ผู้เขียน หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน  (อ่าน 129522 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #210 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2013, 07:48:55 pm »
“ครีมเทียม” ครีมไม่แท้ มาจากไหน?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 พฤศจิกายน 2556 14:38 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000147709-





    คนที่ชื่นชอบการกินกาแฟซอง (กาแฟชง/กาแฟทรีอินวัน) ย่อมรู้จัก “ครีมเทียม” กันเป็นอย่างดี เพราะเป็นส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความหอมมันให้กับกาแฟถ้วยโปรด แต่รู้กันบ้างไหมว่าครีมเทียมนั้นทำมาจากอะไร “108 เคล็ดกิน” มีคำตอบมาเฉลย
       
       “ครีมเทียม” เป็นผลิตภัณฑ์เลียนแบบครีมจากน้ำนมโค ปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเนื่องจากมีราคาถูกกว่าครีมแท้ (ครีมแท้คือครีมที่ทำมาจากนมโคแท้ๆ และมีมันเนยเป็นส่วนประกอบ) ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข “ครีมเทียม” หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ทำจากนมและมีไขมันอื่นนอกจากมันเนยเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ หรือมีมันเนยผสมอยู่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของไขมันทั้งหมด
       
       ครีมเทียมจะมีส่วนประกอบหลักเป็นไขมัน โปรตีน และน้ำตาล ครีมเทียมทำเลียนแบบครีมแท้โดยการนำส่วนประกอบไขมันจากน้ำมันปาล์ม โปรตีนนมที่แยกออกจากน้ำนมโค น้ำตาลทรายและน้ำ กลับมาผสมรวมกัน โดยต้องมีส่วนประกอบอื่นอีก ในการทำส่วนผสมหลักดังกล่าวสามารถรวมเป็นเนื้อเดียวคล้ายคลึงกับครีมแท้ แล้วจึงนำไปทำให้แห้งเป็นผง
       
       ซึ่งไขมันในครีมเทียมส่วนใหญ่ก็จะได้มาจากน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว มีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวสูง (ประมาณร้อยละ 20-50) และในครีมเทียมก็ยังพบไขมันทรานส์ในปริมาณมาก ซึ่งการบริโภคไขมันทรายส์เข้าไปมากๆ ก็จะมีผลให้คอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือดเพิ่มระดับขึ้น เป็นผลให้มีน้ำหนักตัวลำขมันส่วนเกินเพิ่มขึ้น มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ และมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ฉะนั้น การบริโภคครีมเทียมในปริมาณที่มากเกินไปจึงทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
       
       แต่ล่าสุด ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ทำการทดลองผลิตครีมเทียมผงจากน้ำมันรำข้าวบีบเย็น โดยใช้วัสดุเหลือใช้จากกระบวนการสีข้าว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ เนื่องจากในน้ำมันรำข้าวประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยว มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และยังมีสารสำคัญอื่นๆ อีกหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
       
       ทั้งนี้ หากใครอยากจะทดลองบริโภคครีมเทียมจากน้ำมันรำข้าวบีบเย็น คงต้องรอไปก่อนสักพักใหญ่ เพราะขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทดลอง และเตรียมต่อยอดในการผลิตเชิงพาณิชย์ในอนาคต
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #211 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2013, 08:45:52 pm »
ขิง สมุนไพรดี ๆ บำรุงธาตุไฟหน้าหนาว
-http://health.kapook.com/view77340.html-




ขิง บำรุงธาตุไฟหน้าหนาว (หมอชาวบ้าน)
โดย ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ปราจีนบุรี

          ฤดูหนาว เป็นช่วงเวลาของ "วาตะธาตุ" หรือธาตุลมมีลักษณะเย็นและแห้ง ส่งผลกระทบต่อธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิตของคนเรา ใครที่มีธาตุทั้ง 4 สมดุล ก็อาจจะมีภูมิต้านทานกับการเปลี่ยนแปลงแห่งฤดูกาลได้มากกว่าคนอื่น ๆ

          สำหรับคนที่มีวาตะธาตุเป็นเจ้าเรือน คือ คนที่ผอมแห้งแรงน้อย หรือคนชราก็จะยิ่งได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่น ๆ และรวมทั้งวัยเด็กที่มีเสมหะอันมีลักษณะเย็นขึ้นเป็นเจ้าเรือน ธาตุไฟซึ่งอ่อนแรงอยู่แล้ว ก็จะยิ่งอ่อนแรงลงไป ธาตุน้ำ และธาตุลมก็ยิ่งกำเริบร่วมกัน เสมหะก็จะเหนียวและแห้ง คนจะเจ็บป่วยด้วยอาการหวัด และอาการไอแห้ง ๆ รวมทั้งมีการกำเริบของหอบหืด ซึ่งเป็นผลพวงแห่งการมาเยือนของฤดูหนาว

          ดังนั้น ในเด็กและคนชราจึงเป็นกลุ่มคนที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดในฤดูกาลนี้ และหนึ่งในสมุนไพรที่จะช่วยเพิ่มธาตุไฟในหน้าหนาวก็คือ "ขิง" นั่นเอง

          สำหรับสมุนไพร "ขิง" ได้มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายอย่างยาวนาน อาทิ จีน ซึ่งเป็นชนชาติเก่าแก่ก็ได้มีการใช้ประโยชน์จากขิงมายาวนาน แพทย์จีนโบราณจัดขิงเป็นพืชรสเผ็ดอุ่น มีฤทธิ์แก้หวัดเย็น ขับเหงื่อ บำรุงกระเพาะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ลดคอเลสเตอรอลที่สะสมในตับและหลอดเลือด

          ชาวจีนทั่วไปจะรู้ดีว่าถ้าต้มขิงกับน้ำตาลอ้อยจะช่วยแก้หวัด ถ้าใช้ขิงสดปิดที่ขมับทั้งสองข้างจะช่วยแก้ปวดหัว และถ้าเอาขิงสดอมไว้ได้ลิ้นจะช่วยแก้อาการกระวนกระวาย แก้คลื่นไส้อาเจียนได้ดี ในตำรับเภสัชของสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2528 จึงบรรจุขิงทั้งขิงสด ขิงแห้ง และทิงเจอร์ขิงเป็นยาสมุนไพรแห่งชาติตัวหนึ่ง

          แพทย์จีนโบราณใช้ประโยชน์จากขิงสดและขิงแห้งในแง่มุมที่ต่างกัน โดยใช้ขิงแห้งในภาวะที่ขาดหยาง (ภาวะขาดหยาง คือ ภาวะที่ร่างกายมีอาการเย็น หนาวง่าย ทนต่อความเย็นได้น้อย การย่อยอาหารไม่ดี เป็นต้น)


