พุทธประวัติโดยย่อ.. ตามแนวข้อสอบสนามหลวงพระโคตรของเจ้าชายสิทธัตถะ คือ ศากยะ มีพระเจ้าโอกกากราชเป็นปฐมกษัตริย์ มีพระราชบุตร ๔ พระองค์ พระราชบุตรี ๕ พระองค์ ครั้งหนึ่งสมัยที่พระมเหสีองค์แรกทิวงคตแล้ว พระบาทท้าวเธอได้มีมเหสีใหม่ แลมเหสีใหม่ได้ประสูติพระราชบุตร ยังความปลื้มปีติเป็นอันมาก จึงพลั้งปากให้พรแก่พระนาง ๑ ข้อซึ่งพระนางก็ได้ทูลขอพระราชสมบัติแก่พระราชโอรส พระเจ้าโอกกากราชยับยั้งอยู่หลายเพลา แต่ไม่เป็นผล จำต้องรักษาสัจจะของกษัตริยาธิราช จึงให้พระราชบุตรอันเกิดแต่พระมเหสีองค์แรกเสด็จไปสร้างเมืองใหม่ ในดงไม้สักกะ ที่อยู่แห่งกบิลดาบส
จึงตั้งชื่อนครว่า “กบิลพัสดุ์” แล้วอภิเษกสมรสกันเอง เว้นแต่พระเชฏฐภคินี ได้มีจิตปฏิพัทธ์กับพระเจ้ากรุงเทวทหะ เมื่อได้อภิเษกสมรสกันแล้วได้ตั้งโกลิยวงศ์สืบมา ครั้นสร้างเมืองสำเร็จแล้ว พระเจ้าโอกกากราชทราบความสำเร็จนี้ และการอภิเษกกันเองของพระราชบุตร พระราชธิดาเพื่อคงขัตติยะโลหิตมิให้จางเจือจึงอุทานว่า สักกาแปลว่า สามารถยิ่งแล้วหนอ จึงได้ชื่อว่า สักกชนบท สืบมาลำดับพระโคตรที่สำคัญ ของสิทธัตถราชกุมารนั้นอาจย้อนไปถึงพระเจ้าชัยเสนะ(พระไปยกา(ทวด)) ผู้ครองนครกบิลพัสดุ์ มีพระราชบุตร ๑ พระราชบุตรี ๑ได้แก่ สีหหนุ(พระอัยกา(ปู่)) และ ยโสธรา ตามลำดับ เมื่อพระเจ้าชัยเสนะสวรรคตแล้ว สีหหนุกุมารได้ครองราชย์ต่อ อภิเษกสมรสกับพระนางกัญจนา(พระอัยยิกา(ย่า)) มีพระราชบุตร ๕ พระองค์ ได้แก่
สุทโธทนะ ๑ (พระชนก(พ่อ)), สุกโกทนะ ๑,อมิโตทนะ ๑, โธโตทนะ ๑, และ ฆนิโตทนะ ๑ มีพระราชบุตรี ๒ พระองค์ ได้แก่ปมิตา ๑ และ อมิตา ๑
ส่วนพระนางยโสธรา (พระอัยยิกา(ยาย)) ไปเป็นพระมเหสีของพระเจ้าอัญชนะ (พระอัยกา(ตา)) มีพระราชบุตร ๒ พระองค์ ได้แก่ สุปปพุทธะ ๑และ ทัณฑปาณิ ๑ มีพระราชบุตรี ๒ พระองค์ ได้แก่ มายา ๑ (พระชนนี(แม่)) และปชาบดี ๑ ภายหลังเมื่อพระเจ้าสีหหนุสวรรคตแล้ว
สุทโธทนะกุมารก็ขึ้นครองราชย์ มีพระนางมายาเป็นมเหสี ประสูติสิทธัตถะโอรส ใต้ต้นสาละ ในอุทยานลุมพินีวันระหว่างทางกรุงกบิลพัสดุ์ กับ กรุงเทวทหะ
วันศุกร์ เพ็ญเดือนวิสาขะ (เดือน ๖) ปีจอ ก่อนพุทธศก ๘๐ ปี เวลาสายใกล้เที่ยง
เมื่อประสูติได้ ๓ วัน อสิตดาบส หรือกาฬเทวิลดาบสผู้เป็นที่นับถือของพระเจ้าสุทโธทนะ ทราบข่าวการประสูติของกุมารก็มาเยี่ยม เห็นลักษณะถูกต้องตามตำหรับมหาบุรุษลักษณะจึงอภิวาทพระราชโอรส และกล่าวทำนายเป็น ๒ ลักษณะ คือถ้าครองเพศฆราวาสก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ถ้าครองเพศบรรพชิตก็จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก พระเจ้าสุทโธทนะเห็นดาบสที่ตนนับถืออภิวาทบุตรของตน ก็บังเกิดความนับถือพระราชโอรสเป็นอันมาก
