ผู้เขียน หัวข้อ: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง  (อ่าน 18093 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2013, 10:56:14 am »
คำง่ายๆ ในภาษาไทยที่มักใช้ผิด

-http://webboard.sanook.com/forum/?topic=3727963-




1. สำอาง
แปลว่า เครื่องแป้งหอม งามสะอาด ที่ทำให้สะอาด
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “สำอางค์” ค..การันต์(ค์) มาจากไหน?

2. พากย์
แปลว่า คำพูด คำกล่าวเรื่องราว ภาษา
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “พากษ์” ที่เขียนกันผิดประจำนี่ คงติดภาพมาจากคำว่า วิพากษ์(วิจารณ์)

3. เท่
แปลว่า เอียงน้อยๆ โก้เก๋
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “เท่ห์” …ติดมาจากคำว่า “สนเท่ห์” รึไงนะ?

4.โล่
แปลว่า เครื่องปิดป้องศัตราวุธ ชื่อแพรเส้นไหมโปร่ง
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “โล่ห์” สงสัยอยู่ในกรณีเดียวกับคำว่า “เท่”

5. ผูกพัน
แปลว่า ติดพัน เอาใจใส่ รักใคร่
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “ผูกพันธ์” ไม่ใช่คำว่า “สัมพันธ์” นะจ๊ะ

6. ลายเซ็น
แปลว่า ลายมือชื่อ
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “ลายเซ็นต์” ติดมาจาก “เปอร์เซ็นต์” รึเปล่า?

7. อีเมล
แปลว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
มักเขียนผิดเป็นคำว่า ”อีเมล์” คำนี้ผมก็เขียนผิดบ่อยๆ -*- มันติดอ่ะ

8. แก๊ง
แปลว่า กลุ่มคนที่ตั้งเป็นพวก(ในทางไม่ดี)
มักเขียนผิดเป็นคำว่า “แก๊งค์”หรือไม่ก็ “แกงค์”
เอ่อ…มันมาจากภาษาอังกฤษคำว่า gang นะ ควายการันต์มาจากไหน?


http://webboard.sanook.com/forum/?topic=3727963

.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2013, 10:16:37 am »
เรื่องใหญ่ ! ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ระเบียบการใช้ตัวสะกด ?
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1371182736&grpid=01&catid=&subcatid=-

มติชนออนไลน์ รายงานว่า  วันที่  ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๖  ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่  ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ระเบียบการใช้ตัวสะกด   ทั้งนี้ โดยที่ราชบัณฑิตยสถานเสนอว่าได้จัดพิมพ์หนังสือพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ. ๒๕๕๔ ขึ้นเสร็จแล้ว สมควรยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ระเบียบการใช้ตัวสะกดลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕ และเพื่อให้ทางราชการและสถาบันการศึกษามีแบบมาตรฐานสำหรับ ใช้ในการเขียนหนังสือไทยให้เป็นระเบียบเดียวกัน จึงควรใช้พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นมาตรฐานดังกล่าว

 

คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วลงมติเห็นชอบด้วย ให้ยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ระเบียบการใช้ตัวสะกด ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕ และต่อไปบรรดาหนังสือราชการ และการศึกษาเล่าเรียนให้ใช้ตัวสะกดตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ เสมอไป

 

หากกระทรวงทบวงกรมหรือบุคคลใดเห็นสมควรเปลี่ยนอักขรวิธีในคำใดแล้ว ให้ชี้แจงแสดงเหตุผลไปยังราชบัณฑิตยสถาน เมื่อราชบัณฑิตยสถานเห็นชอบด้วยและแก้ไขพจนานุกรมแล้ว จึงให้ใช้ได้ และให้ประกาศเพื่อทราบทั่วกัน

 

ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖

 

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2013, 05:56:04 am »
.

 วันภาษาไทยแห่งชาติ บน Google logo วันนี้
วันจันทร์, กรกฎาคม 29, 2556



 รู้กันหรือไม่ว่าภาษาไทยที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ ก็มีวันที่ระลึกถึงภาษาไทยของเราด้วยเหมือนกัน โดยในวันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี ประเทศไทยได้กำหนดให้เป็น "วันภาษาไทยแห่งชาติ"

ความเป็นมาของวันภาษาไทยแห่งชาติ

          สืบเนื่องจากคณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย และมีความห่วงใยในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อภาษาไทย รวมถึงเพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้คนไทยทั้งชาติได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือกันทำนุบำรุง ส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป จึงได้เสนอขอให้รัฐบาลประกาศให้วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี เป็น วันภาษาไทยแห่งชาติ เช่นเดียวกับวันสำคัญอื่นๆ ที่รัฐบาลได้จัดให้มีมาก่อนแล้ว เช่น วันวิทยาศาสตร์,วันสื่อสารแห่งชาติ เป็นต้น และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 เห็นชอบให้วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ

เหตุผลที่เลือกวันที่ 29 กรกฎาคม เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ

          สำหรับเหตุผลที่เลือกวันที่ 29 กรกฎาคม เป็น วันภาษาไทยแห่งชาติ นั้นเพราะวันดังกล่าว ตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธาน และทรงร่วมอภิปรายในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมคณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ทรงเปิดอภิปรายในหัวข้อ "ปัญหาการใช้คำไทย" โดยพระองค์ทรงดำเนินการอภิปรายและทรงสรุปการอภิปราย ที่แสดงถึงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยรวมถึงความห่วงใยในภาษาไทย ซึ่งเป็นที่ประทับใจกับผู้ร่วมเข้าประชุมในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง

          สำหรับพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในครั้งนั้น มีใจความตอนหนึ่งว่า "เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษาก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง คือให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่าวิธีใช้คำมาประกอบประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สามคือความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้... สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆ ก็ควรจะมี ควรจะใช้คำเก่าๆ ที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก..."

          นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของวงการภาษาไทย ที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ซึ่งในโอกาสต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงแสดงความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทยอีกหลายโอกาส อย่างในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 ที่ได้ทรงมีพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า"ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่า ได้มีการใช้คำออกจะฟุ่มเฟือย และไม่ตรงกับความหมายอันแท้จริงอยู่เนืองๆ ทั้งออกเสียงก็ไม่ถูกต้องตามอักขรวิธี ถ้าปล่อยให้เป็นไปดังนี้ ภาษาของเราก็มีแต่จะทรุดโทรม ชาติไทยเรามีภาษาของเราใช้เองเป็นสิ่งอันประเสริฐอยู่แล้ว เป็นมรดกอันมีค่าตกทอดมาถึงเราทุกคนจึงมีหน้าที่จะต้องรักษาไว้ ฉะนั้นจึงขอให้บรรดานิสิตและบัณฑิต ตลอดจนครูบาอาจารย์ได้ช่วยกันรักษาและส่งเสริมภาษาไทย ซึ่งเป็นอุปกรณ์และหลักประกันเพื่อความเจริญวัฒนาของประเทศชาติ"

          นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังมีพระปรีชาญาณและพระอัจฉริยะภาพในการใช้ภาษาไทย ทรงรอบรู้ปราดเปรื่องถึงรากศัพท์ของคำไทย คือ ภาษาบาลีและสันสกฤต ทรงพระอุตสาหะวิริยะแปลและเรียบเรียงวรรณกรรมภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะวรรณศิลป์ มีเนื้อหาสาระที่มีคุณค่า เป็นคติในการเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการใช้ภาษาไทย ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระราชนิพนธ์แปลบทความเรื่องสั้นๆ หลายบท และพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก เป็นต้น

วัตถุประสงค์ในการจัดวันภาษาไทยแห่งชาติ มีดังต่อไปนี้

           1. เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์และนักภาษาไทย รวมทั้งเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงแสดงความห่วงใย และพระราชทานแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย

           2. เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542

           3. เพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติ ให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

           4. เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการใช้ภาษาไทย ทั้งในวงวิชาการและวิชาชีพ รวมทั้งเพื่อยกมาตรฐานการเรียนการสอนภาษาไทยในสถานศึกษาทุกระดับ ให้มีสัมฤทธิผลยิ่งขึ้น

           5. เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐฯ และเอกชนทั่วประเทศ มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเผยแพร่ความรู้ภาษาไทยในรูปแบบต่างๆ ไปสู่สาธารณชน ทั้งในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ และในฐานะที่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารของทุกคนในชาติ

ประโยชน์ที่คาดว่าได้รับจากการมีวันภาษาไทยแห่งชาติ

           1. วันภาษาไทยแห่งชาติ จะทำให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐฯ และเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัย ตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย และร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเตือน เผยแพร่ และเน้นย้ำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของ "ภาษาประจำชาติ" ของคนไทยทุกคน และร่วมมือกันอนุรักษ์การใช้ภาษาไทยให้มีความถูกต้องงดงามอยู่เสมอ

           2. บุคคลในวงวิชาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาไทย โดยเฉพาะในวงการศึกษา และวงการสื่อสาร ช่วยกันกวดขันดูแลให้การใช้ภาษาไทยเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม มิให้ผันแปรเปลี่ยนแปลง จนเกิดความเสียหายแก่คุณลักษณะของภาษาไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ

           3. ผลสืบเนื่องในระยะยาว คาดว่าปวงชนชาวไทยทั่วประเทศจะตื่นตัวและสนใจที่จะร่วมกันฟื้นฟู ทำนุบำรุง ส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย อันเป็นเอกลักษณ์และสมบัติวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติให้ดำรงคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

กิจกรรมในวันภาษาไทยแห่งชาติ
          กิจกรรมในวันนี้ ก็จะมีทั้งของสถาบันการศึกษา,หน่วยงานภาครัฐฯ และเอกชน ที่จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดนิทรรศการ,การอภิปรายทางวิชาการ,การประกวดแต่งคำประพันธ์ ร้อยแก้ว ร้อยกรอง การขับเสภา การเล่านิทาน เป็นต้น

          ภาษาไทยถือเป็นภาษาแห่งชาติ และเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่เราคนไทยควรภาคภูมิใจ เพราะบางประเทศไม่มีแม้กระทั่งภาษาที่เป็นของตัวเอง ดังนั้นเราควรอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่ และสืบทอดต่อไปให้ลูกหลานได้ศึกษา หากเราคนไทยไม่ช่วยกันรักษาไว้ สักวันหนึ่งอาจจะไม่มีภาษาไทยให้ลูกหลานใช้ก็เป็นได้
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2013, 09:47:54 am »
"ภาษาวัยรุ่น ภาษาว้าวุ่นในสื่อ" ใครทำวิบัติ?
-http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1375431026&grpid=&catid=19&subcatid=1904-



โดย ศิวพร อ่องศรี




ปรากฏการณ์ "ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น" ซีรีส์สุดฮิตที่ออกอากาศผ่านกล่องของแกรมมี่ หยิบยกเรื่องราวเเรงๆ ที่เป็นปัญหาสังคมมาถ่ายทอดผ่านจอโทรทัศน์ ทำเอาทั้งวัยรุ่นและอดีตเลยวัยรุ่นติดงอมเเงมกันทั่วบ้านทั่วเมือง

อีกด้านของกระเเส คือความร้อนเเรงของสังคม ที่ออกมาถามถึงความเหมาะสมของเนื้อหาที่ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวละคร

อาทิ ประโยคฮิตอย่าง "อยากกินสไปรท์ ต้องใส่ถุง...ถ้าไม่ใส่ถุงก็อด"

ยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตของวัยรุ่นรวมถึงภาษาสแลงที่ปรากกฏให้เห็นในหลายฉาก ไม่ว่าจะเป็น "น่ารักจุงเบย" "เกี่ยวไหมอ่ะ" "เเซ่บเว่อร์" "เฟล บ่องตง" "อยู่ป่ะเนี่ย" "ออกตัวเเรง" ที่ตัวละครใช้ในการสนทนาและมีให้เห็นเป็นตัวหนังสือ ก็ถูกพูดถึงเช่นกัน

เพราะเรื่องวุ่นๆ ของวัยรุ่นน่าสนใจเสมอ

ไม่แปลกที่ คณะมนุษยศาสตร์และคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หยิบยกเรื่องการใช้ภาษาของคนรุ่นใหม่วัยใสกิ๊งมาพูดถึงในหัวข้อ "ภาษาวัยรุ่น ภาษาว้าวุ่นในสื่อ"

เวทีนี้สะท้อนอะไรมากกว่าที่คิด ยิ่งก่อนหน้านี้ไม่นานเกิดประเด็นฮือฮาในเว็บไซต์ข่าวและโซเชียลมีเดีย เรื่องแบบฝึกหัดชุดภาษาวัยรุ่นของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์การสอนภาษาไทยทั้งในแง่บวกและลบ

ไม่รวมการพาดหัวข่าวของสื่อมวลชนบนโลกออนไลน์ที่ค่อนข้างรุนแรงว่า "สุดงง!! ข้อสอบสิ้นคิดจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง? ชี้เหมาะสมหรือไม่???"

