ผู้เขียน หัวข้อ: ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว  (อ่าน 68974 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
หนี้บัตรเครดิต...เรื่องสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตต้องเข้าใจ
โพสต์เมื่อ : 2 กรกฎาคม 2558 เวลา 11:12:09

หนี้บัตรเครดิต...เรื่องสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตต้องเข้าใจ
-http://money.kapook.com/view123030.html-


         หนี้บัตรเครดิต เป็นแล้วสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้คืออะไร ผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้จะร้ายแรงแค่ไหน  ติดตามได้จากบทความนี้
   
         หนี้บัตรเครดิต  ที่หลายคนก่อไว้มาจากเหตุผลแตกต่างกันออกไป บางคนเกิดจากการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยเกินฐานะความจำเป็น อยากได้สิ่งของราคาแพงแต่ไม่มีเงิน จึงต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ แต่บางคนก็ต้องแบกรับภาระหลายทางไหนจะค่าเทอมลูก ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ดังนั้นภาระความจำเป็นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ทุกสาเหตุนำไปสู่ผลลัพธ์เดียวกันคือ การเป็นหนี้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่บวกกับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่สุดโหดทำให้หลายคนเกิดอาการเบี้ยวหนี้ พอเป็นหนี้แล้วไม่จ่ายหนี้ เจ้าหนี้เขาก็ทวง พอทวงไม่ได้ก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันไป แต่มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ จะเอาเวลาไหนไปศึกษากฎหมายบัตรเครดิต วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ หนี้บัตรเครดิต มาบอกให้ทำความเข้าใจไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหนี้ ว่าแล้วก็ไปเริ่มกันเลย       

หากถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้อง คดีที่เกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิต ถือเป็นคดีประเภทใด

         ในกรณีที่คุณเป็นหนี้บัตรเครดิตตามกฎหมายจะถือเป็น คดีแพ่ง  ส่วนโทษในคดีแพ่งจะมีเพียงการชำระหนี้และชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น       

หากถูกฟ้องจะต้องขึ้นศาลอะไร ที่ไหน

         กรณีที่เป็นคดีเกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิตจะเข้าข่ายคดีเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคล ซึ่งสถานที่ที่เจ้าหนี้สามารถยื่นฟ้องลูกหนี้ ได้แก่ 1. ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล 2. ศาลที่มูลคดีเกิด (ที่ตั้งของสถาบันการเงินที่ลูกหนี้ได้ไปรับบัตรเครดิต)
   
ส่วนการจะฟ้องที่ศาลใดจะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ดังนี้

        1. ดูประเภทของคดีก่อนว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด

        2. ดูทุนทรัพย์ของคดีว่าอยู่ในอำนาจศาลจังหวัดหรือศาลแขวง

         เช่น ศาลจังหวัด จะพิจารณาคดีแพ่งที่มีจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่พิพาทเกินกว่า 300,000 บาท

         ส่วนศาลแขวง จะพิจารณาคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน 300,000 บาท
   
คดีบัตรเครดิตจะเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใดและมีอายุความกี่ปี

         ในคดีบัตรเครดิตโดยทั่วไปเมื่อเจ้าหนี้ได้แจ้งกำหนดการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ทราบแล้ว เมื่อถึงกำหนดลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนด อายุความจะเริ่มนับทันทีในวันถัดไป  ส่วนคดีหนี้บัตรเครดิตจะมีอายุความทั้งสิ้น 2 ปี
     
เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้หรือไม่
 
         คำตอบคือ ได้ โดยเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะคดี หากลูกหนี้ไม่ชำระคืนตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน เจ้าหนี้มีสิทธิ์ยึดทรัพย์หรืออายัดสิทธิ์เรียกร้องของลูกหนี้ได้ โดยศาลจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อออกหมายยึดและอายัดต่อไป ดังนี้   

        1. ทรัพย์สินที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ โทรทัศน์ เครื่องครัว มูลค่ารวมกัน 50,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด แต่ถ้าเป็นสร้อย แหวน นาฬิกา ของเหล่านี้แม้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของลูกหนี้ แต่เจ้าหนี้ก็มีสิทธิ์ยึดได้เพราะไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต
   
        2. ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินของลูกหนี้ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร (ถ้าประกอบธุรกิจรับถ่ายเอกสาร) ถ้ามูลค่ารวมกัน 100,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด ในกรณีที่เครื่องมือประกอบอาชีพมีราคาสูงกว่า 100,000 บาท และจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็สามารถขอต่อศาลได้
 
         ข้อควรรู้ หากมีเจ้าหนี้หลายราย ทรัพย์ใดถูกยึดไปแล้ว ห้ามเจ้าหนี้รายอื่นมายึดซ้ำ เจ้าหนี้รายใดยึดก่อนก็ได้สิทธิ์ก่อน


     
เจ้าหนี้สามารถทำเรื่องขออายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้หรือไม่
   
         ข้อนี้อาจะยาวเสียหน่อย แต่คนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตควรจะทราบไว้เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการรายได้ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกรณีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ทำเรื่องขออายัดเงินเดือนครับ ถ้าลูกหนี้เพิกเฉยไม่ยอมติดต่อเจ้าหนี้ ไม่ยอมใช้หนี้ หรือตกลงเรื่องการจ่ายเงินไม่ได้ ทนายของฝ่ายเจ้าหนี้ก็อาจจะทำเรื่องขอยึดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือนได้
   
        สำหรับเกณฑ์การอายัดเงินเดือนของกรมบังคับคดี หากลูกหนี้เป็นข้าราชการ/ลูกจ้างประจำของข้าราชการจะไม่ถูกอายัดเงินเดือน หากลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง หรือเป็นพนักงานบริษัท ฯลฯ จะถูกอายัดเงินเดือน โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้

        1. อายัดเงินเดือนไม่เกิน 30 %

                  ลูกหนี้เงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท  (อายัดไม่ได้)

                  ลูกหนี้เงินเดือนเกิน 10,000 บาท อายัดได้ 30 % แต่จะต้องเหลือเงินให้ลูกหนี้ใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท   
 
            หากลูกหนี้มีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาล สามารถนำหลักฐานไปขอลดหย่อนที่กรมบังคับคดีเพื่อให้ลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้   

        2. เงินโบนัส จะถูกอายัดไม่เกิน 50 %

        3. เงินตอบแทนการออกจากงาน จะถูกอายัด 100 %

        4. เงินค่าตอบแทนต่าง ๆ ค่าสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าตำแหน่ง เจ้าหนี้จะสืบทราบและทำการร้องขอต่อศาลว่าจะอายัดเท่าไร

        5. บัญชีเงินฝาก (อายัดได้)

        6. เงิน กบข. (อายัดไม่ได้)

        7. เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทำกับบริษัท (อายัดไม่ได้) (พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ)

            แต่ถ้าทำกองทุนต่าง ๆ กับธนาคารต้องดูตามหลักเกณฑ์ของกองทุนว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่ และมีข้อห้ามการบังคับคดีหรือไม่ ถ้าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ และไม่มีข้อห้ามก็จะอายัดได้

        8. เงินค่าวิทยฐานะ (ค่าตำแหน่งทางวิชาการ) ถ้าเป็นข้าราชการจะไม่ถูกอายัด แต่ถ้าเป็นสังกัดเอกชนจะถูกอายัด เพราะถือว่าเป็นเงินเดือน

        9. หุ้น กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาดได้ หรือถ้ามีเงินปันผล ก็จะทำเรื่องอายัดเงินปันผลได้

        10. เงินสหกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัท หากเจ้าหนี้สืบทราบว่าเป็นสมาชิกสหกรณ์ใด สามารถอายัดเงินปันผล เงินเฉลี่ยคืน เงินค่าหุ้นสหกรณ์ได้

        11. ร่วมทุนกับผู้อื่นเปิดบริษัท หากผู้ร่วมลงทุนมีปัญหาถูกอายัดทรัพย์ กรมบังคับคดีจะอายัดเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์สินของผู้ถูกอายัดเท่านั้น ไม่ได้อายัดทั้งหมด อาจดูเฉพาะส่วนของเงินปันผล ใบหุ้น ฯลฯ ของผู้ถูกอายัด
 
            การถูกอายัดเงินเดือน กรมบังคับคดีจะอายัด 30% จากเงินเดือนเต็ม ก่อนหักภาษีและประกันสังคม

กรณีคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินภายในบ้านได้หรือไม่       

         ถ้าเป็นกรณีที่เป็นสามีภรรยาโดยถูกต้องตามกฎหมาย ให้ถือว่าทรัพย์สินภายในบ้านเป็นสินสมรส เจ้าหนี้มีสิทธิ์นำชี้แถลงยืนยันต่อ เจ้าพนักงานบังคับคดี พร้อมนำส่งเอกสารประกอบการยึดทรัพย์ได้ หากทรัพย์ภายในบ้านเป็นสินสมรสจริง


       
ในกรณีที่ลูกหนี้เสียชีวิตใครจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้สินดังกล่าว
 
         หลายคนอาจสงสัยว่าหากเจ้าหนี้เสียชีวิตลง ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินที่ผู้ตายได้ก่อไว้ก่อนเสียชีวิต เรื่องนี้มีคำตอบครับ ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับหนี้สินกันก่อนซึ่งตามกฎหมายระบุไว้ว่า "หนี้" ถ้าคนไหนก่อคนนั้นก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบครับ คนอื่นไม่เกี่ยว ดังนั้นชัดเจนแล้วว่า คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับว่าจะโดนทวงหนี้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ความเป็นหนี้จะสิ้นสุดลงตามการตายของลูกหนี้ คนมีหนี้ก็ต้องใช้หนี้กันไป โดยกฎหมายระบุไว้ว่า เมื่อลูกหนี้ได้เสียชีวิตลง เจ้าหนี้ก็จะต้องไปทวงหนี้เอาจากกองมรดกของลูกหนี้เท่านั้นครับ แต่ถ้าหากลูกหนี้ไม่มีมรดกก่อนตายก็จบครับเป็นอันว่า “เจ้าหนี้ก็ไม่ได้รับชำระหนี้คืนเลย”
     
         ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ดูเหมือนลูกหนี้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว แต่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป ในทางปฏิบัติแล้วยังพอมีหนทางที่ลูกหนี้จะสามารถเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อแบ่งเบาภาระหนี้ได้ซึ่งกระปุกดอทคอมขอยกมา 3 วิธี ได้แก่ การประนอมหนี้ การโอนหนี้บัตรเครดิต และการปรับโครงสร้างหนี้
     
การประนอมหนี้
 
         การประนอมหนี้ คือ การที่เจ้าหนี้ยินยอมลดจำนวนหนี้สินลง หรืออาจจะยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้ เพื่อให้ลูกหนี้ได้ผ่อนชำระในจำนวนเงินที่น้อยลงสมกับสถานะทางการเงินปัจจุบันของลูกหนี้ ส่วนจำนวนหนี้ที่ยอมลดให้จะมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการต่อรองระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ แม้ว่าบางครั้งเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้ไม่สูงแต่ถือว่าดีกว่าไปฟ้องร้อง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายทางศาล และเป็นการรักษาชื่อเสียงของเจ้าหนี้ว่าเจ้าหนี้รายนั้นไม่ใช่เจ้าหนี้หน้าเลือด

การโอนหนี้บัตรเครดิต
     
         ส่วนใหญ่เวลาคนเป็นหนี้บัตรเครดิตมักเกิดจากหนี้จากบัตรเครดิตหลาย ๆ ใบ ทำให้ต้องชำระหนี้หลายช่องทางพ่วงด้วยอัตราดอกเบี้ยตามจำนวนบัตรที่ถือ ซึ่งภาระเรื่องดอกเบี้ยนี่แหละที่เป็นตัวการใหญ่ของปัญหาหนี้บัตรเครดิต ดังนั้นจึงมีหลายสถาบันการเงินที่รับโอนหนี้ ซึ่งการโอนหนี้ก็คือ การถ่ายโอนหนี้ค้างชำระจากสถาบันการเงินเดิมไปรวมไว้ยังสถาบันการเงินแห่งใหม่ ซึ่งลูกหนี้จะสะดวกในการรวมชำระหนี้ให้เป็นแห่งเดียว และจะทำให้ดอกเบี้ยลดลง ง่ายต่อการชำระหนี้มากขึ้น

         ลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนชำระได้นานขึ้นทำให้มีเวลาในการตั้งตัวและหาเงินมาใช้หนี้ รวมไปถึงช่วยลดภาระการชำระหนี้ต่อเดือน เช่น การผ่อนบัตรเครดิต ต้องชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดคงค้าง ถ้าโอนหนี้แล้ว ลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนได้น้อยลงขึ้นอยู่กับจำนวนเดือนที่เลือกผ่อนชำระกับทางสถาบันการเงิน
     
การปรับโครงสร้างหนี้
   
         เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน เนื่องจากโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินของลูกหนี้ในเวลาปัจจุบัน การปรับโครงสร้างหนี้มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขอขยายเวลาชำระหนี้ออกไปโดยผ่อนค่างวดน้อยลง อัตราดอกเบี้ยคงเดิม, ขอจ่ายดอกเบี้ยแต่เพียงอย่างเดียวสักระยะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงขอจ่ายเป็นค่างวดตามเงื่อนไขเดิม พร้อมกับขยายระยะเวลาการกู้ออกไป เป็นต้น ดังนั้นพูดได้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้ทำให้ลูกหนี้สามารถที่จะชำระหนี้ได้โดยที่ไม่ต้องไปขึ้นศาล และไม่ต้องถูกฟ้องล้มละลาย แต่ทั้งนี้การปรับโครงสร้างหนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ร่วมกัน
   
         การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เป็นประโยคที่ใช้ได้จริงกับผู้คนในยุควัตถุนิยมอย่างเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะว่าไปการมีบัตรเครดิตก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด หากเรารู้จักการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและรู้จักคำว่า พอเพียง ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ก็สามารถมีบัตรเครดิตได้ ดังนั้นจึงอยากจะฝากข้อคิดถึงผู้ที่เป็นหนี้ทุกประเภทว่าจะใช้จ่ายอะไรก็ตาม ขอให้นึกถึงความจำเป็นและศักยภาพในการชำระหนี้ของเราเป็นหลัก เพราะถ้าทำตามความต้องการของตัวเองมากจนเกินไปอาจก่อให้เกิดหนี้สินพะรุงพะรังจนเราไม่สามารถใช้หนี้ได้หมด และอาจโดนฟ้องร้องจนเป็นเหตุให้เสียทรัพย์สินตามมาก็เป็นได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กรมบังคับคดี, ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล, lukkid.com, บริษัท สำนักงานจรัสทนายความและการบัญชี จำกัด, บริษัท พัฒนกิจ บัญชี ภาษีและฝึกอบรม จำกัด, บริษัท อาณาจักรกฎหมาย จำกัด
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เตือนภัย แก๊งโจรแสบแอบดูรหัส ATM ก่อนสลับกดเงินเหยื่อ 5 หมื่น ลอยนวล

-http://hilight.kapook.com/view/126623-




 แก๊งโจรแสบแอบดูรหัส ATM ก่อนสลับกดเงินเหยื่อ 5 หมื่น ลอยนวล ด้านตำรวจเร่งไล่ล่า เหยื่อเผยทำทีมาพูดคุยขอดูบัตร ก่อนสลับหน้าตาเฉย ขณะที่กล้องวงจรปิดเผยทำงานกันเป็นทีม ให้อีกคนมาแอบจำรหัส ก่อนที่จะให้คนร้ายอีกคนมาสลับบัตร

          วันนี้ (18 กันยายน 2558) เมื่อเวลา 13.50 น. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับแจ้งจาก นางวาสนา สุขอ้วน อายุ 39 ปี ว่า ถูกคนร้ายใช้อุบายสลับบัตรเอทีเอ็มหลบหนีไป ขณะที่กำลังกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็ม ที่หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขากันทรารมย์

          ทั้งนี้ นางวาสนา ให้การว่า ขณะที่กำลังกดเงินอยู่นั้น ก็มีคนร้ายเป็นหญิงใส่เสื้อและกระโปรงสีขาว รูปร่างหน้าตาดี พูดจาสุภาพ เข้ามาพูดคุยตีสนิท ก่อนที่จะขอดูบัตรเอทีเอ็มแล้วฉวยโอกาสสลับบัตรเอทีเอ็มเป็นเอทีเอ็มปลอมมาคืนให้ ซึ่งหลังจากทราบว่าตนถูกคนร้ายหลอก ก็รีบแจ้งร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเกรงว่าคนร้ายจะนำเงินสดออกจากบัญชี

          หลังรับแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่ติดต่อขอข้อมูลจากภาพกล้องวงจรปิด พบว่า คนร้ายทำงานกันเป็นกลุ่ม โดยได้ส่งคนหนึ่งไปยืนสังเกตการณ์และยืนหลังนางวาสนาเพื่อจดจำรหัสบัตรเอทีเอ็ม ก่อนที่จะให้คนร้ายอีกคนเข้ามาพูดคุยและสลับบัตร จากนั้นได้นำเงินไปกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพหน้าร้านสะดวกซื้อ 7-11 สาขาห้วยขะยุง อ.วารินชำราบ จำนวน 50,000 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามตัวกลุ่มคนร้ายนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


เตือนภัย!แก๊งแสบแอบดูรหัสพร้อมเปลี่ยนบัตรATM
https://www.youtube.com/watch?v=sCamcb4PWhY
-https://www.youtube.com/watch?v=sCamcb4PWhY-





https://www.youtube.com/watch?v=sCamcb4PWhY
-https://www.youtube.com/watch?v=sCamcb4PWhY-
เตือนภัย!แก๊งแสบแอบดูรหัสพร้อมเปลี่ยนบัตรATM


ภาพจาก TNN 24

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.dailynews.co.th/regional/348818-

.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
เตือนระวังมิจฉาชีพหลอกเก็บค่าไฟ หลังเจ้าของอู่ซ่อมรถโดนตุ๋น 9 พัน

-http://hilight.kapook.com/view/126658-

  เตือนประชาชนระวังมิจฉาชีพแจ้งบิลค่าไฟปลอม หลังเหยื่อเป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถที่โคราชโดนตุ๋นไป 9,000 บาท

          เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2558 เว็บไซต์นิวส์ คอนเน็ก รายงานว่า เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสุรนารี จ.นครราชสีมา ได้เข้าตรวจสอบอู่ซ่อมรถยนต์ หลังมีการอ้างว่ามีบุคคลแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มาเรียกเก็บค่าไฟฟ้าจำนวน 9,000 บาท

          ทั้งนี้นางรัตนา มาวขุนทด ผู้เสียหายเปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา เมื่อมีชายอายุประมาณ 30-35 ปี ห้อยบัตรพนักงานการไฟฟ้า นำใบแจ้งเตือนการตัดหม้อไฟมาให้ ซึ่งตนก็ไม่รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด จึงมอบเงินจำนวน 9,000 บาทแก่ชายคนดังกล่าวไป เพื่อจ่ายค่าไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม วันที่ 13 กันยายน ตนกลับถูกตัดหม้อไฟ ดังนั้นได้เข้าไปแจ้งต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสุรนารีว่า จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับนำบิลมาให้ดู แต่สุดท้ายก็ทราบว่า เป็นบิลปลอม

          ขณะที่เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสุรนารี ได้แจ้งเตือนประชาชนระวังกลุ่มมิจฉาชีพ พร้อมกับติดตัวอย่างใบค่าไฟฟ้าของจริงและของปลอมเอาไว้ นอกจากนี้ ขอยืนยันว่า ทางหน่วยงานไม่มีนโยบายเก็บค่าไฟฟ้าตามบ้านเรือน





ภาพจาก นิวส์ คอนเน็ก

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://www.newsconnect.co.th/pagedetail.php?typenews=3&idnews=2944-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด


แก๊งปล่อยกู้แสบ ! อ้างรุ่นใหญ่ "พล.ต.อ. จักรทิพย์" ขู่ทวงหนี้-ไม่จ่ายโดนซ้อม

-http://hilight.kapook.com/view/126988-

 แก๊งปล่อยกู้แสบ ! อ้างรุ่นใหญ่ "พล.ต.อ. จักรทิพย์" ขู่ทวงหนี้-ไม่จ่ายโดนซ้อม บอกรอง ผบ.ตร. เป็นเจ้าของเงิน สารภาพนำเงินลงขันแล้วปล่อยกู้ ดอกเบี้ยสุดโหดร้อยละ 20 บาทต่อวัน

            วันที่ 27 กันยายน 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 3 จ.นครราชสีมา ได้นำตัว นายราชัน โชติพินิจ อายุ 36 ปี พร้อมพวกซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ อายุระหว่าง 19-45 ปี รวม 14 คน พร้อมกับของกลางคือ สมุดจดบันทึกเงินที่นำมาปล่อยกู้และเงินสดหลายพันบาท มาดำเนินคดี หลังสืบทราบว่ามีพฤติกรรมปล่อยเงินกู้เก็บดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งยังแอบอ้างชื่อของ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจ ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่ ว่าเป็นเจ้าของเงินที่มาปล่อยกู้

 ทั้งนี้การจับกุมดังกล่าว สืบเนื่องจากมีชาวบ้านในเขตตัวเมืองโคราชร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินสายปล่อยเงินกู้ให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดหลายแห่ง โดยมีพฤติกรรมข่มขู่ลูกหนี้ และดอกเบี้ยก็โหดถึงร้อยละ 20 ต่อวัน ที่สำคัญแก๊งนี้ยังอ้างชื่อของ พล.ต.อ. จักรทิพย์ รอง ผบ.ตร. ว่าเป็นเจ้าของเงินดังกล่าวด้วย จึงสืบตัวและกระจายกำลังจับกุมได้หลายจุดในเมืองโคราช

            อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนนายราชัน หัวหน้าแก๊ง ให้การรับสารภาพว่า ได้ร่วมกันปล่อยเงินกู้จริง โดยแต่ละคนนำเงินมาลงขันปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อวัน ไม่ได้มีใครอยู่เบื้องหลังแต่อย่างใด ส่วนที่ต้องแอบอ้างตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก็เพราะต้องการให้ลูกหนี้เกรงกลัวและยอมจ่ายเงินมากขึ้น ซึ่งการตามเก็บหนี้ จะตระเวณขี่จักรยานยนต์ไล่ตามเก็บจากลูกค้า หากใครบ่ายเบี่ยงก็ขู่ บางคนก็ทำร้ายร่างกายให้หวาดกลัว

            เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตั้งข้อหาให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินเรียกอัตราดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา ดำเนินคดีต่อไป
 
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @TNAMCOT 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://www.dailynews.co.th/regional/350642-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
อุทาหรณ์ ! สำเนาบัตรประชาชนหลุด ตกเป็นหนี้บัตรเครดิตนับแสนบาท

-http://money.kapook.com/view130334.html-

 อุทาหรณ์เตือนใจ ใครหลาย ๆ คนระวังสำเนาบัตรประชาชนที่ใช้สมัครงานหรือติดต่อธุรกรรมต่าง ๆ หลุด อาจตกเป็นหนี้บัตรเครดิตนับแสนแบบไม่รู้ตัว ชาวเน็ตแนะวิธีป้องกันมิจฉาชีพนำเอกสารไปใช้ประโยชน์ต่อ

           วันที่ 28 กันยายน 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในตอนนี้ชาวโซเชียลกำลังให้ความสนใจกระทู้ "เตือนภัย เป็นหนี้บัตรเครดิตกว่า 150,000+ โดยไม่รู้ตัว" ของ คุณ Ordinary diary สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม  ที่ได้โพสต์เล่าเรื่องราวจากประสบการณ์จริง หลังตกเป็นลูกหนี้บัตรเครดิตของธนาคาร 2 แห่ง ทั้ง ๆ ที่ตนเองไม่เคยสมัคร

           โดยระบุว่า  เมื่อประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2558 เจ้าของกระทู้ได้รับจดหมายทวงหนี้บัตรเครดิตจากธนาคาร A ที่ถูกส่งไปยังบ้านตามที่ระบุไว้ในบัตรประชาชน ทั้งนี้ ใบแจ้งหนี้ระบุว่า ตนเป็นหนี้จำนวน 76,000 กว่าบาท ซึ่งตอนที่น้องสาวถ่ายรูปแล้วส่งมาให้ดูก็คิดว่า คงถูกมิจฉาชีพส่งข้อมูลปลอมมาหลอก แต่เมื่อลองโทรไปสอบถามกับธนาคาร A จึงทราบว่า เป็นหนี้บัตรเครดิตจริง ๆ ทั้งที่ไม่เคยสมัคร