ประโยชน์ของขิง



          ขิงสดจะใช้เมื่อต้องการกำจัดพิษที่เกิดจากการติดเชื้อภายในร่างกาย โดยการขับพิษออกมาทางเหงื่อ ขิงสดช่วยทำให้ร่างกายปรับสภาพในภาวะที่ร่างกายมีอาการเย็นได้เช่นเดียวกับขิงแห้ง ช่วยลดการคลื่นไส้อาเจียน โดยใช้ขิงสด 30 กรัม (3 ขีด) สับให้ละเอียดต้มกินในขณะท้องว่าง นอกจากนี้ ขิงยังช่วยกำจัดพิษโดยการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยขับเสมหะ โดยการใช้ขิงสดคั้นเอาแต่น้ำประมารครึ่งถ้วยผสมน้ำผึ้ง 30 กรัม (6 ช้อน) อุ่นให้ร้อนก่อนกิน

          อินเดีย คืออีกชาติหนึ่งที่มีการใช้สมุนไพรขิงอย่างแพร่หลาย ซึ่งการใช้ขิงแห้งและขิงสดไม่แตกต่างกัน โดยจะใช้ขิงทาถูนวดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ใช้ขิงลดการอักเสบ แก้ปวด ลดอาการบวมน้ำ ใช้เป็นยากระตุ้นการอยากอาหาร เป็นยาช่วยย่อย ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยระงับอาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยกระตุ้นกำหนัด

          ตำรับยาทางอายุรเวทมีการใช้ขิงลดการบวมและการอักเสบของตับ คนพื้นเมืองอินเดียทั่วไปยังนิยมใช้น้ำคั้นจากขิงผสมน้ำผึ้ง และน้ำคั้นจากกระเทียมรักษาอาการหอบหืด ทั้งยังมีการใช้ขิงผงแห้งละลายน้ำอุ่นทาที่หน้าผากรักษาอาการปวดหัว

          แพทย์ชาวอาหรับโบราณก็ใช้ประโยชน์จากขิงคล้าย ๆ กัน แต่ที่แตกต่างคือ จะเน้นการใช้ขิงกระตุ้นความกำหนัด


ขิง สรรพคุณ


          ส่วนคนยุโรปโดยทั่วไปจะใช้ชาขิงช่วยย่อย ช่วยรักษาอาการท้องอืดจากการดื่มเหล้า ช่วยขับลม ทั้งยังใช้รักษาโรคเกาต์ และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต

          นักสมุนไพรรุ่นใหม่ของตะวันตก มักแนะนำให้ใช้ขิงช่วยย่อยอาหาร ช่วยการไหลเวียนของโลหิต และลดการคลื่นไส้อาเจียนจากการเคลื่อนไหวที่ไม่สมดุล (motion sickness) รวมทั้งให้ใช้ลดการคลื่นไส้อาเจียนหลังการผ่าตัด และจากการแพ้ท้องได้บ้าง แต่คนท้องไม่ควรกินเป็นประจำ

          อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนทุกมุมโลกใช้ "ขิง" เหมือน ๆ กันคือ แก้หวัด และแก้ไอ

          "ขิง" มีชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinaie Rosc. มีสารหลายชนิดที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่

          มีการทดลองพบว่า น้ำขิงต้ม ทำให้เม็ดเลือดขาวชนิดแมกโครฟาจ (Macrophage) จับกินไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณค่าภูมิปัญญาอันเก่าแก่ในการการใช้ประโยชน์จากขิง

          "ขิง" จึงเป็นสมุนไพรแนะนำสำหรับการใช้เป็นเครื่องดื่มในฤดูกาลนี้ เพราะขิงเป็นสมุนไพรที่หาง่าย มีความปลอดภัยสูง ใช้กันมานาน คนทั่วไปคุ้นเคย กินง่าย ทำได้เอง

          ปัจจุบัน ขิงบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และองค์การอนามัยโลกรับรอง "ขิง" รักษาหวัด แต่ก็มีข้อจำกัดการใช้ในคนท้อง และกินยาก ยกเว้นต้องซื้อจากบริษัทผู้ผลิตที่มีการควบคุมคุณภาพที่ดีพอ ดังนั้น กรณีเป็นหวัด น้ำขิงต้มเองจะดีที่สุด และเราสามารถตั้งตำรับของเราเองได้ตามใจชอบด้วย


น้ำขิง


เคล็ดลับสุขภาพ

ตำรับ "น้ำขิง" พิชิตหวัด แก้ไอ

          ส่วนผสม : ขิงแก่สด 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 3 ลิตร

          วิธีทำ

          ล้างขิงให้สะอาด แล้วนำมาทุบให้พอบุบ ๆ โดยไม่ต้องขูดเปลือกทิ้ง

          ต้มขิงกับน้ำให้เดือดแล้วลดไฟลง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนไปเรื่อย ๆ จนน้ำขิงกลายเป็นสีเหลือง เติมน้ำตาลตามใจชอบ

          สำหรับคนไทย แน่นอนว่ารู้จักสมุนไพร "ขิง" เป็นอย่างดี เพราะเป็นเครื่องเทศที่นำมาปรุงเป็นอาหารได้สารพัด ช่วยทำให้อาหารหอมหวนชวนกิน ช่วยดับกลิ่นคาวในอาหาร และอยู่ในตำรับยารักษาโรคภัยไข้เจ็บได้มากมายหลายโรค ทั้งช่วยขับลม ช่วยย่อยอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ขับน้ำนม ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ฯลฯ

          ดังนั้น ก่อนที่จะเจ็บป่วยเป็นอะไรไปในหน้าหนาวนี้ ต้มน้ำขิงกินกันไว้เลยดีกว่า


ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://www.doctor.or.th/-


------------------------------------------------------------





4 ประโยชน์ ของดีเกลือ

-http://women.kapook.com/view77170.html-



4 ประโยชน์ ของดีเกลือ (Lisa)

          ดีเกลือที่มีขายตามร้านยาจีนนั้นมีประโยชน์เอนกอนันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความงาม อย่างเช่น

       ขัดผิว โดยโรยดีเกลือลงในเคลนเซอร์สำหรับผิวหน้านิดหน่อยแล้วนำ ไปฟอกหน้าตามปกติ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดหมดจดกว่าเดิมแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยต่อต้านริ้วรอยบนใบหน้าด้วย

       บำรุงผม โดยผสมดีเกลือกับคอนดิชันเนอร์ในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน นำไปนวดบนหนังศีรษะและเส้นผม ปล่อยทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด คุณจะเห็นว่าเส้นผมดูมีสุขภาพดีขึ้นได้ทันที

       ขจัดสารพิษ โดยเติมดีเกลือสองถ้วยลงในอ่างอาบน้ำ (ใช้น้ำร้อน) แล้วลงไปนอนแช่ตัวเป็นเวลา 10 นาที สารซัลเฟตในดีเกลือจะช่วยขจัดสารพิษและโลหะหนักในร่างกายออกไป โดยดีเกลือจะช่วยดึงเกลือในร่างกายออกมาพร้อมๆ กับสารพิษพวกนั้น

       ขัดฟันขาว ดีเกลือคือสารขัดฟันขาวตามธรรมชาติ แถมยังช่วยให้ปากเนียนนุ่มขึ้นด้วย แค่ใช้ดีเกลือแปรงฟันแทนยาสีฟันเท่านั้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก -http://www.lisaguru.com/wp/blog/beauty/v14n40-18112013-03/-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #212 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2013, 08:56:24 pm »
.