อีกทั้งยังระบุอีกว่า เป็นข้อสอบสุดพิสดาร

ผศ.ดร.ธเนศ เวศร์ภาดา คณบดีคณะมนุษยศาสตร์ ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ข้อสอบที่โพสต์กันทั่วอินเตอร์เน็ต เป็นเพียงแบบฝึกหัดประเด็นหนึ่งในหัวข้อภาษากับสังคม เรื่องภาษาวัยรุ่นไม่ใช่ข้อสอบ แบบฝึกหัดชุดนี้มีกระบวนการชัดเจนว่า เริ่มจากการอ่านบทความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับภาษาวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน จากนั้นจึงทำแบบฝึกหัดเดี่ยวและแบบฝึกหัดกลุ่มอีกชุด สุดท้ายจึงสรุปเนื้อหาอีกครั้ง จึงจะจบกระบวนการเรียนการสอน



"การสอนภาษาไทยจะเน้นสอนให้ทันเหตุการณ์ จับประเด็นเรื่องสื่อ เรื่องละคร ตลอดจนความเคลื่อนไหวทางสังคม วัฒนธรรมมาเป็นกรณีศึกษาอยู่เสมอ เราสอนให้นักศึกษารู้จักคิดวิเคราะห์วิจารณ์ รู้เท่าทันสื่อ รู้เท่าทันชีวิต และสามารถสร้างสรรค์ภาษา และใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ" ผศ.ดร.ธเนศอธิบาย

ก่อนจะชี้แจงถึงการพาดหัวข่าวของสื่อมวลชนว่า การพาดหัวข่าวที่ค่อนข้างรุนแรงและไม่สืบค้นหรือไต่ถามก่อน จะไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกกล่าวหา

"นี่เป็นกรณีเรื่องจริยธรรมของสื่อ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนควรเรียนรู้และตระหนักให้มาก ซึ่งปัจจุบันสื่อมวลชนหลายเเห่งยังไม่ได้เป็นผู้นำทางการใช้ภาษาในทางที่ถูกต้องหรือใช้ภาษาไม่ระมัดระวัง โดยไม่คิดว่าผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้บริโภคสื่อจะได้รับผลกระทบอย่างไร ตลอดจนการทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงจากเดิม

"เมื่อสังคมเปลี่ยนภาษาก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ภาษาวัยรุ่นเป็นภาษาที่เห็นชัดที่สุด เพราะมีคำสแลงใหม่ๆ ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และมักถูกมองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาษาไทยวิบัติ ทั้งที่จริงๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้ภาษาไทยวิบัตินั้นมีหลายประเด็น เช่น เกิดจากคนในสังคมสื่อสารล้มเหลว โดยใช้ภาษาผิดๆ ถูกๆ ใช้คำผิดความหมาย ผิดกาลเทศะ ใช้ภาษาทำร้ายตนเองและผู้อื่นทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา

"อีกทั้งคนในสังคมรู้จักใช้ภาษาเพียงทำเนียบเดียว สับเปลี่ยนวงภาษาไม่ได้ สับชุดความคิดไม่เป็น คือใช้ภาษาราชการ ภาษาพูดและภาษาวัยรุ่นรวมกัน โดยใช้ภาษาแชตในเฟซบุ๊กกับข้อเขียนที่ต้องใช้ภาษาราชการ และมีคลังคำจำกัดใช้ถ้อยคำได้ไม่หลากหลาย" ผศ.ดร.ธเนศกล่าว



นอกจากนี้ ผศ.ดร.ธเนศยังระบุอีกว่า การใช้ภาษาของสื่อมวลชนในปัจจุบันไม่ได้เป็นผู้นำทางด้านการใช้ภาษาที่ถูกต้อง และไม่มีความระมัดระวังการใช้ภาษา ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงสื่อต่างๆ ได้ง่าย

อีกทั้งคนในสังคมเข้าใจผิด คิดว่าครูภาษาไทยเป็นเจ้าของภาษา เป็นผู้ที่ต้องใช้ภาษาให้ถูกต้อง เป็นผู้ดูแลรักษาภาษาไทยเพียงผู้เดียว ทั้งที่อำนาจในการเป็นเจ้าของภาษา และผู้ที่ใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เฉพาะครูภาษาไทย หรือราชบัณฑิตยสถานเท่านั้น แต่สื่อมวลชนหรือกลุ่มวัยรุ่นเองล้วนมีบทบาทในการจะทำให้ภาษาไทยถูกต้อง

"ภาษาวัยรุ่นไม่ใช่ภาษาที่ผิดหรือภาษาวิบัติ แต่เป็นเพียงภาษาที่ใช้ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และแปลความหมายได้ตรงกันเท่านั้น ซึ่งหากพวกเขาไม่ได้นำไปใช้ในราชการ หรือใช้ได้อย่างเหมาะสมจะไม่มีปัญหา ฉะนั้น สิ่งที่ต้องสอนเด็กไทยในเรื่องของภาษา คือทำอย่างไรให้เด็กไทยสามารถใช้ภาษาที่หลากหลายให้ถูกต้องเหมาะสม กับกาลเทศะกับกลุ่มคนที่เขาจะสื่อสารด้วยมากกว่า"

ด้าน ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะนิเทศศาสตร์ บอกว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีออนไลน์ และสื่อต่างๆ อย่างสื่อออนไลน์ สื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ล้วนมีผลต่อการเรียนรู้ การใช้ภาษาของเด็กรุ่นใหม่ เช่น การพาดหัวข่าวสมัยก่อน คนทำงานหนังสือพิมพ์ล้วนเป็นนายของภาษา เพราะบางคนเป็นนักเขียน นักแปล แต่ทุกวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในสื่อ ล้วนเป็นการพาดหัวข่าวโดยใส่ความรู้สึกของคนพาดเข้าไป ไม่ได้ทำตัวเป็นนายของภาษา หรือการที่ผู้ประกาศข่าวนั่งเล่าข่าว โดยใช้ความรู้สึกของตนเองตัดสินไปว่าคนในข่าวผิดถูก ทั้งที่คนเหล่านั้นอาจไม่ผิดจริง

"ก่อนนำเสนอข่าว สื่อมวลชนควรเลือกใช้คำและภาษาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ เพราะเด็กรุ่นใหม่เข้าถึงสื่อได้ง่าย ภาษาวัยรุ่นที่เกิดขึ้นมองว่าไม่ใช่ภาษาวิบัติ แต่เป็นภาษาที่มีชีวิต บางคำมีชีวิตยาวนาน บางคำมีชีวิตสั้น และภาษาพวกนี้ก็ใช้เฉพาะกลุ่มเท่านั้น"

ส่วนประเด็นการเลือกใช้ภาษาในขณะกำลังก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนนั้น

ดร.ฐิตารีย์ ไชยเศรษฐ หัวหน้าสาขาวิชาการท่องเที่ยว คณะมนุษยศาสตร์ บอกว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การเลือกใช้ภาษานั้นเป็นพลังมหาศาลในการสร้างความร่วมมือ หรือทำให้เกิดความแตกแยกกันระหว่างประเทศได้

"คนไทยจำนวนมากยังยึดติดความเป็นชาตินิยม มองว่าเรายิ่งใหญ่กว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยดูได้จากการใช้คำพาดหัวข่าวว่า ไทยรุกประเทศเพื่อนบ้าน หรือคำที่ใช้ในโทรทัศน์ เช่น ไอ้ลาว ไอ้บ้านนอก เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้ไม่ควรนำมาใช้ เพราะเราไม่ได้เป็นศัตรูกัน แต่เราจะรวมกันเป็นมิตร ซึ่งทุกประเทศล้วนมีความเชื่อแตกต่างกัน

"ดังนั้น โรงเรียนและสถาบันการศึกษาจะต้องสอนเด็กให้มีทัศนคติมารยาทในการใช้ภาษา เป็นมนุษย์ที่เคารพนับถือซึ่งกันและกัน เพื่อบรรยากาศที่ดีของอาเซียน" ดร.ฐิตารีย์กล่าวปิดท้าย


การใช้ภาษา ไม่ว่าภาษาวัยรุ่นหรือภาษาในสื่อ จะต้องคิดวิเคราะห์อย่างรู้เท่าทัน

เพื่อที่จะได้เลิกเกรงกลัวกันว่า "ภาษา(จะ)วิบัติ" เสียที



หน้า 20,มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่  2 สิงหาคม 2556

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2013, 10:58:32 am »
ภูมิใจที่มีภาษาของตนเอง - เปิดทำเนียบ ครูดีครูเด่น
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2556 เวลา 00:00 น.









