมูล ๓ ได้นิตยภัตตั้งแต่เดือนละ ๖ บาท ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ จนกระทั่งสอน ป.ธ. ๗-๘-๙

- เป็นกรรมการตรวจประโยคนักธรรม-บาลี สนามหลวง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๗ ตลอดมาจนมรณภาพ

- เป็นผู้อำนายการแผนกบาลี สำนักเรียนวัดมหาธาตุฯ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นต้นมา


๏ หน้าที่เกี่ยวด้วยพระไตรปิฎก

พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ในแผนกตรวจสำนวน

พ.ศ. ๒๕๒๔ ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจทานพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง

พ.ศ. ๒๕๒๘ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการปาลิวิโสธกะ พระอภิธรรมปิฎก ฉบับสังคายนา พ.ศ. ๒๕๓๐

พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานบรรณกรในการพิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับสังคายนา พ.ศ. ๒๕๓๐


๏ หน้าที่เกี่ยวกับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

พ.ศ. ๒๔๙๐-๒๕๓๐

- ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการชำระหนังสือธัมมปทัฏฐกถา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

- เป็นอาจารย์บรรยายวิชาพระพุทธศาสนาในชั้นอุดมศึกษา

- เป็นกรรมการบริหารกิจการ

- เป็นกรรมการพิจารณาหลักสูตรบาลีสำหรับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

- เป็นรองประธานกรรมการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์

- เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย


๏ หน้าที่เกี่ยวกับการบริหารคณะสงฆ์

พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๕๓๐

- ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการกรรมการสงฆ์จังหวัดขอนแก่น

- กรรมการสาธารณูปการจังหวัดขอนแก่น

- เจ้าคณะภาค ๑๐

- เจ้าคณะภาค ๙

- พระอุปัชฌาย์ประจำวัดมหาธาตุฯ

- รองเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ

- รองประธานกรรมการสงฆ์บริหารวัดมหาธาตุฯ รูปที่ ๑


๏ หน้าที่งานพิเศษ

- ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการหัวหน้าพระธรรมทูตสายที่ ๓

- เป็นหัวหน้าผู้อำนวยการ งานพระธรรมทูตสายที่ ๖

- เป็นอนุกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อร่วมพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาวัดที่ว่างเจ้าอาวาสเพื่อหาข้อมูล



๏ งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา

- เป็นพระธรรมกถึกทั้งเทศน์คู่และเทศน์เดี่ยว

- เป็นองค์ปาฐกแสดงปาฐกถาธรรม

- องค์บรรยายธรรม

- บรรยายธรรมทางวิทยุเป็นประจำหลายสถานี

- บรรยายธรรมทางสถานีโทรทัศน์

นับว่าท่านเป็นพระสงฆ์มีความเชี่ยวชาญในการบรรยายธรรม ได้รับความนิยมมากจากผู้ฟังทั้งหน่วยราชการและภาคเอกชน ประชาชน เป็นอย่างดี


๏ งานสาธารณูปการและสาธารณสงเคราะห์

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) มีผลงานด้านสาธารณูปการและสาธารณสงเคราะห์ ปรากฏอย่างกว้างขวางทั้งภายในวัดมหาธาตุฯ และภายนอก ดังมีหลังฐานปรากฏตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๓๐ ดังนี้

๑) งานสาธารณูปการภายในวัดมหาธาตุฯ

- จัดหาทุนสร้างห้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนในวัดมหาธาตุฯ

- จัดหาเงินสมทบทุนมูลนิธิวิปัสสนากรมฐาน

- สร้างตึกอุดมวิชาในคณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ

- เป็นประธานกรรมการหาทุนก่อสร้างตึกมหาธาตุวิทยาลัยอาคารทรงไทย ๔ ชั้น

- เป็นประธานกรรมการหาทุนบูรณะโรงเรียนธรรมมหาธาตุวิทยาลัย และสร้างโรงครัวครูปริยัติธรรม