ถั่วฝักยาว มีถิ่นกำเนิด ในประเทศจนี และอินเดีย เป็นฝักที่มีชาวเอเชียนิยมรับประทานลำต้นเป็นไม้เลื้อย เถาเป็นสีเขียวอ่อน
วันศุกร์ 29 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=198196-

ถั่วฝักยาว มีถิ่นกำเนิด ในประเทศจนี และอินเดีย เป็นฝักที่มีชาวเอเชียนิยมรับประทานลำต้นเป็นไม้เลื้อย เถาเป็นสีเขียวอ่อน เถาจะแข็งและเหนียว ต้นม้วนพันสิ่งยึดเกาะได้ ลักษณะของใบเป็นใบประกอบแบบฝ่ามือ มี 3 ใบย่อยลักษณะคล้ายรูสามเหลี่ยมยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตรลักษณะของดอกจะออกดอกเป็นช่อตามซอกใบกลีบดอกเป็นสีขาว หรือน้ำเงินอ่อน ฝักมีลักษณะกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-1 เซนติเมตรยาวประมาณ 20-80 เซนติเมตร และในฝักมีเมล็ดอยู่หลายเมล็ดคนไทยเมื่ออดีตนิยมใช้ใบสดประมาณ 60-100 กรัมนำมาต้มกับน้ำใช้รักษาโรคหนองในและอาการปัสสาวะเป็นหนอง และใช้บำรุงม้ามและไต ด้วยการนำเมล็ดแห้งหรือสดมาคั้นสดหรือต้มกับน้ำเพื่อดื่ม.

---------------------------------------------------------------


บัวเป็นพืชที่คนไทยใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนาน นอกจากนำสายบัวเมล็ดบัวมารับประทานและดอกบูชาพระแล้วก็ยังมีการนำใบบัวมาใช้ประโยนชน์
วันเสาร์ 30 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=198404-




บัวเป็นพืชที่คนไทยใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนาน นอกจากนำสายบัวเมล็ดบัวมารับประทานและดอกบูชาพระแล้วก็ยังมีการนำใบบัวมาใช้ประโยนชน์ในหลายอย่างอาทิ ห่อผักสดเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาความสดของผักให้ยาวนานขึ้น ทำเป็นข้าวห่อใบบัว ทำให้ข้าวหอมน่ารับประทาน คนไทยเมื่อครั้งอดีตและบางพื้นที่ในปัจจุบัน นำใบบัวมาเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ เช่น นำใบบัว ซึ่งมีสารอัลคาลอยด์หลายชนิด มาปรุงใช้ประโยชน์ทางยา เพื่อลดความดันโลหิตสูง นำใบสด หรือแห้งหั่นเป็นฝอยต้มกับน้ำพอท่วมจนเดือด 10-15 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน ใช้ระงับอาการหวัด และช่วยลดเสมหะ โดยนำใบบัวมาหั่นเป็นฝอยผึ่งแดดให้แห้งทำเป็นมวนสูบบรรเทาอาการหวัดคัดจมูกเป็นต้น.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #213 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2013, 09:04:07 pm »
น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์
และอุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน
วันพฤหัสบดี 28 พฤศจิกายน 2556 เวลา 00:00 น.

-http://www.dailynews.co.th/Content.do?contentId=197967-



ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ศึกษาวิจัยคุณประโยชน์จากมะพร้าวพบว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ และอุดมไปด้วยแร่ธาตุ เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี มีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมใช้ประโยชน์ได้ใน 5 นาที ขับสารพิษมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง อีกด้วย
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #214 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2013, 10:03:44 am »
เมลอนกีวีสมูทตี้ เปรี้ยวหวานอร่อยกลิ่นหอมชวนดื่ม
-http://cooking.kapook.com/view76985.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           เครื่องดื่มสีเขียวสวยวันนี้ที่เรานำมาฝากเป็นสมูทตี้ที่มีกลิ่นหอมชวนดื่มจากเมลอนเขียวหวานฉ่ำ เพิ่มรสชาติเปรี้ยวนิดหน่อยจากกีวีปั่นผสมรวมกันจนเป็นเมนูเมลอนกีวีสมูทตี้ ได้ประโยชน์จากกีวีที่มีไฟเบอร์สูง มีวิตามินอีและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความแก่ แถมยังป้องกันความเสื่อมสภาพของเซลล์ได้อีกด้วย ถ้าอย่างนั้นเราไปดูกันว่าส่วนผสมและวิธีการทำมีอะไรบ้าง


สิ่งที่ต้องเตรียม

          กีวี ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้น แช่เย็นจัด 1 ผล

          เมลอน หั่นเป็นชิ้น แช่เย็นจัด 100 กรัม

          น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

          น้ำต้มสุก แช่เย็นจัด 1/2 ถ้วย

          เกลือป่นเล็กน้อย

          น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

          เมลอนตักเป็นก้อนกลมสำหรับแต่ง

          กีวี หั่นเป็นชิ้นสำหรับแต่ง

          ใบสะระแหน่ สำหรับแต่ง


วิธีทำ


           ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ปั่นผสมจนเป็นเนื้อเนียนละเอียด เทใส่แก้ว แต่งด้วยเมลอน กีวี และใบสะระแหน่ให้สวยงาม พร้อมดื่มขณะเย็น ๆ

           เครื่องดื่มสีสวย กลิ่นหอม รสเปรี้ยวหวานกลมกล่อมอร่อย ๆ แบบนี้อย่าลืมทำดื่มกันนะคะ

-------------------------------------------------------------------

"ประโยชน์ของกีวี" เพื่อสุขภาพที่ดี
-http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B5-