           ต่อมา ตนได้เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ของธนาคาร A เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทำให้ทราบว่า บัตรเครดิตถูกเปิดใช้ที่ธนาคาร A สาขารังสิต ช่วงเดือนมีนาคม 2558 มีวงเงิน 73,000 บาท แต่ใช้เกินวงเดือน ยอดรวมทั้งหมดจึงเป็น 76,000 กว่าบาท และเมื่อเดินทางไปยังธนาคาร A สาขารังสิต เพื่อแจ้งความ เจ้าหน้าที่ของธนาคาร ชื่อว่า น.ส.Y ก็มาชี้แจงให้ทราบว่า ได้มีฝ่ายบุคคลของ บจก.XXX เอาหลักฐานของพนักงาน (สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเรา) มายื่นกับธนาคารเพื่อสมัครบัตรเครดิตให้พนักงาน พร้อมทั้งนำสลิปเงินเดือน สเตทเม้นท์และใบเสียภาษีมาประกอบการสมัคร ประกอบกับธนาคารได้โทรไปสอบถามตามเบอร์ของ บจก.XXX ก็ยืนยันว่า พนักงานที่สมัครใช้บัตรเครดิตมีตัวตนจริง จึงอนุมัติบัตรเครดิต

           ตนจึงพยายามขอข้อมูลคนที่มาเปิดบัตรเครดิต ปรากฏว่า น.ส.Y ปฏิเสธ เนื่องจากเป็นข้อมูลของลูกค้า แต่ น.ส.Y จะส่งเรื่องไปให้สำนักงานใหญ่ดำเนินการต่อให้ หลังจากนั้นตนก็ได้เช็กกับเครดิตบูโร พบว่า มีคนร้ายแอบใช้บัตรเครดิตของธนาคาร B อีก 2 ใบ วงเงินใบละ 40,000 บาท หลังทราบเรื่องก็รีบเดินทางไปธนาคาร เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ก่อนจะไปแจ้งความและนำเอกสารไปติดต่อธนาคารซึ่งเป็นสถานที่เปิดใช้บัตรเครดิตดังกล่าวทันที เรียกว่า กว่าจะเดินเรื่องจนหลุดพ้นหนี้บัตรเครดิตที่ตนเองไม่ได้ก่อ ก็ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนทีเดียว

           นอกจากนี้ เจ้าของกระทู้ยังได้โพสต์เล่าการสอบถามเรื่องการทำบัตรเครดิตกับพนักงานของธนาคาร เพิ่มเติมด้วยว่า

           1. เราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้คนร้ายไปเปิดบัตรมั่วซั่วอีก?

           พนักงานของธนาคาร ตอบว่า ป้องกันไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือ รอว่าจะมีเซอร์ไพรส์จากธนาคารไหน แล้วค่อยตามไปแจ้งเรื่อง

           2. เราสามารถฝากเอกสารให้เพื่อนหรือใครมาสมัครบัตรเครดิตแทนเราได้ไหม?

           พนักงานของธนาคาร ตอบว่า  ได้

           3. เจ้าของหลักฐานไม่ต้องเซ็นชื่อต่อหน้าพนักงานเหรอ?

           พนักงานของธนาคาร ตอบว่า แล้วแต่กรณีว่า ลูกค้ากับพนักงานมีข้อตกลงกันว่าอย่างไร

           4. ถ้าเราทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ล่ะ จะช่วยได้ไหม?

           พนักงานของธนาคาร ตอบว่า ไม่ได้ เพราะข้อมูลยังเป็นข้อมูลของเรา


           อย่างไรก็ดี คุณ Ordinary diary ยังตั้งข้อสังเกตทิ้งท้ายว่า สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่หลุดไปถึงมือคนร้ายนั้น อาจหลุดไปกับการสมัครงานเมื่อช่วงต้นปี 2557 เนื่องจากแฟนของคุณ Ordinary diary ที่ยื่นใบสมัครที่เดียวกัน ก็ถูกนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนไปเปิดบัตรเครดิตในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน

           ภายหลังที่เรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปก็มีบรรดาชาวเน็ตเข้ามาสอบถามว่า ธนาคารต้นเรื่องทั้ง 2 แห่งคือที่ไหนกัน เหตุใดเจ้าหน้าที่จึงไม่ตรวจเช็กข้อมูลของลูกค้าอย่างละเอียด ก่อนอนุมัติบัตรเครดิต หรือมัวแต่คิดเพิ่มยอดจนไม่สนใจอะไร ขณะที่บางส่วนก็เข้ามาต่อว่า บริษัทรับสมัครงานที่ทางเจ้าของกระทู้คาดว่าอาจเป็นต้นตอที่ทำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหลุดไปอยู่ในมือมิจฉาชีพว่า บริษัทดังกล่าวไม่มีจรรยาบรรณในการจัดเก็บเอกสารส่วนตัวหรือทำลายเอกสารสำคัญของผู้สมัครงานเลย และบางส่วนก็เข้ามาแนะนำเทคนิคการเซ็นรับรองสําเนาถูกต้องให้ปลอดภัย อาทิ ทุกครั้งหลังจากเซ็นชื่อ และเขียนข้อความรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว เจ้าของเอกสารควรเขียนรายละเอียดกำกับไว้ด้วยว่า เอกสารฉบับนั้นใช้สำหรับทำอะไร เป็นต้น


  เทคนิคการเซ็นรับรองสําเนาถูกต้องให้ปลอดภัย

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก คุณ Ordinary diary สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม



  เทคนิคการเซ็นรับรองสําเนาถูกต้องให้ปลอดภัย
-http://hilight.kapook.com/view/86082-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องยื่นเอกสารสำคัญต่าง ๆ เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาทะเบียนบ้าน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สิ่งสำคัญที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง คือเรื่องของการเซ็นชื่อรับรองในสำเนาเอกสารเหล่านั้น เนื่องจากอาจมีบางท่านเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารอย่างไม่รัดกุม จนส่งผลให้ได้รับความเดือดร้อนในภายหลัง หรืออาจเป็นเพราะบางท่านไม่ทราบว่าควรเซ็นสำเนาอย่างไรถึงจะถูกวิธี ดังนั้นวันนี้เราจึงนำข้อมูลมาฝากกันค่ะ
 
วิธีเซ็นชื่อรับรองสําเนาถูกต้อง

          1. การเซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง จะใช้วิธีขีดเส้นคร่อมบนตัวสำเนาในส่วนที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของเอกสารหรือไม่ก็ได้ เนื่องจากการขีดคร่อม และเขียนข้อความกำกับบนสำเนาเอกสารนั้น ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดไว้ แต่อาจเป็นวิธีการหนึ่งเพื่อป้องกันมิให้มิจฉาชีพนำสำเนาเอกสารนั้นไปใช้ประโยชน์ได้ แต่บางครั้งการขีดคร่อมเอกสารเพื่อนำไปใช้ประกอบเป็นหลักฐาน หากทำไม่ถูกต้อง อาจส่งผลให้สำเนาเอกสารฉบับนั้น ไม่สามารถใช้บังคับได้ตามกฎหมาย หรืออาจกลายเป็นลักษณะของการขีดฆ่าเอกสารทิ้งนั่นเอง

          2. ทุกครั้งหลังจากเซ็นชื่อ และเขียนข้อความรับรองสำเนาถูกต้องแล้ว เจ้าของเอกสารควรเขียนรายละเอียดกำกับไว้ด้วยว่า เอกสารฉบับนั้นใช้สำหรับทำอะไร เช่น "ใช้เฉพาะการสมัครงานเท่านั้น" หรือ "ใช้สำหรับติดต่อเรื่อง...เท่านั้น"

          3. นอกจากเขียนรายละเอียดกำกับการใช้แล้ว เจ้าของเอกสารควรระบุ วัน เดือน ปี ณ วันที่ยื่นเรื่อง ลงบนสำเนาดังกล่าว ซึ่งจะช่วยกำหนดอายุการใช้สำเนาเหล่านั้นได้

          4. ต้องเขียนข้อความทั้งหมดทับลงบนสำเนาส่วนที่เป็นบัตรประชาชนหรือสำเนาทะเบียนบ้านเพื่อให้ยากต่อการปลอมแปลงเอกสาร แต่อย่าทับบริเวณสาระสำคัญของสำเนาเอกสาร เช่น ชื่อ-นามสกุล, วันเดือนปีเกิด

          สำหรับวิธีการเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเจ้าของเอกสาร โดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะถูกกลุ่มมิจฉาชีพหรือผู้ไม่ประสงค์ดีนำสำเนาเอกสารสำคัญต่าง ๆ ที่มีชื่อของเราไปใช้ได้อย่างง่ายดาย

           นอกจากนี้ การเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารต่อหน้าเจ้าหน้าที่หรือพนักงานที่เราติดต่อเพื่อทำธุรกรรม ย่อมปลอดภัยกว่าการเซ็นชื่อรับรองสำเนาเอกสารแล้วส่งทางไปรษณีย์ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เอกสารดังกล่าวอาจตกหล่นสูญหาย หรืออาจถูกมิจฉาชีพนำไปดัดแปลงแก้ไขจนสร้างความเดือดร้อนให้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ถ้าจำเป็นจะต้องยื่นเอกสารสำคัญเพื่อติดต่อธุรกรรมต่าง ๆ ก็อย่าลืมนำวิธีดังกล่าวไปใช้กันนะคะ
 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค , เว็บไซต์กองบิน 4

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
อุทาหรณ์.. จ่ายหนี้แทนนับล้าน เหตุเซ็นค้ำประกันทุนการศึกษาให้อาจารย์ ม.ดัง
-http://education.kapook.com/view140280.html-

อุทาหรณ์ คิดให้ดีก่อนเซ็นค้ำประกันให้ใคร มิเช่นนั้นอาจเจอบทเรียนราคาแพง ชดใช้หนี้ทุนการศึกษานับล้าน อีกฝ่ายอ้างไม่มีเงิน ทั้งที่มีงานดี รายได้สูง ใช้ชีวิตหรูหรา

         เชื่อว่าคนส่วนมากคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว สำหรับคำเตือนให้คิดตรองดูดี ๆ ก่อนจะเซ็นค้ำประกันให้ใคร เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าจะต้องเผชิญสิ่งใดในอนาคต จากการลงนามในสัญญาเพียงครั้งเดียวนั้น อย่างกรณีล่าสุด (26 มกราคม 2559) ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @nimdaex ก็ได้ขอเป็นส่วนหนึ่งในการแชร์ต่อเรื่องราวอุทาหรณ์จากการค้ำประกัน ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ทพ.เผด็จ หมอทอม ประสบมากับตัวหลังจากได้เซ็นค้ำสัญญาทุนการศึกษาให้อดีตอาจารย์ภาควิชาทันตกรรม คณะทันตแพทย์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดอีกฝ่ายกลับไม่ยอมชำระหนี้ อ้างว่าไม่มีเงินทั้งที่มีอาชีพการงานที่ดี อาศัยในอพาร์ทเม้นท์หรูในต่างประเทศ ทิ้งภาระทั้งหมดให้แก่ตัวเขาและบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมกันค้ำประกันให้ต้องเป็นผู้รับกรรมแทน

         โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า ทพ.เผด็จ หมอทอม ได้ร่วมกับอาจารย์และเพื่อนร่วมงานคนอื่น เซ็นค้ำประกันให้กับอดีตอาจารย์รายหนึ่งซึ่งรับทุนศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ด้วยเห็นแก่คณะและหวังว่าอีกฝ่ายจะกลับมาทำประโยชน์แก่ส่วนรวม แต่สิ่งที่ได้รับคือฝ่ายนั้นบอกว่าไม่มีเงิน ทั้งที่ตัวเองทำงานเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อยู่อพาร์ทเม้นท์หรูหราในสหัฐฯ ปล่อยให้ตัวเขาที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูลูกอีก 4 คนต้องมาชดใช้กรรมแทน เป็นจำนวนเงินถึง 2.2 ล้านบาท

ดังนั้นเขาจึงอยากให้เรื่องดังกล่าวได้เตือนสติคนอื่น ๆ ที่กำลังจะค้ำประกันให้ใคร อยากให้รู้ว่าการศึกษาและชาติตระกูลไม่ได้ช่วยอะไร อยากให้คิดดี ๆ ก่อนจะทำธุรกรรมกับใครแม้จะปรารถนาดีต่ออีกฝ่ายก็ตาม

         ทั้งนี้หลังจากที่เรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผย ก็ได้มีชาวเน็ตอีกหลายรายเข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในทำนองเดียวกัน บอกเล่าถึงคนที่ผิดนัดชำระหนี้แล้วหนีหายไป ปล่อยให้เป็นภาระของคนค้ำประกันที่ต้องชำระเงินแทน ทำกันได้แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน ขณะที่อีกหลายคนยังวิจารณ์ว่าพฤติกรรมและจิตใจคนกลุ่มนี้ การศึกษานั้นไม่สามารถช่วยให้ดีขึ้นได้จริง ๆ

ภาพจาก ทวิตเตอร์ @nimdaex
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ต้องช่วยกันแชร์ คนที่ไม่รับผิดชอบ

คนที่ยอมค้ำประกันให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นในเรื่องกรณีไหนก็ตาม

1.ไม่ว่าจะเป็นในกรณีการค้ำประกันเงินกู้
ที่มีการค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันไม่ได้ใช้เงินกู้

2.ไม่ว่าจะเป็นการค้ำประกันอื่นๆ เช่น การค้ำประกันในเรื่องของการศึกษา เมื่อเรียนจบแล้ว ควรมาทำตามข้อตกลง(หรือตามสัญญาฯ) แต่หากไม่ต้องการทำตามข้อตกลง ก็ให้จ่ายเงินใช้หนีทุนการศึกษาเอง ไม่ใช่ให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชอบ

หรือพวกที่กู้ กยศ.ที่ทำงานแล้ว แต่ไม่ยอมมาใช้หนี้ กยศ. แต่มีเงินไปซื้อมือถือดีๆ มีเงินไปเที่ยว คนพวกนี้ก็ไม่รู้จักหน้าที่ ไม่มีความรับผิดชอบ

คนที่ให้ผู้ค้ำประกัน เป็นคนที่รับผิดชอบในภาระหนี้ที่ตนเองได้ก่อไว้ สังคมต้องไม่ให้ตนเหล่านี้ มีพื้นที่ยืนในสังคมได้ บางกรณี ครอบครัว , วงศ์ตระกูล , สถาบันการศึกษา ได้พยายามอบรมสั่งสอนอย่างดีและเต็มที่แล้ว แต่พฤติกรรมยังยอดแย่เหมือนเดิม ยอดแย่ตามความคิดและสันดานตัวเอง



----------------------------------------------------


อาจารย์สาวหนีทุนเจอขุดเบาะแสใหม่เพียบ บ้าน-ที่อยู่-เงินเดือน รวยอลัง
อาจารย์สาวหนีทุนเจอขุดเบาะแสใหม่เพียบ บ้าน-ที่อยู่-เงินเดือน รวยอลัง
-http://education.kapook.com/view140447.html-

อาจารย์สาวทันตแพทย์หนีทุนโดนจัดหนัก ชาวเน็ตขุดเบาะแสใหม่เพียบ ทั้งบ้านที่อยู่ เงินเดือน และกิจการครอบครัว เรียกได้ว่าไร้ที่ยืนในสังคมแน่นอน

จากกรณีดังในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์สาวหนีการใช้หนี้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก จนทำให้ผู้ค้ำประกันต้องเสียเงินร่วม 10 ล้านบาทแทนเธอนั้น

ล่าสุด วันที่ 31 มกราคม 2559 สมาชิกเฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong ได้ออกมารวบรวมเบาะแสเพื่อแฉแหลก ทั้งเรื่องบ้านหลังใหม่ที่เพิ่งซื้อ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 45 ล้านบาท และข้อมูลทางการเงินอื่น ๆ ของอาจารย์สาวรายนี้

โดยมีการโพสต์ภาพบ้านจาก Google Maps และข้อความระบุว่า “จากภาพมุมสูงอีกมุมจาก google map บ้านเธอมูลค่า 45 ล้านบาท ที่พึ่งซื้อเมื่อปี 2014 ในบ้านมีรถไม่ทราบยี่ห้อจอดอยู่นอกโรงจอดรถ 1 คัน มี Sunroof นะครับ แต่ชาวเนตเดาว่า น่าจะยี่ห้อเดียวกับชื่อเธอ..... ลองหารุ่นมาเทียบดูครับ

ส่วนอีกโพสต์หนึ่ง เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนรายปีของตำแหน่ง Senior Lecturer ซึ่งเป็นตำแหน่งของอาจารย์หนีทุนรายนี้ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปรากฏว่ารายรับต่อปีอยู่ที่ 171,466 - 227,800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6-8.2 ล้านบาท)