- เป็นประธานกรรมการจัดหาทุน และก่อตั้งมูลนิธิศรีสรรเพชญ์

- ร่วมสมทบบูรณะคณะ ๘ วัดมหาธาตุฯ

- บริจาคร่วมสร้างพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

- เป็นประธานกรรมการจัดหาทุนสร้างพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

- เป็นกรรมการอุปถัมภ์จัดหาทุนสร้างโรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

รวมงานสาธารณูปการภายในวัดมหาธาตุที่ได้ดำเนินการมา เป็นเงินประมาณ ๑๔,๓๒๕,๐๐๐ บาท (สิบสี่ล้านสามแสนสองหมื่นห้าพันบาท)

๒) งานสาธารณูปการภายนอกวัด

- งานก่อสร้างปฏิสังขรณ์วัดสว่างพิทยา บ้านหนองหลุบ ซึ่งเป็นถิ่นบ้านเกิด

- จัดหาทุนสร้างโรงเรียนปริยัติธรรมวัดธาตุ จังหวัดขอนแก่น ๒ หลัง

- จัดหาทุนสร้างอุโบสถวัดโพธิ์ชัย จังหวัดขอนแก่น

- จัดหาทุนสร้างโรงเรียนประชาบาลบ้านหนองหลุบ ๒

- เป็นประธานจัดหาทุนสร้างวัดพุทธประทีปในระยะเริ่มแรก

- อุปถัมภ์สร้างอาคารเรียน ในโรงเรียนประชาบาลบ้านหนองบัว อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี

- เป็นประธานจัดหาทุนสร้างตึกสงฆ์อาพาธสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) ในโรงพยาบาลขอนแก่น

- บริจาคสร้างตึงสยามินทร์ โรงพยาบาลศิริราช

- อุปถัมภ์สำนักวิปัสสนากรรมฐาน ภูระงำ อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น

- หาทุนสร้างสำนักวิเวกอาคม ตำบลบางขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา

รวมงานสาธารณูปการภายนอกวัด เป็นเงินประมาณ ๑๓,๔๕๖,๐๐๐ บาท (สิบสามล้านสี่แสนห้าหมื่นหกพันบาท) รวมเงินที่จัดหาในงานสาธารณูปการ ทั้งภายในวัดมหาธาตุฯ และภายนอกวัด เป็นเงิน ประมาณ ๒๗,๐๘๑,๐๐๐ บาท (ยี่สิบเจ็ดล้านแปดหมื่นหนึ่งพันบาท)


๏ งานต่างประเทศ

พ.ศ. ๒๔๙๕-๒๕๒๘

- ไปดูงานการพระศาสนาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ ประเทศพม่า

- ไปสอนวิปัสสนากรรมฐาน ณ ประเทศอังกฤษ ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์สมาคมแห่งประเทศอังกฤษ

- เป็นหัวหน้าพระธรรมทูตประจำประเทศอังกฤษ

- ริเริ่มสร้างวัดไทยในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันได้สร้างเป็นวัดไทยโดยสมบูรณ์ ชื่อว่า “วัดพุทธประทีป” โดยท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดพุทธประทีปรูปแรก

- เป็นกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตที่จะไปต่างประเทศ

- ไปสอนวิปัสสนากรมฐานที่วัดไทย ในประเทศสหรัฐอเมริกา

- รับชาวต่างชาติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุฯ และให้ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดมหาธาตุฯ
แด่พระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)
ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระเทพสิทธิมุนี เมื่อวันที่ ๓ พ.ย. ๒๕๒๘ เวลา ๑๖.๐๐ น.


๏ งานนิพนธ์

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) เป็นพระมหาเถระที่เชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก และมีความทรงจำเป็นเลิศ สามารถบอกเรื่องราวต่างๆ ว่าอยู่ในเล่มใด และบางครั้งบอกหน้าหนังสือเล่มนั้นด้วย และท่านยังเป็นนักประพันธ์ที่นิพนธ์เรื่องทางศาสนาได้รวดเร็ว และได้นิพนธ์ไว้มากมายหลายเรื่อง เฉพาะที่หาข้อมูลได้ แยกบทนิพนธ์ของท่านเป็นประเภท ดังนี้