"กีวี" ผลไม้เมืองหนาวหรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม "กีวีนิวซีแลนด์ส" ถึงแม้จะเป็นผลไม้เมืองนอกแต่ขอบอกค่ะว่า ประโยชน์ของกีวี มีมากมายนัก ทั้งต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ช่วยลดแคลอรีและเรื่องระบบการเผาผลานที่ดี อีกทั้งยังมีวิตตามินซีสูงมาก นั้นเรามาทำความรู้จักกับ ประโยชน์ของกีวี ให้มากกว่านี้กันดีกว่าค่ะ

 
ประโยชน์ของกีวี
 
แหล่งวิตามินซีในปริมาณสูงสุด

นอกจากกีวีสีเขียวที่เราคุ้นเคยยังมีกีวีโกลด์หรือกีวีสีทองให้เลือกบริโภค กีวีทั้งสองชนิดมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดหากเทียบกับผลไม้ขึ้นชื่อเรื่องวิตามินซี อาทิ ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่ากีวีหนึ่งผล มีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยป้องกัน ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ๆ

อุดมด้วยโฟเลต สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

โฟเลตมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรมจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%

สุดยอดคุณค่าวิตามินอี

วิตามินอีได้รับการขนานนามว่าช่วยชะลอความแก่ชรา ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการเสื่อมสภาพแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่ากีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะกีวีทองซึ่งมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า


เต็มที่ด้วยพลังไฟเบอร์

ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย แต่เข้าไปยึดพื้นที่ในระบบทางเดินอาหารทำให้อิ่มได้เร็วและนาน นอกจากนี้ยังช่วยชำระล้างและปรับปรุงระบบย่อยอาหารรวมถึงส่งเสริมให้หัวใจและร่างกายแข็งแรง กีวีเขียวหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #215 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2013, 07:35:20 pm »
“ส้ม” ประโยชน์ทั้งลูก!

-http://club.sanook.com/15611/%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81-

“ส้ม” มีประโยน์ “ทั้งลูก!” มีประโยชน์ทั้งน้ำส้มจนเปลือกส้ม มีประโยชน์ทั้งสุขภาพและยังสามารถทำให้เราหน้าใสได้อีกด้วยลองมาดูกันว่า “ส้ม” ให้ประโยชน์กับเราได้อย่างไรบ้าง

87626898

เริ่มจาก “เนื้อส้ม” เป็นยาสมุนไพรบำรุงร่างกายได้ชั้นเยี่ยมโดยที่ไม่ต้องหาให้มันยุ่งยาก เพียงแค่เรากินส้มสด 100 กรัม ก็จะมีสารเบต้าแคโรทีน ถึง 82 ไมโครกรัม และวิตามินซี 42 มิลลิกรัม ที่เพียงพอต่อร่างกายคนเราต้องการต่อวัน และสารเหล่านี้ก็ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ด้วยคะ

งานวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา ศึกษาวิเคราะห์ประโยชน์ของส้มในการชะลอริ้วรอยแห่งวัยทำให้หน้าใส พบว่าเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ร่างกายสังเคราะห์คอลลาเจนได้น้อยลง แต่ส้มมีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้สุขภาพผิวดี ลบเลือนริ้วรอยแห่งวัยหน้าใส และยังช่วยสร้างกระดูกอ่อนให้แข็งแรงด้วย เบต้าแคโรทีนในผลส้ม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งทำลายเซลล์ผิวหนังอันเป็นบ่อเกิดความชรา

เบต้าแคโรทีนจึงช่วยชะลอความเสื่อมทำให้ผิว เส้นผม และเล็บมีสุขภาพดี และยังช่วยให้ผนังหลอดเลือดและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงหน้าใส ช่วยลดอาการเส้นเลือดฝอยแตกตามใบหน้าและเรียวขา

“เปลือกส้ม” หารู้ไม่ว่าเปลือกส้มที่เราทิ้งกันมีประโยชน์นานับประการ ถ้าการทำงานในทุกๆ วันทำให้คุณรู้สึกเครียดหรือเมื่อยล้าและอยากหาสิ่งที่ช่วยผ่อนคลาย เปลือกส้มช่วยท่านได้..โดยการนำเปลือกส้มมาคั้นหรือบีบเอาน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในเปลือกส้ม นำมาดมกลิ่นหรือใช้นวดตามร่างกาย ซึ่งน้ำมันหอมระเหยจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนและช่วยกระตุ้นระบบประสาทได้

นอกจากนี้การศึกษาทางการแพทย์ ของทีมวิจัยของเภสัชกรในอังกฤษ พบว่าสารในเปลือกส้มมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะในเปลือกส้มเขียวหวานจะมีฤทธิ์ช่วยต้านทานมะเร็งบางอย่างได้ โดยสาร “ซาลเวสตรอล คิว 40” ในเปลือกส้มเขียว-หวาน สามารถทำลายเซลล์ มะเร็งที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ “พี 450 ซีวายพี 1 บี 1” ลงได้ ซึ่งการค้นพบ ในครั้งนี้อาจนำไปสู่แนวทางใหม่ในการบำบัดโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งทรวงอก ปอด ต่อมลูกหมาก และรังไข่ ได้ต่อไปในอนาคต

ขอบคุณข้อมูลจาก วิชาการดอทคอม

---------------------------------------------------------

3 ประโยชน์เลิศของโยเกิร์ตไม่ได้โม้!

-http://campus.sanook.com/1370335/3-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%89/-

ถ้วยเล็กๆ อัดแน่นด้วยประโยชน์มากมาย แม้บางเรื่องจะดูเวอร์ไปนิด แต่เชื่อเถอะว่า จุลินทรีย์...ทำได้

1. สงบอารมณ์ปรี๊ด จะเครียด เหวี่ยง หรือวีนก็หยิบโยเกิร์ตมากินสักถ้วย นักวิจัยจาก UCLA พบว่า สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคุมอารมณ์จะทำงานได้ดี แล้วอารมณ์ด้านลบทั้งหลายก็จะอยู่ใต้คอนโทรล

2. ป้องกันช่องคลอดแห้ง นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ชี้ว่าการขาดจุลินทรีย์แล็กโตบาซิลัสซึ่งมีอยู่มากในโยเกิร์ตเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะช่องคลอดแห้งของผู้หญิงตั้งแต่วัยเลข 3 ไปจนถึงวัยทอง

3. ลดโอกาส "ฉี่" เจ็บ หากกินโยเกิร์ตเป็นประจำ งานวิจัยจากศูนย์การแพทย์แมรี่แลนด์ชี้ว่าโอกาสติดเชื้อจนทางเดินปัสสาวะอักเสบจะลดลงประมาณ 30-40%




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #216 เมื่อ: ธันวาคม 05, 2013, 09:57:03 am »
-http://women.sanook.com/18459/magic-coconut/-