และโพสต์ล่าสุด เป็นข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจคลินิกทำฟันของเธอ มีรายได้ประมาณปีละ 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36 ล้านบาท หากรวมเงินเดือนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในตำแหน่งอาจารย์ด้วยแล้ว จะมีรายได้รวมประมาณ 1.2 ล้านเหรียญต่อปี หรือราว 42 ล้านบาท (ยังไม่หักภาษี)

จากข้อมูลทั้งหมด สรุปได้ว่าอาจารย์หนีทุนรายดังกล่าวเป็นผู้มีฐานะคนหนึ่ง ที่มีรายรับต่อปีมากพอจะชดใช้เงินทุนการศึกษาคืนได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งนี้ หากมีเบาะแสใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าว กระปุกดอทคอมจะรวบรวมมานำเสนอให้ท่านได้ทราบในลำดับต่อไป

ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong
-https://www.facebook.com/phutdhawong-

-----------------------------------------------------------

อ.มหิดล แจงดราม่าร้อน อ.สาว เบี้ยวใช้ทุน พร้อมเผยเหตุผลที่เลือกให้เรียนต่อ
-http://education.kapook.com/view140437.html-

อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล แจงปมร้อนอาจารย์เบี้ยวใช้ทุน 10 ล้าน บอกจำเป็นต้องตามผู้ค้ำมาใช้เงินรัฐ ชี้เกณฑ์คัดเลือกบุคคล บอกตอนนั้นดูแค่ปัจจุบันจะประเมินเป็น 10 ปีไม่ได้

เป็นเรื่องราวดราม่าที่สังคมโซเชียลแชร์กันกระหน่ำเลยทีเดียว กรณีที่อาจารย์สาวท่านหนึ่ง ของภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ขอทุนไปเรียนต่อยังมหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด เมื่อปร 2536 โดยขณะนั้นมีผู้ค้ำประกัน 4 ราย แต่สุดท้ายอาจารย์หญิงคนดังกล่าวกลับไม่มาทำงานใช้ทุนที่เมืองไทย ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องจ่ายเงินคืน 3 เท่า จากที่ได้รับ คือ 10 ล้าน หรือต้องใช้คืน 30 ล้านบาท จากผู้ให้ค้ำประกันทั้งหมด

อย่างไรก็ดี ล่าสุดวันที่ 30 มกราคม 2559 ทางด้านศาสตรจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) ก็ได้ออกมากล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่าที่ทางมหาวิทยาลัยเสนอชื่อดังกล่าวก็เพราะเห็นว่าเป็นเด็กเรียนเก่ง เรียนดี และมองว่าสามารถกลับมาทำประโยชน์ให้กับประเทศไทย ซึ่งตามเงื่อนไขแล้วการขอทุนเมื่อเรียนจบก็ต้องกลับมาทำงานใช้ทุน โดยทำงานให้กับหน่วยงานในสังกัด นั่นก็คือมหาวิทยาลัยมหิดล เพราะในตอนนั้นที่ขอไปเป็นทุนของรัฐบาล และอาจารย์คนดังกล่าวเพิ่งเรียนจบและทำงานได้เพียง 1 ปี จึงต้องมีผู้รับประกัน 4 ราย โดยอาจารย์คนดังกล่าวได้ขอทุนทั้งปริญญาโทและเอก งบประมาณในการศึกษาจำนวน 10 ปี 10 ล้านบาท

ศ. นพ.บรรจง กล่าวต่อว่า ประมาณปี 2547 อาจารย์หญิงคนดังกล่าวได้แจ้งมายังมหาวิทยาลับว่า ขอยกเลิกที่จะกลับมาทำงานใช้ทุนคืน ซึ่งตามเงื่อนไขการขอทุนรัฐบาลยังไงก็ต้องชดใช้เงินคืนทำให้กระทรวงการคลังประสานมายังมหาวิทยาลัยให้เร่งติดตามอาจารย์ดังกล่าวเพื่อให้ใช้เงินคืนเพราะเป็นเงินของประเทศ แต่เมื่อติดต่อไมไ่ด้ ก็ต้องดำเนินการตามกระบวนกฎหมาย ด้วยการประสานและติดตามไปยังผู้ค้ำประกันทั้ง 4 ราย ให้ชดใช้แทน และตลอดเวลาที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในการให้ความช่วยเหลือ เจรจาต่อศาลเพื่อขอลดหย่อนเงินที่จะใช้คืนกับรัฐ ให้เหลือจำนวนเท่าเงินทุน 10 ล้านบาท

สำหรับประเด็นที่อาจารย์สาวไปมีครอบครัวที่นั่นแล้วปฏิเสธที่จะกลับมาทำงานและใช้ทุนคืน ทางกระทรวงก็ต้องประสานมายังมหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยก็ต้องติดตามจากผู้ค้ำประกัน เพราะเงินดังกล่าวต้องคืนให้รัฐบาล และเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ใช่เหตุการณ์แรก จริง ๆ แล้วมีบุคคลที่ขอทุนไปเรียนต่างประเทศแล้วเบี้ยวไม่ชดใช้มีอยู่ประปราย แต่ที่ผ่านมาสังคมไม่ได้มีสื่อโซเชียลมากขนาดนี้ จึงทำให้เรื่องดังกล่าวกระจายไปอย่างรวดเร็ว

ท้ายนี้ ศ. นพ.บรรจง กล่าวต่อว่า ในการคัดเลือกคนที่จะเสนอให้ขอทุนรัฐบาล จริง ๆ แล้วก็ได้ตรวจสอบอย่างเข้มข้น ดูภูมิหลัง ดูประวัติและพฤติกรรมบุคคลนั้น ๆ แต่เป็นการดูแต่ช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งไม่สามารถมีทางตอบได้เลยว่า อีก 10 ต่อมา บุคคลนั้นจะเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่อย่างไร

เกาะติดข่าว หมอฟันหนีทุน ทั้งหมดคลิกเลย

ภาพจาก ทวิตเตอร์ @nimdaex เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong
-https://www.facebook.com/phutdhawong-
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/684957-

------------------------------------------------------------------------------

กลุ่มคนไทยในอเมริกาลุกฮือ ต่อต้านหมอฟันหนีทุน ตั้งเป้าลงขันจ้างทนายลงดาบ
-http://education.kapook.com/view140462.html-


กลุ่มคนไทยในสหรัฐอเมริกาทราบข่าว "หมอฟันหนีทุน" จากกระแสโซเชียล เริ่มลุกฮือต่อต้าน อาจมีการลงขันจ้างทนายให้จัดการ

จากกรณี “ทันตแพทย์หนีทุน” ที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วสังคมออนไลน์ หลังจากเฟซบุ๊กชื่อ เผด็จ พูลวิทยกิจ ได้โพสต์ระบายความในใจหลังถูกทันตแพทย์สาวรายหนึ่งซึ่งเคยขอให้เซ็นค้ำประกันเงินทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่ภายหลังกลับถูกเบี้ยว ไม่ยอมเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อชดใช้ทุน ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องร่วมกันใช้เงินค่าปรับกว่า 8 ล้านบาท ตามที่เป็นข่าวไปนั้น (อ่านข่าว : ทันตแพทย์หนีทุน ทั้งหมด คลิก)

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเฟซบุ๊กของทันตแพทย์เผด็จ พูลวิทยกิจ ได้มีกลุ่มประชาชนที่อ้างว่าอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความให้กำลังใจและเล่าว่าทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว พร้อมกันนี้ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ต้นสังกัดของทันตแพทย์หนีทุนรายดังกล่าวจะไม่สนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ในกลุ่มบุคคลผู้ร่วมงานซึ่งสังกัดองค์กรเดียวกันนั้นไม่เห็นดีเห็นงามด้วย

โดยข้อความระบุเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ คนไทยในอเมริกาหลายฝ่ายกำลังพยายามหาทางเคลื่อนไหวกดดันหน่วยงานต้นสังกัด และทันตแพทย์คนดังกล่าวแล้ว ซึ่งหากมีความคืบหน้า จะนำมาแจ้งให้ทราบเป็นลำดับต่อไป