เมื่อประสูติได้ ๕ วัน ก็ให้ประชุมพระญาติ เชิญพราหมณ์มา ๑๐๘ คน มาฉันโภชนาหาร แล้วขนานพระนามว่า “สิทธัตถราชกุมาร” คัดเลือกจนเหลือพราหมณ์ ๘ คน ให้ทำนายลักษณะ ก็ทำนายเป็น ๒ ลักษณะเช่นเดียวกับอสิตดาบส มีเพียง
โกญฑัญญพราหมณ์คนเดียวที่ทำนายเป็นทางเดียวว่า จะได้ออกบวชเป็นศาสดาเอกของโลก เมื่อประสูติได้ ๗ วัน พระนางสิริมหามายา ก็สิ้นพระชนม์ พระเจ้าสุทโธทนะจึงมอบพระราชโอรสให้
พระนางปชาบดีโคตมีเลี้ยงสืบมา พระนางเองภายหลังก็มีพระราชบุตรของตนทรงพระนามว่า “
นันทกุมาร” และมีพระราชบุตรี ทรงนามว่า“
รูปนันทา”
เมื่อพระชนมายุได้ ๗ ชันษา พระราชบิดาตรัสให้ขุดสระโบกขรณีขึ้น ๓ สระปลูกอุบลบัวขาบสระ ๑, ปลูกประทุมบัวหลวงสระ ๑, ปลูกบุณฑริกบัวขาวสระ ๑ เมื่อเจริญจนควรศึกษาศิลปวิทยาได้ ก็มอบไว้ใน
สำนักครูวิศวามิตร พระราชกุมารเรียนรู้จนสิ้น เมื่อคราวเข้าร่วมพิธีแรกนาขวัญ ทรงนั่งอยู่โดดเดี่ยว
เจริญอานาปานสติ บรรลุปฐมฌาน เกิดเหตุอัศจรรย์เงาต้นหว้าไม่เคลื่อนตามพระอาทิตย์ พระราชบิดาทรงทราบ จึงเสด็จมาถวายบังคม
เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ ชันษา ก็ได้
พระนางยโสธรา (พระนางพิมพา) พระราชธิดาที่ประสูติแต่พระนางอมิตา กับ พระเจ้าสุปปพุทธะ เจ้ากรุงเทวทหนคร เป็นชายาพระราชบิดาทรงสร้างประสาท ๓ ฤดูบำรุงบำเรอสุดความสามารถให้เพลิดเพลินในกามสุข อยู่มาจนมี
พระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา มีพระโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า“
ราหุลกุมาร ตามคำอุทานว่า “
ราหุลํ ชาตํ พนฺธนํ ชาตํ” ซึ่งแปลว่า บ่วงเกิดแล้วหนอ สิทธัตถะราชกุมารมีพระญาติรุ่นราวคราวเดียวกัน
ตามลำดับดังนี้ “อานันทะ” โอรสพระเจ้าสุกโกทนศากยะ, “มหานามะ” และ “อนุรุทธ” กับ “โรหิณี” โอรสและธิดาพระเจ้าอมิโตทนศากยะ, “
เทวทัต” กับ “ยโสธรา” ราชบุตรและราชบุตรีของพระเจ้าสุปปพุทธะกับพระนางอมิตาต่อมาได้ทรงเห็น
เทวทูตทั้ง ๔ คือ
คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และ สมณะ เกิด
ธรรมสังเวชว่า แม้เราจะมีอำนาจวาสนา ก็
มิอาจพ้น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไปได้ จึงรู้สึกพอใจในเพศสมณะ คืนหนึ่งตื่นบรรทมขึ้นมากลางดึก แลเห็นนางสนมนอนสิ้นสมประดี กลาดเกลื่อนท้องพระโรงประดุจกองซากศพในป่าช้า เกิดความเบื่อหน่ายถึงที่สุด จึงหนี