ตอนนี้เครื่องดื่มในตลาดมีจำหน่ายกันหลากหลายยี่ห้อ เรียกว่าทานอย่างไรก็ไม่ครบ ทั้งน้ำหวาน น้ำอัดลม ชาเขียว และอีกสารพัดน้ำ ที่ผู้ผลิตเพิ่มสี แต่งกลิ่น แล้วติดราคาให้แพงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่น้ำมะพร้าว น้ำผลไม้ราคาถูกแสนถูกใกล้ตัวเรา กลับมีพลังมหัศจรรย์ ชนิดที่ว่าสารพัดน้ำที่ว่าไม่มีทางเทียบเคียงคุณประโยชน์ของน้ำมะพร้าวนี้ได้เลยครับ

น้ำมะพร้าวนั้น นอกจากจะมีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการแล้ว ยังมีประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีปัญหาประจำเดือนไม่ปรกติ น้ำมะพร้าวจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียออกมา ทำให้ร่างกายมีความสมดุลขึ้น มะพร้าวมีลำต้นสูง ทำให้ธาตุอาหารต่างๆ ในดินที่ต้นมะพร้าวดูดขึ้นไปหล่อเลี้ยงลำต้นและผลต้อง ผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆของลำต้นกว่าจะถึงผลที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก

น้ำมะพร้าวเป็นอาหารบริสุทธิ์ และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ง่าย นอกจากนั้นมะพร้าวยังเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง สามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไป หมอพื้นบ้านไทยถือกันว่า มะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่า มะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ

Magic Coconut

สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน สามารถดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสไปใช้ในเวลาอันรวดเร็วได้ น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่ม เพราะน้ำมะพร้าวมีความหวาน ไม่เหมาะกับโรคดังกล่าว

หากเปิดลูกมะพร้าว แล้วควรดื่มน้ำเลย ไม่ควรทิ้งไว้นาน ในส่วนของเนื้อก็ไม่ควรทิ้งไว้เกินครึ่งชั่วโมง (แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม) ควรกินให้หมดทีเดียว แต่ปัจจุบันหากต้องการดื่มน้ำมะพร้าว ควรระวังเรื่องสารฟอกขาว หากเป็นไปได้ควรซื้อมะพร้าวเป็นทะลายมาจากสวนโดยตรง ค่อยๆ ตัดทีละลูกจากทะลายเมื่อต้องการดื่มครับ

ข้อมูลจาก : deedeejang
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #217 เมื่อ: ธันวาคม 05, 2013, 08:37:52 pm »
“พริก” ไม่ได้มีดีแค่เผ็ด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
5 ธันวาคม 2556 15:19 น.
-http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9560000150581-




      ความเผ็ด เป็นอีกรสชาติที่ขาดไม่ได้ในอาหารหลายๆ จาน และความเผ็ดนั้น ส่วนใหญ่ก็จะได้มาจาก “พริก” ไม่ว่าจะเป็นพริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกหนุ่ม พริกหยวก ฯลฯ ซึ่งพริกแต่ละชนิดก็จะให้ระดับความเผ็ดที่แตกต่างกันไป
       
       นอกจากจะให้ความเผ็ดแล้ว “พริก” ก็ยังมีคุณค่าทางอาหาร และสรรพคุณที่มากกว่าการช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารจานต่างๆ อีกด้วย เริ่มจากประการแรก พริกมีวิตามินสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และธาตุเหล็ก มีกรดแอสคอร์บิค ที่จะช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหาร เพื่อให้ดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น ช่วยร่างกายขับถ่ายของเสีย และนำธาตุอาหารต่างๆ ไปยังเนื้อเยื่อของร่างกาย
       
       พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกได้ง่ายขึ้น พริกช่วยให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ฉะนั้นคนที่เป็นหอบหืดหรือภูมิแพ้ หากบริโภคพริกไปแล้วจะดีมาก
       
       ในพริกยังพบสารแคปไซซิน ที่ทำให้เกิดความเผ็ดในพริก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ หัวไหล่ แขน บั้นเอว และส่วนต่างๆ ของร่างกาย และช่วยบรรเทาอาหารปวดและแสบร้อนจากการอักเสบตามที่ต่างๆ เช่น โรคเริม งูสวัด ปวดอักเสบตามข้อจากรูมาตอยด์ ข้อเสื่อม และอาการปวดฟกช้ำทั้งหลาย
       
       พริกช่วยเพิ่มสารแห่งความสุข หรือเอ็นโดรฟิน สังเกตได้จากหลังกินอาหารเผ็ดๆ แล้วเหงื่อออก จะรู้สึกสดชื่นสบายตัวมากขึ้น มีชีวิตชีวามากขึ้น และความเผ็ดจากพริกก็ยังช่วยเรียกน้ำย่อย ช่วยให้เจริญอาหารมากขึ้นอีกด้วย
       
       ทั้งนี้ การบริโภคพริกเข้าไป หรือการกินเผ็ดก็ควรจะอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่กินเผ็ดมากเกินไปจนกลายเป้นโรคกระเพาะ และต้องกินพริกให้ถูกจังหวะเวลา ไม่กินเผ็ดจัดในขณะที่ท้องว่าง หากทำได้อย่างนี้แล้วก็จะได้รับประโยชน์จากพริกไปแบบเต็มๆ
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #218 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2013, 10:57:59 am »
สัญญาณอันตราย...อาหารต้องทิ้ง!!!

-http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/13360-

โดย himawari45 | วันที่ 6 มกราคม 2553

ก่อนกินต้องเช็คด้วยว่าหมดอายุหรือยัง


     พฤติกรรมการบริโภคของคนยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก อาจเป็นเพราะเสียเวลาไปกับกิจกรรมอื่นๆ  เลยทำให้คนใส่ใจในการปรุงอาหารน้อยลง เลือกอาหารสำเร็จรูปมากขึ้น เพื่อประหยัดเวลา

 

                สังเกตได้จากทุกวันนี้การเลือกซื้ออาหารของคุณแม่เพื่อมาปรุงให้ลูกก็ไม่ได้ซื้อเพียงแค่อาหารสดเท่านั้น แต่ซื้ออาหารที่ผ่านการแปรรูปมากขึ้น ซึ่งอาหารแปรรูปแล้วนี่เอง หากขาดการสังเกตและใส่ใจในบางเรื่อง อาหารที่นำความสะดวกมาให้ ก็จะกลายเป็นอาหารอันตรายสำหรับลูกไปได้ในพริบตา

   

                อาหารสำเร็จรูป คือ อาหารที่ได้ผ่านการหุงต้มหรือแปรรูปไปเพื่อให้อาหารนั้นสามารถเก็บได้นานพอสมควรโดยไม่เน่าเสีย และอาหารสำเร็จรูปจะดื่มหรือกินได้ทันทีเมื่อต้องการ โดยที่ไม่ต้องนำไปปรุงอีกครั้งก่อนกินค่ะ