พร้อมกันนี้ ยังมีผู้มอบข้อความให้กำลังใจทันตแพทย์เผด็จด้วยว่า “ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าจะมีคนไทยจำนวนมากช่วยกันลงขันบริจาคจ้างทนายไปสู้คดีที่อเมริกา คุณหมออย่าดูแคลนน้ำใจคนไทยในประเทศนี้เกินไป เรื่องราวตอนนี้มันเกินกว่าแค่จะชดใช้เงินคืนและขอโทษครูตนเองที่ตัวเองอกตัญญูไปแล้ว มันเป็นเรื่องของคุณธรรมและความถูกต้องเป็นธรรมล้วน ๆ”

ด้านชาวเน็ตที่ติดตามเรื่องราวดังกล่าวมาตลอด ก็ได้คอมเมนท์ให้กำลังใจทันตแพทย์เผด็จอย่างล้นหลาม พร้อมบอกว่าถ้ามีการว่าจ้างทนายจริง พวกตนก็พร้อมจะช่วยลงขันอีกแรง แต่ด้านนายแพทย์เผด็จกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีความคิดที่จะฟ้องใครทั้งสิ้น

เกาะติดข่าว หมอฟันหนีทุน ทั้งหมดคลิกเลย
-http://news.kapook.com/topics/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-


ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก เผด็จ พูลวิทยกิจ
-https://www.facebook.com/padetunity-

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ -http://dailynews.co.th/regional/376638-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
อุทาหรณ์! โอนที่ให้แฟนลูกกู้ใช้หนี้ สุดท้ายโดนหลอก 7 ชีวิตไร้ที่อยู่ (ชมคลิป)
โดย MGR Online       
27 กุมภาพันธ์ 2559 09:38 น. (แก้ไขล่าสุด 27 กุมภาพันธ์ 2559 14:07 น.)
-http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000020934-


https://www.youtube.com/watch?v=sTFEEFLF_SA
-https://www.youtube.com/watch?v=sTFEEFLF_SA-
อุทาหรณ์!โอนที่ให้แฟนลูกกู้ใช้หนี้/สุดท้ายโดนหลอก 7 ชีวิตไร้ที่อยู่


 ลำปาง - ครอบครัวหญิงชาวลำปาง วัย 67 ปี รวม 7 ชีวิต โดนฟ้องไล่พ้นบ้านที่สร้างมากับมือ อยู่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก หลังโอนสิทธิให้ “อดีตว่าที่ลูกเขย” นำไปค้ำกู้เงินใช้หนี้ สุดท้ายโดนฟ้องไล่ให้ออกภายใน 3 มีนาฯ นี้ แถมโดนจับเข้าคุก ผญบ. และจนท.ต้องลงขันช่วยประกัน บอกลงทุนก้มกราบเท้าหนุ่มแสบกลางศาลแล้วยังไม่ยอม

 วันนี้ (27 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดคดีความที่สะเทือนใจผู้คนในสังคมเมืองลำปาง และน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่คนทั่วไปขึ้นอีกครั้ง เมื่อแม่ชาวลำปางโอนกรรมสิทธิ์บ้าน และที่ดินให้แก่แฟนหนุ่มของลูกสาวที่คบหาอยู่นำไปเป็นหลักทรัพย์กู้เงินมาใช้หนี้ สุดท้ายโดนหลอกถูกฟ้อง จนทำให้ 7 ชีวิตในครอบครัวต้องไร้ที่อยู่ในต้นเดือนหน้านี้
       
       ล่าสุด นายสมภพ สุวรรณปัญญา เจ้าหน้าที่ชุด ททท. (ทำทันที) ของจังหวัดลำปาง พร้อมด้วยนายวัชระ ปาโกวงศ์ กำนันตำบลบ่อแฮ้ว นางเพียรใจ บุญเพ็ง ผู้ใหญ่บ้าน ม.15 ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง ได้เข้าตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 554 ม.15 ต.บ่อแฮ้ว หลังได้รับการร้องเรียน และขอความช่วยเหลือจาก นางจุลี รุจิฉาย อายุ 67 ปี เนื่องจากถูกศาลมีคำสั่งขับไล่ออกจากบ้านของตนเอง
       
       จากการเข้าตรวจสอบพบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของ นางจุลี รุจิฉาย โดยมีสมาชิกในบ้านรวม 7 คน กำลังพากันวิตกกังวล และเป็นทุกข์อย่างมาก เนื่องจากจะต้องออกจากบ้านหลังนี้ภายในวันที่ 3 มีนาคม 59 ที่จะถึงนี้
       
       สอบถาม น.ส.สุจิตรา รุจิฉาย อายุ 43 ปี บุตรสาว กล่าวว่า เมื่อปี 2549 ตนเองได้ไปทำงานที่จังหวัดนครสวรรค์ และได้รู้จักคบหากันกับนาย ภ.(ขอปิดชื่อ-นามสกุล) ประมาณ 4-5 ปี ระหว่างนั้นได้ช่วย นาย ภ. ปล่อยเงินกู้ และขายหวย แต่มีลูกค้าเบี้ยวเงินจนสูญเงินไปร่วม 3 แสนบาท
       
       หลังจากนั้น นาย ภ.ได้บอกแก่ตนเองว่า ต้องหาเงินมาใช้คืนคนที่ปล่อยเงินกู้ โดยอ้างว่า เป็นเสธ.ทหาร หากไม่มีจ่ายจะถูกฆ่า ตนจึงพานาย ภ. มาบ้านที่จังหวัดลำปาง โดยได้บอกกับแม่คือ นางจุลี ว่า “หากไม่มีเงินคืนเขาจะมาฆ่าลูก ขอให้แม่โอนที่ดินซึ่งเป็นบ้านหลังที่อยู่กันนี้ให้เขาเพื่อนำไปกู้เงินจากธนาคารมาใช้คืน โดยขอกู้เงิน 500,000 บาท แล้วนำไปจ่ายหนี้ 3 แสนบาท เหลือ 2 แสนจะนำมาคืนแม่”
       
       แต่พอกู้เงินได้วันถัดมานาย ภ. ก็หายไป ไม่ได้นำเงินมาให้แม่แต่อย่างใด ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังเชื่อใจแฟนหนุ่ม จึงได้ช่วยส่งเงินกู้ต่อทางธนาคารเดือนละ 4 พันกว่าบาท ซึ่งบางเดือนก็ส่งช้า เนื่องจากขณะนั้นตนเองทำงานได้เงินเพียงวันละ 174 บาท นาย ภ.ก็จะโทร.มาต่อว่า ระหว่างนั้นก็ได้ติดต่อให้มาทำสัญญาว่า หากตนส่งเงินครบให้โอนที่ดินคืนให้ แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด
       
       น.ส.สุจิตรา กล่าวอีกว่า หลังจาก 1 ปีผ่านไปก็รู้ว่าคงโดนหลอกแล้วตนจึงหยุดส่งเงิน จนกระทั่งมีหมายศาลฟ้องขับไล่มาที่บ้าน แม่เปิดดูก็ตกใจ แต่ไม่รู้ไปปรึกษาใคร ทนายก็ไม่มี ไปศาลก็มีคนบอกว่า ไม่ต้องนำทนายไปเพราะแค่ไปตกลงกันเท่านั้น แต่เมื่อไปถึงกลับพบเขาเตรียมทนายมา และเขียนเนื้อหามาหมดแล้วพร้อมกับขู่ว่า หากเล่าเรื่องทั้งหมดจะไล่ออกจากบ้านทันที ตนเองจึงยอมเซ็นชื่อกับแม่ในสัญญาประนีประนอม
       
       “หลังการเซ็นสัญญาทำให้เราที่เป็นเจ้าของบ้านกลายเป็นคนเช่า และค้างค่าเช่าเขาเกือบ 3 แสนบาท และหากต้องการซื้อบ้านคืนเขาเรียก 1.3 ล้านบาท ซึ่งตนเองและครอบครัวไม่มีปัญญาซื้อ”
       
       น.ส.สุจิตรา ระบุด้วยว่า 2 วันก่อนมีตำรวจมาจับตัวทุกคนที่บ้านไปที่สถานีตำรวจ และให้ไปลงบันทึกการจับกุม จากนั้นนำตัวไปศาลทนายก็ไม่มี เมื่อไปถึงที่ห้องรับส่งหนังสือก็มีคนมาบอกว่า ทำไมไม่ออกจากพื้นที่ เขาให้ออกทำไมไม่ออก แม่บอกว่าออกแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่าไม่มีที่อยู่ก็จะหาที่อยู่ให้คือ ไปอยู่ในคุกสัก 6 เดือน เมื่อแม่ได้ยินแบบนั้นถึงกับร้องไห้ และนั่งลงไปกราบเท้านาย ภ. แต่นาย ภ.ได้เดินหนีออกจากศาลไปทันที
       