๑) ประเภทวิปัสสนากรรมฐาน มีหนังสือประมาณ ๒๑ เรื่อง เช่น เรื่องความเป็นมาของวิปัสสนากรรมฐาน, คำบรรยายวิปัสสนากรรมฐาน จำนวน ๙ เล่ม ฯลฯ

๒) ประเภทพระธรรมเทศนา มีหนังสือประมาณ ๔ เรื่อง เช่น เรื่องเทศน์คู่อริยสัจ ฯลฯ

๓) ประเภทวิชาการ มีหนังสือประมาณ ๘ เรื่อง เช่น อภิธัมมัตถสัคหะปริเฉทที่ ๑-๙ ฯลฯ

๔) ประเภทสารคดี มีหนังสือประมาณ ๒๐ เรื่อง เช่น เรื่องพระมาลัยโปรดสัตว์นรก ฯลฯ

๕) ประเภทตอบปัญหาทั่วไป มีหนังสือประมาณ ๕ เรื่อง เช่น ตอบปัญหา เรื่องบุญบาปและนรกสวรรค์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีคำขวัญ คำอนุโมทนา คติธรรม เพื่อลงตีพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์ต่างๆ ที่มีผู้ขอมา


๏ สมณศักดิ์

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ (อายุ ๓๖ พรรษา ๑๕) ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ (สป.วิ) ในพระราชทินนามที่ “พระอุดมวิชาญาณเถร”

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ (อายุ ๔๔ พรรษา ๒๓) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในพระราชทินนามที่ “พระราชสิทธิมุนี ศรีปิฎกโกศล วิมลปัสสนาจารย์ อุดมวิชาญาณวิจิตร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ (อายุ ๕๒ พรรษา ๓๑) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในพระราชทินนามที่ “พระเทพสิทธิมุนี สมถวิธีธรรมาจารย์ วิปัสสนาญาณโสภณ ยติคณิศสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”

วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ (อายุ ๖๙ พรรษา ๔๘) ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในพระราชทินนามที่ “พระธรรมธีรราชมหามุนี คัมภีรญาณวิมล โสภณธรรมานุสิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี”


๏ อวสานชีวิต

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) ได้ถึงแก่มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ ในอิริยาบถนั่งเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ขณะไปทำการสอนวิปัสสนากรรมฐานที่บ้านโยมอุปัฏฐาก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๑ เวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา รวมสิริอายุได้ ๗๐ ปี ๒ เดือน ๑๕ วัน นำความเศร้าโศกแสนเสียดายอาลัยมาสู่คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง ขออำนาจบุญกุศลทั้งปวงได้โปรดดลบันดาลให้พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) ประสบสันติสุขในสัมปรายภพทุกประการ ดังสุนทรโวหารที่ท่านได้นิพนธ์ในสุดท้ายแห่งชีวิต ดังนี้

“เตรียมสร้างทางชอบไว้ หวังกุศล
ตัวสุขส่งเสริมผล เพิ่มให้
ก่อนแต่มฤตยูดล เผด็จชีพ เทียวนา
ตายพรากจากโลกได้ สถิตด้าว แดนเกษม”


พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)



.............................................................

คัดลอกมาจาก :: http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13026&start=0&postdays=0&postorder=asc&highlight=&sid=9f6f59aeccf0bdb042c48d2b9eec6924

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 06:48:52 pm »
จากหนังสือเรื่อง ตายแล้วอยากไปไหน พระมาลัยลงไปโปรดสัตว์นรก
หากว่าใครมีโอกาสได้ผ่านสำนักท่านยมราช (ไม่ได้แช่งนะครับ)เพื่อความไม่ประมาท

พระมาลัย. ถ้าเช่นนั้นก็เป็นการดีแล้วมหาบพิตร คำว่า "เทวทูต" นี้แปลว่าอย่างไร ขอให้อธิบายวิธีซักถามกะสัตว์นรกในเทวทูต ๕ ประการอันเป็นวินัยหรือกฎหมายของมหาบพิตร ต่อไปดูซิ อาตมาจะคอยฟัง