 

                วิธีสังเกตอันตรายที่มาพร้อมกับความสำเร็จรูป

 

                1. ขนมอบ / เบเกอรี่

                สัญญาณอันตราย  กลิ่นหืน สีที่เปลี่ยนไป และอาจพบเห็นจุดสีแปลก เช่น สีขาว สีดำ สีเขียว เป็นต้น

 

                ต้นตอ  กลิ่นหืนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของไขมันที่สัมผัสหรือถูกแสงแดดและอากาศ ส่วนจุดสีแปลกๆ นั้น เกิดจากการเสื่อมสภาพของอาหารที่มาจากเชื้อรา เพราะขนมอบหรือเบเกอรี่มีแป้ง น้ำตาล และไขมัน ซึ่งเป็นอาหารของเชื้อราด้วย ถ้าอุณหภูมิร้อนชื้นพอเหมาะ เชื้อราก็เจริญเติบโตได้ดี

 

                สิ่งที่ต้องทำ  ถ้าได้กลิ่นหืนหรือเจอจุดสีต่างๆ ก็ทิ้งได้เลยไม่ต้องลองชิมรสชาติแล้วล่ะ

 

ครั้งต่อไปถ้าซื้อขนมอบหรือเบเกอรี่มา คุณแม่ควรเก็บในที่ที่ควบคุมอุณหภูมิและไม่วางทิ้งไว้นอกตู้เย็นนานๆ หรืออยู่ในที่ร้อนสลับกับที่เย็น ก็ช่วยให้ขนมเหล่านี้หมดอายุช้าลง

 

                2. แยม

                สัญญาณอันตราย  มีจุดหรือกลุ่มของเชื้อราสีขาว

 

                ต้นตอ เกิดจากการตักโดยใช้ช้อนที่ไม่สะอาด หรือเปิดฝาไว้ หรือเก็บในที่ร้อนชื้นทำให้แยมเน่าเสียเร็ว

 

                สิ่งที่ต้องทำ หลายคนคิดว่าแค่ตักเอาส่วนที่เป็นจุดสีขาวของเชื้อราออกก็เอาแยมมากินต่อได้

 

แต่ที่จริงไม่ควรทำ ต้องทิ้งสถานเดียว เพราะสารพิษจากเชื้อรานั้นกระจายเข้าสู่อาหารทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นครั้งต่อไป คุณแม่ควรตักแยมในปริมาณเท่าที่ใช้ ไม่ตักเหลือแล้วใส่ในขวดคืนและจัดเก็บให้ดีในอุณหภูมิที่เหมาะสม

 

                3. น้ำจิ้มและซอส

                สัญญาณอันตราย  อาจมีเชื้อราหรือจุลินทรีย์ที่ปากขวด และที่สำคัญคือมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

 

                ต้นตอ เกิดจากการที่มีเศษซอสหรือน้ำจิ้มติดอยู่ที่ปลายจุกขวดหรือรอบนอกของปากขวดแล้วไม่ได้ทำความสะอาดปากขวด ก็เป็นอาหารชั้นดีที่ทำให้เชื้อราเจริญเติบโต

 

                สิ่งที่ต้องทำ เมื่อมีการเปิดใช้ ก่อนเก็บควรทำความสะอาดรอบปากขวด แต่ถ้าเป็นจุกปั๊มให้นำมาล้างโดยกดน้ำร้อนให้ผ่านจุก ก็เป็นวิธีทำความสะอาดแบบง่ายๆ

 

                อาหารกึ่งสำเร็จรูป คืออาหารที่ได้ผ่านการหุงต้มหรือกระบวนการแปรรูปแล้ว และสามารถเก็บไว้ได้นานแต่ก่อนกินจะต้องนำไปหุงต้ม และปรุงรสก่อน

 

                1. ไส้กรอก  เบคอน  แฮม

                สัญญาณอันตราย  มีเมือกที่ผิว

 

                ต้นตอ เกิดจากการเน่าเสียของอาหาร ซึ่งเป็นของเสียหรือสารพิษที่เกิดจากจุลินทรีย์   

 

                สิ่งที่ต้องทำ  คุณแม่หลายคนอาจเคยลอกพลาสติกออก แล้วล้างน้ำหรือลวกน้ำร้อน แต่นั่นคือวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะการทำความสะอาดแบบนี้ไม่สามารถกำจัดสารพิษของจุลินทรีย์ได้ สิ่งที่ต้องทำคือทิ้งเท่านั้น และก่อนซื้อครั้งต่อไปซื้อแต่น้อย จัดเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสมและอย่าลืมดูวันหมดอายุด้วยนะ

 

                2. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

                สัญญาณอันตราย  มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มาจากกลิ่นหืนและสารปรุงแต่ง

 

                ต้นตอ กลิ่นหืนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของน้ำมันที่สัมผัสหรือถูกแสงแดดและอากาศ   

 

                สิ่งที่ต้องทำ  กินให้น้อยจะดีที่สุด แต่ถ้าอยากกินควรลวกน้ำร้อนทิ้ง 1 น้ำก่อน ไม่ใช่กินน้ำที่ลวกด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าน้ำมันที่ใช้ทอดเป็นน้ำมันอะไร ส่วนซองปรุงรสที่ให้มาด้วยนั้นก็ควรเลี่ยงเถอะ ใช้เครื่องปรุงที่เรามีที่บ้านปรุงเองก็อร่อยเหมือนกัน

 

                3.  เส้นมักกะโรนีหรือสปาเก็ตตี

                สัญญาณอันตราย  ถ้าคุณแม่ต้มสุกแล้ว แต่กินไม่หมดและเก็บเข้าตู้เย็น เอาออกมาจะปรุงอาหารอีกทีจะเห็นว่า เส้นมีกลิ่นหืน กลิ่นเปรี้ยว มีเมือกลื่น และถ้าชิมจะรู้สึกว่าแป้งเปื่อยยุ่ยง่ายไม่เหนียวเหมือนต้มสุกใหม่ๆ

 

                ต้นตอ  จุลินทรีย์เข้าไปย่อยสลายแป้งเป็นอาหารและเจริญเติบโต จนเส้นที่ลวกสุกและเข้าตู้เย็นไว้นั้นเน่าเสียแล้วล่ะ   

 

                สิ่งที่ต้องทำ  ทิ้งเท่านั้น เพราะล้างไปเมือกลื่นก็หมดแต่พิษของจุลินทรีย์ยังคงอยู่ กินเข้าไปอาจจะทำให้ท้องเสียได้ และครั้งต่อไปคุณแม่ควรต้มแค่พอดีปรุงอาหารแต่ละมื้อ เพราะถ้าต้มไว้ล่วงหน้ามาก แถมยังหยิบเข้าหยิบออกตู้เย็นบ่อยๆ ทำให้อุณหภูมิของอาหารไม่คงที่ อาหารก็เน่าเสียเร็ว