เพราะเป็นคนไทยจึงรู้สึกภาคภูมิใจที่มีภาษาเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นที่มาของแรงบันดาลใจของครูออน หรือ นางภัคประไพ มั่นจันทร์ อายุ 56 ปี ครูภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาที่ 5- 6 โรงเรียนวัดวังตะกู ( เสรีย์เริงฤทธิ์ ) อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งเริ่มรับราชการครูตั้งแต่ พ.ศ.2521 ที่โรงเรียนวัดดอกไม้ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ และย้ายไปรับราชการทั่วทุกภูมิภาคของประเทศถึงปัจจุบันรวม 11 โรงเรียน ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคกลาง ทุกพื้นที่ไม่ใช่อุปสรรคกับการทำงาน อยู่ที่ไหนก็มีความสุข หากลูกหลานเราได้เรียนรู้และใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง วันไหนทำงานกลับมาเหนื่อย ๆ เข้าบ้านเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว หรือเห็นอยู่ที่บนปฏิทิน แค่นี้ก็มีความสุข หายเหนื่อยได้แล้ว

ครูภัคประไพ เล่าว่า เด็กทุกคนมีความแตกต่างกัน ทั้งด้านสติปัญญา ความพร้อม ฐานะครอบครัว สภาพสังคม นั่นหมายถึงการบ้านที่ครูจะต้องทำคือการเรียนรู้เด็กแต่ละคน โดยเฉพาะที่โรงเรียนวัดวังตะกู โชคดีที่ได้พระธรรมเสนานี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด เป็นองค์อุปถัมภ์ด้านการศึกษา และนายกุญชร เหลืองสุดใจชื้น ผู้อำนวยการ ที่ให้ความสำคัญกับนักเรียนและครูผู้สอนทุกคน ส่งเสริมให้ครูออกไปเยี่ยมเด็กนักเรียนถึงบ้าน พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ปกครอง เพื่อนำข้อมูลมาปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอน

“ปัจจุบันแต่ละห้องเรียนจะจัดให้เด็กที่เรียนอ่อนนั่งเป็นไข่แดงในกลุ่มที่เรียนเก่งโดยที่เด็กไม่รู้ตัว เพื่อนคนเรียนเก่งจะได้ช่วยติว ส่วนครูก็คอยช่วยเหลือ ทำให้นักเรียนทั้งห้องก้าวหน้าไปพร้อมกัน และส่วนตัวก็คิดนำบทเรียนมาแต่งเป็นเพลง ร้องง่าย จำง่าย ซึ่งก็ได้ผลจริง เด็กทุกคนเข้าใจภาษาไทยเพิ่มมากขึ้น และสามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นหากครูไม่ศึกษาเด็กให้ดี บังคับ ดุด่า จะให้ได้ดั่งใจครู ก็อาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการเรียนการสอน สุดท้ายเด็กก็จะเบื่อ ไม่อยากเรียนหนังสือ” ครูภัคประไพ กล่าว

ครูภัคประไพ ยังเล่าอีกว่า นอกจากเป็นครูประจำชั้นแล้ว ยังมีโอกาสได้ทำงานห้องสมุด ซึ่งกำลังจัดทำโครงการสร้างอุทยานการเรียนรู้ หรือห้องสมุดมีชีวิต เพื่อรณรงค์ปลุกจิตสำนึกการอ่านให้แก่เด็ก เพราะอยากเห็นเด็กรุ่นใหม่ใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากเด็กทุกวันนี้จะแยกไม่ออกว่าเวลาไหนควรใช้ภาษาอย่างไร หากไม่ช่วยกันรักษาไว้ อนาคตภาษาไทยอาจผิดเพี้ยนไป ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าเกิดจากผลกระทบทางสังคม จึงอยากให้สังคมใส่ใจภาษาไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่เป็นแบบอย่างของเยาวชน จะต้องเป็นผู้นำทางความคิด นำสิ่งดีมาให้กับบุตรหลานไทย
   
“ครูจะยึดหลักว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุด จึงต้องศึกษาหลักสูตรให้กระจ่าง สอนให้ถูกต้อง ผู้เรียนมีความสุข สอดแทรกความสนุก วิชาการ หน้าที่ศีลธรรม เมื่อเด็กได้ยินคำว่าภาษาไทยแล้วเด็กอยากเรียน ส่วนการที่ได้รับเลือกให้เป็นครูภาษาไทยดีเด่นจากคุรุสภาและได้รับโล่และเข็มพระนามาภิไธยย่อ สธ. นับเป็นความภาคภูมิใจ เป็นเกียรติประวัติกับวงศ์ตระกูล และจะถือปฏิบัติตลอดไป โดยมีเป้าหมายทำให้เด็กไทยใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง” ครูภัคประไพ กล่าว .

บดินทร์ชัย เกรียงไกรชาญ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2013, 11:47:55 am »
คำบุพบท หน้าที่คืออะไร มาเรียนภาษาไทยกันดีกว่า
-http://education.kapook.com/view70184.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          การเรียนรู้หลักการและความสัมพันธ์ในการใช้คำบุพบท จะทำให้เราสามารถเรียบเรียงประโยคที่ใช้ในการสื่อสารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งจะทำให้คนที่ฟังประโยคนั้น ๆ เข้าใจรูปประโยคได้ง่าย และสามารถนำไปตีความได้อย่างถ่องแท้ วันนี้ กระปุกดอทคอมจึงไม่พลาดที่จะหยิบเอาหลักการง่าย ๆ ในการใช้คำบุพบทมาฝากกัน

          ก่อนอื่นมารู้จักความหมายของคำบุพบทกันก่อน สำหรับ คำบุพบท ก็คือ คำที่ใช้นำหน้าคำนาม คำสรรพนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อบอกสถานภาพของคำเหล่านั้น หรือเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหรือประโยค ทีนี้ เราลองมาดูกันว่า คำบุพบทมีอะไรบ้าง แบ่งออกได้เป็นกี่ชนิด และสามารถวางในตำแหน่งใดได้บ้างค่ะ

           คำบุพบท มีอะไรบ้าง
 
          คำบุพบทที่ใช้กันในภาษาไทยมีมากมายหลายคำ แต่ที่ทุกคนน่าจะใช้กันบ่อย ๆ ก็อย่างเช่น กับ ใน ของ ด้วย โดย แก่ แต่ แด่ ต่อ ซึ่ง เฉพาะ ตาม กระทั่ง จน เมื่อ ณ ที่ ใต้ บน เหนือ ใกล้ ไกล ริม ข้าง ตั้งแต่ เกือบ กว่า ตลอด ราว จาก สัก และสำหรับ เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในการนำหน้าคำนาม คำสรรพนาม หรือคำกริยา เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของคำ

          ประเภทของคำบุพบท

          คำบุพบทแต่ละคำย่อมมีหน้าที่ และความหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้น การนำมาใช้ก็แตกต่างกันไปด้วย โดยตามหลักภาษาไทยแล้ว คำบุพบท แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามลักษณะการนำมาใช้ คือ คำบุพบทที่ต้องเชื่อมกับคำอื่น และคำบุพบทที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมกับคำอื่น เราลองไปดูตัวอย่าง และวิธีการใช้กัน


          1. คำบุพบทที่ต้องเชื่อมกับคำอื่น เพื่อบ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างคำ และบอกสถานการณ์ให้ชัดเจน ได้แก่

           บอกสถานภาพความเป็นเจ้าของ เช่น

           ฉันซื้อสวนของนางอุบล

           สระว่ายน้ำของเขาใหญ่โตแท้ ๆ

           อะไรของเธออยู่ในกระเป๋า

           รถของฉันอยู่ในบ้าน

 

          บอกความเกี่ยวข้อง เช่น

           เธอต้องการขนมในถุงนี้

          พี่เห็นแก่น้อง

          เธอไปกับฉัน

          เขาอยู่กับฉันที่บ้าน

 

          บอกการให้และบอกความประสงค์ เช่น

           ไข่เจียวจานนี้เป็นของสำหรับพระ

          ครูให้รางวัลแก่เด็กนักเรียน

          แม่ให้ของที่ระลึกแก่โรงเรียน

          นักเรียนมอบของที่ระลึกแด่ครู


 
          บอกเวลา เช่น

          เธอมาตั้งแต่เช้า

          ตลอดสายวันนี้

          ฝนตกตั้งแต่เช้ายันบ่าย

          เขาอยู่เมืองนอกเมื่อปีที่แล้ว


 
          บอกสถานที่ เช่น

          สมชายมาจากขอนแก่น

          เขาขับรถอยู่บนทางเท้า

          ใครอยู่ในห้องน้ำ

          ณ ที่แห่งนี้คือที่ไหน


 
          บอกความเปรียบเทียบ เช่น

           เขาหนักกว่าฉัน

           เขาสูงกว่าพ่อ

           เธอสูงแต่ฉันเตี้ย

           เขามีรถแต่ฉันไม่มี

           บ้านเธออยู่ใกล้แต่บ้านฉันอยู่ไกล

           เหนือฟ้ายังมีฟ้า

 

          2. คำบุพบทที่ไม่มีความสัมพันธ์กับคำอื่น ไม่จำเป็นต้องเชื่อมกับคำอื่น ส่วนมากจะอยู่ต้นประโยค เช่น

           ดูกร ดูก้อน ดูราช้าแต่

           ดูกร ท่านพราหมณ์

           ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย

           ดูรา สหายเอ๋ย

           ช้าแต่ ท่านทั้งหลาย           

          จะเห็นได้ว่าคำบุพบทประเภทนี้ มักไม่เป็นที่นิยมใช้กันเท่าไรนัก ส่วนมากจะเห็นในบทประพันธ์มากกว่า
 
          หน้าที่ของคำบุพบท

          นอกจากจะสามารถแบ่งคำบุพบทออกเป็น 2 ประเภทแล้ว เรายังสามารถแบ่งคำบุพบทได้ตามลักษณะหน้าที่ของคำนั้นที่่ใช้เชื่อมคำหรือประโยคด้วย ซึ่งเราแบ่งออกได้ 5 ประเภท คือ

           1. นำหน้าคำนาม เช่น

           ในตู้มีอะไร

           บนโต๊ะว่างเปล่า

           จนกระจกแตก

           เขาไปกับน้องสาว

          2. นำหน้าคำสรรพนาม เช่น

           รถของเธอ

           ปากกาของฉัน

           ไปกับฉันไหม

           หมาเดินตามคุณ

           ผึ้งอยู่ใกล้ผม

           เนื่องด้วยข้าพเจ้า

          3. นำหน้าคำกริยา เช่น

           ขอไปด้วยคน

           มาไกลไปไหม
 
           เดินบนทางเท้า

           ขอฟังต่ออีกสักหน่อย

           เขาพูดราว 1 ชั่วโมงแล้วนะ

           ผมใกล้อ่านหนังสือออกแล้ว

          4. นำหน้าคำวิเศษณ์ เช่น

           เขาต้องมาหาฉันโดยเร็ว

           เขาเลวสิ้นดี

           ปากกาของฉันสีม่วง

           ขนมอร่อยมากแต่หมดแล้ว

           ฉันมองไม่เห็นที่นั่น

           ฉันรักแม่เหนือสิ่งอื่นใด


          5. นำหน้าประโยค เช่น

           เมื่อไหร่เขาจะมาสักที

           กระทั่งน้องเลิกโรงเรียน

           ตั้งแต่เมื่อวานเขายังไม่กลับบ้านเลย

           ข้างบ้านไม่มีใครอยู่เลย

           เกือบเดือนแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำ

           ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์

          ทั้งนี้ ยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับคำบุพบทว่า ในบางประโยคที่เราใช้พูดคุยกัน อาจละคำบุพบทนั้นไว้ แต่ยังมีความหมายตามเดิม และก็ยังเป็นที่เข้าใจกันอยู่ เช่น พี่ให้เงิน (แก่) น้อง, แม่ (ของ) ฉันเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ

          นอกจากนี้ บางครั้งคำบุพบทก็มีลักษณะคล้ายคำวิเศษณ์ แต่ต่างกันตรงที่คำบุพบทจะวางไว้หน้าคำ ส่วนคำวิเศษณ์จะทำหน้าที่ขยายอยู่หลังคำนั้น ดังนั้นแล้ว หากไม่มีคำนาม หรือสรรพนามตามหลัง คำนั้นจะเป็นคำวิเศษณ์ เช่น เธออยู่ใน พ่อยืนอยู่ริม, ฉันอยู่ใกล้แค่นี้เอง ฯลฯ

          เห็นไหมว่าการนำคำบุพบทมาใช้ในการเชื่อมรูปประโยคไม่ใช่เรื่องยากเลย ขอเพียงให้เราเข้าใจหลักการของการนำมาใช้ให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็จะทำให้การสื่อสารไปยังผู้รับสารประสบผลสำเร็จได้ อย่างสมบูรณ์แบบแล้วล่ะ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: กันยายน 22, 2013, 09:00:23 am »
::....สำนวนกับการใช้ภาษาไทย.....::
-http://www.thaigoodview.com/node/76797-

 โดยเหตุที่ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสาร จึงได้ทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวของวัฒนธรรมแขนงต่าง ๆและถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง ทั้งด้วยการบอกเล่า และจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรภาษาจึงมีบทบาทในการอนุรักษ์วัฒนธรรมมิให้สูญหายไปตามกาลเวลา


ภาพสะท้อนของสังคมในแต่ละยุคสมัย มโนทัศน์ของคนกลุ่มต่าง ๆ ได้บันทึกไว้ด้วยภาษาดังนั้นการศึกษาภาษาและเรื่องราวจากวรรณกรรมต่าง ๆ จึงช่วยให้เข้าใจวิถีชีวิตและความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคม


นอกจากคำศัพท์ที่มีความแตกต่างจะสะท้อนให้เห็นลักษณะของวัฒนธรรมทางภาษาแล้วสำนวนภาษิตก็นับว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากในการสะท้อนความคิด และแบบแผนทางวัฒนธรรมของคนในชาติ สำนวนบางสำนวน ชี้ให้เห็นความสำคัญของการใช้ภาษาอย่างชัดเจน เช่น


สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล
ความหมายของสำนวนนี้ หมายถึง การแสดงออกทั้งการพูดและกิริยามารยาทย่อมชี้ให้เห็นที่มา หรือพื้นฐานการอบรมของคน คนที่เกิดในตระกูลดี ได้รับการอบรมมาดี ย่อมมีกิริยาวาจาดี ส่วนคนชั้นต่ำ ไม่ได้รับการอบรม มักพูดจาหยาบคาย ไม่มีกิริยามารยาท


พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย
สำนวนนี้ แสดงให้เห็นความสำคัญของการพูด ถ้าพูดดีก็นำสิ่งดีมาให้ ถ้าพูดไม่ดีก็จะได้สิ่งที่ไม่ดีตอบแทน ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมทางภาษา ซึ่งเน้นให้รู้จักพูดจาให้เหมาะกับกาลเทศะ


ถึงแม้ว่าภาษาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของวัฒนธรรม แต่ก็ควรเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แสดงให้เห็นความเจริญงอกงาม ไม่ใช่เปลี่ยนไปทางเสื่อม หรือวิบัติเนื่องจากไม่เข้าใจและไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของภาษา เจตนาใช้ภาษาให้ผิดเพี้ยนไปเพราะนึกว่าเป็นของโก้เก๋ หรือไม่ใส่ใจจะศึกษาว่าที่ถูกนั้นควรเป็นอย่างไร

แหล่งอ้างอิง:
เอกสารประกอบการเรียนรู้วิชา ท๔๓๑๐๒ ภาษากับวัฒนธรรม
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: กันยายน 22, 2013, 09:00:55 am »
ปัจจุบันนี้ ผมนำเรื่องนี้มาพิจารณา  ซึ่งเห็นได้ว่า ทำให้ใจเรา ลดความร้อนลง

ถ้าใครด่าเรา ไม่ว่าจะด่าอย่างไร  อย่าไปสนใจ

ผมอยากจะบอกว่า "ใครจะด่าเรา ก็ช่างเขา ช่างมัน  เพียงให้รู้ไว้ว่า ครอบครัวและวงศ์ตระกูลของเขา  อบรมสั่งสอนต่อๆกันมาแบบนี้  ความเป็นผู้ดีหรือคนดี ไม่ได้อยู่ที่ฐานะและการเงิน แต่อยู่ที่การกระทำของตัวเอง"
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2013, 09:32:29 am »
พิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย แนะวิธีลดธงครึ่งเสาที่ถูกต้อง
-http://hilight.kapook.com/view/92734-





เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก พิพิธภัณฑ์ ธงชาติไทย

          พิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย แนะวิธีลดธงครึ่งเสาที่ถูกต้อง เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนที่ต่างสงสัยว่า การลดธงครึ่งเสา คือ การลดธงลงมาครึ่งเสาตามภาษาพูดจริงหรือไม่

          สืบเนื่องจากประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่ให้หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจลดธงลงครึ่งเสา 3 วัน เพื่อไว้อาลัยแด่การสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

          ทางด้านเฟซบุ๊ก พิพิธภัณฑ์ ธงชาติไทย ก็โพสต์ข้อมูลเรื่อง "วิธีการลดธงครึ่งเสา" อย่างถูกต้อง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า การลดธงครึ่งเสาที่ถูกวิธี คือ ในเวลา 08.00 น. ให้ชักธงชาติถึงยอดเสา และหลังจากที่จบเพลงชาติ จึงลดธงชาติลงมาที่ความสูง 1 ใน 3 ของเสา ไม่ใช่ลดธงลงมาที่ตำแหน่งครึ่งเสาอย่างในภาษาพูด

          ส่วนในเวลา 18.00 น. ให้ชักธงชาติขึ้นจนสุดยอดเสาก่อนเพลงชาติเริ่มต้น และลดธงลงจากเสาตามปกติจนจบเพลงชาติ จึงปลดธงชาติแล้วพับวางบนพาน นำไปเก็บที่อันสมควร


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.thaiflag.org/-
-https://www.facebook.com/photo.php?fbid=593994120667082&set=a.103840809682418.6548.100001694983517&type=1&relevant_count=1-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: วันภาษาไทยแห่งชาติ-ใช้ให้ถูกต้อง
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: มกราคม 05, 2014, 08:40:21 am »
กวีวัจน์สัมผัสใจ
www.literatureandhistory.go.th/index.php?app=academic&fnc...‎

หนังสือ-ความรู้

         “โลกคือมนทิรแผ้ว   ไพศาล
      ห้องหับสรรพโอฬาร      เลิศแล้
      หนังสือดุจประแจทวาร      ไขสู่  ห้องนา
      จักพบรัตนแท้         ก่องแก้ววิทยา”
            พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

      “หนังสือนี้  มีมากมาย  หลายชนิด      นำดวงจิต  เริงรื่น  ชื่นสดใส
      ให้ความรู้  สำเริง  บันเทิงใจ      ฉันจึงใฝ่  ใจสมาน  อ่านทุกวัน
      มีวิชา  หลายอย่าง  ต่างจำพวก      ล้วนสะดวก  ค้นได้  ให้สุขสันต์
      วิชาการ  สรรมา  สารพัน         ชั่วชีวัน  ฉันอ่านได้  ไม่เบื่อเลย”
                      จาก ฉันชอบอ่านหนังสือ
                    พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

         กะวีสง่าแม้น      มณีสาร
      คำเพราะคือสังวาลย์      กอบแก้ว
      ควรเพิ่มวิริยะการ      กะวีเวท  เทอญพ่อ
      กอบกิจประเสริฐแล้ว      ไป่ต้องร้อนตัว
                      จาก พระนลคำหลวง 
          พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

         นานาประเทศล้วน   นับถือ
      คนที่รู้หนังสือ         แต่งได้
      ใครเกลียดอักษรคือ      คนป่า
      ใครเยาะกะวีไซร้         แน่แท้คนดง
                         จาก พระนลคำหลวง
      พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว


       