ยมราช. คำว่า "เทวทูต" แปลว่าผู้ที่เทวดาส่งมา โดยวิเคราะห์ว่า เทเวน เปสิยเตติ เทวทูโต เทวทูต ได้แก่ คนใช้ของเทวดานั่นเอง ส่งมาเพื่อให้มนุษย์ พิจารณาแล้วไม่ประมาท รีบพากเพียรพยายามทำความดีต่อไป โยมได้ซักถามเขาเป็นข้อๆ ไป ดังนี้

เทวทูต ข้อที่ ๑ โยมได้ซักถามเขาว่า เธอได้เห็นเด็กอ่อนที่นอนเกลือกมูตรคูถอยู่บนผ้าอ้อมนั้นหรือไม่? เมื่อเขาตอบว่า ได้เห็น โยมจึงถามเขาต่อไปอีกว่า เธอได้พิจารณาหรือไม่ว่า เรามีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเกิดไปได้ เราจะต้องรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ? เมื่อเขาบอกว่า ไม่ได้พิจารณา โยมจึงบอกว่า เธอประมาทเสียแล้ว ที่ไม่ทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ความชั่วของเธอนั้น มิใช่บิดามารดาทำให้ มิใช่พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิงทำให้ มิใช่มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตทำให้ มิใช่สมณพรามณ์และเทวดาทำให้ เธอทำเอง เธอจักได้รับผลความชั่วของตัวเองดังนี้

เทวทูต ข้อที่ ๒ โยมได้ซักถามเขาว่า เมื่อเธออยู่ในมนุสสโลกได้เห็นเทวทูตที่ ๒ ไหม? เมื่อเขาตอบว่า ไม่ได้เห็น จึงถามเขาต่อว่า เธอไม่ได้เห็นคนแก่บ้างหรือ? เมื่อเขาตอบว่าได้เห็น เมื่อได้เห็นแล้ว เธอได้พิจารณาหรือไม่ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เราจะต้องรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ? เมื่อเขาบอกว่า ไม่ได้คิด ไม่ได้พิจารณาเลย จึงตรัสว่า เธอประมาทเสียแล้ว ที่ไม่ทำความดีไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ความชั่วของเธอนั้น มิใช่บิดามารดาทำให้ มิใช่พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิงทำให้ มิใช่มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตทำให้ มิใช่สมณพรามณ์และเทวดาทำให้ เธอทำเอง เธอจักได้รับผลความชั่วของตัวเองดังนี้

เทวทูต ข้อที่ ๓ ครั้นโยมซักถามยมทูตข้อที่ ๒ จบลงแล้ว โยมจึงได้ซักถามเทวทูตข้อที่ ๓ ต่อไปว่า เธอได้เห็นคนเจ็บบ้างไหม ? เมื่อเขาตอบว่าได้เห็น จึงถามเขาว่า เมื่อเธอได้เห็นแล้ว เธอคิดไหมว่า เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ เราจะต้องรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ? เมื่อเขาบอกว่า ไม่ได้คิด โยมจึงบอกว่า เธอประมาทเสียแล้ว ที่ไม่ทำความดีไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ความชั่วของเธอนั้น มิใช่บิดามารดาทำให้ มิใช่พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิงทำให้ มิใช่มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตทำให้ มิใช่สมณพรามณ์และเทวดาทำให้ เธอทำเอง เธอจักได้รับผลความชั่วของตัวเองดังนี้

เทวทูต ข้อที่ ๔ ครั้นโยมซักถามยมทูตข้อที่ ๓ จบลงแล้ว โยมจึงได้ซักถามเทวทูตข้อที่ ๔ ต่อไปว่า เมื่อเธออยู่ในมนุสสโลก เธอได้เห็นนักโทษที่ถูกจองจำ เฆี่ยนตี บีฑ์โบยและตัดศีรษะบ้างไหม? เมื่อเขาตอบว่าได้เห็น โยมจึงถามเขาว่า เมื่อเธอได้เห็นแล้ว เธอคิดไหมว่าพวกนี้ได้ทำความชั่วไว้จึงได้รับโทษต่างๆ ในชาตินี้เห็นปานนี้ไม่ต้องพูดถึงชาติหน้า เราจะต้องรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ? เมื่อเขาบอกว่า ไม่ได้คิด โยมจึงบอกว่า เธอประมาทเสียแล้ว ที่ไม่ทำความดีไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ความชั่วของเธอนั้น มิใช่บิดามารดาทำให้ มิใช่พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิงทำให้ มิใช่มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตทำให้ มิใช่สมณพรามณ์และเทวดาทำให้ เธอทำเอง เธอจักได้รับผลความชั่วของตัวเองดังนี้