ออกบวชเวลากลางคืน ทรงม้ากัณฐกะ มีนายฉันนะตามเสด็จ ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมา ณ อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละจึงใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลี ครองเพศบรรพชิตแต่บัดนั้น
โกณฑัญญพราหมณ์ทราบข่าวมหาบุรุษออกผนวชสมดังคำที่ตนทำนาย จึงชักชวนบุตรของพราหมณ์ออกบวชติดตามมหาบุรุษ มี
วัปปะ ภัททิยะ มหานามะและอัสสชิ ชื่อว่า
ปัญจวัคคีย์ หรือ เบญจวัคคีย์แปลว่า พวก ๕ ดังนี้
หลังจากได้เสวยบรรพชาสุข ณ อนุปิยอัมพวัน เป็นเวลา ๗ วัน จึงเสด็จเข้าบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
พระเจ้าพิมพิสารทราบความ จึงเสด็จมาเชื้อเชิญให้ครองราชย์ร่วมกัน แต่มหาบุรุษปฏิเสธว่า ทรัพย์ในโลก และกามสุขมิใช่สิ่งที่พระองค์ต้องการ พระองค์ออกบวชเพื่อสัพพัญญุตญาณ ลำดับนั้นพระเจ้าพิมพิสารบังเกิดความเลื่อมใส ทูลขอปฏิญญาว่า “ถ้าพระองค์ได้
ตรัสรู้แล้ว ขอได้โปรดเสด็จมาแสดงธรรมโปรดข้าพระองค์ด้วย” พระมหาบุรุษทรงรับปฏิญญานั้น เมื่อออกบวชแล้วก็ได้ไปฝึกฝนหาวิชาความรู้ในสำนักที่มีชื่อเสียงมากสมัยนั้นคือ สำนักของ
อาฬารดาบส กาลามโคตร และ อุทกดาบส รามบุตร บรรลุฌานสมาบัติ ๗ และ ๘ คือ อากิญจัญญายตนฌาน และ เนวสัญญานาสัญญายตนฌานอาจารย์ทั้งสองชวนให้อยู่ที่สำนัก สั่งสอนศิษย์ต่อไป แต่มหาบุรุษปฏิเสธ คิดว่านี่ยังมิใช่ที่สุดของธรรม มิใช่ทางแห่ง
สัพพัญญุตญาณ จึงออกจากสำนักเข้าบำเพ็ญพรต
ด้วยตนเองในป่า ณ อุรุเวลาเสนานิคม
ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยมีวิธีบำเพ็ญดังนี้กดพระทนต์(ฟัน)ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุ(เพดานปาก)ด้วยพระชิวหา(ลิ้น)ไว้ให้แน่นจนพระเสโท(เหงื่อ)ไหลออกจากพระกัจฉะ(รักแร้) ๑, กลั้นลมหายใจ อัสสาสะปัสสาสะ จนเกิดเสียงอื้อในช่องพระกรรณ(หู)ทั้งสอง ปวดพระเศียรเป็นกำลัง ๑, อดพระกระยาหารจนพระฉวีวรรณเศร้าหมอง ทรงซูบผอมเหลือแต่พระตะโจ(หนัง) หุ้มพระอัฐิ(กระดูก) จนเมื่อลูบพระวรกาย เส้นพระโลมา(ขน)หลุดติดพระหัตถ์(มือ) ๑ ครั้นบำเพ็ญอยู่ ๖ ปี มิได้บรรลุธรรมวิเศษอะไร วันหนึ่งท้าวสักกเทวราชทราบดำริของมหาบุรุษแล้ว จึงทรงดีดพิณให้มหาบุรุษสดับ เส้นหนึ่งตึงเกินไป ไม่นานก็ขาด เส้นหนึ่งหย่อนเกินไปก็ไม่เป็นเสียง อีกเส้นหนึ่งขึงพอดี ๆ เสียงก็ไพเราะจับใจ มหาบุรุษได้สดับแล้วก็นำมาเทียบกับการปฏิบัติของตน เกิดปัญญา ยึดเอา
มัชฌิมาปฏิปทาเป็นที่ตั้ง เพลาเช้าจึงเสด็จออกบิณฑบาต เพื่อฉันพระกระยาหาร จะได้มีกำลังเพื่อการบำเพ็ญทางจิตต่อไป