      ปากเปนเอกเลขเปนโทโบราณว่า   หนังสือตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย
   ถึงรู้มากไม่มีปากลำบากตาย      มีอุบายพูดไม่เปนเห็นป่วยการ
   ถึงเปนครูรู้วิชาปัญญามาก      ไม่รู้จักใช้ปากให้จัดจ้าน
เหมือนเต่าฝั่งนั่งซื่อฮื้อรำคาญ      วิชาชาญมากเปล่าไม่เข้าที
                   จาก วิวาห์พระสมุท
   พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ด้วยก่อนเก่าเหล่าลูกตระกูลปราชญ์   ทั้งเชื้อชาติชนผู้ดีมียศศักดิ์
ย่อมหัดฝึกศึกษาข้างอาลักษณ์         ล้วนรู้หลักพากย์พจน์กลบทกลอน
ทุกวันนี้มีแต่พาลสันดานหยาบ         ประพฤติบาปไปเสียสิ้นแผ่นดินกระฉ่อน
จะหาปราชญ์เจียนจะขาดพระนคร      จึงขอพรพุทธาไตรยาคุณ
อันกุลบุตรจะสืบสายไปภายหน้า         จงปรีชาแช่มชื่นทุกหมื่นขุน
ให้ฝักใฝ่ในกุศลผลบุญ            อย่ามั่วมุ่นฝิ่นฝาสุราบาน
            พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

      รู้น้อยว่ามากรู้   เริงใจ
   กลกบเกิดอยู่ใน      สระจ้อย
   ไป่เห็นชเลไกล      กลางสมุทร
   ชมว่าน้ำบ่อน้อย      มากล้ำลึกเหลือ
             จาก โคลงโลกนิติ
พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร   

      ความรู้ดูยิ่งล้ำ      สินทรัพย์
   คิดค่าควรเมืองนับ      ยิ่งไซร้
   เพราะเหตุจักอยู่กับ      กายอาต  มานา
   โจรจักเบียนบ่ได้         เร่งรู้เรียนเอา
            จาก โคลงโลกนิติ
พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร



         พริกเผ็ดใครให้เผ็ด   ฉันใด
      หนามย่อมแหลมเองใคร      เซี่ยมให้
      จันทร์กฤษณาไฉน      ใครอบ  หอมฤๅ
      วงศ์แห่งนักปราชญ์ได้      เพราะด้วยฉลาดเอง
               จาก โคลงโลกนิติ
พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร

      เกิดมาเป็นคน   หนังสือเป็นต้น   วิชาหนาเจ้า
   ถ้าแม้นไม่รู้   อดสูอายเขา   เพื่อนฝูงเยาะเย้า          ว่าเง่าว่าโง่
      ลางคนเกิดมา   ไม่รู้วิชา         เคอะอยู่จนโต
   ไปเป็นข้าเขา   เพราะเขาเง่าโง่       บ้างเป็นคนโซ         เที่ยวขอก็มี
      ถ้ารู้วิชา          ประเสริฐหนักหนา       ชูหน้าราศี
   จะไปแห่งใด   มีคนปรานี   ยากไร้ไม่มี   สวัสดีมงคล
                  จาก สุบินคำกลอน   

      กล้วยไม้ออกดอกช้า   ฉันใด
   การศึกษาเป็นไป         เช่นนั้น
   แต่ดอกออกคราใด      งามเด่น
   การศึกษาปลูกปั้น      เสร็จแล้วแสนงาม
            ของ หม่อมหลวงปิ่น  มาลากุล


ความรักชาติ

รักชาติยอมสละแม้   ชีวี
      รักเกียรติจงเจตน์พลี      ชีพได้
      รักราชมุ่งภักดี         รองบาท
      รักศาสน์ราญเศิกไส้      เพื่อเกื้อพระศาสนา ฯ
         อันสยามเป็นบ้านเกิด   เมืองนอน
      ดุจบิดามารดร         เปรียบได้
      ยามสุขสโมสร         ทุกเมื่อ
      ยามศึกทุกข์ยากไร้      ปลาตเร้นฤๅควร ฯ
                        จาก กษัตริยานุสรณ์
                พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี

         มะโนมอบพระผู้      เสวยสวรรค์
      แขนมอบถวายทรงธรรม์      เทอดหล้า
      ดวงใจมอบเมียขวัญ      และแม่
      เกียรติศักดิ์รักของข้า      มอบไว้แก่ตัว
                  จาก โคลงภาษิตนักรบโบราณ
            พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

         รักราช  จงจิตน้อม   ภักดี  ท่านนา
      รักชาติ  กอบกรณีย์      แน่วไว้
      รักศาสน์  กอบบุญตรี      สุจริต   ถ้วนเทอญ
      รักศักดิ์  จงจิตให้      โลกซร้องสรรเสริญ
         ยามเดินยืนนั่งน้อม   กะมล
      รำลึกถึงเทศตน         อยู่ยั้ง
      เปนรัฏฐะมณฑล      ไทยอยู่  สราญฮา
      ควรถนอมแน่นตั้ง      อยู่เพี้ยงอวสาน
         ใครรานใครรุกด้าว   แดนไทย
      ไทยรบจนสุดใจ         ขาดดิ้น
      เสียเนื้อเลือดหลั่งไหล      ยอมสละ  สิ้นแล
      เสียชีพไป่เสียสิ้น         ชื่อก้องเกียรติงาม
         หากสยามยังอยู่ยั้ง   ยืนยง
      เราก็เหมือนอยู่คง      ชีพด้วย
      หากสยามพินาศลง      ไทยอยู่  ได้ฤา
      เราก็เหมือนมอดม้วย      หมดสิ้นสกุลไทย
                     จาก สยามมานุสสติ
               พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

         เรานี้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง      ควรคำนึงถึงชาติศาสนา
   ไม่ควรให้เสียที่ที่เกิดมา         ในหมู่ประชาชาวไทย
   แม้ใครตั้งจิตคิดรักตัว         จะมัวนอนนิ่งอยู่ไฉน
   ควรจะร้อนอกร้อนใจ         เพื่อให้พรั่งพร้อมทั่วตน
   ชาติใดไร้รักสมัครสมาน         จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล
   แม้ชาติย่อยยับอับจน         บุคคลจะสุขอยู่อย่างไร
      ใครมาเปนเจ้าเข้าครอง      คงจะต้องบังคับขับไส
   เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป         ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
   เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ         จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย
   ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย   ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
      เพราะฉะนั้นชวนกันสวามิภักดิ์   จงรักร่วมชาติศาสนา
   ยอมตายไม่เสียดายชีวา         เพื่อรักษาอิสระคณะไทย
   สมานสามัคคีให้ดีอยู่         จะสู้ศึกศัตรูทั้งหลายได้
   ควรคิดจำนงจงใจ         เปนไทยจนสิ้นดินฟ้า
                  จาก บทชวนรักชาติ
            พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

      การที่รักชาติต้องเข้าใจว่าเหมือนรักตัวของเราเอง   ใครข่มเหงชาติควรต้องเจ็บแค้นเหมือนหนึ่งข่มเหงตัวเรา
                  จาก ความดีมีไชย
            พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว


       เกิดเป็นไทยชายหญิงไม่นิ่งขลาด   
   แสนสมัครรักชาติศาสนา
กตัญญูสู้ตายถวายชีวา
   ต่อเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสิ้นทุกคน
   ยามสบายปล่อยชายเป็นนายทหาร
   ครั้นเกิดการศึกเสือเมื่อขัดสน
   พวกผู้หญิงมิใช่นิ่งทิ้งอับจน
   เคยออก   ขวนขวายช่วยม้วยไม่กลัว
   เปลก็ไกวดาบก็แกว่งแข็งหรือไม่
   ไม่อวดหยิ่งหญิงไทยมิใช่ชั่ว
   ไหนไถถากตรากตรำไหนทำครัว
   มิใช่รู้แต่จะยั่วผัวเมื่อไร
   แรงเหมือนมดอดเหมือนกากล้าเหมือนหญิง
   นั่นจะจริงเหมือนว่าหรือหาไม่
   เมืองถลางปางจะวอดรอดเพราะใคร
   ผู้หญิงไทยไล่ฆ่าพม่าแท้
               จาก ท้าวเทพกษัตรีย์
พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์

      มนัสไทยประณตท้าว   นรินทร์ไทยมิท้อถอน
   มิผูกรักมิภักดิ์บร         มิพึ่งบารมีบุญ
      ถลันจ้วงทะลวงจ้ำ   บุรุษนำอนงค์หนุน
   บุรุษรุกอนงค์รุน         ประจญร่วมปรัจัญบาน
      อนงค์เพศมนัสพี      รชาติพงศ์ทหารหาญ
   มิได้ดาบก็คว้าขวาน      มิได้หอกก็คว้าหลาว
      มิได้มีดก็เอาไม้      ตะบองสั้นตะบองยาว
   กระหน่ำฟาดพิฆาตลาว      กระเด็นโลดกระโดดงง
      ผิอยู่เหย้าสิอ้อนแอ้น   ฤทัยอ่อนระทวยองค์
   ผิยามทุกข์สิยรรยง      เผยอยศอนงค์สรรพ์
                   จาก ท่านโม้
ของ พระยาอุปกิตศิลปสาร

      อ้าเพศก็เพศนุชอนงค์   อรองค์ก็บอบบาง
   ควรแต่ผดุงอรสอาง      ศุภลักษณ์ประโลมใจ
      ยามเข็ญก็เข็นสริรช่วย   คณะชายผจญภัย
   โอ้ควรจะเอื้อนพจนไข      คุณะเลิศมโหฬาร
      อ้าหัตถ์ก็หัตถ์สุขุมพรร   ณพิลัยอลังการ
   ควรแต่จะถือมธุรมาล      ยประยูรมโนรม
      ยามทุกข์ก็ถือวิวิธอา   วุธร่วมสมาคม
   โอ้ควรจะเอื้อนพจนชม      คุณชั่วนิรันดร์กาล
      อ้าเสียงก็เสียงนุชอนงค์   เสนาะโสตกระแสหวาน
   ควรแต่จะซ้องสรประสาน      ดุริยางค์พยุงใจ
      ยามแค้นก็แค่นกมลซ้อง   สรโห่กระหึมไพร
   โอ้ควรจะชมนุชไฉน      นะจะหนำมโนปอง
      อ้าจิตรก็จิตรนุชเสงี่ยม   มนะอ่อน ณ ชนผอง
   ควรแต่จะเอื้อกมลครอง      ฆรชื่นประชาชน
      ยามยุทธนาบมิขยาด   มนะกล้าผจญรณ
   โอ้ควรจะนับคุณะอนน      ตอเนกรำพัน
                  จาก ท่านโม้
 ของ พระยาอุปกิตศิลปสาร



จิตใจคน

         พระสมุทรสุดลึกล้น   คณนา
      สายดิ่งทิ้งทอดมา      หยั่งได้
      เขาสูงอาจวัดวา         กำหนด
      จิตมนุษย์นี้ไซร้         ยากแท้หยั่งถึง ฯ
                  จาก โคลงโลกนิติ
  พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร

      เพราะคบชู้ไม่รู้ให้รอบเชิง      หลงระเลิงว่าเจ้ารักสมัครสมาน
   คิดว่าหงส์จะจงแต่ชลธาร         มิรู้พาลกลั้วเกลือกด้วยเปือกตม
   ตัวนางเป็นไทยสิใจทาส         ไม่รักชาติรสหวานไปพาลขม
   ดังสุกรฟอนฝ่าแต่อาจม         ห่อนนิยมรักรสสุคนธาร
                     จาก บทมโหรีเรื่องกากี   
     ของ เจ้าพระยาพระคลัง(หน)

      จิตนางเปรียบอย่างชลาลัย   ไม่เลือกไหลห้วยหนองคลองละหาน
   เสียดายทรงแสนวิไลแต่ใจพาล      ประมาณเหมือนกับผลอุทุมพร
   สุกแดงดังแสงปัทมราช         ข้างในล้วนกิมิชาติเบียนบ่อน
   เรารู้ใจมิให้อนาทร         จะพาคืนนครในราตรี
                     จาก บทมโหรีเรื่องกากี
      ของ เจ้าพระยาพระคลัง(หน)
บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว   สะดุ้งแล้วเหลียวแลชะแง้หา
   เห็นโยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา         ประคองพาไปนั่งยังบรรพต
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์      มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
   ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด      ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
   มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน      บิดามารดารักมักเป็นผล
   ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน         เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
   แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ      ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งใดไม่สู้รู้วิชา            รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
                  จาก พระอภัยมณี
   ของ สุนทรภู่

   ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า   ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา   ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
โอ้สามัญผันแปรไม่แท้เที่ยง      เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญิงทิ้งวิสัย
นี่หรือจิตคิดหมายมีหลายใจ      ที่จิตใครจะเป็นหนึ่งอย่าพึงคิด
                     จาก นิราศภูเขาทอง
     ของ สุนทรภู่

      ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้   มีพรรณ
ภายนอกดูแดงฉัน      ชาดป้าย
ภายในย่อมแมลงวัน      หนอนบ่อน
ดุจดั่งคนใจร้าย         นอกนั้นดูงาม ฯ
                  จาก โคลงโลกนิติ
      พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร

      ยางขาวขนเรียบร้อย   ดูดี
   ภายนอกหมดใสสี      เปรียบฝ้าย
   กินสัตว์เสพปลามี      ชีวิต
   เฉกเช่นชนชาติร้าย      นอกนั้นนวลงาม
      รูปแร้งดูร่างร้าย      รุงรัง
   ภายนอกเพียงพึงชัง      ชั่วช้า
   เสพสัตว์ที่มรณัง         นฤโทษ
   ดังจิตสาธุชนกล้า      กลั่นสร้างทางผล
                  จาก โคลงโลกนิติ
   พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร

      ใจชนใจชั่วช้า      โฉงเฉง
   ใจจักสอนใจเอง         ไป่ได้
   ใจปราชญ์ดัดตามเพลง      พลันง่าย
   ดุจช่างปืนดัดไม้         แต่งให้ปืนตรง
                  จาก โคลงโลกนิติ 
 พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร

      พระสมุทรสุดลึกล้น   คณนา
   สายดิ่งทิ้งทอดมา      หยั่งได้
   เขาสูงอาจวัดวา         กำหนด
   จิตมนุษย์นี้ไซร้         ยากแท้หยั่งถึง
                  จาก โคลงโลกนิติ
    พระนิพนธ์สมเด็จฯกรมพระยาเดชาดิศร


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)