เทวทูต ข้อที่ ๕ ครั้นโยมซักถามยมทูตข้อที่ ๔ จบลงแล้ว โยมจึงได้ซักถามเทวทูตข้อที่ ๕ ต่อไปว่า เมื่อเธออยู่ในมนุสสโลก เธอได้เห็นเทวทูตข้อที่ ๕ ไหม? เมื่อเขาตอบว่าไม่ได้เห็น โยมจึงถามเขาว่า เธอไม่เห็นคนตายบ้างหรือ? เมื่อเขาตอบว่าได้เห็น โยมจึงถามเขาว่า เมื่อเธอได้เห็นแล้ว เธอได้คิดไหมว่า เราก็มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เราจะต้องรีบทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ ? เมื่อเขาบอกว่า ไม่ได้คิด โยมจึงบอกว่า เธอประมาทเสียแล้ว ที่ไม่ทำความดีไว้ด้วยกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ความชั่วของเธอนั้น มิใช่บิดามารดาทำให้ มิใช่พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิงทำให้ มิใช่มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตทำให้ มิใช่สมณพรามณ์และเทวดาทำให้ เธอทำเอง เธอจักได้รับผลความชั่วของตัวเองดังนี้

ครั้นพญายายมราชทรงซักถามเทวทูต ทั้ง ๕ ข้อ จบลงแล้ว พวกนายนิรยบาลจึงกรูกันเข้าไปจับผู้นั้น นำตัวไปลงโทษ ดังที่ได้แสดงมาแล้วนั้น
ถ้าตอบได้สักข้อใดข้อหนึ่ง โยมก็ปล่อยไปสวรรค์ ถ้าสัตว์เหล่านั้นทำกรรมอันลามก หมิ่นประมาทคำสอนของนักปราชญ์ก็ระลึกไม่ได้ เมื่อระลึกไม่ได้นายนิรยบาลก็จับสัตว์นั้น นำตัวไปลงโทษตามยถากรรม โยมนี้มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ เหมือนมารดาบิดามีเมตตากรุณาต่อบุตรธิดาฉะนั้น
เมื่อพระคุณเจ้าไปยังมนุสสโลกแล้ว ขอนิมนต์พระคุณเจ้าช่วยเทศนาสั่งสอนเหล่ามนุษย์ ให้หมั่นพิจารณาเทวทูตทั้ง ๕ นี้เป็นเนื่องนิตย์ด้สย เพื่อจะได้เกิดสังเวชสลดใจ คิดหาอุบายทำตนให้พ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ถึงความสุขสำราญเบิกบานใจ ตามนัยที่โยมได้แสดงมานี้เถิด พระคุณเจ้าผู้เจริญ

http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=33026
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 06:49:49 pm »
พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี
โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙)

อดีตอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
สำนักงานกลางกองการวิปัสสนาธุระ (คณะ ๕ )

http://watpathumkongka.com/html/sound_chodok.html

-*----------------------------------------------------*-

พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิเถร ป.ธ.๙)

อดีตอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์

วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

รวมพระธรรมเทศนา (เป็นลิงค์)

http://ecurriculum.mv.ac.th/ebhuddis...chodok.php.htm

-*----------------------------------------------------*-

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

 


http://www.paktho.ac.th/learning/sch...dic/mcu6d.html

วิปัสสนากรรมฐาน
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นถือว่าเป็นการศึกษาและการฝึกอบรมจิตใจของคนและพระให้ดียิ่งขึ้น ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน ไว้อย่างชัดเจนในพระไตรปิฎก ซึ่งว่าด้วย "มหาสติปัฏฐานสูตร" โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้พุทธบริษัท ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาได้ทำจิตใจให้บริสุทธิ์จากอุปกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้ง ๒ ประการ คือ :
๑. คันถธุระ การศึกษาเล่าเรียนตามตำรา
๒. วิปัสสนาธุระ การศึกษาด้วยการปฏิบัติ