       หลังจากนั้น เราพ่อแม่ลูกถูกคุมขัง ได้แจ้งขอความช่วยเหลือไปยังผู้ใหญ่บ้าน ต่อมา ผู้ใหญ่บ้านได้เดินทางไปพร้อมเจ้าหน้าที่ ททท. (ทำทันที) และได้เฉลี่ยเงินกันคนละ 5 พันบาทเพื่อขอประกันตัว รวม 4 คนได้ 2 หมื่น จึงได้ออกมาที่บ้าน
       
       “จากนี้ก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะบ้านนี้ก็เป็นบ้านดั้งเดิมที่ครอบครัวมีอยู่แค่ที่เดียว เมื่อศาลสั่งให้ออกภายในวันที่ 3 มีนาคมนี้ ตนเองก็คงต้องออก และคงไปขออาศัยกับคนที่รู้จักก่อนเพราะหมดแล้วทุกอย่าง”
       
       นางจุลี กล่าวด้วยน้ำตาว่า ที่ดินผืนนี้ซื้อมาเมื่อ 50-60 ปีก่อนด้วยเงิน 5 ร้อยบาท พื้นที่ 1 ไร่ 66 ตร.ว.ขณะนั้นเป็นป่า ตนต้องมาแผ้วถางหญ้าออก และมาปลูกบ้านช่วยกันทำมา แต่ด้วยความรักลูกกลัวเขาจะมาทำร้ายจึงยอมเซ็นเอกสารให้เขาไป และเชื่อใจชายคนนั้นว่า คงจะทำตมที่พูด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทำตามที่พูด
       
       “สุดปัญญาแล้ว หากเขาอยากได้ก็ให้เขาเอาไป แม่ตายก็เอาไปไม่ได้ เขาตายก็เอาไปไม่ได้เหมือนกัน เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วก็ต้องยอมทำใจแม่ไปกราบตีนมันๆ ยังไม่ยอม”

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ให้ระมัดระวังกัน  เรื่องของเงินๆทองๆ 
ไม่มีเรื่องไหนที่ลงทุนน้อย ความเสี่ยงน้อย จะได้ผลตอบแทนสูง

ถ้ามีในลักษณะนี้  ให้รู้ไว้เลยว่า โดนหลอกแล้ว

สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะทำงานอาชีพไหน  ต้องเรียนรู้เรื่องของเงินๆทองๆไว้
จะได้เป็นภูมิคุ้มกันตัวเอง  ไม่ให้ถูกหลอกได้ ครับ


-------------------------------------------




ปปง. อายัด 300 ล้าน แก๊งโกงหวยสหกรณ์ออมทรัพย์ครู
-http://hilight.kapook.com/view/133974-

 ปปง. อายัดทรัพย์แก๊งโกงสลากกินแบ่งครู กว่า 300 ล้านบาท พร้อมอายัดทรัพย์เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนหลอกออมเงิน 1 พัน กู้ได้ 1 ล้าน

            วันที่ 11 มีนาคม 2559 ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เวลา 10.00 น. พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม  ครั้งที่ 4 โดยมีมติให้ยึดอายัดทรัพย์สินหลายรายการของ นายศรีสุข รุ่งวิสัย กับพวก ซึ่งเป็นของบริษัท เทวาสิทธิ พิฆเนศ จำกัด ไว้ชั่วคราว กว่า 100 รายการ ได้แก่ ที่ดินที่จังหวัดนครสวรรค์ สมุทรปราการ อาคารชุดย่านรัชดา มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท

            ทั้งนี้ เนื่องจากนายศรีสุข กับพวกได้ร่วมกันหลอกทำสัญญาซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู กรมสามัญศึกษาจังหวัดเลย เป็นจำนวน 3 สัญญา 25,000 เล่ม ในราคาถูก แต่กลับนำเงินไปหมุนเวียนในระบบที่ไม่ตรงตามสัญญา และทางสหกรณ์กลับไม่ได้สลากจริง จึงเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน

            ส่วนอีกคดีคืออายัดทรัพย์ของวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมเกษตรกรไทยกับพวกไว้ชั่วคราว จำนวน 146 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 6 แสนบาท หลังมีการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนเข้ามาเป็นสมาชิกพร้อมกับมีการตั้งเครือข่ายประจำจังหวัดเพื่อหาเครือข่ายเพิ่มเติม โดยเสนอแผนงานและผลประโยชน์สูง เช่น การออมเงิน 1 พันบาท สามารถกู้เงินได้ 1 ล้านบาท โดยไม่เสียดอกเบี้ย แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทางเครือข่ายสามารถดำเนินการได้จริงตามที่เชิญชวน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

            ด้านนายสันติ เจริญสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ได้กล่าวขอบคุณพร้อมบอกว่า ขบวนการดังกล่าวได้มีการแอบอ้างใช้รูปของผู้บริหารระดับสูงเพื่อหลอกให้ประชาชนหลงเชื่อ และยังได้ฝากเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อถึงผลกำไรที่เกินจริง

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ธปท. แนะวิธีตรวจสอบแบงก์ 1,000 ปลอม หลังพบระบาด-เหมือนจริงมาก
-http://money.kapook.com/view144086.html-

ธปท. แนะวิธีตรวจสอบธนบัตร จริงหรือปลอม เพียงแค่สัมผัส-ส่องดู-ตะแคงข้าง หลังพบแบงก์ 1,000 ปลอม ระบาด-เหมือนจริงมาก

          วันที่ 16 มีนาคม 2559 เพจ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ รายงานว่า นายวรพร ตั้งสง่าศักดิ์ศรี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยถึงกระแสข่าว พบธนบัตรปลอมชนิด 1,000 บาท ที่มีความเหมือนจริงทุกประการ เว้นเพียงมีภาพครุฑไม่สมบูรณ์ โดยชี้แจงว่า ในการตรวจสอบธนบัตรว่าเป็นของจริงหรือปลอมนั้นจะต้องตรวจสอบลักษณะต่อต้านการปลอมแปลงหลายจุดประกอบกัน ซึ่งหากพบว่าทุกจุดมีความถูกต้อง ธนบัตรดังกล่าวก็เป็นธนบัตรจริง แต่อาจเป็นธนบัตรชำรุด ซึ่งประชาชนสามารถนำไปแลกเปลี่ยนได้ที่ธนาคารออมสินหรือธนาคารพาณิชย์

          อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถทำการตรวจสอบธนบัตรได้ด้วยตนเองง่าย ๆ 3 วิธี ดังนี้

          1. การสัมผัส : เนื้อกระดาษธนบัตร เป็นกระดาษชนิดพิเศษ มีความเหนียว แกร่ง ทนต่อการพับดึง และให้ความรู้สึกแตกต่างจากกระดาษทั่วไป และเมื่อสัมผัสตัวเลขแจ้งราคา กับคำว่ารัฐบาลไทย จะรู้สึกสะดุดกับหมึกพิมพ์

          2. การยกส่อง : เมื่อยกธนบัตรส่องกับแสงสว่าง จะเห็นลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ในเนื้อกระดาษอย่างชัดเจนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงรูปลายไทยขนาดเล็กที่มีความโปร่งแสงเป็นพิเศษ และแถบสีโลหะฝังอยู่ในเนื้อกระดาษ บนแถบมีตัวเลขและตัวอักษรแจ้งชนิดราคา

          3. การพลิกเอียง : บริเวณมุมของธนบัตร พิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์ชนิดพิเศษ เมื่อพลิกธนบัตรไปมาสีของตัวเลขจะเปลี่ยนสลับจากสีหนึ่งเป็นอีกสีหนึ่งได้

สามารถอ่านวิธีสังเกตธนบัตรเพิ่มเติมได้ที่ bot.or.th

          ทั้งนี้หากผู้ใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม โปรดติดต่อมาที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน โทรศัพท์ 1213 หรือ แผนกวิเทศสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ สายออกบัตรธนาคาร โทรศัพท์ 0-2356 8687-90

ภาพและข้อมูลจาก เพจ เที่ยงวันทันเหตุการณ์, bot.or.th

-https://www.bot.or.th/Thai/Pages/default.aspx-
-https://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/Pages/default.aspx-

-https://www.facebook.com/MiddayNewsTV3/posts/906012226179075-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)