 

                อาหารแช่เย็น การแช่เย็นเป็นการเก็บรักษาอาหารอย่างหนึ่ง โดยที่น้ำในอาหารจะไม่แข็งตัวเป็นน้ำแข็ง แต่ก่อนกินควรเอาอาหารออกมาอุ่นก่อน เพราะส่วนใหญ่อาหารที่นำมาแช่เย็นจะถูกทำให้สุกมาประมาณ 70-80% ส่วนการแช่แข็งนั้นน้ำในอาหารจะแข็งตัว แต่การเก็บอาหารทั้ง 2 วิธี ไม่ใช่การฆ่าหรือทำลายเชื้อโรค เป็นเพียงแค่การหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเท่านั้น

 

                1. พิซซ่า

                สัญญาณอันตราย  เกิดเมือกลื่น กลิ่นอาหารเปลี่ยนไป หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายนอกให้เห็นเลย

 

                ต้นตอ การเน่าเสียของอาหารเกิดจากเชื้อราและจุลิทรีย์ที่ปนเปื้อนมาจากในอากาศ หรืออาหารบางชิ้นที่กัดกิน แล้วเก็บชิ้นส่วนอาหารที่เหลือเข้าตู้เย็น

 

                สิ่งที่ต้องทำ หากมีเมือกลื่น เชื้อรา หรือกลิ่นเปลี่ยนไปต้องทิ้ง เพราะอาหารที่ปรุงสุกแล้วเมื่อตั้งทิ้งไว้บนโต๊ะหรือในห้องเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมง อาหารจานนั้นอาจมีจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษได้ ส่วนการที่จะเก็บอาหารที่กินเหลือต้องดูให้ดีว่า มีการปนเปื้อนหรือไม่ ก่อนที่จะนำไปแช่เย็น

 

                2. อาหารชุบแป้งทอด

                สัญญาณอันตราย มีจุดหรือกลุ่มของเชื้อราขึ้นที่อาหาร หรือมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงภายนอก

 

                ต้นตอ เกิดจากการเน่าเสียของอาหาร โดยเชื้อราที่ย่อยแป้งและใช้เป็นอาหารในการเจริญเติบโต

 

                สิ่งที่ต้องทำ หากเป็นเชื้อราต้องทิ้ง แต่ถ้าปรุงสุกและจัดเก็บให้ดีในอุณหภูมิที่เหมาะสมก็จะสามารถกินได้ แต่ก่อนกินต้องนำไปอุ่นให้ร้อนอีกครั้ง

 

                3. แซนด์วิช

                สัญญาณอันตราย  มีกลิ่นหืนหรือกลิ่นเปรี้ยว

 

                ต้นตอ กลิ่นหืนเกิดจากการที่มีไขมันอยู่ในอาหาร ส่วนกลิ่นเปรี้ยวเกิดจากขนมปังที่ถูกจุลินทรีย์ย่อยจนอาหารเน่าเสีย

 

                สิ่งที่ต้องทำ ซื้อมาในปริมาณที่เพียงต่อการกินในแต่ละมื้อ ถ้าจะเอาไปแช่เย็นต้องใส่ภาชนะมิดชิด และดูว่าไม่มีการปนเปื้อน

 

                อาหารกระป๋อง คืออาหารที่ผ่านการแปรรูปและเก็บในกระป๋อง ซึ่งวัตถุดิบที่เอามาทำมีทั้งเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ อาหารที่บรรจุกระป๋องจะถูกทำให้สุก แล้วหยุดการทำงานต่อของอาหารด้วยการลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว และมีการเติมสารเคมีบางอย่างเพื่อรักษาสีของอาหาร

 

                1. ผลไม้กระป๋อง

                สัญญาณอันตราย สีของผลไม้ที่เปลี่ยนแปลงไป

 

                ต้นตอ เกิดจากการเน่าเสียของอาหาร  หรืออาหารหมดอายุ

 

                สิ่งที่ต้องทำ ต้องทิ้งเท่านั้น เมืองไทยของเรามีผลไม้ตามฤดูกาลเยอะนะคะ ลองเปลี่ยนไปกินผลไม้สดจะดีกว่า ได้ทั้งกากใย และวิตามินต่างๆ ด้วย

 

                2. ปลากระป๋อง

                สัญญาณอันตราย กระป๋องที่ขึ้นสนิมบวม บุบ หรือมีรอยแตกร้าว สิ่งที่สำคัญคือต้องสังเกตสี กลิ่น และลักษณะของอาหาร เช่น มีฟอง แยกชั้น หรือไม่

 

                ต้นตอ เกิดจากการเน่าเสียของอาหาร หรืออาหารที่หมดอายุจึงทำให้เกิดแก๊สขึ้น

 

                สิ่งที่ต้องทำ อาหารที่หมดอายุต้องทิ้งเท่านั้น การซื้อครั้งต่อไปควรเลือกกระป๋องที่สมบูรณ์อยู่ในสภาพที่ดี ดูวันหมดอายุ ฉลาก แล้วก่อนกินเอาอาหารออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นไปอุ่นให้ร้อน ห้ามเอากระป๋องไปตั้งไฟหรือเข้าไมโครเว็บเด็ดขาด เพราะอาจมีสารเคมีจากกระป๋องที่ปนเปื้อนไปในอาหาร

 

                คราวนี้ก่อนให้เจ้าตัวเล็กกินอาหารครั้งต่อไป คุณแม่ก็คงพอมีแนวทางแล้วนะว่า สัญญาณจากอาหารแบบไหนที่ควรเก็บ ควรกิน หรือควรทิ้ง อย่ามัวเสียดายอยู่เลยเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของเจ้าตัวเล็ก


ที่มา:เว็บไซต์ momypedia
Update: 06-01-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: 108 เคล็ดกิน
« ตอบกลับ #219 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2013, 02:51:40 pm »
เตือนหญิงท้องเลิกงมงาย ซดยาดองเหล้าช่วยเบ่งลูกง่าย ชี้เด็กเสี่ยงพิการ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 ธันวาคม 2556 12:29 น.
-http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000151383-

 สธ.เตือนหญิงตั้งครรภ์เลิกงมงายใช้สมุนไพรทำยาดองเหล้าซดเชื่อช่วยคลอดง่าย ชี้เสี่ยงอันตรายถึงลูก เหตุฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำอันตรายเซลล์สมอง สติปัญญาพัฒนาช้า ตัวเล็กกว่าเด็กปกติ หรืออาจพิการ จี้กรมแพทย์แผนไทยให้ความรู้

  นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ว่า จากการทำงานคลุกคลีกับประชาชนในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท พบว่าสวนใหญ่ยังมีความเชื่อ ศรัทธาการแพทย์แผนไทย และยาสมุนไพรไทยอยู่พอสมควร อาจถูกบ้างผิดบ้างตามที่ได้รับสืบทอดความเชื่อสืบต่อกันมาจากบรรพบุรุษ เรื่องที่น่าเป็นห่วงคือประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อที่ผิดๆ ในการใช้ประโยชน์จากสมุนไพร เช่น บางพื้นที่มีความเชื่อบอกเล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปากว่าการดื่มยาดองเหล้าช่วยทำให้สุขภาพดี เลือดลมไหลเวียนดี มีเลือดฝาด และที่น่าห่วงมากคือเชื่อว่าหากหญิงตั้งครรภ์ดื่มยาดองเหล้าเป็นประจำจะทำให้คลอดง่าย ไม่เจ็บปวดมากซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดและมีอันตราย โดยเฉพาะอันตรายต่อทารกในครรภ์
       
       นายสรวงศ์กล่าวต่อว่า ตามข้อมูลวิชาการทางการแพทย์ระบุว่า สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ผู้ที่เป็นไข้ ไม่ควรดื่มยาดองเหล้า เพราะส่วนประกอบหลักของยาดองเหล้าก็คือเหล้า และเหล้าที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นเหล้าขาว ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะเป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์ แอลกอฮอล์ที่แม่ดื่มเข้าไปจะไปถึงลูกผ่านทางรก ทำให้ทารกเกิดความพิการได้ทั้งทางร่างกายและสมอง โดยเฉพาะในช่วงที่แม่มีอายุครรภ์ 6-8 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงการสร้างอวัยวะของตัวอ่อนเด็กในครรภ์ ทารกที่แม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เมื่อเกิดมาจะมีความพิการทางไต หรือที่กระดูกซี่โครงหรือกระดูกไขสันหลัง รูปร่างแคระแกร็น ตัวเล็กกว่าเด็กปกติ ที่สำคัญคือแอลกอฮอล์จะทำไปทำลายระบบประสาทส่วนกลางของทารก ทำให้โครงสร้างของสมองผิดปกติ เช่น ไม่มีสมองใหญ่ สมองใหญ่มีร่องผิดปกติ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กด้านสติปัญญา ความจำ และการเคลื่อนไหว เสี่ยงต่อการเกิดโรคทางจิตเวช วิตกกังวล ซึมเศร้า พฤติกรรมอันธพาล อาจมีปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น ซุกซนไม่อยู่นิ่ง สมาธิสั้น เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลกระทบระยะยาวต่อตัวเด็กในการใช้ชีวิตในสังคม
       
       “ได้มอบนโยบายให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเร่งให้ข้อมูลความรู้เรื่องยาดองเหล้าให้ประชาชนและรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันผลกระทบที่กล่าวมา โดยใช้พลัง อสม. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเพิ่มการให้ความรู้เรื่องสมุนไพร ยาสมุนไพร เพื่อสร้างการยอมรับ โดยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนใช้ยาสมุนไพร ไม่น้อยกว่าร้อยละ 14 ของยาที่ใช้ทั้งหมด” รมช.สาธารณสุขกล่าว
       
       ด้าน นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า สมุนไพรที่ใช้ดองเหล้าส่วนใหญ่จะมีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย เจริญอาหาร บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย เช่น สมุนไพรจะค้าน (สะค้าน) มีสรรพคุณเป็นยาธาตุ ฝางใช้บำรุงโลหิต แก้ปอดพิการ ขับเสมหะและระดู สมุนไพรปิดปิวแดงใช้ขับประจำเดือน กระจายลม บำรุงธาตุ ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงธาตุไฟ สมุนไพรกำลังเสือโคร่งใช้บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย มะเขือแจ้เครือใช้ทั้งต้นต้มหรือดองเหล้าเป็นยาแก้ปวดหลังหรือบั้นเอว สมุนไพรรางแดงแก้กระษัย แก้เส้นเอ็นตึง ผสมยาเจริญอาหารและเป็นยาอายุวัฒนะพริกไทยช่วยขับลม บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร เถาฮ่อสะพายควายใช้ดองเหล้า บำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย สมุนไพรแส้ม้าทะลายโรงใช้เถาดองเหล้าดื่มแก้ปวดหลังปวดเอว
       
       “ยาดองเหล้าโดยทั่วไป มักใช้ส่วนต่างๆ ของพืชสมุนไพรได้แก่ ราก ลำต้น เถา หรือแก่น มาสับเป็นชิ้นเล็กๆให้ได้ปริมาณตามที่ต้องการ แล้วนำไปแช่ในเหล้า ปริมาณยาของแต่ละสูตรจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ประสบการณ์ของหมอยา บางคนใช้สมุนไพรเพียงชนิดเดียว หรือบางคนใช้หลายๆ ชนิดปรุงรวมกันเป็นยาดอง โดยใช้เหล้าเป็นตัวทำละลายและดึงเอาตัวยาออกมาจากสมุนไพร ยาดองเหล้าทุกสูตรควรรับประทานเมื่อมีอาการเจ็บป่วย เพียงวันละ 2 ครั้งคือ ก่อนอาหารเช้าและเย็น ครั้งละประมาณ 30 ซีซี หรือ 1 ถ้วยตะไลเท่านั้นไม่ควรดื่มต่อเนื่องทุกวันเพราะอาจทำให้กลายเป็นโรคติดสุราเรื้อรังได้” อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าว
       
       นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวว่า สมุนไพรบางชนิดมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย บำรุงกำหนัด เช่น โด่ไม่รู้ล้มใช้แก้เหน็บชา บำรุงหัวใจ บำรุงกำหนัด ขับน้ำเหลืองเสียใช้เป็นยาบำรุงหลังคลอดได้ มะเขือแจ้ป่าเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด เป็นต้น แต่ในทางการค้าผู้ขายยาดองเหล้ามักจะตั้งชื่อยาดองเหล้าให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดว่า เป็นยาบำรุงกำลังทางเพศเพิ่มความแข็งแรง เช่น กระโดดกำแพง สาวน้อยตกเตียง กำลังเสือโคร่ง และเฒ่าชูงวง เป็นต้น ทั้งที่สมุนไพรดังกล่าวมีสรรพคุณแค่ใช้บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ บำรุงเลือด คลายเส้นเอ็นแก้ปวดเมื่อยเท่านั้น



คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)