ด้วยเหตุแห่งความสำคัญของการวิปัสสนาธุระ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจึงได้พัฒนาสถาบันวิปัสสนาธุระควบคู่กับความเป็นเลิศด้านวิชชาจรณะ และการปฏิบัติ เพื่อที่จะสามารถ นำความรู้ในพระไตรปิฎก และวิชาการชั้นสูงมาประยุกต์ใช้ เพื่อชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องในด้านจิตวิญญาณแก่สังคม อีกงยังเป็นผู้เผยแผ่หลักธรรม การปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่มหาชน

ประวัติความเป็นมา
สถาบันวิปัสสนาธุระ เดิมเรียกว่าสำนักงานกลางกองวิปัสสนาธุระ อยู่ภายใต้การบริหาร งานของวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ สมัยที่ดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีว่าการปกครอง เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น และจุดประสงค์เพื่อการศึกษาด้านวิปัสสนาธุระของวัดมหาธาตุ

การดำเนินงานในเบื้องต้น ได้อาราธนาพระภาวนาภิรามเถร (สุข ปวโร) ผู้ทรงคุณวุฒิและมีความรู้ความสามารถในทางวิปัสสนาธุระแห่งวัดระฆังโฆสิตามราม กรุงเทพมหานคร มาเป็นอาจารย์ฝึกสอนวิปัสสนากรรมฐานที่พระอุโบสถวัดมหาธาตุ มีพุทธบริษัททั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ให้ความสนใจเข้ามาฝึกปฏิบัติมิได้ขาด และบรรพชิตที่เข้ารับการฝึกปฏิบัติรุ่นแรก ๒ รูป คือ พระมหาโชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙ (พระธรรมธีรราชมหามุนี) วัดมหาธาตุ และพระครูสังวรสมาธิวัตร วัดเพลงวิปัสสนา

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พระพิมลธรรมได้ส่งพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙ ไปศึกษา ดูงานวิปัสสนาธุระที่สำนักศาสยิสสา เมืองแรงกูน ประเทศพม่า ซึ่งเป็นสำนักวิปัสสนาที่มีชื่อเสียงของพม่าเป็นเวลา ๑ ปี เมื่อครบกำหนดแล้วจึงได้กลับคืนสู่ประเทศไทย พร้อมกันนี้พระมหาโชดก ยังได้นิมนต์พระวิปัสสนาจารย์ชาวพม่าผู้ชำนาญ(ตามคำขอของรัฐบาลไทยต่อรัฐบาลพม่า) จากประเทศพม่ามาด้วย ๒ รูป คือ พระอาจารย์อาสภเถร ประธานกัมมัฏฐานาจาริยะ และพระอาจารย์อินทวังสะ มาเพื่อช่วยฝึกสอนวิปัสสนาธุระในประเทศไทยด้วย ซึ่งการได้นิมนต์พระเถระทั้งสองมาก็เป็นไปตามดำริของพระพิมลธรรม

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ และพระครูประกาศสมาธิคุณ ได้เป็นกำลัง สำคัญในการฝึกสอนวิปัสสนกรรมฐานในวัดมหาธาตุ ซึ่งนับวันจะมีผู้สนในปฏิบัติกรรมฐานเพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยลำดับ พระสังฆาธิการ ผู้บริหารคณะสงฆ์ก็ให้ความสนใจได้จัดส่งครูสอนพระปริยัติธรรมเข้ามาฝึกอบรมวิปัสสนากรรมฐานแล้วกลับไปเสนอพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ภายในเขตปกครองของตน จนปรากฏว่าสำนักวิปัสสนากรรมฐานได้เกิดขึ้นทั่วประเทศ แม้แต่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เสด็จมาสมาทานพระวิปัสสนากรรมฐาน ที่พระอารามแห่งนี้ และพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ) ก็ได้มาศึกษาวิปัสสนากรรมฐานแบบนี้และรับรองว่า สำนักนี้ปฏิบัติถูกต้องตามแนวทางสติปัฏฐาน ๔

วิปัสสนากรรมฐานในต่างประเทศ
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้ส่งคณะพระวิปัสสนาจารย์ นำโดยพระราชสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) และพระมหาวิจิตรติสฺสทตฺโต พธ.บ. แห่งวัดมหาธาตุ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศภาคพื้นยุโรป ได้ปฏิบัติศาสนกิจสอนวิปัสสนากรรมฐานและพักอยู่ที่พุทธวิหารแฮมพ์สเตท ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา ๓ เดือน ต่อมาได้แต่งตั้งจากคณะสงฆ์แห่ง ประเทศไทยเป็นหัวหน้าฝ่ายพระธรรมทูตสายต่างประเทศและได้ขยายการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปถึงประเทศเยอรมัน ฮอนแลนด์ ฟิลแลนด์ สหรัฐอเมริกา และแคนนาดา โดลำดับ ได้มีผู้สนใจจำนวนมากเข้ามาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีพระสงฆ์ไทยเป็นผู้ทำหน้าที่ฝึกสมาธิ วิปัสสนากรรมฐานและสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้

การพัฒนาการสถาบันวิปัสสนาธุระ
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ สภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงากรณราชวิทยาลัย ได้พิจารณาเห็นว่าการศึกษาในด้านวิปัสสนาธุระโดยเปิดสำนักงานกลางวิปัสสนาธุระที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร สมควรจะได้รับการฟื้นฟูขยายการบริหารงานในรูปแบบที่มีองค์กรหลักมารองรับ จึงได้ มีมติอนุมัติให้สำนักงานกลางวิปัสสนาธุระที่วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร เป็นสถาบันวิปัสสนากรรมฐานของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยมีพระพิมลธรรม (สมเด็จพระพุฒาจารย์ : อาจ อาสภมหาเถร) เป็นผู้ลงนาม

ปัจจุบัน สถาบันวิปัสสนาธุระยังให้การบริการในด้านวิปัสสนากรรมฐานเพื่อสืบทอด จรรโลงสืบต่อกันมาอย่างไม่ขาดสาย จึงเกิดเป็นสำนักวิปัสสนากรรมฐานแบบ "ยุบหนอ พองหนอ" ทั้งนี้ ก็เพราะการมองการณ์ไกลของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) อดีต สภานายกมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

นอกจากนี้ การวิปัสสนาธุระสำหรับชาวต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้จัดตั้งศูนย์วิปัสสนานานาชาติขึ้น (The International Buddhist Meditation Center (I.B.M.C.)) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยจัดให้มีการบรรยายธรรมเป็นภาษาอังกฤษ และสอนภาค ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอันเป็นแนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และวัฒนธรรมไทย เพื่อศึกษาและวิจัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และเพื่อให้ชาวต่างประเทศได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมเข้าใจหลักธรรมอย่างแท้จริง

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 09:38:09 pm »



 :13: อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ คุณหนุ่ม...

                                      :07:

ออฟไลน์ Plusz

  • กล่องแก้วแจ้วเจรจา
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 1555
  • พลังกัลยาณมิตร 376
  • Love yourself cuz no one will
    • extionary
    • Plusz009
    • ดูรายละเอียด
Re: แผนที่นรกดูซะ กันหลงทาง
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2010, 10:07:49 pm »
อนุโมทนาสาธุค่ะ ....  :45:
อ่านแล้วรู้สึก อยากจะทำความดีขึ้นมาจังเลยค่ะ T-T
 :11:
มีความสุข
ทุกครั้งที่เป็นตัวของตัวเอง

===== ได้เวลาวิ่ง วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่ =====                                       ===== ได้เวลาวิ่ง กลิ้งนะกลิ้งนะแฮมทาโร่ =====